ข่าวดีที่เขียนโดยยอห์น
1 ในตอนเริ่มต้น มีผู้หนึ่งที่ถูกเรียกว่าโฆษก*+ โฆษกผู้นี้อยู่กับพระเจ้า+และท่านเป็นพระเจ้าองค์หนึ่ง+ 2 ท่านผู้นี้อยู่กับพระเจ้าในตอนเริ่มต้น+ 3 พระเจ้าใช้ท่านให้สร้างทุกสิ่ง+ ไม่มีอะไรเลยที่เกิดขึ้นโดยที่พระเจ้าไม่ได้ให้ท่านสร้าง
สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้น 4 โดยทางท่านคือชีวิต และชีวิตเป็นความสว่างของมนุษย์+ 5 ความสว่างนั้นส่องเข้าไปในความมืด+ แต่ความมืดเอาชนะความสว่างไม่ได้
6 มีผู้ชายคนหนึ่งที่พระเจ้าใช้ให้เป็นตัวแทนของพระองค์ เขาชื่อยอห์น+ 7 เขาเป็นพยานที่ให้หลักฐานยืนยันเรื่องความสว่างนั้น+ เพื่อคนทุกชนิดจะได้เชื่อเพราะสิ่งที่เขาบอก 8 ตัวยอห์นเองไม่ใช่ความสว่างนั้น+ แต่เขามาเพื่อให้หลักฐานยืนยันเรื่องความสว่าง+
9 ตอนนั้น ความสว่างแท้ที่ส่องสว่างให้คนทุกชนิดกำลังจะเข้ามาในโลก+ 10 ท่านผู้นั้นเคยอยู่ในโลก+ พระเจ้าใช้ท่านให้สร้างโลก+ แต่โลกกลับไม่รู้จัก*ท่าน 11 ท่านมาที่บ้านเมืองของท่าน แต่คนร่วมชาติไม่ต้อนรับ+ 12 ส่วนใครที่ต้อนรับ ท่านก็ให้พวกเขามีโอกาสได้เป็นลูกของพระเจ้า+ เพราะพวกเขาแสดงความเชื่อศรัทธาในชื่อของท่าน+ 13 คนกลุ่มนี้จึงไม่ได้เกิดจากพ่อแม่ที่เป็นมนุษย์ หรือจากความต้องการของมนุษย์ แต่เกิดจากพระเจ้า+
14 ดังนั้น โฆษกผู้นี้จึงมาเกิดเป็นมนุษย์+และอยู่กับพวกเรา พวกเราได้เห็นความสง่างามของท่าน ซึ่งเป็นความสง่างามแบบที่ลูกคนเดียว+ได้รับจากพ่อ ท่านเป็นผู้ที่พระเจ้าพอใจมากและท่านสอนความจริง+ 15 (ยอห์นยืนยันเรื่องของท่าน ยอห์นคนนี้แหละที่ป่าวประกาศว่า “ท่านผู้นี้ก็คือคนที่ผมเคยบอกว่า ‘ท่านที่มาทีหลังผมเป็นคนที่ยิ่งใหญ่กว่าผม เพราะท่านมีชีวิตอยู่ก่อนผมอีก’”)+ 16 ท่านมีความกรุณาที่ยิ่งใหญ่ พวกเราทุกคนจึงได้รับความกรุณาจากท่านอย่างล้นเหลือ 17 พระเจ้าให้กฎหมายผ่านทางโมเสส+ แต่ให้ความกรุณาที่ยิ่งใหญ่+และความจริงผ่านทางพระเยซูคริสต์+ 18 ไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้าเลย+ แต่พระเยซูเป็นผู้ที่ทำให้พวกเราได้มารู้จักพระองค์+ ท่านเป็นลูกคนเดียวของพระเจ้า+ซึ่งมีลักษณะเหมือนพระองค์ และอยู่เคียงข้างพระเจ้าผู้เป็นพ่อ+
19 เมื่อคนยิวส่งพวกปุโรหิตและพวกคนเลวีจากกรุงเยรูซาเล็มมาถามยอห์นว่า “คุณเป็นใคร?”+ 20 เขาไม่ได้ปิดบังความจริง แต่ตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า “ผมไม่ใช่พระคริสต์”+ 21 พวกนั้นจึงถามอีกว่า “ถ้าอย่างนั้นคุณเป็นใคร? เป็นเอลียาห์ไหม?”+ เขาตอบว่า “ไม่ใช่”+ “หรือว่าเป็นผู้พยากรณ์ที่พระคัมภีร์บอกไว้?”+ เขาตอบว่า “ไม่ใช่” 22 พวกนั้นจึงถามว่า “แล้วคุณเป็นใครกันแน่? บอกมาสิ พวกเราจะได้กลับไปตอบคนที่ส่งเรามาได้ คุณจะให้พวกเราบอกว่าคุณเป็นใคร?” 23 ยอห์นบอกว่า “ผมคือคนที่ส่งเสียงร้องอยู่ในที่กันดารว่า ‘ให้ทำทางของพระยะโฮวาให้ตรง’+ เหมือนที่ผู้พยากรณ์อิสยาห์บอกไว้”+ 24 คนพวกนี้เป็นคนที่พวกฟาริสีส่งมา 25 พวกเขาจึงถามยอห์นอีกว่า “แล้วทำไมคุณถึงให้บัพติศมาในเมื่อคุณไม่ใช่พระคริสต์หรือเอลียาห์ แล้วก็ไม่ใช่ผู้พยากรณ์คนนั้นด้วย?” 26 ยอห์นตอบพวกเขาว่า “ผมให้บัพติศมาด้วยน้ำ แต่มีคนหนึ่งอยู่กับพวกคุณซึ่งเป็นคนที่พวกคุณไม่รู้จัก 27 เขาจะมาทีหลังผม ผมเองไม่สมควรจะแก้สายรัดรองเท้าให้เขาด้วยซ้ำ”+ 28 เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นที่เบธานีซึ่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดน ยอห์นให้บัพติศมาผู้คนอยู่ที่นั่น+
29 วันต่อมา ยอห์นเห็นพระเยซูมาหา เขาจึงพูดว่า “คนนี้ไง ลูกแกะ+ของพระเจ้าที่จะรับบาป+ของโลกไป+ 30 คนนี้แหละที่ผมพูดไว้ว่า ‘คนหนึ่งจะมาทีหลังผมซึ่งเป็นคนที่ยิ่งใหญ่กว่าผม เพราะท่านมีชีวิตอยู่ก่อนผมอีก’+ 31 เมื่อก่อนนี้ผมเองก็ไม่รู้จักท่าน แต่ที่ผมให้บัพติศมาด้วยน้ำก็เพื่อแนะนำตัวท่านให้คนอิสราเอลรู้จัก”+ 32 ยอห์นยังยืนยันด้วยว่า “ผมได้เห็นพลังของพระเจ้ารูปร่างเหมือนนกเขาลงมาจากฟ้าและอยู่กับท่าน+ 33 ตอนแรกผมเองก็ไม่รู้จักท่าน แต่พระเจ้าที่ใช้ผมมาให้บัพติศมาด้วยน้ำได้บอกผมว่า ‘เมื่อเจ้าเห็นพลังของเราลงมาอยู่กับใคร+ คนนั้นแหละที่จะให้บัพติศมาด้วยพลังบริสุทธิ์ของเรา’+ 34 ผมเห็นเรื่องนี้เกิดขึ้นกับตา ผมจึงยืนยันได้ว่าท่านเป็นลูกของพระเจ้า”+
35 วันถัดมา ยอห์นมายืนอยู่ที่เดิมและมีสาวก 2 คนอยู่ด้วย 36 เมื่อเห็นพระเยซูเดินผ่านมา ยอห์นก็พูดว่า “นั่นไง ลูกแกะ+ของพระเจ้า” 37 พอสาวกทั้งสองคนได้ยินอย่างนั้น ก็ตามพระเยซูไป 38 พระเยซูหันมาเห็นพวกเขาจึงถามว่า “มีอะไรหรือ?” พวกเขาบอกว่า “รับบี* (แปลว่า “อาจารย์”) ท่านพักอยู่ที่ไหนครับ?” 39 พระเยซูบอกพวกเขาว่า “ตามมาดูสิ” พวกเขาก็ตามท่านไปถึงที่พักและอยู่กับท่านจนหมดวัน ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณ 4 โมงเย็น 40 หนึ่งในสองคนนั้นที่ได้ยินยอห์นพูดแล้วตามพระเยซูไปคือ อันดรูว์+ที่เป็นพี่น้องกับซีโมนเปโตร 41 สิ่งแรกที่อันดรูว์ทำก็คือ ไปหาซีโมนพี่น้องของเขาและบอกว่า “พวกเราพบเมสสิยาห์แล้ว”+ (ซึ่งแปลว่า “คริสต์”)+ 42 แล้วอันดรูว์ก็พาซีโมนไปหาพระเยซู ท่านมองซีโมนและพูดว่า “คุณคือซีโมน+ลูกของยอห์น คุณจะมีอีกชื่อหนึ่งว่าเคฟาส” (แปลเป็นภาษากรีกว่าเปโตร)+
43 วันต่อมา พระเยซูตั้งใจจะไปแคว้นกาลิลี ท่านเจอฟีลิป+และพูดกับเขาว่า “ตามผมมาสิ” 44 ฟีลิปมาจากเมืองเบธไซดาเหมือนอันดรูว์กับเปโตร 45 ฟีลิปเจอนาธานาเอล+และบอกเขาว่า “พวกเราพบคนนั้นที่บอกไว้ในกฎหมายของโมเสสและหนังสือของพวกผู้พยากรณ์แล้ว+ เขาคือเยซูลูกของโยเซฟ+ซึ่งมาจากเมืองนาซาเร็ธ” 46 แต่นาธานาเอลบอกเขาว่า “จะมีอะไรดี ๆ มาจากนาซาเร็ธได้หรือ?”+ ฟีลิปตอบเขาว่า “มาดูเองสิ” 47 เมื่อพระเยซูเห็นนาธานาเอลกำลังเดินเข้ามาหา ก็พูดถึงเขาว่า “นี่ไง คนอิสราเอลแท้ ๆ ที่ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมอะไร”+ 48 นาธานาเอลถามพระเยซูว่า “ท่านรู้จักผมได้ยังไง?” ท่านตอบเขาว่า “ผมเห็นคุณตั้งแต่ตอนที่คุณอยู่ใต้ต้นมะเดื่อแล้ว ก่อนที่ฟีลิปจะเรียกคุณด้วยซ้ำ” 49 นาธานาเอลบอกท่านว่า “อาจารย์ ท่านเป็นลูกของพระเจ้า และเป็นกษัตริย์ของอิสราเอล”+ 50 พระเยซูบอกเขาว่า “คุณเชื่อเพราะผมบอกว่า ผมเห็นคุณอยู่ใต้ต้นมะเดื่อหรือ? คุณจะได้เห็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านี้อีก” 51 ท่านบอกเขาอีกว่า “ผมจะบอกให้รู้ว่า พวกคุณจะเห็นฟ้าสวรรค์เปิดออกและเห็นทูตของพระเจ้าขึ้น ๆ ลง ๆ เพื่อมาหา ‘ลูกมนุษย์’”+
2 สองวันต่อมา มีงานแต่งงานที่เมืองคานาในแคว้นกาลิลี+ แม่ของพระเยซูก็อยู่ในงานเลี้ยงนั้น 2 พระเยซูกับพวกสาวกได้รับเชิญให้ไปร่วมงานด้วย
3 เมื่อเหล้าองุ่นใกล้หมด แม่ของพระเยซูมาบอกท่านว่า “ทำยังไงดี เหล้าองุ่นจะหมดแล้ว?” 4 แต่พระเยซูตอบเธอว่า “เราอย่าไปกังวลเลยแม่ ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาของผม” 5 แม่ของท่านจึงบอกพวกคนรับใช้ว่า “พวกคุณคอยทำตามที่เขาสั่งนะ” 6 ที่นั่นมีโอ่งหินตั้งอยู่ 6 ใบเพื่อใช้ในพิธีชำระล้างตามกฎของชาวยิว+ แต่ละใบจุน้ำได้ประมาณ 2 หรือ 3 ถัง 7 พระเยซูบอกพวกคนรับใช้ว่า “เอาน้ำใส่โอ่งให้เต็ม” พวกเขาก็เอาน้ำใส่จนเต็มถึงปากโอ่ง 8 แล้วท่านสั่งอีกว่า “ตักไปให้ผู้ดูแลงานเลี้ยงสิ” พวกเขาก็ทำตาม 9 ตอนที่ผู้ดูแลงานเลี้ยงชิมน้ำนั้น มันกลายเป็นเหล้าองุ่นไปแล้ว เขาไม่รู้ว่ามันมาจากไหน แต่พวกคนรับใช้รู้ ผู้ดูแลงานเลี้ยงเรียกเจ้าบ่าวมา 10 และพูดกับเขาว่า “ใคร ๆ เขาก็เอาเหล้าองุ่นดี ๆ มาให้ดื่มก่อน เมื่อแขกเมาแล้วค่อยเอาที่ไม่ค่อยดีมาให้ แต่คุณกลับเก็บเหล้าองุ่นดี ๆ ไว้จนถึงตอนนี้” 11 พระเยซูทำการอัศจรรย์ครั้งแรกนี้ที่เมืองคานาในแคว้นกาลิลี เพื่อเป็นหลักฐานบอกฐานะและอำนาจของท่าน+ ทำให้พวกสาวกมีความเชื่อในตัวท่าน
12 หลังจากนั้น พระเยซูก็ไปเมืองคาเปอร์นาอุม+กับแม่ พวกน้องชาย+ และพวกสาวก แต่พักอยู่ที่นั่นไม่กี่วัน
13 เมื่อใกล้จะถึงเทศกาลปัสกา+ของชาวยิว พระเยซูก็ไปที่กรุงเยรูซาเล็ม 14 พอเข้าไปในบริเวณวิหาร ท่านเห็นคนขายวัว แกะ และนกเขา+ และเห็นพวกพ่อค้ารับแลกเงินนั่งอยู่ 15 ท่านจึงเอาเชือกมาทำเป็นแส้แล้วไล่คนพวกนั้นรวมทั้งแกะและวัวออกจากบริเวณวิหาร ท่านยังเทเงินเหรียญและคว่ำโต๊ะของพวกคนรับแลกเงินด้วย+ 16 พระเยซูบอกคนขายนกเขาว่า “เอาของพวกนี้ออกไปให้หมด เลิกทำให้บ้านของพ่อผมเป็นตลาดได้แล้ว”+ 17 พวกสาวกก็นึกถึงข้อความที่พระคัมภีร์บอกไว้ว่า “ความรักแรงกล้าที่ผมมีต่อวิหารของพระองค์เป็นเหมือนไฟที่ลุกโชน”+
18 พวกยิวต่อว่าพระเยซูว่า “คุณมีสิทธิ์อะไรมาทำอย่างนี้? แสดงหลักฐานให้เราดูซิ”+ 19 พระเยซูตอบว่า “รื้อวิหารหลังนี้ลงมาสิ แล้วผมจะสร้างขึ้นใหม่ภายใน 3 วัน”+ 20 พวกยิวจึงพูดว่า “วิหารหลังนี้ใช้เวลาสร้างตั้ง 46 ปี แล้วคุณจะสร้างขึ้นใหม่ภายใน 3 วันได้ยังไง?” 21 แต่ที่จริง พระเยซูกำลังพูดถึงวิหารที่หมายถึงร่างกายของท่านเอง+ 22 หลังจากพระเยซูฟื้นขึ้นจากตายแล้ว พวกสาวกถึงนึกขึ้นได้ว่าท่านเคยพูดอย่างนี้+ ทำให้พวกเขาเชื่อสิ่งที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์และสิ่งที่พระเยซูเคยพูดไว้
23 เมื่อพระเยซูอยู่ที่กรุงเยรูซาเล็มในเทศกาลปัสกา ท่านทำการอัศจรรย์หลายอย่าง ทำให้คนมากมายเชื่อศรัทธาในชื่อของท่าน+ 24 แต่พระเยซูไม่อยากจะสนิทกับพวกเขามาก เพราะท่านอ่านใจทุกคนได้ 25 ท่านไม่ต้องให้ใครมาบอกว่ามนุษย์เป็นอย่างไร เพราะท่านรู้ว่าพวกเขาคิดอะไรอยู่ในใจ+
3 มีผู้นำชาวยิวคนหนึ่งเป็นฟาริสีชื่อนิโคเดมัส+ 2 เขามาหาพระเยซูตอนกลางคืน+และพูดว่า “อาจารย์+ พวกเรารู้ว่าท่านเป็นครูที่พระเจ้าส่งมา เพราะไม่มีใครทำการอัศจรรย์+แบบท่านได้ถ้าไม่ได้รับอำนาจจากพระเจ้า”+ 3 พระเยซูพูดกับเขาว่า “ผมจะบอกให้รู้ว่า ถ้าคนเราไม่เกิดใหม่+ จะเห็นรัฐบาล*ของพระเจ้าไม่ได้”+ 4 นิโคเดมัสถามท่านว่า “คนแก่จะเกิดใหม่ได้ยังไง? จะให้เข้าไปในท้องแม่ แล้วคลอดออกมาเป็นครั้งที่สองได้หรือ?” 5 พระเยซูตอบว่า “ผมจะบอกให้รู้ว่า คนที่ไม่ได้เกิดโดยรับบัพติศมาในน้ำ+และโดยรับพลังของพระเจ้า*+ จะเข้ารัฐบาลของพระองค์ไม่ได้ 6 คนที่เกิดจากพ่อแม่ที่เป็นมนุษย์ก็เป็นลูกของมนุษย์ แต่คนที่เกิดจากพลังของพระเจ้าก็เป็นลูกของพระเจ้า 7 ไม่ต้องแปลกใจที่ผมบอกว่า พวกคุณจะต้องเกิดใหม่+ 8 ลมอยากจะพัดไปทางไหน มันก็พัดไปทางนั้น คุณได้ยินเสียงลมแต่ไม่รู้ว่ามันพัดมาจากไหนและจะไปทางไหน ทุกคนที่เกิดจากพลังของพระเจ้าก็เป็นอย่างนั้นด้วย”+
9 นิโคเดมัสจึงถามพระเยซูว่า “เรื่องนี้จะเป็นไปได้ยังไงครับ?” 10 ท่านตอบว่า “คุณเป็นอาจารย์สอนคนอิสราเอล แต่ทำไมไม่เข้าใจเรื่องนี้? 11 ผมจะบอกให้รู้ว่า พวกเราบอกเล่าสิ่งที่รู้เห็นมา+ แต่พวกคุณไม่เชื่อคำบอกเล่าของเรา+ 12 ผมเล่าเรื่องที่เกี่ยวกับโลก คุณก็ยังไม่เชื่อ แล้วถ้าผมเล่าเรื่องที่เกี่ยวกับสวรรค์ คุณจะเชื่อหรือ?+ 13 ไม่มีใครเคยขึ้นสวรรค์+ นอกจากผู้ที่ลงมาจากสวรรค์+ ซึ่งก็คือ ‘ลูกมนุษย์’ 14 โมเสสยกงูขึ้นแขวนไว้ในที่กันดาร+ ‘ลูกมนุษย์’ ก็จะถูกยกขึ้นแขวนไว้เหมือนกัน+ 15 เพื่อทุกคนที่เชื่อท่านจะมีชีวิตตลอดไป+
16 “พระเจ้ารักโลกมาก จนถึงกับยอมสละลูกคนเดียวของพระองค์+ เพื่อทุกคนที่แสดงความเชื่อในท่านจะไม่ถูกทำลาย แต่จะมีชีวิตตลอดไป+ 17 พระเจ้าไม่ได้ส่งลูกของพระองค์เข้ามาในโลกเพื่อให้ตัดสินลงโทษโลก แต่ส่งมาเพื่อช่วยโลกให้รอด+ 18 คนที่แสดงความเชื่อในท่านผู้นั้นจะไม่ถูกตัดสินลงโทษ+ ส่วนคนที่ไม่แสดงความเชื่อก็ถูกตัดสินลงโทษอยู่แล้ว เพราะเขาไม่ได้แสดงความเชื่อศรัทธาในชื่อของลูกคนเดียวของพระเจ้า+ 19 หลักในการตัดสินลงโทษก็คือ ความสว่างเข้ามาในโลกแล้ว+ แต่มนุษย์กลับรักความมืดแทนที่จะรักความสว่างเพราะพวกเขาทำชั่ว+ 20 คนที่ทำชั่วก็เกลียดความสว่างและไม่มาหาความสว่าง เพื่อความชั่วของเขาจะไม่ถูกเปิดโปง 21 แต่คนที่ทำสิ่งที่ถูกต้องก็มาหาความสว่าง+ เพื่อจะได้เห็นว่าสิ่งที่เขาทำเป็นไปตามความต้องการของพระเจ้า”
22 หลังจากนั้น พระเยซูเข้าไปในชนบทของแคว้นยูเดียกับพวกสาวกและอยู่กับพวกเขาที่นั่นช่วงหนึ่ง ท่านให้บัพติศมาผู้คนด้วย+ 23 ส่วนยอห์นก็ให้บัพติศมาอยู่ที่อายโนนใกล้ ๆ สาลิมเพราะที่นั่นมีน้ำมาก+ ผู้คนก็พากันไปรับบัพติศมาที่นั่น+ 24 ตอนนั้นยอห์นยังไม่ติดคุก+
25 วันหนึ่ง พวกสาวกของยอห์นเถียงกับคนยิวคนหนึ่งว่าทำอย่างไรถึงจะสะอาดในสายตาพระเจ้า 26 พวกเขาจึงไปฟ้องยอห์นว่า “อาจารย์ คนที่ท่านเคยพูดถึง+และเคยอยู่กับท่านที่แม่น้ำจอร์แดนฝั่งโน้น เขากำลังให้บัพติศมาและทุกคนก็ไปหาเขา” 27 ยอห์นบอกเขาว่า “คนเราจะทำอะไรได้ก็ต่อเมื่อพระเจ้าให้เขาทำ 28 พวกคุณก็เคยได้ยินผมพูดแล้วนี่ว่า ‘ผมไม่ใช่พระคริสต์+ แต่ผมถูกส่งมาล่วงหน้าท่าน’+ 29 เจ้าสาวเป็นของเจ้าบ่าว+ แต่เพื่อนเจ้าบ่าวที่ยืนรออยู่ก็ดีใจมากที่ได้ยินเสียงเจ้าบ่าว นี่แหละเป็นเหตุผลที่ผมดีใจจริง ๆ 30 ท่านผู้นั้นจะมีมากขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนตัวผมจะมีน้อยลง”+
31 คนที่มาจากเบื้องบน+ก็อยู่เหนือคนอื่นทุกคน ส่วนคนที่มาจากโลกก็เป็นเหมือนคนทั่วไปในโลกและพูดแต่เรื่องที่เกี่ยวกับโลก คนที่มาจากสวรรค์ก็อยู่เหนือคนอื่นทุกคน*+ 32 ท่านพูดถึงสิ่งที่ได้เห็นและได้ยิน+ แต่ไม่มีใครเชื่อคำพูดของท่าน+ 33 ส่วนคนที่เชื่อคำพูดของท่านก็ยืนยันว่าพระเจ้าพูดความจริงเสมอ+ 34 เพราะท่านผู้นี้เป็นคนที่พระเจ้าใช้มาเพื่อถ่ายทอดคำพูดของพระองค์+ และพระเจ้าให้พลังของพระองค์กับท่านอย่างไม่อั้น 35 พระเจ้าผู้เป็นพ่อรักลูกของพระองค์+และมอบทุกอย่างไว้ในมือลูกคนนี้+ 36 คนที่แสดงความเชื่อในลูกของพระเจ้าจะมีชีวิตตลอดไป+ ส่วนคนที่ไม่เชื่อฟังลูกของพระองค์จะไม่ได้ชีวิต+ แต่จะถูกพระเจ้าลงโทษตลอดไป+
4 เมื่อพระเยซูผู้เป็นนายรู้เรื่องที่พวกฟาริสีได้ข่าวว่าท่านให้บัพติศมา+ผู้คนและมีสาวกมากกว่ายอห์น 2 (ที่จริง พระเยซูไม่ได้ให้บัพติศมาเอง แต่สาวกของท่านเป็นคนให้) 3 ท่านจึงออกจากแคว้นยูเดียแล้วไปแคว้นกาลิลีอีก+ 4 ซึ่งจะต้องผ่านแคว้นสะมาเรีย 5 ในแคว้นสะมาเรีย พระเยซูมาถึงเมืองหนึ่งชื่อสิคาร์ซึ่งอยู่ใกล้ที่ดินที่ยาโคบให้กับโยเซฟลูกชายของเขา+ 6 ที่นั่นมีบ่อน้ำของยาโคบ+ พระเยซูนั่งพักเหนื่อยอยู่ที่บ่อน้ำนั้นเพราะเดินทางมาไกล ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณเที่ยง
7 มีผู้หญิงคนหนึ่งเป็นคนสะมาเรียมาตักน้ำ พระเยซูพูดกับเธอว่า “ขอน้ำดื่มหน่อยได้ไหม?” 8 (ตอนนั้น พวกสาวกของท่านไปหาซื้ออาหารในเมือง) 9 ผู้หญิงสะมาเรียคนนั้นจึงถามท่านว่า “คุณมาขอน้ำฉันดื่มได้ยังไง? คุณเป็นคนยิว ฉันเป็นคนสะมาเรีย” (ปกติแล้ว คนยิวไม่ยุ่งเกี่ยวกับคนสะมาเรีย)+ 10 พระเยซูตอบเธอว่า “ถ้าคุณรู้ว่าพระเจ้ามีอะไรจะให้คุณ*+ และรู้ว่าคนที่ขอน้ำคุณดื่มอยู่นี้เป็นใคร คุณคงจะขอจากเขา แล้วเขาจะให้น้ำที่ให้ชีวิตกับคุณ”+ 11 เธอถามท่านว่า “คุณคะ ถังตักน้ำคุณก็ไม่มี แถมบ่อนี้ก็ลึก แล้วคุณจะไปเอาน้ำที่ให้ชีวิตมาจากไหนล่ะ? 12 คุณคงจะไม่ยิ่งใหญ่ไปกว่ายาโคบบรรพบุรุษของพวกเราที่ให้บ่อน้ำนี้กับเราหรอกนะ? ยาโคบเองกับลูก ๆ และฝูงสัตว์ของเขาก็ดื่มน้ำจากบ่อนี้กันทั้งนั้น” 13 พระเยซูตอบเธอว่า “ทุกคนที่ดื่มน้ำจากบ่อนี้จะหิวน้ำอีก 14 แต่คนที่ดื่มน้ำที่ผมให้จะไม่หิวน้ำอีกเลย+ แถมน้ำนั้นจะกลายเป็นน้ำพุในตัวเขาที่ผุดขึ้นมาเรื่อย ๆ และให้ชีวิตตลอดไปกับเขา”+ 15 ผู้หญิงคนนั้นจึงพูดกับท่านว่า “คุณคะ ขอน้ำนั้นให้ฉันดื่มบ้างสิคะ ฉันจะได้ไม่หิวน้ำอีกและไม่ต้องกลับมาตักน้ำที่นี่อีกเลย”
16 พระเยซูบอกเธอว่า “ไปเรียกสามีคุณมาที่นี่หน่อย” 17 เธอพูดว่า “ฉันไม่มีสามีหรอกค่ะ” พระเยซูบอกว่า “ก็จริงของคุณที่บอกว่าไม่มีสามี 18 เพราะคุณเคยมีสามีมา 5 คนแล้ว และคนที่อยู่ด้วยตอนนี้ก็ไม่ใช่สามีคุณ ก็จริงอย่างที่คุณว่า” 19 เธอพูดว่า “ฉันเชื่อแล้วว่าคุณเป็นผู้พยากรณ์+ 20 ปู่ย่าตายายของเรานมัสการพระเจ้าบนภูเขานี้ แต่พวกคุณที่เป็นคนยิวบอกว่าจะต้องไปนมัสการที่กรุงเยรูซาเล็มเท่านั้น”+ 21 พระเยซูบอกเธอว่า “เชื่อผมเถอะ ใกล้จะถึงเวลาแล้วที่คุณจะไม่นมัสการพระเจ้าบนภูเขานี้หรือที่กรุงเยรูซาเล็ม 22 พวกคุณนมัสการผู้ที่พวกคุณไม่รู้จัก+ ส่วนพวกเรานมัสการผู้ที่พวกเรารู้จัก เพราะพระเจ้าเปิดเผยความรู้เกี่ยวกับความรอดผ่านทางคนยิวก่อน+ 23 ที่จริง เวลานั้นเริ่มต้นแล้ว เมื่อคนที่นมัสการพระเจ้าอย่างถูกต้องจะนมัสการโดยให้พลังของพระเจ้าชี้นำและนมัสการอย่างที่สอดคล้องกับความจริง พระเจ้ามองหาคนอย่างนั้นให้มานมัสการพระองค์+ 24 พระเจ้าเป็นผู้ที่มนุษย์มองไม่เห็น+ และคนที่นมัสการพระองค์ต้องนมัสการโดยให้พลังของพระเจ้าชี้นำและนมัสการอย่างที่สอดคล้องกับความจริง”+ 25 ผู้หญิงคนนั้นพูดกับพระเยซูว่า “ฉันรู้ว่าเมสสิยาห์ที่คนเขาเรียกกันว่าพระคริสต์กำลังจะมา เมื่อท่านมาแล้ว ท่านจะอธิบายทุกอย่างให้เราเข้าใจ”+ 26 พระเยซูบอกเธอว่า “คนที่กำลังคุยกับคุณอยู่นี่แหละคือท่านผู้นั้น”+
27 ตอนนั้นเอง พวกสาวกก็กลับมา พวกเขาแปลกใจที่เห็นพระเยซูคุยกับผู้หญิง แต่ก็ไม่มีใครถามท่านว่า “ท่านทำอะไรอยู่?” หรือ “ทำไมท่านถึงคุยกับผู้หญิง?” 28 ผู้หญิงคนนั้นทิ้งไหน้ำไว้ที่นั่น แล้วเข้าไปบอกคนในเมืองว่า 29 “มีผู้ชายคนหนึ่งบอกได้หมดว่าฉันเคยทำอะไรมาบ้าง มาดูสิ เขาจะใช่พระคริสต์หรือเปล่า?” 30 พวกเขาก็พากันออกจากเมืองมาหาพระเยซู
31 ระหว่างนั้น พวกสาวกชวนพระเยซูว่า “กินอะไรหน่อยสิครับ อาจารย์”+ 32 แต่ท่านบอกพวกเขาว่า “ผมมีอาหารที่พวกคุณไม่รู้จัก” 33 พวกสาวกจึงคุยกันว่า “มีใครเอาอะไรมาให้ท่านกินแล้วหรือ?” 34 พระเยซูบอกพวกเขาว่า “อาหารของผมคือการทำตามความประสงค์ของผู้ที่ใช้ผมมา+และทำงานของพระองค์ให้สำเร็จ+ 35 พวกคุณพูดกันไม่ใช่หรือว่า อีก 4 เดือนจะถึงฤดูเกี่ยวข้าว? แต่ผมจะบอกว่า เงยหน้ามองดูทุ่งนาสิ รวงข้าวเหลืองอร่ามพร้อมจะเกี่ยว+ได้แล้ว 36 คนเกี่ยวก็กำลังรับค่าจ้างและกำลังรวบรวมพืชผล พืชผลนั้นคือคนที่จะได้ชีวิตตลอดไป ดังนั้น ทั้งคนหว่านและคนเกี่ยวจะมีความสุขด้วยกัน+ 37 จะได้เป็นไปตามคำพูดที่ว่า คนหนึ่งหว่านและอีกคนหนึ่งเกี่ยว 38 ผมส่งพวกคุณไปเกี่ยวสิ่งที่พวกคุณไม่ได้ลงแรงหว่าน คนอื่นลงแรง และคุณได้ประโยชน์จากน้ำพักน้ำแรงของพวกเขา”
39 มีคนสะมาเรียหลายคนจากเมืองนั้นเชื่อในพระเยซูเพราะผู้หญิงคนนั้นบอกว่า “ท่านผู้นี้บอกได้หมดว่าฉันเคยทำอะไรมาบ้าง”+ 40 คนสะมาเรียก็มาหาท่านและขอร้องให้ท่านพักอยู่กับพวกเขา พระเยซูจึงพักอยู่ที่นั่น 2 วัน 41 ผลก็คือ มีอีกหลายคนมาเชื่อท่านเพราะได้ฟังท่านสอน 42 พวกเขาพูดกับผู้หญิงคนนั้นว่า “ที่พวกเราเชื่อไม่ใช่เพราะได้ยินจากคุณเท่านั้น แต่เพราะได้ยินกับหูของเราเอง ตอนนี้เรารู้แล้วว่า ท่านผู้นี้เป็นผู้ช่วยโลกให้รอดจริง ๆ”+
43 เมื่ออยู่ที่นั่น 2 วันแล้ว พระเยซูก็เดินทางต่อไปที่แคว้นกาลิลี 44 (พระเยซูเคยบอกว่าผู้พยากรณ์ไม่ได้รับความนับถือในถิ่นของตัวเอง)+ 45 เมื่อท่านมาถึงแคว้นกาลิลี คนกาลิลีก็ต้อนรับท่านเพราะเคยเห็นสิ่งต่าง ๆ ที่ท่านทำ+ตอนที่พวกเขาไปร่วมเทศกาลในกรุงเยรูซาเล็ม+
46 แล้วพระเยซูก็ไปที่เมืองคานาในแคว้นกาลิลีซึ่งเป็นเมืองที่ท่านเคยเปลี่ยนน้ำให้เป็นเหล้าองุ่น+ มีข้าราชการคนหนึ่งในเมืองคาเปอร์นาอุมที่ลูกชายป่วยอยู่ 47 เมื่อข้าราชการคนนั้นได้ข่าวว่าพระเยซูออกจากแคว้นยูเดียมาที่แคว้นกาลิลี เขาก็เดินทางมาหาท่านและขอให้ไปรักษาลูกชายของเขาที่กำลังจะตาย 48 แต่พระเยซูบอกเขาว่า “พวกคุณที่อยู่ในแถบนี้ไม่เชื่อผมหรอก ถ้าไม่ได้เห็นการอัศจรรย์และปาฏิหาริย์ก่อน”+ 49 ข้าราชการคนนั้นอ้อนวอนท่านว่า “ท่านครับ ช่วยไปกับผมด้วยเถอะ ไม่อย่างนั้นลูกของผมตายแน่” 50 พระเยซูบอกเขาว่า “กลับไปเถอะ ลูกชายของคุณหายดีแล้ว”+ เขาเชื่อคำพูดของท่านแล้วก็ไป 51 ระหว่างทาง ทาสของเขามาส่งข่าวว่าลูกชายหายเป็นปกติแล้ว 52 เขาจึงถามว่าลูกชายเขาหายป่วยตั้งแต่เมื่อไร พวกทาสตอบว่า “ลูกชายท่านหายไข้ตั้งแต่เมื่อวานนี้ตอนบ่ายโมงครับ”+ 53 พ่อของเด็กจึงรู้ว่าเป็นเวลาเดียวกับที่พระเยซูพูดว่า “ลูกชายของคุณหายดีแล้ว”+ ตัวเขาและทุกคนในบ้านจึงเชื่อในพระเยซู 54 นี่เป็นการอัศจรรย์ครั้งที่สอง+ซึ่งพระเยซูทำที่แคว้นกาลิลีหลังออกจากแคว้นยูเดีย
5 หลังจากนั้น มีเทศกาล+ของชาวยิว และพระเยซูไปที่กรุงเยรูซาเล็ม 2 ใกล้ ๆ ประตูแห่งหนึ่งในกรุงเยรูซาเล็มที่ชื่อประตูแกะ+ มีสระน้ำที่เรียกในภาษาฮีบรูว่าเบธซาธา ซึ่งมีระเบียงทางเดิน 5 ระเบียง 3 มีคนมากมายที่ป่วย ตาบอด ขาพิการ และแขนขาลีบ*มานอนอยู่ที่ระเบียง 4 —— 5 ที่นั่นมีผู้ชายคนหนึ่งที่ป่วยมา 38 ปีแล้ว 6 เมื่อพระเยซูเห็นเขานอนอยู่และรู้ว่าเขาป่วยมานาน ท่านจึงพูดกับเขาว่า “คุณอยากหายป่วยไหม?”+ 7 ผู้ชายที่ป่วยนั้นตอบว่า “คุณครับ ไม่มีใครช่วยพาผมลงไปในสระเลยตอนที่น้ำกระเพื่อม พอผมจะลงไป คนอื่นก็แย่งลงไปก่อน” 8 พระเยซูบอกเขาว่า “ลุกขึ้น เก็บเสื่อขึ้นมา แล้วเดินไปเถอะ”+ 9 ผู้ชายคนนั้นก็หายป่วยทันที แล้วเขาก็เก็บเสื่อของเขาและเดินไป
วันนั้นเป็นวันสะบาโต+ 10 พวกยิวจึงพูดกับคนที่หายป่วยนั้นว่า “วันนี้เป็นวันสะบาโต หอบเสื่อเดินไปแบบนี้มันผิดนะ”+ 11 แต่เขาบอกว่า “คนที่รักษาผมเป็นคนบอกผมว่า ‘เก็บเสื่อขึ้นมา แล้วเดินไปเถอะ’” 12 พวกยิวถามเขาว่า “ใครเป็นคนบอกคุณว่า ‘เก็บเสื่อขึ้นมา แล้วเดินไปเถอะ’?” 13 แต่คนที่หายป่วยนั้นไม่รู้ว่าคนที่รักษาเขาเป็นใคร และพระเยซูก็เดินหายเข้าไปในฝูงชนแล้ว
14 ต่อมา พระเยซูเจอคนนั้นอีกในวิหาร ท่านพูดกับเขาว่า “ตอนนี้คุณหายดีแล้ว อย่าทำบาปอีกล่ะ จะได้ไม่มีเรื่องเลวร้ายกว่านี้เกิดขึ้นกับคุณ” 15 คนนั้นจึงไปบอกพวกยิวว่า คนที่รักษาเขาคือพระเยซู 16 ดังนั้น พวกยิวจึงหาเรื่องพระเยซูเพราะท่านทำสิ่งเหล่านั้นในวันสะบาโต+ 17 แต่ท่านบอกพวกเขาว่า “พระเจ้าผู้เป็นพ่อของผมยังทำงานอยู่จนถึงตอนนี้ และผมเองก็จะไม่หยุดทำงานเหมือนกัน”+ 18 คำพูดนี้ทำให้พวกยิวยิ่งพยายามมากขึ้นที่จะฆ่าพระเยซู เพราะพวกเขาถือว่าท่านไม่ใช่แค่ทำผิดกฎวันสะบาโตเท่านั้น แต่ยังเรียกพระเจ้าเป็นพ่อของท่านด้วยซึ่งเป็นการทำตัวเสมอกับพระเจ้า+
19 พระเยซูจึงบอกพวกเขาว่า “ผมจะบอกให้รู้ว่า ลูกของพระเจ้าทำอะไรตามใจตัวเองไม่ได้ แต่จะทำเฉพาะสิ่งที่เห็นพ่อทำเท่านั้น+ พระเจ้าทำอะไร ลูกของพระองค์ก็ทำเหมือนกัน 20 พระองค์รักลูกของพระองค์มาก+ และแสดงให้ลูกเห็นทุกอย่างที่พระองค์ทำ พระองค์จะสอนลูกให้ทำงานที่ยิ่งใหญ่กว่านี้อีก แล้วพวกคุณจะต้องตกตะลึง+ 21 พระเจ้าผู้เป็นพ่อปลุกคนตายให้ฟื้นขึ้นมามีชีวิต+ ลูกของพระองค์ก็จะให้ชีวิตกับใครก็ได้ที่ท่านต้องการ+ 22 พ่อไม่พิพากษาใครเลย แต่มอบหมายลูกของพระองค์ให้พิพากษาทุกคน+ 23 เพื่อทุกคนจะนับถือลูกของพระเจ้าเหมือนที่นับถือพระเจ้าผู้เป็นพ่อด้วย คนที่ไม่นับถือลูกก็ไม่นับถือพ่อที่ใช้ลูกมา+ 24 ผมจะบอกให้รู้ว่า ใครที่ฟังคำสอนของผมและเชื่อพระองค์ที่ใช้ผมมาจะมีชีวิตตลอดไป+ เขาจะไม่ต้องถูกตัดสินลงโทษ แต่ได้ผ่านพ้นความตายไปสู่ชีวิตแล้ว+
25 “ผมจะบอกให้รู้ว่า เวลานั้นเริ่มต้นแล้ว เมื่อคนตายจะได้ยินเสียงลูกของพระเจ้า และคนที่เชื่อฟังจะมีชีวิต 26 พระเจ้าผู้เป็นพ่อมีอำนาจให้ชีวิต+ และพระองค์ให้ลูกของพระองค์มีอำนาจให้ชีวิตเหมือนกัน+ 27 พระองค์ให้ลูกมีอำนาจพิพากษา+เพราะท่านคือ ‘ลูกมนุษย์’+ 28 ไม่ต้องแปลกใจในเรื่องนี้ เพราะจะมีเวลาที่ทุกคนซึ่งอยู่ในอุโมงค์ฝังศพจะได้ยินเสียงท่าน+ 29 และจะออกมา คนที่ทำดีจะฟื้นขึ้นมาแล้วได้ชีวิต ส่วนคนที่ทำชั่วจะฟื้นขึ้นมาแล้วถูกพิพากษา+ 30 ผมไม่ทำอะไรตามใจตัวเอง พระเจ้าบอกผมอย่างไร ผมก็ตัดสินอย่างนั้น และผมพิพากษาอย่างยุติธรรม+ เพราะผมไม่ได้ทำตามใจตัวเอง แต่ทำตามความประสงค์ของพระเจ้าที่ใช้ผมมา+
31 “ถ้าผมเป็นพยานให้ตัวเอง คำพูดของผมก็ใช้เป็นหลักฐานไม่ได้+ 32 แต่มีอีกผู้หนึ่งเป็นพยานให้ผม และผมรู้ว่าคำพูดของพระองค์ใช้เป็นหลักฐานยืนยันตัวผมได้+ 33 พวกคุณใช้คนไปหายอห์น และยอห์นเป็นพยานยืนยันความจริงเรื่องผม+ 34 ที่จริง ไม่ต้องมีมนุษย์มาเป็นพยานให้ผม แต่ที่ผมบอกเรื่องทั้งหมดนี้ก็เพื่อพวกคุณจะรอดได้ 35 ยอห์นคนนี้เป็นเหมือนตะเกียงที่ให้แสงสว่าง และพวกคุณได้ชื่นชมกับแสงสว่างนั้นอยู่พักหนึ่ง+ 36 แต่ผมมีพยานหลักฐานที่หนักแน่นกว่ายอห์นอีก คืองานที่พ่อของผมมอบหมายให้ผมทำจนสำเร็จ ผมกำลังทำงานนี้อยู่ และงานนี้แหละเป็นหลักฐานยืนยันว่าพ่อใช้ผมมาจริง ๆ+ 37 พ่อที่ใช้ผมมาก็ยังเป็นพยานให้ผมด้วย+ แต่พวกคุณไม่เคยได้ยินเสียงพระองค์ และไม่เคยเห็นรูปร่างหน้าตาของพระองค์+ 38 และคำสอนของพระองค์ก็ไม่ได้อยู่ในใจพวกคุณ เพราะพวกคุณไม่เชื่อคนที่พระองค์ใช้มา
39 “พวกคุณศึกษาพระคัมภีร์+เพราะคิดว่าพระคัมภีร์จะทำให้คุณมีชีวิตตลอดไปได้ แต่พระคัมภีร์นั้นเป็นพยานยืนยันตัวผม+ 40 ถึงอย่างนั้น พวกคุณก็ยังไม่ยอมมาหาผม+เพื่อจะได้ชีวิต 41 ผมไม่อยากได้คำยกย่องจากมนุษย์ 42 และผมก็รู้ว่าพวกคุณไม่รักพระเจ้าจริง 43 ผมมาในนามพ่อของผม พวกคุณก็ไม่ต้อนรับ ถ้ามีใครมาในนามตัวเอง พวกคุณคงจะต้อนรับเขาแน่ ๆ 44 พวกคุณจะเชื่อผมได้ยังไง ในเมื่อพวกคุณชอบคำยกย่องจากมนุษย์ด้วยกัน+ และไม่สนใจคำยกย่องจากพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว+ 45 อย่าคิดว่าผมกล่าวหาพวกคุณต่อหน้าพระเจ้าผู้เป็นพ่อ เพราะคนที่กล่าวหาพวกคุณคือโมเสส+ซึ่งเป็นคนที่พวกคุณฝากความหวังไว้ 46 ถ้าพวกคุณเชื่อโมเสสจริง พวกคุณก็น่าจะเชื่อผมด้วย เพราะโมเสสได้เขียนเกี่ยวกับผมไว้+ 47 แต่ถ้าพวกคุณไม่เชื่อสิ่งที่โมเสสเขียน พวกคุณจะเชื่อสิ่งที่ผมพูดได้ยังไง?”+
6 หลังจากนั้น พระเยซูนั่งเรือข้ามทะเลสาบกาลิลีหรือที่เรียกกันว่าทิเบเรียส+ 2 มีคนมากมายตามท่านไป+เพราะพวกเขาเห็นท่านรักษาคนป่วยอย่างอัศจรรย์+ 3 พระเยซูขึ้นไปบนภูเขาและนั่งลงกับพวกสาวก 4 ตอนนั้นใกล้จะถึงเทศกาลปัสกา+ของชาวยิวแล้ว 5 เมื่อพระเยซูเงยหน้าและเห็นคนมากมายมาหา ท่านจึงถามฟีลิปว่า+ “พวกเราจะหาซื้อขนมปังจากที่ไหนดีถึงจะพอเลี้ยงคนทั้งหมดนี้ได้?”+ 6 ที่พระเยซูพูดอย่างนั้นก็เพื่อทดสอบเขา เพราะท่านรู้อยู่แล้วว่าจะทำอย่างไร 7 ฟีลิปตอบท่านว่า “ต่อให้มีเงิน 200 เดนาริอันก็ยังไม่พอซื้อขนมปังให้พวกเขากินกันคนละนิดละหน่อยเลย” 8 สาวกอีกคนหนึ่งชื่ออันดรูว์ที่เป็นพี่น้องกับซีโมนเปโตรบอกพระเยซูว่า 9 “เด็กคนนี้มีขนมปังบาร์เลย์ 5 อันกับปลาเล็ก ๆ 2 ตัว แต่แค่นี้คงไม่พอเลี้ยงคนมากขนาดนี้หรอก”+
10 พระเยซูจึงสั่งพวกสาวกว่า “บอกให้พวกเขานั่งลง” ทุกคนก็นั่งลงเพราะที่นั่นเป็นพื้นหญ้า คนที่อยู่ที่นั่นมีผู้ชายประมาณ 5,000 คน+ 11 พระเยซูหยิบขนมปังมา อธิษฐานขอบคุณพระเจ้า แล้วแจกจ่ายให้ทุกคนที่นั่งอยู่ และท่านก็แจกจ่ายปลาด้วย ทุกคนได้กินจนอิ่ม 12 เมื่อพวกเขากินอิ่มแล้ว ท่านสั่งพวกสาวกว่า “เก็บเศษอาหารที่เหลือไว้ จะได้ไม่เสียของ” 13 พวกสาวกก็เก็บเศษที่เหลือจากขนมปังบาร์เลย์ 5 อันนั้นได้ 12 ตะกร้าเต็ม ๆ
14 เมื่อประชาชนเห็นการอัศจรรย์ที่พระเยซูทำ พวกเขาก็พูดกันว่า “ท่านนี้เป็นผู้พยากรณ์คนนั้นที่จะมาในโลกแน่ ๆ”+ 15 พอพระเยซูรู้ว่าพวกเขาพยายามจะตั้งท่านให้เป็นกษัตริย์ ท่านก็ปลีกตัวไป+อยู่ที่ภูเขาคนเดียว+
16 พอตกเย็น พวกสาวกของพระเยซูลงไปที่ทะเลสาบ+ 17 แล้วออกเรือเพื่อจะข้ามฟากไปเมืองคาเปอร์นาอุม ตอนนั้นมืดแล้ว และพระเยซูยังไม่มาหาพวกเขา+ 18 แล้วเกิดพายุขึ้น ทำให้ทะเลสาบปั่นป่วน+ 19 เมื่อพวกเขาตีกรรเชียงไปได้ประมาณ 5 หรือ 6 กิโลเมตร ก็เห็นพระเยซูเดินบนน้ำเข้ามาใกล้เรือ พวกเขาก็ตกใจกลัว 20 แต่ท่านบอกพวกเขาว่า “นี่ผมเอง ไม่ต้องกลัว”+ 21 พวกเขาก็ดีใจและให้พระเยซูขึ้นเรือ ไม่นานเรือก็ถึงฝั่งที่พวกเขาตั้งใจจะไป+
22 วันรุ่งขึ้น ฝูงชนยังอยู่อีกฝั่งหนึ่ง พวกเขาไม่เห็นเรือแม้แต่ลำเดียว ที่นั่นเคยมีเรือเล็กอยู่ลำหนึ่ง แต่พวกสาวกลงเรือลำนั้นไปแล้ว และพระเยซูไม่ได้ไปกับพวกเขา 23 มีเรือบางลำจากเมืองทิเบเรียสเข้าจอดที่ฝั่งใกล้ ๆ กับบริเวณที่ผู้เป็นนายได้แจกจ่ายขนมปังให้ผู้คนกินหลังจากท่านอธิษฐานขอบคุณพระเจ้า 24 เมื่อฝูงชนไม่เห็นพระเยซูกับพวกสาวก พวกเขาก็ลงเรือพวกนั้นข้ามฟากมาที่คาเปอร์นาอุมเพื่อตามหาพระเยซู
25 เมื่อพวกเขามาถึงอีกฝั่งหนึ่งของทะเลสาบและพบพระเยซู พวกเขาก็ถามว่า “อาจารย์+ มาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ?” 26 พระเยซูตอบพวกเขาว่า “ผมขอพูดตรง ๆ ว่า พวกคุณตามหาผมก็เพราะได้กินอิ่ม+ ไม่ใช่เพราะเห็นการอัศจรรย์ที่ให้หลักฐานเรื่องผม 27 อย่าทำงานเพื่อจะได้อาหารที่เน่าเสียได้+ แต่ให้ทำงานเพื่อจะได้อาหารที่ไม่เน่าเสียซึ่งจะให้ชีวิตตลอดไป+ ‘ลูกมนุษย์’ จะให้อาหารนั้นกับพวกคุณ เพราะท่านเป็นคนที่พระเจ้าผู้เป็นพ่อรับรองแล้ว”*+
28 พวกเขาจึงถามพระเยซูว่า “พวกเราต้องทำงานอะไรเพื่อพระเจ้าจะพอใจเรา?” 29 ท่านตอบว่า “ถ้าคุณอยากให้พระเจ้าพอใจ ให้พวกคุณทำสิ่งที่แสดงว่าพวกคุณมีความเชื่อในผู้ที่พระองค์ใช้มา”+ 30 พวกเขาเลยถามพระเยซูว่า “แล้วท่านจะทำการอัศจรรย์อะไรให้พวกเราเห็นล่ะ+ พวกเราจะได้เชื่อท่าน? 31 บรรพบุรุษของเราได้กินมานาในที่กันดาร+ ตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า ‘พระองค์ให้อาหารจากสวรรค์กับพวกเขา’”+ 32 พระเยซูบอกพวกเขาว่า “ผมจะบอกให้รู้ว่า จริง ๆ แล้วโมเสสไม่ได้ให้อาหารจากสวรรค์กับพวกคุณหรอก แต่พระเจ้าผู้เป็นพ่อของผมต่างหากที่ให้อาหารแท้จากสวรรค์กับพวกคุณ 33 เพราะอาหารจากพระเจ้าก็คือคนที่ลงมาจากสวรรค์และให้ชีวิตกับโลกนี้”+ 34 พวกเขาจึงบอกท่านว่า “นายท่าน ขออาหารนั้นให้พวกเรากินไปตลอดเถอะ”
35 พระเยซูพูดกับพวกเขาว่า “ตัวผมนี่แหละคืออาหารที่ให้ชีวิต คนที่มาหาผมจะไม่หิวอีกเลย และคนที่แสดงความเชื่อในตัวผมจะไม่กระหายอีกเลย+ 36 แต่เป็นอย่างที่ผมบอกพวกคุณไว้แล้วว่า ถึงจะเห็นผมพวกคุณก็ไม่เชื่อ+ 37 ทุกคนที่พระเจ้าผู้เป็นพ่อยกให้ผมจะมาหาผม และคนที่มาหาผม ผมจะไม่มีวันไล่เขาไป+ 38 ผมลงมาจากสวรรค์+ ไม่ใช่เพื่อทำตามใจตัวเอง แต่เพื่อทำตามความประสงค์ของพระองค์ที่ใช้ผมมา+ 39 พระองค์ที่ใช้ผมมาอยากให้ผมดูแลทุกคนที่พระองค์ยกให้ผม+ เพื่อไม่ให้หลงหายไปแม้แต่คนเดียว และให้ผมปลุกพวกเขาให้ฟื้นขึ้นจากตาย+ในวันสุดท้าย 40 พ่อของผมอยากให้ทุกคนที่ยอมรับและแสดงความเชื่อในลูกของพระองค์มีชีวิตตลอดไป+ ผมจะปลุกเขาให้ฟื้นขึ้นจากตาย+ในวันสุดท้ายนั้น”
41 พวกยิวเริ่มบ่นกันเรื่องที่พระเยซูพูดว่า “ผมเป็นอาหารที่ลงมาจากสวรรค์”+ 42 พวกเขาพูดว่า “คนนี้คือเยซูลูกโยเซฟไม่ใช่หรือ? พ่อแม่เขาพวกเราก็รู้จัก+ ถ้าอย่างนั้นเขาพูดได้ยังไงว่า ‘ผมลงมาจากสวรรค์’?” 43 พระเยซูบอกพวกเขาว่า “เลิกบ่นกันได้แล้ว 44 ไม่มีใครจะมาหาผมได้ นอกจากพระเจ้าผู้เป็นพ่อที่ใช้ผมมาจะชักนำเขา+ และผมจะปลุกเขาให้ฟื้นขึ้นจากตายในวันสุดท้าย+ 45 หนังสือของผู้พยากรณ์เขียนไว้ว่า ‘พวกเขาทุกคนจะได้รับการสอนจากพระยะโฮวา’+ ทุกคนที่ได้ฟังพระองค์ผู้เป็นพ่อและได้เรียนจากพระองค์ก็มาหาผม 46 ไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้าผู้เป็นพ่อเลย+ นอกจากคนที่มาจากพระเจ้า คนนี้แหละที่เคยเห็นพระองค์+ 47 ผมจะบอกให้รู้ว่า คนที่เชื่อในตัวผมจะมีชีวิตตลอดไป+
48 “ผมเป็นอาหารที่ให้ชีวิต+ 49 บรรพบุรุษของพวกคุณได้กินมานาในที่กันดารแต่ก็ยังต้องตาย+ 50 แต่คนที่กินอาหารแท้ที่ลงมาจากสวรรค์จะไม่ตายเลย 51 ผมเป็นอาหารที่ให้ชีวิตซึ่งลงมาจากสวรรค์ และถ้าใครได้กินอาหารนี้ เขาจะมีชีวิตอยู่ตลอดไป ที่จริง อาหารที่ผมจะให้เพื่อมนุษย์จะได้ชีวิต*ก็คือเนื้อของผมเอง”+
52 พวกยิวเริ่มเถียงกันว่า “คนนี้จะเอาเนื้อของเขาให้เรากินได้ยังไง?” 53 พระเยซูจึงบอกพวกเขาว่า “ผมจะบอกให้รู้ว่า ถ้าคุณไม่กินเนื้อและดื่มเลือดของ ‘ลูกมนุษย์’ คุณจะไม่ได้ชีวิต+ 54 คนที่กินเนื้อและดื่มเลือดของผมจะมีชีวิตตลอดไป และผมจะปลุกเขาให้ฟื้นขึ้นจากตาย+ในวันสุดท้าย 55 เนื้อของผมเป็นอาหารแท้ และเลือดของผมก็เป็นเครื่องดื่มแท้ 56 คนที่กินเนื้อและดื่มเลือดของผมก็เป็นหนึ่งเดียวกับผม และผมก็เป็นหนึ่งเดียวกับเขา+ 57 พระเจ้าผู้เป็นพ่อที่มีชีวิตอยู่ได้ใช้ผมมา และผมมีชีวิตอยู่ได้เพราะพระองค์ คนที่กินเนื้อของผมก็จะมีชีวิตอยู่ได้เพราะผมเหมือนกัน+ 58 นี่คืออาหารแท้ที่ลงมาจากสวรรค์ ซึ่งไม่เหมือนกับที่บรรพบุรุษของพวกคุณเคยกินและยังต้องตาย แต่คนที่กินอาหารนี้จะมีชีวิตตลอดไป”+ 59 พระเยซูพูดเรื่องนี้ตอนที่สอนอยู่ในที่ประชุมของชาวยิวในเมืองคาเปอร์นาอุม
60 เมื่อคนที่ติดตามพระเยซูได้ยินอย่างนั้น หลายคนก็พูดว่า “พูดแบบนี้ได้ยังไง? รับไม่ได้” 61 พระเยซูรู้ว่าพวกเขาบ่นกันเรื่องนี้ ท่านจึงถามว่า “เรื่องนี้ทำให้พวกคุณรับไม่ได้หรือ?* 62 แล้วถ้าพวกคุณเห็น ‘ลูกมนุษย์’ กลับขึ้นไปบนที่ที่ท่านเคยอยู่ล่ะ พวกคุณจะว่ายังไง?+ 63 มนุษย์ที่มีเลือดเนื้อให้ชีวิตไม่ได้ พลังของพระเจ้าต่างหากที่ให้ชีวิต+ สิ่งที่ผมบอกพวกคุณนั้นมาจากพลังของพระเจ้าและให้ชีวิต+ 64 แต่พวกคุณบางคนกลับไม่เชื่อ” ที่พระเยซูพูดอย่างนั้นเพราะท่านรู้ก่อนแล้วว่า ใครบ้างไม่เชื่อและคนไหนจะทรยศท่าน+ 65 ท่านพูดต่อไปว่า “ก็เหมือนกับที่ผมบอกพวกคุณแล้วว่า ไม่มีใครจะมาหาผมได้ นอกจากพระเจ้าผู้เป็นพ่อจะยอมให้มา”+
66 คำพูดของพระเยซูทำให้สาวกหลายคนเลิกติดตามท่านแล้วกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิม+ 67 พระเยซูจึงถามอัครสาวก 12 คนว่า “แล้วพวกคุณล่ะ อยากจะกลับไปด้วยไหม?” 68 ซีโมนเปโตรตอบท่านว่า “นายครับ พวกเราจะไปหาใครได้อีก?+ ในเมื่อท่านเองมีคำสอนที่ให้ชีวิตตลอดไป+ 69 พวกเราเชื่อและรู้แล้วว่าท่านเป็นผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้า”+ 70 พระเยซูบอกว่า “ผมเองเป็นคนเลือกพวกคุณทั้ง 12 คนไม่ใช่หรือ?+ แต่คนหนึ่งในพวกคุณกลับเป็นผู้หมิ่นประมาท”+ 71 ที่จริง พระเยซูกำลังหมายถึงยูดาสลูกของซีโมนอิสคาริโอท เพราะเขาจะทรยศท่านทั้ง ๆ ที่เขาเป็นคนหนึ่งในอัครสาวก 12 คน+
7 หลังจากนั้น พระเยซูเดินทางไปทั่วแคว้นกาลิลี ท่านไม่อยากไปที่แคว้นยูเดียเพราะพวกผู้นำชาวยิวกำลังจ้องจะฆ่าท่าน+ 2 พอใกล้จะถึงเทศกาลอยู่เพิงของชาวยิว+ 3 พวกน้องชายของท่าน+ก็บอกว่า “พี่น่าจะไปแคว้นยูเดียนะ พวกสาวกของพี่จะได้เห็นสิ่งที่พี่ทำ 4 คนที่อยากมีชื่อเสียง เขาจะไม่ทำอะไรลับ ๆ หรอก ในเมื่อพี่ทำสิ่งเหล่านี้ได้ ก็ทำให้โลกเห็นไปเลยสิ” 5 ตอนนั้น น้อง ๆ ของพระเยซูไม่มีความเชื่อในตัวท่าน+ 6 พระเยซูจึงพูดกับพวกเขาว่า “ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาของพี่+ แต่ถ้าน้อง ๆ อยากจะไปเมื่อไหร่ก็ไปเถอะ 7 โลกไม่ได้เกลียดน้องแต่โลกเกลียดพี่ เพราะพี่เป็นพยานยืนยันว่าโลกนี้ชั่ว+ 8 พวกน้องไปที่เทศกาลกันก่อนเถอะ พี่ยังไม่ไปหรอก เพราะยังไม่ถึงเวลาของพี่”+ 9 เมื่อบอกน้อง ๆ อย่างนั้นแล้ว ท่านก็อยู่ที่แคว้นกาลิลีต่อ
10 แต่พอพวกน้องชายของพระเยซูไปที่เทศกาลกันแล้ว ท่านก็ไปเองเงียบ ๆ ไม่ให้ใครรู้ 11 ในเทศกาลนั้น พวกยิวคอยมองหาท่าน และถามกันว่า “คนนั้นอยู่ไหนล่ะ?” 12 ผู้คนซุบซิบกันมากเกี่ยวกับพระเยซู บางคนพูดว่า “เขาเป็นคนดีนะ” บางคนพูดว่า “ไม่หรอก เขาเป็นนักต้มตุ๋น”+ 13 แต่ไม่มีใครกล้าพูดเกี่ยวกับท่านอย่างเปิดเผย เพราะกลัวพวกผู้นำชาวยิว+
14 เมื่อเทศกาลผ่านไปครึ่งหนึ่งแล้ว พระเยซูก็เข้าไปสอนในวิหาร 15 ผู้นำชาวยิวรู้สึกแปลกใจและพูดกันว่า “คนนี้มีความรู้เรื่องพระคัมภีร์+มากขนาดนี้ได้ยังไง เขาไม่เคยเรียนในโรงเรียนสอนศาสนาที่ไหนเลยนี่?”+ 16 พระเยซูบอกพวกเขาว่า “ผมไม่ได้สอนคำสอนของผมเอง แต่เป็นของพระองค์ที่ใช้ผมมา+ 17 คนที่อยากทำตามความประสงค์ของพระองค์จะรู้ว่าสิ่งที่ผมสอนมาจากพระเจ้า+หรือผมคิดขึ้นมาเอง 18 คนที่พูดตามความคิดของตัวเองก็พยายามทำให้ตัวเองมีชื่อเสียง แต่คนที่พยายามทำให้พระองค์ผู้ใช้เขามา+ได้รับคำสรรเสริญก็เป็นคนจริงใจ* และไม่หลอกลวงใคร 19 โมเสสให้กฎหมายไว้กับพวกคุณ+ไม่ใช่หรือ? แต่พวกคุณไม่มีใครทำตามสักคน แล้วทำไมพวกคุณถึงพยายามจะฆ่าผม?”+ 20 ประชาชนพูดว่า “คุณโดนปีศาจสิงหรือเปล่า+ ใครกันพยายามจะฆ่าคุณ?” 21 พระเยซูบอกพวกเขาว่า “ผมเคยทำการอัศจรรย์อย่างหนึ่งที่ทำให้พวกคุณตกตะลึง 22 ลองคิดดูสิ โมเสสให้พวกคุณเข้าสุหนัต+ (ความจริงแล้ว การเข้าสุหนัตไม่ได้เริ่มจากโมเสส แต่มีมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ)+ และพวกคุณก็ให้เด็กผู้ชายเข้าสุหนัตในวันสะบาโต 23 ถ้าคุณให้คนเข้าสุหนัตในวันสะบาโตเพื่อจะไม่ทำผิดกฎหมายของโมเสส แล้วทำไมพวกคุณถึงโกรธแค้น ที่ผมรักษาคนป่วยในวันสะบาโต?+ 24 เลิกตัดสินตามที่เห็นภายนอกเถอะ แต่ให้ตัดสินอย่างยุติธรรม”+
25 คนเยรูซาเล็มบางคนพูดกันว่า “คนนี้เป็นคนที่พวกนั้นพยายามจะฆ่าไม่ใช่หรือ?+ 26 แต่ดูสิ เขากำลังพูดอยู่กลางฝูงชนอย่างนั้น และไม่เห็นพวกผู้นำจะว่าอะไรเขา พวกเขาเชื่อแล้วหรือว่าคนนี้เป็นพระคริสต์? 27 พวกเรารู้นี่ว่าคนนี้เป็นใครมาจากไหน+ แต่เมื่อพระคริสต์ตัวจริงมา จะไม่มีใครรู้หรอกว่าท่านมาจากไหน” 28 แล้วพระเยซูที่ตอนนั้นสอนอยู่ในวิหาร ก็พูดเสียงดังว่า “พวกคุณรู้จักผมและรู้ว่าผมเป็นใครมาจากไหน ผมไม่ได้มาเอง+ แต่พระองค์ที่ใช้ผมมานั้นมีอยู่จริง และพวกคุณไม่รู้จักพระองค์+ 29 แต่ผมรู้จักพระองค์+เพราะผมเป็นตัวแทนที่มาจากพระองค์ และพระองค์ผู้นั้นใช้ผมมา” 30 พวกผู้นำชาวยิวก็พยายามจะจับพระเยซู+แต่จับไม่ได้ เพราะยังไม่ถึงเวลาของท่าน+ 31 แต่มีหลายคนในฝูงชนเชื่อถือท่าน+ พวกเขาพูดกันว่า “คนนี้เป็นพระคริสต์แน่เลย จะมีใครทำการอัศจรรย์ได้มากกว่านี้อีกหรือ?”+
32 เมื่อพวกฟาริสีได้ยินคนมากมายซุบซิบกันถึงพระเยซูอย่างนั้น พวกเขากับพวกปุโรหิตใหญ่จึงใช้เจ้าหน้าที่ไปจับท่าน 33 พระเยซูพูดอีกว่า “ผมจะยังอยู่กับพวกคุณอีกสักพักหนึ่ง ก่อนที่ผมจะกลับไปหาพระองค์ที่ใช้ผมมา+ 34 ตอนนั้น พวกคุณจะตามหาผมแต่จะหาไม่เจอ และที่ที่ผมอยู่พวกคุณก็จะไปไม่ได้”+ 35 พวกผู้นำชาวยิวพูดกันว่า “คนนี้คิดจะไปไหน เขาถึงบอกว่าพวกเราจะหาไม่เจอ? เขาคิดจะไปอยู่กับคนยิวที่กระจายกันอยู่ในหมู่คนกรีก และไปสอนคนกรีกที่นั่นหรือ? 36 แล้วเขาหมายความว่ายังไงที่พูดว่า ‘พวกคุณจะตามหาผมแต่จะหาไม่เจอ และที่ที่ผมอยู่พวกคุณก็จะไปไม่ได้’?”
37 เมื่อถึงวันสุดท้ายซึ่งเป็นวันสำคัญที่สุดของเทศกาล+ พระเยซูยืนขึ้นพูดเสียงดังว่า “ถ้าใครหิวน้ำ ก็ให้มาดื่มน้ำจากผมได้+ 38 คนที่เชื่อผม จะเป็นเหมือนที่พระคัมภีร์บอกไว้ว่า ‘สายน้ำที่ให้ชีวิตจะไหลออกมาจากภายในตัวเขา’”+ 39 พระเยซูกำลังพูดถึงพลังของพระเจ้าซึ่งคนที่เชื่อท่านจะได้รับ แต่ตอนนั้น พวกเขายังไม่ได้รับพลังนั้น+เพราะพระเยซูยังไม่ได้รับอำนาจ+ 40 เมื่อได้ยินสิ่งที่ท่านพูด บางคนในฝูงชนก็บอกว่า “ท่านนี้คือผู้พยากรณ์คนนั้นแน่ ๆ”+ 41 บางคนพูดว่า “เขาเป็นพระคริสต์”+ แต่บางคนพูดว่า “พระคริสต์จะมาจากแคว้นกาลิลีได้หรือ?+ 42 พระคัมภีร์บอกไว้ว่า พระคริสต์เป็นลูกหลานของดาวิด+และมาจากเมืองเบธเลเฮม+ที่เป็นบ้านเกิดของดาวิด ไม่ใช่หรือ?”+ 43 ฝูงชนจึงแตกแยกกันเพราะเรื่องพระเยซู 44 บางคนต้องการจะจับท่านแต่จับไม่ได้
45 แล้วพวกเจ้าหน้าที่ก็กลับไปหาพวกปุโรหิตใหญ่กับพวกฟาริสี พวกฟาริสีถามพวกเขาว่า “ทำไมไม่จับตัวเขามาล่ะ?” 46 พวกเจ้าหน้าที่ตอบว่า “พวกเราไม่เคยได้ยินใครพูดเหมือนผู้ชายคนนี้มาก่อนเลย”+ 47 พวกฟาริสีจึงพูดว่า “พวกคุณก็ถูกเขาหลอกด้วยหรือ? 48 ในพวกผู้นำหรือฟาริสี มีสักคนไหมที่เชื่อเขา?+ 49 คนที่เชื่อเขาก็มีแต่คนที่ไม่เข้าใจกฎหมายของพระเจ้าและเป็นคนที่ถูกสาปแช่ง” 50 นิโคเดมัสซึ่งเคยมาหาพระเยซู+และเป็นฟาริสีคนหนึ่งก็พูดขึ้นมาว่า 51 “กฎหมายของเราไม่ให้ตัดสินใครจนกว่าจะได้ฟังเขาพูดและรู้ว่าเขาทำอะไร ไม่ใช่หรือ?”+ 52 พวกเขาพูดกับนิโคเดมัสว่า “คุณก็มาจากกาลิลีด้วยหรือไง? ลองไปค้นพระคัมภีร์ดูสิแล้วจะรู้ว่า ไม่มีที่ไหนบอกไว้เลยว่า จะมีผู้พยากรณ์มาจากกาลิลี”+
8 12 พระเยซูพูดกับพวกยิวอีกว่า “ผมเป็นความสว่างให้กับโลก+ คนที่ติดตามผมจะไม่เดินอยู่ในความมืด แต่จะรับความสว่าง+ที่นำไปถึงชีวิต” 13 พวกฟาริสีจึงบอกท่านว่า “คุณเป็นพยานให้ตัวเอง คำพูดของคุณเชื่อถือไม่ได้หรอก” 14 พระเยซูจึงบอกพวกเขาว่า “ถึงผมจะเป็นพยานให้ตัวเอง แต่สิ่งที่ผมพูดเป็นความจริง เพราะผมรู้ว่าผมมาจากไหนและกำลังจะไปไหน+ แต่พวกคุณไม่รู้ว่าผมมาจากไหนและกำลังจะไปไหน 15 พวกคุณตัดสินตามความคิดของมนุษย์*+ ส่วนผมไม่ตัดสินใครเลย 16 และถึงผมจะตัดสิน ผมก็ตัดสินตามความจริง เพราะผมไม่ได้ตัดสินด้วยตัวเอง แต่ตัดสินร่วมกับพ่อของผมที่ใช้ผมมา+ 17 ในกฎหมายของพวกคุณเองก็มีเขียนไว้ด้วยว่า ‘พยานสองปากก็เชื่อถือได้’+ 18 ผมไม่ได้เป็นพยานให้ตัวเองแค่ปากเดียว แต่พ่อที่ใช้ผมมาเป็นพยานให้ผมด้วย”+ 19 พวกเขาจึงถามท่านว่า “พ่อของคุณอยู่ที่ไหนล่ะ?” พระเยซูตอบว่า “พวกคุณไม่รู้จักทั้งผมและพ่อของผม+ ถ้าพวกคุณรู้จักผม พวกคุณคงรู้จักพ่อของผมด้วย”+ 20 ท่านพูดเรื่องทั้งหมดตอนที่สอนอยู่ในวิหารตรงบริเวณตู้บริจาค+ แต่ไม่มีใครจับท่านเพราะยังไม่ถึงเวลาของท่าน+
21 พระเยซูบอกพวกเขาอีกครั้งว่า “ผมกำลังจะไป พวกคุณจะตามหาผม และพวกคุณจะทำบาปไปจนวันตาย+ ที่ที่ผมจะไปนั้น พวกคุณจะไปไม่ได้”+ 22 พวกยิวจึงพูดกันว่า “เขาจะฆ่าตัวตายหรือ? เขาถึงพูดว่า ‘ที่ที่ผมจะไปนั้น พวกคุณจะไปไม่ได้’” 23 พระเยซูบอกพวกเขาอีกว่า “พวกคุณมาจากข้างล่างนี้ ส่วนผมมาจากข้างบน+ พวกคุณมาจากโลกนี้ ส่วนผมไม่ได้มาจากโลกนี้ 24 ผมถึงได้บอกพวกคุณว่า พวกคุณจะทำบาปไปจนวันตาย เพราะถ้าพวกคุณไม่เชื่อว่าผมเป็นคนคนนั้น พวกคุณจะตายตอนที่ยังมีบาป” 25 พวกเขาจึงถามท่านว่า “แล้วคุณเป็นใครล่ะ?” พระเยซูพูดว่า “ทำไมผมจะต้องพยายามอธิบายในเมื่อพวกคุณไม่ยอมเข้าใจ? 26 ผมมีหลายเรื่องที่จะต้องพูดกับพวกคุณและจะต้องพิพากษา ที่จริง ผมพูดตามที่ผมได้ยินจากพระองค์ที่ใช้ผมมาในโลก และพระองค์พูดความจริงเสมอ”+ 27 แต่พวกเขาไม่เข้าใจว่า ท่านกำลังพูดกับพวกเขาเรื่องพระเจ้าผู้เป็นพ่อ 28 พระเยซูจึงพูดว่า “เมื่อพวกคุณยก ‘ลูกมนุษย์’+ ขึ้นแขวนไว้ พวกคุณจะรู้ว่าผมเป็นคนคนนั้น+ และรู้ด้วยว่าผมไม่ได้ทำอะไรตามใจตัวเอง+ แต่ผมพูดตามที่พ่อสอนผมมา 29 พระองค์ที่ใช้ผมมานั้นอยู่กับผม พระองค์ไม่ทิ้งผมไว้ให้อยู่คนเดียว เพราะผมทำสิ่งที่พระองค์ชอบเสมอ”+ 30 เมื่อท่านพูดอย่างนี้ ก็มีหลายคนเชื่อในตัวท่าน
31 แล้วพระเยซูก็พูดกับคนยิวที่เชื่อท่านว่า “ถ้าพวกคุณทำตามที่ผมสอนเสมอ พวกคุณก็เป็นสาวกของผมจริง ๆ 32 และพวกคุณจะรู้ความจริง+ แล้วความจริงจะทำให้พวกคุณเป็นอิสระ”+ 33 แต่บางคนถามท่านว่า “พวกเราเป็นลูกหลานอับราฮัมและไม่เคยเป็นทาสใคร แล้วทำไมคุณถึงบอกว่าพวกเราจะถูกปลดปล่อยให้เป็นอิสระ?” 34 พระเยซูตอบพวกเขาว่า “ผมจะบอกให้รู้ว่า ทุกคนที่ทำบาปก็เป็นทาสของบาป+ 35 นอกจากนั้น ทาสไม่ได้อยู่ในบ้านตลอดไป แต่ลูกได้อยู่ตลอดไป 36 ดังนั้น ถ้าผมที่เป็นลูกของพระเจ้าปลดปล่อยพวกคุณให้เป็นอิสระ พวกคุณก็จะเป็นอิสระจริง ๆ 37 ผมรู้ว่าพวกคุณเป็นลูกหลานอับราฮัม แต่พวกคุณหาทางฆ่าผม เพราะพวกคุณไม่ยอมรับคำสอนของผม 38 ผมพูดถึงสิ่งที่ผมเห็นตอนที่อยู่กับพ่อของผม+ แต่พวกคุณทำตามสิ่งที่ได้ยินจากพ่อของพวกคุณ” 39 พวกเขาพูดว่า “อับราฮัมเป็นพ่อของพวกเรานะ” พระเยซูบอกพวกเขาว่า “ถ้าพวกคุณเป็นลูกหลานอับราฮัมจริง+ พวกคุณคงจะทำตามที่อับราฮัมทำ 40 แต่พวกคุณกลับพยายามจะฆ่าผม ทั้ง ๆ ที่ผมเอาความจริงที่ได้ยินจากพระเจ้ามาบอกพวกคุณ+ อับราฮัมไม่ทำอย่างนี้หรอก 41 พวกคุณทำตามที่พ่อของพวกคุณทำ” พวกเขาพูดกับพระเยซูว่า “พวกเราไม่ใช่ลูกนอกกฎหมาย เรามีพ่อเพียงผู้เดียวคือพระเจ้า”
42 พระเยซูบอกพวกเขาว่า “ถ้าพระเจ้าเป็นพ่อของพวกคุณจริง พวกคุณคงจะรักผม+ เพราะผมมาจากพระเจ้าและมาอยู่ที่นี่แล้ว ผมไม่ได้มาเอง แต่พระองค์ใช้ผมมา+ 43 ทำไมพวกคุณไม่เข้าใจสิ่งที่ผมพูด? นั่นก็เพราะพวกคุณไม่ยอมฟังผม* 44 พวกคุณมาจากมารซึ่งเป็นพ่อของพวกคุณ และพวกคุณอยากทำตามที่พ่อของพวกคุณต้องการ+ มันเป็นฆาตกรตั้งแต่แรก+ และมันไม่ได้ยึดมั่นในความจริง เพราะมันไม่มีความจริง มันโกหกตามสันดานของมัน เพราะมันเป็นจอมโกหกและเป็นพ่อของการโกหก+ 45 พอผมพูดความจริง พวกคุณกลับไม่เชื่อผม 46 มีใครในพวกคุณไหมที่พิสูจน์ได้ว่าผมทำบาป?+ ในเมื่อผมพูดความจริง ทำไมพวกคุณไม่เชื่อผม? 47 คนที่มาจากพระเจ้าก็ฟังคำสอนของพระองค์+ ที่พวกคุณไม่ยอมฟังก็เพราะพวกคุณไม่ได้มาจากพระเจ้า”+
48 พวกยิวโต้ตอบพระเยซูว่า “พวกเราว่าแล้ว คุณเป็นชาวสะมาเรีย+และมีปีศาจสิงจริง ๆ ด้วย”+ 49 พระเยซูบอกว่า “ผมไม่มีปีศาจสิงหรอก แต่ผมยกย่องพ่อของผม และพวกคุณดูถูกผม 50 ผมไม่ได้ยกย่องตัวเอง+ แต่มีผู้หนึ่งที่ยกย่องผมและพระองค์เป็นผู้ตัดสิน 51 ผมจะบอกให้รู้ว่า ถ้าใครทำตามที่ผมสอน คนนั้นจะไม่มีวันตาย”+ 52 พวกยิวพูดกับพระเยซูว่า “ตอนนี้ พวกเรารู้แล้วว่าคุณมีปีศาจสิงจริง ๆ อับราฮัมตายแล้ว พวกผู้พยากรณ์ก็ตายกันหมดแล้ว แต่คุณกลับพูดว่า ‘ถ้าใครทำตามที่ผมสอน คนนั้นจะไม่มีวันตาย’ 53 คุณยิ่งใหญ่กว่าอับราฮัมพ่อเราหรือ? อับราฮัมก็ตาย และพวกผู้พยากรณ์ก็ตายด้วย แล้วคุณคิดว่าตัวเองเป็นใคร?” 54 พระเยซูตอบว่า “ถ้าผมยกย่องตัวเอง คำยกย่องนั้นก็ไม่มีความหมายอะไร แต่พ่อของผมที่พวกคุณอ้างว่าเป็นพระเจ้าของพวกคุณนั่นแหละที่ยกย่องผม+ 55 จริง ๆ แล้ว พวกคุณไม่รู้จักพระองค์+ แต่ผมรู้จัก ถ้าผมบอกว่าผมไม่รู้จักพระองค์ ผมก็จะเป็นคนโกหกเหมือนพวกคุณ ผมรู้จักพระองค์และทำตามที่พระองค์บอก 56 อับราฮัมพ่อของพวกคุณดีใจมากที่รู้ว่าจะได้เห็นวันที่ผมจะมา แล้วเขาก็ได้เห็นวันนั้นและมีความสุข”+ 57 พวกยิวจึงพูดกับท่านว่า “คุณอายุยังไม่ถึง 50 ปีเลย แล้วจะเคยเห็นอับราฮัมได้ยังไง?” 58 พระเยซูบอกพวกเขาว่า “ผมจะบอกให้รู้ว่า ผมอยู่มาตั้งแต่อับราฮัมยังไม่เกิดด้วยซ้ำ”+ 59 พวกนั้นจึงหยิบก้อนหินขึ้นมาจะขว้างพระเยซู แต่ท่านหลบออกไปจากวิหารก่อน
9 ตอนที่พระเยซูกำลังเดินอยู่ ท่านเห็นผู้ชายคนหนึ่งที่ตาบอดตั้งแต่เกิด 2 พวกสาวกถามท่านว่า “อาจารย์ครับ+ ที่คนนี้เกิดมาตาบอดเป็นเพราะใครทำบาป ตัวเขาหรือพ่อแม่?” 3 พระเยซูตอบว่า “คนนี้ไม่ได้ทำบาปหรอก พ่อแม่เขาก็ไม่ได้ทำ แต่ที่เขาตาบอดอย่างนี้ก็จะทำให้คนอื่นได้เห็นการอัศจรรย์ของพระเจ้า+ 4 พวกเราต้องทำงานของพระองค์ที่ใช้ผมมาในตอนที่ยังเป็นกลางวันอยู่+ กลางคืนกำลังจะมา และเมื่อถึงตอนนั้นจะไม่มีใครทำงานได้ 5 เมื่อผมยังอยู่ในโลก ผมเป็นความสว่างให้กับโลก”+ 6 พูดจบแล้ว พระเยซูก็บ้วนน้ำลายลงดิน ทำเป็นโคลน แล้วเอาไปทาตาของคนตาบอดนั้น+ 7 และสั่งเขาว่า “ไปล้างโคลนออกที่สระสิโลอัมเถอะ” (สิโลอัมแปลว่า “พุ่งออกมา”) เขาจึงไปล้างโคลนออก แล้วก็มองเห็นได้+
8 เพื่อนบ้านและหลายคนที่เคยเห็นเขาขอทานพูดกันว่า “เอ๊ะ คนนี้เคยนั่งขอทานอยู่ไม่ใช่หรือ?” 9 บางคนบอกว่า “ใช่เขาแน่ ๆ” แต่บางคนว่า “ไม่ใช่หรอก แค่หน้าตาเหมือนกัน” คนนั้นยืนยันกับพวกเขาว่า “ผมเป็นคนนั้นแหละ” 10 พวกเขาจึงถามคนที่เคยตาบอดว่า “แล้วคุณมองเห็นได้ยังไงล่ะ?” 11 เขาตอบว่า “คนที่ชื่อเยซูเอาโคลนทาตาผมแล้วบอกว่า ‘ไปล้างโคลนออกที่สระสิโลอัม’+ พอผมไปล้างโคลนออก ก็มองเห็นได้” 12 พวกเขาจึงถามว่า “คนนั้นอยู่ไหน?” เขาตอบว่า “ผมไม่รู้”
13 พวกเขาพาคนที่เคยตาบอดไปหาพวกฟาริสี 14 วันที่พระเยซูเอาโคลนทาตาเขาให้มองเห็นนั้น+ตรงกับวันสะบาโตพอดี+ 15 พวกฟาริสีก็ซักถามเขาเหมือนกันว่าเขามองเห็นได้อย่างไร เขาตอบพวกฟาริสีว่า “คนนั้นเอาโคลนมาทาตาผม พอผมไปล้างโคลนออก ผมก็มองเห็นได้” 16 ฟาริสีบางคนพูดขึ้นมาว่า “คนนั้นไม่ได้มาจากพระเจ้าแน่ ๆ เพราะเขาไม่ทำตามกฎวันสะบาโต”+ แต่บางคนพูดว่า “คนบาปจะทำการอัศจรรย์แบบนี้ได้ยังไง?”+ พวกเขาจึงมีความคิดเห็นขัดแย้งกัน+ 17 พวกเขาถามคนที่เคยตาบอดอีกครั้งว่า “แล้วคุณล่ะ คิดว่าคนที่ทำให้คุณมองเห็นนั้นเป็นใคร?” เขาตอบว่า “เขาเป็นผู้พยากรณ์ที่มาจากพระเจ้าแน่ ๆ”+
18 แต่พวกผู้นำชาวยิวไม่เชื่อว่าเขาเคยตาบอดและตอนนี้มองเห็นได้ พวกเขาจึงเรียกพ่อแม่ของคนนั้นมา 19 แล้วถามว่า “คนนี้เป็นลูกชายของพวกคุณ ที่พวกคุณบอกว่าเขาตาบอดตั้งแต่เกิดใช่ไหม? แล้วตอนนี้เขามองเห็นได้ยังไง?” 20 พ่อแม่ของเขาตอบว่า “ที่พวกเรารู้ก็คือ เขาเป็นลูกชายของเรา และเขาเกิดมาตาบอด 21 แต่พวกเราไม่รู้ว่าตอนนี้เขามองเห็นได้ยังไง และไม่รู้ว่าใครทำให้เขามองเห็น ถามเขาดูเถอะ เขาโตแล้ว ให้เขาตอบเองดีกว่า” 22 พ่อแม่ของเขาพูดอย่างนี้เพราะกลัวพวกผู้นำชาวยิว+ ผู้นำชาวยิวตกลงกันไว้แล้วว่า ถ้าใครพูดว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์ คนนั้นจะถูกไล่ออกจากที่ประชุมของชาวยิว+ 23 พ่อแม่ของคนที่เคยตาบอดจึงพูดว่า “เขาโตแล้ว ถามเขาเองเถอะ”
24 คนพวกนั้นเรียกคนที่เคยตาบอดมาอีกและพูดกับเขาว่า “บอกความจริงมาต่อหน้าพระเจ้า พวกเรารู้นะว่าผู้ชายคนนั้นเป็นคนบาป” 25 เขาตอบว่า “เขาเป็นคนบาปหรือเปล่าผมไม่รู้ รู้แต่ว่าผมเคยตาบอด แต่ตอนนี้มองเห็นแล้ว” 26 พวกนั้นจึงถามว่า “เขาทำอะไรกับคุณบ้าง? เขาทำให้คุณมองเห็นได้ยังไง?” 27 เขาตอบว่า “ผมบอกพวกคุณไปแล้ว แต่พวกคุณไม่ฟัง จะให้ผมเล่าอีกทำไมล่ะ? พวกคุณอยากเป็นสาวกของคนนั้นด้วยหรือ?” 28 พวกนั้นจึงเยาะเย้ยเขาว่า “คุณนั่นแหละเป็นสาวกของเขา พวกเราเป็นสาวกของโมเสส 29 พวกเรารู้ว่าพระเจ้าพูดกับโมเสส แต่คนนั้นมาจากไหนพวกเราไม่รู้” 30 เขาตอบพวกนั้นว่า “แปลกจริง ๆ พวกคุณไม่รู้ว่าคนนั้นมาจากไหน แต่เขาทำให้ผมมองเห็นได้ 31 พวกเราก็รู้ว่าพระเจ้าไม่ฟังคนบาปแน่ ๆ+ แต่ถ้าใครเกรงกลัวพระเจ้าและทำตามที่พระองค์บอก พระองค์จะฟังคนนั้น+ 32 แต่ไหนแต่ไรมา ไม่เคยได้ยินว่ามีใครทำให้คนที่ตาบอดตั้งแต่เกิดมองเห็นได้ 33 ถ้าผู้ชายคนนั้นไม่ได้มาจากพระเจ้า เขาคงทำอย่างนี้ไม่ได้หรอก”+ 34 พวกนั้นจึงพูดกับเขาว่า “แกมันบาปหนาตั้งแต่เกิด ยังจะมีหน้ามาสอนพวกเราหรือ?” แล้วพวกนั้นก็ไล่เขาออกไป+
35 พระเยซูได้ยินว่าผู้ชายคนนั้นถูกไล่ออกมา เมื่อท่านเจอเขาจึงพูดว่า “คุณมีความเชื่อใน ‘ลูกมนุษย์’ ไหม?” 36 เขาตอบว่า “ท่านคนนั้นเป็นใครล่ะครับ ผมจะได้เชื่อ?” 37 พระเยซูบอกเขาว่า “คุณเจอท่านแล้ว และตอนนี้ท่านกำลังพูดกับคุณอยู่”+ 38 เขาพูดออกมาว่า “นายครับ ผมมีความเชื่อในตัวท่าน” แล้วเขาก็คำนับท่าน 39 พระเยซูพูดว่า “ผมเข้ามาในโลกเพื่อให้มีการพิพากษา คนที่ตาบอดจะมองเห็นได้+ ส่วนคนที่มองเห็นจะกลายเป็นคนตาบอด”+ 40 พวกฟาริสีที่อยู่แถวนั้นได้ยินที่พระเยซูพูด จึงถามท่านว่า “นี่คุณหาว่าพวกเราตาบอดด้วยหรือ?”+ 41 พระเยซูตอบพวกเขาว่า “ถ้าพวกคุณตาบอด พวกคุณคงจะได้รับการอภัยบาป แต่พวกคุณพูดว่า ‘พวกเรามองเห็น’ บาปของพวกคุณจึงไม่ได้รับการอภัย”+
10 “ผมจะบอกให้รู้ว่า คนที่ไม่เข้าไปในคอกแกะทางประตู แต่ปีนเข้าไปทางอื่นก็เป็นโจรและขโมย+ 2 แต่คนเลี้ยงแกะจะเข้าทางประตู+ 3 และคนเฝ้าประตูจะเปิดให้เขา+ แกะก็ฟังเสียงเขา+ เขาเรียกชื่อแกะของเขาแต่ละตัวและพาพวกมันออกไป 4 เมื่อพาแกะออกไปหมดแล้ว เขาก็เดินนำหน้าพวกมัน แกะตามเขาไปเพราะจำเสียงเขาได้ 5 พวกมันจะไม่ตามคนแปลกหน้าแต่จะวิ่งหนีไป เพราะไม่คุ้นเสียงคนแปลกหน้า”+ 6 พระเยซูยกตัวอย่างเปรียบเทียบนี้ให้พวกเขาฟัง แต่พวกเขาไม่เข้าใจว่าท่านหมายถึงอะไร
7 พระเยซูพูดอีกว่า “ผมจะบอกให้รู้ว่า ผมเป็นประตูสำหรับแกะ+ 8 ทุกคนที่แอบอ้างว่าเป็นผม ก็เป็นโจรและขโมย แกะจะไม่ฟังเขา 9 ผมเป็นประตู ใครที่เข้ามาทางผม คนนั้นจะรอด เขาจะเข้าออกและเจอทุ่งหญ้าเขียวสด+ 10 พวกขโมยมาก็เพื่อลักขโมย ฆ่า และทำลาย+ แต่ผมมาเพื่อให้แกะได้ชีวิตและมีชีวิตที่ไม่สิ้นสุด 11 ผมเป็นคนเลี้ยงแกะที่ดี+ คนเลี้ยงที่ดียอมสละชีวิตเพื่อแกะของเขา+ 12 ส่วนลูกจ้างแตกต่างจากคนเลี้ยงแกะเพราะเขาไม่ใช่เจ้าของแกะ เมื่อเห็นหมาป่ามา เขาก็ทิ้งฝูงแกะแล้วหนีไป ปล่อยให้หมาป่ามาขย้ำแกะและทำให้แกะที่เหลือแตกกระเจิงไป 13 เขาทิ้งแกะไปก็เพราะเขาเป็นแค่ลูกจ้างและไม่ได้เป็นห่วงแกะจริง ๆ 14 ผมเป็นคนเลี้ยงแกะที่ดี ผมรู้จักแกะของผมและแกะก็รู้จักผม+ 15 เหมือนกับที่พระเจ้าผู้เป็นพ่อรู้จักผมและผมก็รู้จักพ่อ+ ผมยอมสละชีวิตเพื่อแกะของผม+
16 “ผมยังมีแกะอื่นที่ไม่ได้อยู่ในคอกนี้ ผมต้องพาแกะพวกนั้นเข้ามาด้วย+ แกะพวกนั้นจะฟังเสียงของผม ทั้งหมดจะรวมเป็นฝูงเดียว และมีคนเลี้ยงคนเดียว+ 17 พ่อรักผม+เพราะผมยอมสละชีวิต+ และผมจะได้ชีวิตอีกครั้ง 18 ไม่มีใครเอาชีวิตผมไปได้ แต่ผมเต็มใจสละชีวิตของตัวเอง ผมมีสิทธิ์จะสละชีวิตของผม และมีสิทธิ์จะได้ชีวิตกลับคืนมา+ พ่อของผมสั่งให้ผมทำอย่างนี้”
19 เมื่อพระเยซูพูดอย่างนั้น ก็ทำให้พวกยิวขัดแย้งกันอีกครั้ง+ 20 หลายคนพูดว่า “เขามีปีศาจสิงและเสียสติไปแล้ว+ ไปฟังเขาทำไม?” 21 แต่บางคนแย้งว่า “คนถูกปีศาจสิงไม่พูดอย่างนี้หรอก ปีศาจจะทำให้คนตาบอดมองเห็นได้ยังไง?”
22 ช่วงนั้น มีเทศกาลฉลองการอุทิศวิหารในกรุงเยรูซาเล็ม ตอนนั้นเป็นฤดูหนาว 23 และพระเยซูเดินอยู่ที่ระเบียงทางเดินของโซโลมอนในวิหาร+ 24 มีพวกยิวมายืนล้อมรอบท่านและถามว่า “คุณจะปล่อยให้พวกเราสงสัยไปอีกนานแค่ไหน? ถ้าคุณเป็นพระคริสต์ก็บอกมาตรง ๆ เลย” 25 พระเยซูตอบพวกเขาว่า “ผมบอกแล้วแต่พวกคุณไม่เชื่อเอง สิ่งที่ผมทำในนามพระเจ้าผู้เป็นพ่อของผมก็เป็นหลักฐานยืนยันอยู่แล้วว่าผมเป็นใคร+ 26 แต่พวกคุณไม่เชื่อเพราะพวกคุณไม่ใช่แกะของผม+ 27 แกะของผมจะฟังเสียงผม ผมรู้จักแกะของผม และแกะของผมก็ตามผม+ 28 ผมให้แกะมีชีวิตตลอดไป+ แกะของผมจะไม่มีวันถูกทำลาย และจะไม่มีใครแย่งพวกมันไปจากมือผมได้+ 29 แกะที่พ่อของผมยกให้ผมนั้นสำคัญยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด และจะไม่มีใครแย่งแกะพวกนั้นไปจากมือของพ่อได้+ 30 ผมกับพ่อเป็นหนึ่งเดียวกัน”+
31 ถึงตอนนี้ พวกยิวก็หยิบก้อนหินขึ้นมาจะขว้างพระเยซูอีก+ 32 พระเยซูถามพวกเขาว่า “ผมทำสิ่งดี ๆ มากมายที่พ่อสั่งให้ผมทำ แล้วสิ่งดีอันไหนล่ะที่ทำให้พวกคุณต้องเอาหินมาขว้างผม?” 33 พวกยิวตอบท่านว่า “ที่พวกเราจะเอาหินขว้างคุณ ไม่ใช่เพราะคุณทำสิ่งดี แต่เพราะคุณดูหมิ่นพระเจ้าต่างหาก+ คุณเป็นแค่มนุษย์ แต่มายกตัวเองเป็นพระเจ้า” 34 พระเยซูบอกพวกเขาว่า “ในกฎหมายของพวกคุณเขียนไว้ไม่ใช่หรือว่า ‘เราบอกว่า “พวกเจ้าเป็นพระ”’?+ 35 แม้แต่คนที่พระเจ้าตำหนิ พระองค์ยังเรียกเขาว่า ‘พระ’+ และพระคัมภีร์ก็ถูกต้องเสมอ 36 แล้วพวกคุณมาหาว่าผมดูหมิ่นพระเจ้าได้ยังไงที่ผมพูดว่าผมเป็นลูกของพระองค์ ในเมื่อพระเจ้าผู้เป็นพ่อได้เลือกผมและใช้ผมเข้ามาในโลกนี้?+ 37 ถ้าผมไม่ทำสิ่งที่พ่อผมให้ทำ ก็ไม่ต้องเชื่อผม 38 แต่ถ้าผมทำสิ่งที่พ่อผมให้ทำ ถึงพวกคุณจะไม่เชื่อผม ก็ขอให้เชื่อเพราะสิ่งที่ผมทำ+ แล้วพวกคุณจะรู้และเข้าใจมากขึ้นว่าพ่อเป็นหนึ่งเดียวกับผม และผมเป็นหนึ่งเดียวกับพ่อ”+ 39 พวกยิวพยายามจะจับพระเยซูอีก แต่ท่านหลบไปได้ก่อน+
40 แล้วพระเยซูก็เดินทางข้ามแม่น้ำจอร์แดนอีกครั้ง ท่านไปบริเวณที่ยอห์นเคยให้บัพติศมา+ และพักอยู่ที่นั่น 41 คนมากมายมาหาพระเยซูและพูดกันว่า “ยอห์นไม่เคยทำการอัศจรรย์สักอย่าง แต่สิ่งที่ยอห์นพูดถึงผู้ชายคนนี้ถูกหมดทุกอย่าง”+ 42 หลายคนที่อยู่ที่นั่นจึงเชื่อในตัวพระเยซู
11 มีผู้ชายคนหนึ่งป่วยอยู่ เขาชื่อลาซารัสเป็นคนหมู่บ้านเบธานี+ มารีย์กับมาร์ธา+ที่เป็นพี่น้องกันก็อยู่ที่หมู่บ้านนี้ 2 มารีย์คนนี้คือผู้หญิงที่เอาน้ำมันหอมชโลมผู้เป็นนายและเอาผมเช็ดเท้าท่าน+ ลาซารัสที่ป่วยอยู่นั้นก็เป็นพี่น้องกับเธอด้วย 3 มารีย์กับมาร์ธาจึงใช้คนไปบอกพระเยซูว่า “นายท่าน เพื่อนรักของท่านไม่สบายมาก”+ 4 แต่เมื่อพระเยซูได้ยินอย่างนั้นก็พูดว่า “ที่เขาป่วยครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อให้ตาย แต่เพื่อทำให้พระเจ้าได้รับการยกย่อง+ และลูกของพระเจ้าจะได้รับการยกย่องเพราะเหตุการณ์นี้ด้วย”
5 พระเยซูรักมาร์ธากับมารีย์รวมทั้งลาซารัสด้วย 6 แต่เมื่อได้ยินว่าลาซารัสป่วย ท่านก็ยังอยู่ที่เดิมต่ออีก 2 วัน 7 แล้วท่านพูดกับพวกสาวกว่า “ไปแคว้นยูเดียกันอีกครั้งเถอะ” 8 พวกสาวกบอกท่านว่า “อาจารย์+ พวกยิวที่นั่นพยายามเอาหินขว้างท่านให้ตายเมื่อไม่กี่วันนี้เอง+ ท่านยังจะกลับไปอีกหรือ?” 9 พระเยซูตอบว่า “กลางวันมี 12 ชั่วโมงไม่ใช่หรือ?+ ถ้าใครเดินตอนกลางวัน เขาจะไม่สะดุดไปชนอะไรเลย เพราะเขาเห็นแสงสว่างของโลกนี้ 10 แต่ถ้าใครเดินตอนกลางคืนเขาจะสะดุด เพราะเขาไม่มีแสงสว่างนำทาง”
11 เมื่อพูดอย่างนั้นแล้ว พระเยซูก็บอกพวกเขาว่า “ลาซารัสเพื่อนของพวกเราหลับอยู่+ ผมจะไปปลุกเขา” 12 พวกสาวกจึงบอกท่านว่า “นายครับ ถ้าเขาหลับอยู่ เดี๋ยวเขาก็ดีขึ้นเอง”* 13 ที่จริง พระเยซูหมายความว่าลาซารัสตายแล้ว แต่พวกเขาคิดว่าท่านพูดถึงการนอนหลับพักผ่อน 14 พระเยซูจึงพูดกับพวกเขาตรง ๆ ว่า “ลาซารัสตายแล้ว+ 15 และก็ดีที่ผมไม่ได้อยู่ที่นั่น เพราะสิ่งที่ผมจะไปทำนี้จะเสริมความเชื่อของพวกคุณ ไปกันเถอะ” 16 โธมัสที่เรียกกันว่าดิดุโมสพูดกับเพื่อนสาวกว่า “ไปกันเถอะพวกเรา ไปตายด้วยกันกับอาจารย์”+
17 เมื่อพระเยซูไปถึงที่นั่น ก็พบว่าเขาเอาศพลาซารัสไปฝังในอุโมงค์ได้ 4 วันแล้ว 18 หมู่บ้านเบธานีอยู่ใกล้กรุงเยรูซาเล็ม ระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร 19 มีคนยิวหลายคนมาปลอบใจมาร์ธากับมารีย์ที่สูญเสียลาซารัสไป 20 เมื่อมาร์ธาได้ยินว่าพระเยซูกำลังมา จึงออกไปหาท่าน แต่มารีย์+ยังอยู่ที่บ้าน 21 มาร์ธาบอกพระเยซูว่า “นายคะ ถ้าท่านอยู่ที่นี่ เขาคงไม่ตาย 22 แต่ดิฉันก็ยังเชื่อว่าพระเจ้าจะให้ทุกอย่างตามที่ท่านขอ” 23 พระเยซูบอกเธอว่า “เขาจะฟื้นขึ้นจากตาย” 24 มาร์ธาบอกท่านว่า “ดิฉันเชื่อค่ะว่า เขาจะถูกปลุกให้ฟื้นขึ้นจากตาย+ในวันสุดท้าย” 25 พระเยซูบอกเธอว่า “ผมคือคนที่ปลุกคนตายให้ฟื้นและให้เขามีชีวิต+ คนที่แสดงความเชื่อในตัวผม ถึงแม้เขาตาย เขาก็จะมีชีวิตอีก 26 และทุกคนที่ยังมีชีวิตอยู่และแสดงความเชื่อในตัวผมจะไม่ตายเลย+ คุณเชื่อไหม?” 27 เธอตอบว่า “เชื่อค่ะท่าน ดิฉันเชื่อว่าท่านเป็นพระคริสต์ลูกของพระเจ้าที่เข้ามาในโลกนี้” 28 พอพูดจบ เธอก็ไปเรียกมารีย์น้องสาว เธอกระซิบว่า “อาจารย์+มาแล้ว ท่านเรียกเธอแน่ะ” 29 พอมารีย์ได้ยินอย่างนั้นก็รีบไปหาพระเยซู
30 พระเยซูยังไม่ได้เข้าหมู่บ้าน ท่านยังอยู่ตรงที่ที่มาร์ธาไปหา 31 เมื่อคนยิวที่ปลอบใจมารีย์อยู่ในบ้านเห็นเธอรีบออกไป พวกเขาก็ตามไปด้วย เพราะคิดว่าเธอจะไปร้องไห้ที่อุโมงค์ฝังศพ+ 32 เมื่อมารีย์ได้พบพระเยซู เธอก็หมอบลงแทบเท้าท่านแล้วพูดว่า “นายคะ ถ้าท่านอยู่ที่นี่ เขาคงไม่ตาย” 33 เมื่อพระเยซูเห็นเธอร้องไห้ และพวกยิวที่มากับเธอก็ร้องไห้ด้วย ท่านก็เศร้าและสะเทือนใจ 34 ท่านถามว่า “พวกคุณฝังศพเขาไว้ที่ไหน?” พวกเขาตอบว่า “ตามมาดูสิ นายท่าน” 35 แล้วพระเยซูก็ร้องไห้น้ำตาไหล+ 36 พวกยิวเห็นอย่างนั้นก็พูดกันว่า “ดูสิ เขารักลาซารัสมากจริง ๆ” 37 แต่มีบางคนพูดว่า “ผู้ชายคนนี้เคยทำให้คนตาบอดมองเห็นได้+ แล้วเขาทำให้คนนี้รอดตายไม่ได้หรือ?”
38 เมื่อใกล้ถึงอุโมงค์ฝังศพ พระเยซูก็รู้สึกสะเทือนใจขึ้นมาอีก อุโมงค์นั้นเป็นถ้ำและมีหินปิดปากถ้ำไว้ 39 พระเยซูสั่งว่า “เลื่อนหินออกไปสิ” มาร์ธาซึ่งเป็นพี่น้องกับผู้ตายบอกท่านว่า “นายคะ ป่านนี้ศพคงเหม็นแย่แล้ว เพราะตายมาตั้ง 4 วันแล้ว” 40 พระเยซูบอกเธอว่า “ผมเคยบอกคุณแล้วไม่ใช่หรือว่า ถ้าคุณเชื่อ คุณจะได้เห็นฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า?”+ 41 พวกเขาจึงเลื่อนหินที่ปิดปากถ้ำออก แล้วพระเยซูก็แหงนหน้ามองท้องฟ้า+และพูดว่า “พ่อครับ ผมขอบคุณที่พระองค์ฟังคำขอร้องของผม 42 ผมรู้อยู่แล้วว่าพระองค์ฟังผมเสมอ แต่ที่ผมขอคราวนี้ก็เพื่อคนที่ยืนอยู่รอบ ๆ พวกเขาจะได้เชื่อว่าพระองค์ใช้ผมมา”+ 43 เมื่อพูดจบแล้ว ท่านก็ร้องเรียกเสียงดังว่า “ลาซารัส ออกมา”+ 44 ลาซารัสที่ตายไปแล้วก็เดินออกมาทั้ง ๆ ที่ยังมีผ้าพันมือและเท้าอยู่ และที่หน้าก็มีผ้าพันไว้ด้วย พระเยซูสั่งพวกเขาว่า “เอาผ้าพวกนั้นออกให้เขาหน่อย เขาจะได้เดินสะดวก”
45 คนยิวหลายคนที่มาหามารีย์และได้เห็นสิ่งที่พระเยซูทำก็เชื่อในตัวท่าน+ 46 แต่มีบางคนไปเล่าเรื่องที่พระเยซูทำให้พวกฟาริสีฟัง 47 พวกปุโรหิตใหญ่กับพวกฟาริสีจึงเรียกประชุมศาลแซนเฮดรินและพูดกันว่า “พวกเราจะทำยังไงดี? ผู้ชายคนนั้นทำการอัศจรรย์หลายอย่าง+ 48 ถ้าขืนปล่อยไว้อย่างนี้ ผู้คนจะแห่กันไปเชื่อเขาหมด แล้วพวกโรมันก็จะมายึดทั้งวิหารและประเทศของเราด้วย” 49 มีคนหนึ่งชื่อเคยาฟาส+ซึ่งเป็นมหาปุโรหิตในปีนั้น เขาพูดขึ้นมาว่า “พวกคุณไม่รู้อะไร 50 พวกคุณไม่เข้าใจเลยหรือว่า เพื่อประโยชน์ของคุณเอง ให้คนหนึ่งตายแทนประชาชนก็ดีกว่าให้คนทั้งชาติต้องพินาศ?”+ 51 เขาไม่ได้พูดอย่างนี้จากความคิดของตัวเอง แต่เพราะเขาเป็นมหาปุโรหิตในปีนั้น พระเจ้าจึงใช้เขาให้พยากรณ์ว่าพระเยซูจะต้องตายเพื่อคนร่วมชาติ 52 และไม่ใช่เพื่อคนร่วมชาติเท่านั้น แต่เพื่อรวบรวมลูก ๆ ของพระเจ้าที่กระจัดกระจายกันอยู่ให้เป็นหนึ่งเดียวกันด้วย+ 53 ตั้งแต่วันนั้น พวกเขาจึงหาทางจะฆ่าพระเยซู+
54 ดังนั้น พระเยซูจึงไม่ไปไหนมาไหนอย่างเปิดเผยในหมู่คนยิวอีกต่อไป แต่ท่านออกจากที่นั่นไปเมืองหนึ่งชื่อเอฟราอิม+ซึ่งอยู่ใกล้ที่กันดาร+ และอยู่ที่นั่นกับพวกสาวก 55 เมื่อใกล้จะถึงเทศกาลปัสกา+ของชาวยิว มีคนมากมายจากชนบทหลั่งไหลเข้ามาในกรุงเยรูซาเล็มก่อนเทศกาลจะเริ่มเพื่อชำระตัวตามพิธีกรรม 56 พวกเขามองหาพระเยซู และตอนที่อยู่ในบริเวณวิหารพวกเขาพูดกันว่า “คุณคิดยังไง? เขาจะมาเทศกาลนี้หรือเปล่า?” 57 พวกปุโรหิตใหญ่กับพวกฟาริสีสั่งไว้ว่า ถ้าใครรู้ว่าพระเยซูอยู่ที่ไหนก็ให้มาบอก พวกเขาจะได้ไปจับท่าน
12 หกวันก่อนถึงเทศกาลปัสกา พระเยซูมาถึงหมู่บ้านเบธานี+ ลาซารัส+ซึ่งพระเยซูปลุกให้ฟื้นขึ้นจากตายอยู่ที่หมู่บ้านนี้ 2 มีการเลี้ยงอาหารเย็นพระเยซูที่นั่น มาร์ธาคอยเสิร์ฟอาหารให้แขก+ และลาซารัสก็กินอาหารกับท่านด้วย 3 แล้วมารีย์ก็เอาน้ำมันหอมนารดาบริสุทธิ์ที่มีราคาแพงมากประมาณครึ่งลิตรมาเทลงบนเท้าของพระเยซู แล้วเอาผมของเธอเช็ดให้แห้ง+ บ้านทั้งหลังก็หอมฟุ้งไปด้วยกลิ่นน้ำมันหอม+ 4 แต่ยูดาสอิสคาริโอท+ซึ่งเป็นสาวกที่กำลังจะทรยศพระเยซูพูดว่า 5 “ทำไมไม่เอาน้ำมันหอมนี้ไปขายล่ะ? น่าจะได้สัก 300 เดนาริอัน แล้วเอาไปแจกคนจนดีกว่า” 6 ที่เขาพูดอย่างนี้ไม่ใช่เพราะเป็นห่วงคนจน แต่เพราะเขาเป็นขโมย เขาเป็นคนถือกล่องเก็บเงินกองกลาง และชอบขโมยเงินจากกล่องนั้น 7 แต่พระเยซูบอกว่า “ปล่อยให้เธอทำไปเถอะ ที่เธอทำอย่างนี้เป็นการเตรียมผมไว้สำหรับพิธีฝังศพผม+ 8 คนจนจะอยู่กับพวกคุณไปตลอด+ แต่ผมจะอยู่กับพวกคุณอีกไม่นาน”+
9 เมื่อคนยิวมากมายรู้ว่าพระเยซูอยู่ที่หมู่บ้านเบธานี พวกเขาก็มาที่นั่น ไม่ใช่แค่มาหาพระเยซูเท่านั้น แต่มาดูลาซารัสที่ท่านปลุกให้ฟื้นขึ้นจากตายด้วย+ 10 พวกปุโรหิตใหญ่จึงหาทางจะฆ่าลาซารัสอีกคน+ 11 เพราะเขาเป็นต้นเหตุให้คนยิวหลายคนไปที่นั่นและเชื่อในพระเยซู+
12 วันต่อมา เมื่อคนมากมายที่มาฉลองเทศกาลได้ยินว่าพระเยซูกำลังมาที่กรุงเยรูซาเล็ม 13 พวกเขาก็ถือใบปาล์มออกไปต้อนรับท่าน+ พวกเขาโห่ร้องว่า “ขอให้ท่านอายุยืนยาว ขอให้ท่านผู้มาในนามพระยะโฮวา+ได้รับพร ท่านเป็นกษัตริย์ของอิสราเอล”+ 14 เมื่อพระเยซูเจอลูกลา ท่านก็ขึ้นนั่งบนหลังมัน+ ตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า 15 “ชาวศิโยน ไม่ต้องกลัว ดูนั่นสิ กษัตริย์ของเจ้ากำลังมา เขานั่งบนหลังลูกลา”+ 16 ตอนแรกสาวกของท่านไม่เข้าใจเหตุการณ์นี้+ แต่เมื่อพระเยซูได้รับฐานะที่สูงส่งแล้ว+ พวกสาวกก็นึกถึงเรื่องนี้ที่พระคัมภีร์บอกไว้เกี่ยวกับท่าน และนึกถึงสิ่งที่ผู้คนทำกับท่านในตอนนั้น+
17 ตอนที่พระเยซูเรียกลาซารัสออกจากอุโมงค์ฝังศพ+และปลุกเขาให้ฟื้นขึ้นจากตาย มีหลายคนอยู่กับท่าน พวกเขาบอกเล่าเรื่องนี้ต่อ ๆ กันไป+ 18 ดังนั้น จึงมีคนมากมายออกมาต้อนรับท่าน เพราะพวกเขาได้ยินเรื่องการอัศจรรย์ครั้งนั้น 19 พวกฟาริสีจึงพูดกันว่า “ดูสิ แผนของเราล้มเหลวไม่เป็นท่า คนทั้งโลกตามเขาไปหมดแล้ว”+
20 คนที่มานมัสการในเทศกาลนั้น มีบางคนเป็นชาวกรีก 21 พวกเขามาหาฟีลิป+ซึ่งมาจากเมืองเบธไซดาในแคว้นกาลิลี แล้วขอร้องว่า “คุณครับ พวกเราอยากพบพระเยซู” 22 ฟีลิปจึงไปบอกอันดรูว์+ แล้วเขาทั้งสองก็ไปบอกพระเยซู
23 แต่พระเยซูพูดกับพวกเขาว่า “ถึงเวลาแล้วที่ ‘ลูกมนุษย์’ จะได้รับฐานะที่สูงส่ง+ 24 ผมจะบอกให้รู้ว่า ถ้าเมล็ดข้าวสาลีไม่ตกลงดินและไม่ตายไป มันก็จะเป็นแค่เมล็ดเดียวอยู่อย่างนั้น แต่ถ้ามันตาย+ มันจะทำให้เกิดเมล็ดข้าวอีกมากมาย 25 คนที่รักชีวิตจะทำให้ตัวเองเสียชีวิต แต่คนที่ยอมเสียชีวิต*+ในโลกนี้จะรักษาชีวิตไว้และมีชีวิตตลอดไป+ 26 ถ้าใครอยากรับใช้ผม ให้คนนั้นตามผมมา ผมอยู่ที่ไหน ผู้รับใช้ของผมก็จะอยู่ที่นั่นด้วย+ ถ้าใครรับใช้ผม พระเจ้าผู้เป็นพ่อก็จะให้เกียรติคนนั้น 27 ตอนนี้ ผมทุกข์ใจมาก+ ผมไม่รู้จะพูดยังไงดี พ่อครับ ขอช่วยผมให้ผ่านช่วงเวลานี้ไปได้+ แต่ถึงยังไง ผมก็ต้องเจอกับความทุกข์ครั้งนี้ ที่ผมมาก็เพราะเหตุผลนี้ 28 พ่อครับ ขอให้ชื่อของพระองค์ได้รับการยกย่อง” ทันใดนั้น ก็มีเสียงพูด+จากฟ้าว่า “เราทำให้ชื่อของเราได้รับการยกย่องแล้ว และเราจะทำให้ได้รับการยกย่องอีก”+
29 คนที่ยืนอยู่ที่นั่นได้ยินเสียงจากฟ้า บางคนบอกว่าเป็นเสียงฟ้าร้อง บางคนบอกว่า “ทูตสวรรค์พูดกับเขา” 30 พระเยซูบอกว่า “เสียงที่ได้ยินนี้ไม่ใช่เพื่อผม แต่เพื่อพวกคุณ+ 31 ตอนนี้ ถึงเวลาพิพากษาโลกนี้แล้ว และผู้ปกครองโลก+จะถูกขับไล่+ 32 แต่เมื่อผมถูกยกขึ้นแขวนไว้+ ผมจะชักนำคนทุกชนิดมาหาผม”+ 33 ที่ท่านพูดอย่างนี้ก็เพื่อแสดงว่าท่านจะตายแบบไหน+ 34 ประชาชนจึงพูดกับพระเยซูว่า “แต่กฎหมายของพระเจ้าบอกว่า พระคริสต์จะอยู่ตลอดไป+ แล้วทำไมท่านถึงบอกว่า ‘ลูกมนุษย์’ จะต้องถูกยกขึ้นแขวนไว้?+ ‘ลูกมนุษย์’ คือใครกันแน่?” 35 พระเยซูตอบพวกเขาว่า “ความสว่างจะอยู่กับพวกคุณอีกไม่นาน+ ให้พวกคุณเดินตอนที่ยังมีความสว่างอยู่ อย่าให้ความมืดมาปกคลุมพวกคุณ คนที่เดินอยู่ในความมืดไม่รู้ว่าเขากำลังจะไปไหน+ 36 ตอนที่พวกคุณยังมีความสว่างอยู่ ให้เชื่อในความสว่างนั้น เพื่อพวกคุณจะได้เป็นลูกของความสว่าง”+
เมื่อพูดจบแล้ว พระเยซูก็ไปซ่อนตัวจากผู้คน 37 ถึงแม้ท่านทำการอัศจรรย์หลายอย่างให้พวกเขาเห็น แต่พวกเขาก็ยังไม่เชื่อในตัวท่าน 38 สิ่งที่ผู้พยากรณ์อิสยาห์บอกไว้จึงเป็นจริงที่ว่า “พระยะโฮวา ใครจะเชื่อในสิ่งที่พวกเราพูด?*+ และใครจะได้เห็นพระยะโฮวาแสดงพลังอำนาจของพระองค์?”+ 39 ที่พวกเขาไม่เชื่อก็เพราะอิสยาห์บอกไว้อีกว่า 40 “พระองค์ให้ตาพวกเขาบอดและให้ใจพวกเขาแข็งกระด้าง เพื่อพวกเขาจะไม่เห็น ไม่เข้าใจ และไม่หันกลับมาให้เรารักษาให้หาย”+ 41 อิสยาห์บอกเกี่ยวกับพระคริสต์ไว้อย่างนี้เพราะเขาได้เห็นฐานะที่สูงส่งของท่าน+ 42 ถึงอย่างนั้น ก็มีพวกผู้นำหลายคนเชื่อในตัวท่าน+ แต่ไม่กล้ายอมรับท่านอย่างเปิดเผย เพราะกลัวจะถูกพวกฟาริสีไล่ออกจากที่ประชุมของชาวยิว+ 43 พวกเขาชอบคำยกย่องจากมนุษย์มากกว่าคำยกย่องจากพระเจ้า*+
44 พระเยซูพูดเสียงดังว่า “คนที่เชื่อในตัวผม ไม่ได้เชื่อเฉพาะผมเท่านั้น แต่เชื่อในพระองค์ที่ใช้ผมมาด้วย+ 45 และคนที่เห็นผมก็เห็นพระองค์ที่ใช้ผมมาด้วย+ 46 ผมมาเป็นความสว่างให้กับโลก+ เพื่อทุกคนที่เชื่อในตัวผมจะไม่อยู่ในความมืดอีกต่อไป+ 47 แต่ถ้าใครได้ยินคำสอนของผมแล้วไม่ทำตาม ผมจะไม่ตัดสินเขา เพราะผมไม่ได้มาเพื่อตัดสินโลกนี้ แต่มาเพื่อช่วยโลกให้รอด+ 48 สิ่งที่จะตัดสินคนที่ปฏิเสธผมและไม่ฟังคำสอนของผมก็คือคำพูดของผม สิ่งที่ผมพูดนี้แหละจะตัดสินเขาในวันสุดท้าย+ 49 เพราะผมไม่ได้พูดตามความคิดตัวเอง แต่พระเจ้าผู้เป็นพ่อที่ใช้ผมมาได้สั่งผมไว้ว่าจะพูดอะไร+ 50 และผมรู้ว่าการทำตามคำสั่งของพระองค์ทำให้มี*ชีวิตตลอดไป+ ผมก็เลยพูดทุกอย่างตามที่พ่อสั่งไว้”+
13 ก่อนถึงเทศกาลปัสกา พระเยซูรู้ว่าถึงเวลาแล้ว+ที่ท่านจะจากโลกนี้ไปหาพระเจ้าผู้เป็นพ่อ+ พระเยซูรักคนของท่านที่อยู่ในโลกนี้ และท่านรักพวกเขาต่อไปจนถึงที่สุด+ 2 แล้วอาหารมื้อเย็นก็มาถึง* ก่อนหน้านี้ มารได้ดลใจยูดาสอิสคาริโอท+ลูกซีโมนให้ทรยศพระเยซู+ 3 พระเยซูรู้ว่าพระเจ้าผู้เป็นพ่อได้มอบทุกอย่างไว้ให้ท่านแล้ว ท่านรู้ว่าท่านมาจากพระเจ้าและกำลังจะกลับไปหาพระองค์+ 4 พระเยซูลุกจากโต๊ะอาหาร ถอดเสื้อคลุมวางไว้ และหยิบผ้าเช็ดตัวมาคาดเอว+ 5 จากนั้น พระเยซูก็เอาน้ำใส่อ่าง แล้วเริ่มล้างเท้าให้พวกสาวก และใช้ผ้าที่คาดเอวอยู่มาเช็ดให้แห้ง+ 6 เมื่อมาถึงซีโมนเปโตร เขาถามพระเยซูว่า “นายครับ ท่านจะล้างเท้าให้ผมหรือ?” 7 พระเยซูตอบว่า “ตอนนี้คุณยังไม่เข้าใจว่าทำไมผมทำอย่างนี้ แต่อีกหน่อยคุณจะเข้าใจเอง” 8 เปโตรบอกว่า “ท่านจะมาล้างเท้าให้ผมไม่ได้หรอกครับ” พระเยซูบอกเขาว่า “ถ้าไม่ให้ผมล้างให้+ คุณก็มีส่วนร่วมกับผมไม่ได้” 9 ซีโมนเปโตรบอกว่า “นายครับ ถ้าอย่างนั้นอย่าล้างแค่เท้าเลย ล้างมือกับหัวให้ผมด้วย” 10 พระเยซูบอกเขาว่า “คนที่อาบน้ำแล้วก็สะอาดทั้งตัว+ ล้างแค่เท้าก็พอ พวกคุณสะอาด แต่ไม่ใช่ทุกคน” 11 ที่พระเยซูพูดว่า “พวกคุณสะอาด แต่ไม่ใช่ทุกคน” เพราะท่านรู้ว่าคนไหนจะทรยศท่าน+
12 เมื่อพระเยซูล้างเท้าพวกสาวกแล้ว ท่านก็ใส่เสื้อคลุม และกลับไปนั่งเอนตัวที่โต๊ะอาหาร ท่านถามพวกเขาว่า “เข้าใจไหมว่า ทำไมผมทำอย่างนี้ให้พวกคุณ? 13 พวกคุณเรียกผมว่า ‘อาจารย์’+ และ ‘นาย’ และที่พวกคุณเรียกแบบนั้นก็ถูกแล้ว เพราะผมเป็นอย่างนั้นจริง ๆ+ 14 ดังนั้น ถ้าผมที่เป็นนายและอาจารย์ยังล้างเท้าให้พวกคุณ+ พวกคุณก็ควรจะล้างเท้าให้กันและกันด้วย+ 15 ผมทำเป็นตัวอย่างให้ดูแล้ว พวกคุณก็ควรทำตาม+ 16 ผมจะบอกให้รู้ว่า ทาสไม่ใหญ่กว่านาย และคนที่ถูกใช้ไปก็ไม่ใหญ่กว่าคนที่ใช้เขา+ 17 ถ้าพวกคุณรู้เรื่องนี้แล้วทำตาม พวกคุณจะมีความสุข+ 18 ผมไม่ได้พูดถึงพวกคุณทุกคน ผมรู้จักคนที่ผมเลือกไว้ แต่เรื่องที่พระคัมภีร์บอกไว้จะต้องเป็นจริง+ที่ว่า ‘คนที่กินอาหารของผมได้ตั้งตัวเป็นศัตรูกับผม’+ 19 ผมบอกพวกคุณไว้ก่อนที่เรื่องนี้จะเกิดขึ้น และเมื่อมันเกิดขึ้นจริง พวกคุณจะรู้ว่าผมคือคนที่พระคัมภีร์พูดถึง+ 20 ผมจะบอกให้รู้ว่า ใครที่ต้อนรับคนที่ผมใช้ไปก็ต้อนรับผม+ และใครที่ต้อนรับผมก็ต้อนรับพระองค์ผู้ใช้ผมมา”+
21 เมื่อพูดถึงตรงนี้ พระเยซูก็สะเทือนใจมากและพูดออกมาว่า “ผมจะบอกให้รู้ว่า คนหนึ่งในพวกคุณจะทรยศผม”+ 22 พวกสาวกก็มองหน้ากัน และสงสัยว่าท่านกำลังพูดถึงใคร+ 23 สาวกคนหนึ่งที่พระเยซูรัก+นั่งเอนตัวอยู่ข้าง ๆ ท่าน 24 ซีโมนเปโตรจึงพยักหน้าให้คนนั้นและถามเขาว่า “รู้ไหม ท่านหมายถึงใคร?” 25 สาวกคนนั้นจึงเอนตัวมาใกล้อกของพระเยซูแล้วถามว่า “ท่านหมายถึงใครครับ?”+ 26 พระเยซูตอบว่า “คนนั้นคือคนที่ผมจะเอาขนมปังจิ้มในชามและยื่นให้เขา”+ แล้วท่านก็เอาขนมปังจิ้มในชามและยื่นให้ยูดาสลูกซีโมนอิสคาริโอท 27 เมื่อยูดาสรับขนมปังชิ้นนั้นแล้ว ซาตานก็ดลใจเขา+ พระเยซูจึงพูดกับเขาว่า “คุณจะทำอะไรก็รีบทำเถอะ” 28 แต่สาวกคนอื่นที่นั่งร่วมโต๊ะอยู่ไม่รู้ว่าทำไมท่านพูดกับยูดาสอย่างนั้น 29 บางคนคิดว่าพระเยซูกำลังบอกเขาว่า “ไปซื้อของที่ต้องใช้ในเทศกาล” เพราะยูดาสเป็นคนถือกล่องเก็บเงิน+ หรือไม่ก็บอกเขาให้ไปแจกทานให้คนจน 30 เมื่อเขารับขนมปังชิ้นนั้นแล้วก็ออกไปทันที ตอนนั้นเป็นตอนกลางคืน+
31 เมื่อยูดาสออกไปแล้ว พระเยซูพูดว่า “ถึงเวลาแล้วที่ ‘ลูกมนุษย์’ จะได้รับการยกย่อง+ และพระเจ้าก็จะได้รับการยกย่องเพราะเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นกับท่าน* 32 พระเจ้าเองจะเป็นผู้ยกย่องท่าน+ และพระองค์จะทำทันที 33 ลูก ๆ ที่รัก ผมจะอยู่กับพวกคุณได้อีกไม่นาน พวกคุณจะตามหาผม และอย่างที่ผมเคยบอกพวกยิวว่า ‘ที่ที่ผมจะไปนั้น พวกคุณจะไปไม่ได้’+ ตอนนี้ผมก็จะบอกพวกคุณอย่างนั้นด้วย 34 ผมให้กฎหมายใหม่กับพวกคุณ คือ ให้พวกคุณรักกัน ผมรักพวกคุณอย่างไร+ ก็ให้พวกคุณรักกันอย่างนั้นด้วย+ 35 ทุกคนจะรู้ว่าพวกคุณเป็นสาวกของผม เมื่อพวกคุณรักกัน”+
36 ซีโมนเปโตรถามพระเยซูว่า “ท่านจะไปไหนหรือครับ?” ท่านตอบว่า “ที่ที่ผมจะไปนั้น ตอนนี้คุณยังตามไปไม่ได้ แต่คุณจะตามผมไปทีหลัง”+ 37 เปโตรถามท่านว่า “นายครับ ทำไมผมถึงตามไปตอนนี้ไม่ได้ล่ะ? ผมพร้อมจะสละชีวิตเพื่อท่าน”+ 38 พระเยซูตอบว่า “คุณพร้อมจะสละชีวิตเพื่อผมหรือ? ผมจะบอกให้รู้ว่า ก่อนไก่ขัน คุณจะปฏิเสธผมถึง 3 ครั้ง”+
14 “อย่าทุกข์ใจไปเลย+ ขอให้แสดงความเชื่อในพระเจ้า+ และแสดงความเชื่อในตัวผมด้วย 2 บ้านของพ่อผมมีที่มากมายให้พวกคุณอยู่ได้ ถ้าไม่มี ผมก็คงบอกพวกคุณไปแล้ว และตอนนี้ผมกำลังจะไปเตรียมที่ให้พวกคุณอยู่+ 3 เมื่อผมไปเตรียมที่ให้แล้ว ผมจะกลับมารับพวกคุณไปอยู่กับผม เพื่อว่าผมอยู่ที่ไหน พวกคุณก็จะอยู่ที่นั่นด้วย+ 4 และพวกคุณก็รู้จักทางที่ผมกำลังจะไป”
5 โธมัส+บอกว่า “นายครับ พวกเรายังไม่รู้เลยว่าท่านกำลังจะไปไหน แล้วพวกเราจะรู้จักทางนั้นได้ยังไง?”
6 พระเยซูตอบเขาว่า “ผมเป็นทางนั้น+ เป็นความจริง+ และเป็นชีวิต+ ไม่มีใครจะมาถึงพระเจ้าผู้เป็นพ่อได้นอกจากมาทางผม+ 7 ถ้าพวกคุณรู้จักผมจริง ๆ พวกคุณก็น่าจะรู้จักพ่อผมด้วย+ ตั้งแต่นี้ไป พวกคุณจะรู้จักพระองค์ ที่จริง พวกคุณได้เห็นพระองค์แล้ว”+
8 ฟีลิปพูดว่า “นายครับ ขอแค่ได้เห็นพระเจ้าผู้เป็นพ่อ พวกเราก็พอใจแล้ว”
9 พระเยซูบอกเขาว่า “ฟีลิป ผมอยู่กับพวกคุณมาตั้งนาน คุณยังไม่รู้จักผมอีกหรือ? คนที่ได้เห็นผมก็ได้เห็นพระเจ้าผู้เป็นพ่อด้วย+ แล้วทำไมคุณถึงพูดว่า ‘ขอให้ได้เห็นพระเจ้าผู้เป็นพ่อ’? 10 คุณไม่เชื่อหรือว่า ผมเป็นหนึ่งเดียวกับพ่อและพ่อเป็นหนึ่งเดียวกับผม?+ สิ่งที่ผมบอกพวกคุณ ผมไม่ได้คิดขึ้นมาเอง+ แต่พ่อใช้ผมทำงานของพระองค์อยู่ และพระองค์เป็นหนึ่งเดียวกับผมเสมอ 11 เชื่อผมเถอะ ที่ผมบอกว่าผมเป็นหนึ่งเดียวกับพ่อและพ่อเป็นหนึ่งเดียวกับผม แต่ถ้าไม่เชื่อที่ผมบอก ก็ให้เชื่อเพราะงานที่ผมทำ+ 12 ผมจะบอกให้รู้ว่า คนที่แสดงความเชื่อในตัวผมจะทำงานที่ผมทำด้วย และเขาจะทำงานใหญ่กว่าที่ผมทำอีก+ เพราะผมกำลังจะไปหาพระเจ้าผู้เป็นพ่อ+ 13 และไม่ว่าพวกคุณจะขออะไรในนามของผม ผมก็จะทำสิ่งนั้นให้ เพื่อพระเจ้าผู้เป็นพ่อจะได้รับการยกย่องเพราะลูกของพระองค์+ 14 ถ้าพวกคุณขออะไรในนามของผม ผมจะทำให้
15 “ถ้าพวกคุณรักผม พวกคุณจะทำตามคำสั่งของผม+ 16 ผมจะขอพระเจ้าผู้เป็นพ่อให้ส่งผู้ช่วยอีกผู้หนึ่งมาอยู่กับพวกคุณตลอดไป+ 17 คือพลังของพระเจ้าที่ทำให้เห็นความจริง+ โลกนี้ไม่ได้รับพลังนั้นเพราะโลกไม่เห็นและไม่รู้จัก+ แต่พวกคุณรู้จักพลังของพระเจ้า เพราะพลังนั้นอยู่กับพวกคุณและอยู่ในตัวพวกคุณ 18 ผมจะไม่ทิ้งพวกคุณให้อยู่โดดเดี่ยว ผมจะกลับมาหาพวกคุณแน่นอน+ 19 อีกหน่อย โลกจะไม่ได้เห็นผม แต่พวกคุณจะได้เห็นผม+ เพราะผมมีชีวิตอยู่และพวกคุณก็จะมีชีวิตด้วย 20 ในวันนั้น พวกคุณจะได้รู้ว่าผมเป็นหนึ่งเดียวกับพ่อของผม และพวกคุณเป็นหนึ่งเดียวกับผม และผมเป็นหนึ่งเดียวกับพวกคุณ+ 21 ทุกคนที่รู้ว่าผมสั่งอะไรและทำตามก็รักผม พ่อผมจะรักทุกคนที่รักผม+ ผมเองก็จะรักเขาด้วยและจะให้เขาได้รู้จักผมจริง ๆ”
22 ยูดาส+ที่ไม่ใช่ยูดาสอิสคาริโอทถามพระเยซูว่า “นายครับ ท่านตั้งใจให้พวกเราได้รู้จักท่าน แต่ทำไมไม่ให้โลกรู้จักล่ะครับ?”
23 พระเยซูตอบเขาว่า “ถ้าใครรักผม เขาจะทำตามคำสอนของผม+ และพ่อของผมจะรักเขา ผมกับพ่อจะมาหาเขาและจะให้เขาได้อยู่ด้วย+ 24 ส่วนคนที่ไม่รักผมก็ไม่ทำตามคำสอนของผม สิ่งที่พวกคุณฟังอยู่นี้ไม่ใช่คำสอนของผมเองแต่เป็นของพระเจ้าผู้เป็นพ่อที่ใช้ผมมา+
25 “ผมบอกเรื่องทั้งหมดกับพวกคุณตอนที่ผมยังอยู่ด้วย 26 แต่เมื่อพระเจ้าผู้เป็นพ่อส่งผู้ช่วยมาในนามของผม* คือพลังบริสุทธิ์ของพระองค์ ผู้ช่วยนั้นจะสอนพวกคุณทุกอย่างและจะช่วยให้จำทุกเรื่องที่ผมเคยสอนได้+ 27 ผมให้พวกคุณมีความสงบสุข+ และพวกคุณจะมีความสงบสุขแบบนี้ต่อไป เป็นความสงบสุขแบบที่โลกนี้ให้ไม่ได้ พวกคุณไม่ต้องทุกข์ใจและไม่ต้องกลัว 28 ผมเคยบอกไว้ว่า ‘ผมจะไป แล้วจะกลับมาหาพวกคุณ’ ถ้าพวกคุณรักผมจริง ๆ พวกคุณคงดีใจที่ผมจะไปหาพ่อ เพราะพระเจ้าผู้เป็นพ่อยิ่งใหญ่กว่าผม+ 29 ผมบอกพวกคุณไว้ก่อนที่เรื่องทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้น และเมื่อมันเกิดขึ้นจริง พวกคุณจะได้เชื่อ+ 30 ต่อไปนี้ ผมจะไม่พูดอะไรกับพวกคุณมาก ผู้ปกครองโลก+จะมาแล้ว แต่ผู้นั้นไม่มีอำนาจเหนือผม+ 31 ผมกำลังทำทุกอย่างตามที่พระเจ้าผู้เป็นพ่อสั่งไว้+ เพื่อให้โลกรู้ว่าผมรักพระองค์ ลุกขึ้นแล้วไปกันเถอะ
15 “ผมเป็นต้นองุ่นแท้ และพระเจ้าผู้เป็นพ่อของผมเป็นผู้ดูแลสวนองุ่น 2 ทุกกิ่งที่แตกออกจากผม ถ้าไม่ออกผล พระองค์จะตัดทิ้งไป ส่วนกิ่งที่ออกผล พระองค์จะตัดแต่งกิ่งนั้นให้สะอาดเพื่อให้ออกผลมากขึ้นอีก+ 3 คำสอนของผมทำให้พวกคุณสะอาดแล้ว+ 4 ขอให้ติดสนิทกับผม แล้วผมจะติดสนิทกับพวกคุณ กิ่งจะออกผลไม่ได้ถ้าไม่ติดอยู่กับต้น พวกคุณก็จะเกิดผลไม่ได้เหมือนกันถ้าไม่ติดสนิทกับผม+ 5 ผมเป็นต้นองุ่น พวกคุณเป็นกิ่ง ถ้าใครติดสนิทกับผมและผมติดสนิทกับเขา คนนั้นจะเกิดผลมาก+ แต่ถ้าพวกคุณแยกตัวจากผม พวกคุณจะทำอะไรไม่สำเร็จเลย 6 ถ้าใครไม่ติดสนิทกับผม เขาจะถูกทิ้งเหมือนกิ่งไม้และจะแห้งไป แล้วจะมีคนมาเก็บรวบรวมกิ่งพวกนั้นไปเผาทิ้งในกองไฟ+ 7 ถ้าพวกคุณติดสนิทกับผมและยึดมั่นในคำสอนของผมอยู่เสมอ ไม่ว่าพวกคุณขออะไร ก็จะเป็นไปตามนั้น+ 8 พ่อของผมจะได้รับการยกย่อง เมื่อพวกคุณเกิดผลมากอยู่เรื่อย ๆ และแสดงตัวว่าเป็นสาวกของผม+ 9 ผมรักพวกคุณเหมือนที่พ่อรักผม+ ขอให้ทำตัวเป็นที่รักของผมเสมอ 10 ถ้าพวกคุณทำตามที่ผมสั่ง พวกคุณจะเป็นที่รักของผมเสมอ+ เหมือนกับที่ผมทำตามคำสั่งของพระเจ้าผู้เป็นพ่อและเป็นที่รักของพระองค์เสมอ+
11 “ผมบอกเรื่องทั้งหมดนี้ เพื่อพวกคุณจะมีความสุขมากเหมือนที่ผมมี+ 12 นี่เป็นคำสั่งของผม คือ ให้พวกคุณรักกันเหมือนที่ผมรักพวกคุณ+ 13 ไม่มีความรักที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ คือที่คนหนึ่งยอมสละชีวิตเพื่อเพื่อนของเขา+ 14 ถ้าพวกคุณทำตามที่ผมสั่ง พวกคุณก็เป็นเพื่อนของผม+ 15 ผมไม่เรียกพวกคุณว่าทาสอีกแล้ว เพราะทาสไม่รู้ว่านายทำอะไรบ้าง แต่ผมเรียกพวกคุณว่าเพื่อน เพราะผมบอกพวกคุณให้รู้ทุกอย่างที่ผมได้ยินจากพ่อของผม 16 พวกคุณไม่ได้เลือกผม แต่ผมเป็นฝ่ายเลือกพวกคุณเพื่อให้พวกคุณเกิดผลต่อ ๆ ไป ซึ่งเป็นผลที่จะคงอยู่ตลอดไป และไม่ว่าพวกคุณจะขออะไรในนามของผม พระเจ้าผู้เป็นพ่อจะให้สิ่งนั้นกับคุณ+
17 “ผมบอกพวกคุณอย่างนี้ก็เพื่อให้พวกคุณรักกัน+ 18 ถ้าโลกนี้เกลียดพวกคุณ ก็ให้จำไว้ว่าโลกเกลียดผมก่อน+ 19 ถ้าพวกคุณเป็นคนของโลกนี้ โลกก็จะรักคุณ แต่ตอนนี้พวกคุณไม่ได้เป็นคนของโลกนี้แล้ว+ เพราะผมเลือกพวกคุณให้อยู่ต่างหากจากโลก โลกนี้จึงเกลียดคุณ+ 20 อย่าลืมที่ผมพูดไว้ว่า ทาสไม่ใหญ่กว่านาย ถ้าพวกเขาข่มเหงผม พวกเขาจะข่มเหงพวกคุณด้วย+ ถ้าพวกเขาทำตามคำสอนของผม พวกเขาก็จะทำตามคำสอนของคุณด้วย 21 พวกเขาจะทำไม่ดีกับพวกคุณต่าง ๆ นานาเพราะพวกคุณเป็นสาวกของผม และเพราะพวกเขาไม่รู้จักผู้นั้นที่ใช้ผมมา+ 22 ถ้าผมไม่ได้มาเตือนพวกเขา พวกเขาก็คงไม่ต้องรับโทษ+เพราะบาปของตัวเอง แต่ตอนนี้พวกเขาไม่มีข้อแก้ตัวแล้ว+ 23 คนที่เกลียดผมก็เกลียดพ่อของผมด้วย+ 24 ถ้าผมไม่ได้ทำการอัศจรรย์แบบที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อนให้พวกเขาเห็น พวกเขาก็คงไม่ต้องรับโทษเพราะบาป+ แต่ตอนนี้ ทั้ง ๆ ที่พวกเขาเห็นแล้ว พวกเขาก็ยังเกลียดผมและพ่อของผมด้วย 25 เรื่องนี้เป็นไปตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า ‘พวกเขาเกลียดผมโดยไม่มีสาเหตุ’+ 26 ผมจะส่งผู้ช่วยจากพระเจ้าผู้เป็นพ่อมาให้พวกคุณ ผู้ช่วยนั้นคือพลังของพระองค์ที่ทำให้เห็นความจริง+ เมื่อมาแล้ว ผู้ช่วยนั้นจะเป็นพยานยืนยันให้ผม+ 27 และให้พวกคุณเป็นพยานยืนยันให้ผมด้วย+ เพราะพวกคุณอยู่กับผมมาตั้งแต่แรก
16 “ผมบอกเรื่องทั้งหมดนี้เพื่อพวกคุณจะไม่ท้อถอย 2 พวกคุณจะถูกไล่ออกจากที่ประชุมของชาวยิว+ ที่จริง อีกไม่นานทุกคนที่ฆ่าพวกคุณ+จะคิดว่านั่นเป็นการรับใช้พระเจ้า 3 พวกเขาจะทำอย่างนั้นก็เพราะไม่รู้จักพระเจ้าผู้เป็นพ่อและไม่รู้จักผม+ 4 แต่ผมบอกเรื่องทั้งหมดนี้เพื่อว่า เมื่อเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น พวกคุณจะนึกขึ้นได้ว่าผมบอกพวกคุณไว้แล้ว+
“ผมไม่ได้บอกเรื่องทั้งหมดนี้กับพวกคุณแต่แรก ก็เพราะที่ผ่านมาผมยังอยู่กับพวกคุณ 5 ตอนนี้ผมจะไปหาพระองค์ที่ใช้ผมมา+ แต่ไม่เห็นมีพวกคุณสักคนถามว่า ‘อาจารย์จะไปไหน?’ 6 ก็เพราะเรื่องที่ผมบอกทำให้พวกคุณทุกข์ใจ+ 7 ถึงอย่างนั้น ผมจะบอกให้รู้ว่า ที่ผมจะไปนั้นก็เพื่อประโยชน์ของพวกคุณ เพราะถ้าผมไม่ไป ผู้ช่วย+จะไม่มาหาพวกคุณ แต่ถ้าผมไป ผมก็จะส่งผู้ช่วยมาหาพวกคุณ 8 เมื่อมาแล้ว ผู้ช่วยนั้นจะทำให้โลกรู้ความจริงเกี่ยวกับบาป เกี่ยวกับความถูกต้องชอบธรรม และเกี่ยวกับการตัดสินลงโทษจากพระเจ้า 9 ในเรื่องบาปนั้น+ ผู้ช่วยจะทำให้เห็นชัดว่าโลกนี้มีบาป เพราะโลกนี้ไม่แสดงความเชื่อในตัวผม+ 10 ในเรื่องความถูกต้องชอบธรรมนั้น ผู้ช่วยจะทำให้โลกรู้ว่าสิ่งที่ผมทำนั้นถูกต้อง เพราะผมกำลังจะไปหาพระเจ้าผู้เป็นพ่อ แล้วพวกคุณจะไม่เห็นผมอีก 11 และในเรื่องการตัดสินลงโทษนั้น ผู้ช่วยจะทำให้รู้ว่าพระเจ้าจะตัดสินลงโทษใคร เพราะพระองค์ตัดสินลงโทษผู้ปกครองโลกนี้แล้ว+
12 “ผมยังมีอีกหลายเรื่องที่จะบอกพวกคุณ แต่ถ้าจะบอกทั้งหมดตอนนี้ พวกคุณยังเข้าใจไม่ได้+ 13 แต่เมื่อผู้ช่วยมา ซึ่งก็คือพลังของพระเจ้าที่ทำให้เห็นความจริง+ ผู้ช่วยนั้นจะช่วยพวกคุณให้เข้าใจความจริงทั้งหมด ผู้ช่วยจะไม่พูดเอง แต่จะพูดตามที่ได้ยินมา และจะบอกให้พวกคุณรู้สิ่งที่จะเกิดขึ้น+ 14 ผู้ช่วยจะทำให้ผมได้รับการยกย่อง+เพราะจะถ่ายทอดสิ่งที่ได้ยินจากผมให้พวกคุณ+ 15 พระเจ้าผู้เป็นพ่อสอนผมทุกอย่างที่พระองค์รู้+ ผมถึงบอกว่าผู้ช่วยนั้นจะถ่ายทอดสิ่งที่ได้ยินจากผมให้พวกคุณ 16 อีกหน่อยพวกคุณจะไม่เห็นผม+ แล้วอีกหน่อยพวกคุณจะได้เห็นผม”
17 เมื่อได้ยินอย่างนั้น สาวกบางคนก็คุยกันว่า “ท่านหมายถึงอะไรที่บอกว่า ‘อีกหน่อยพวกคุณจะไม่เห็นผม แล้วอีกหน่อยพวกคุณจะได้เห็นผม’ และที่บอกว่า ‘เพราะผมกำลังจะไปหาพระเจ้าผู้เป็นพ่อ’?” 18 พวกเขาจึงพูดกันว่า “ที่ท่านบอกว่า ‘อีกหน่อย’ นั้นหมายถึงอะไร? ไม่เห็นรู้เรื่องเลยว่าท่านพูดถึงอะไร” 19 พระเยซูรู้ว่าพวกเขาอยากถามเรื่องนี้ ท่านจึงถามพวกเขาว่า “พวกคุณคุยกันเกี่ยวกับเรื่องที่ผมพูดใช่ไหม ที่ผมบอกว่า ‘อีกหน่อยพวกคุณจะไม่เห็นผม แล้วอีกหน่อยพวกคุณจะได้เห็นผม’? 20 ผมจะบอกให้รู้ว่า พวกคุณจะร้องไห้คร่ำครวญ+ แต่โลกจะดีใจ พวกคุณจะมีความทุกข์ แต่ความทุกข์นั้นจะเปลี่ยนเป็นความสุข+ 21 ผู้หญิงมีความทุกข์เมื่อถึงเวลาคลอด แต่พอคลอดลูกแล้ว เธอก็ลืมความทุกข์ทรมานไปหมด เพราะมีความสุขที่ได้เห็นเด็กคนหนึ่งเกิดมาในโลก 22 ก็เหมือนกับพวกคุณที่ตอนนี้มีความทุกข์ แต่เราจะได้เจอกันอีก แล้วพวกคุณจะมีความสุข+ จะไม่มีใครมาแย่งความสุขนั้นไปจากพวกคุณได้ 23 ในวันนั้น พวกคุณจะไม่ถามอะไรผมเลย ผมจะบอกให้รู้ว่า ถ้าพวกคุณขออะไรจากพระเจ้าผู้เป็นพ่อ+ในนามของผม พระองค์จะให้สิ่งนั้นกับพวกคุณ+ 24 ที่ผ่านมา พวกคุณยังไม่เคยขออะไรในนามของผม ขอสิ ขอในนามของผมแล้วพวกคุณจะได้รับ และพวกคุณจะมีความสุขมาก
25 “ผมเคยใช้ตัวอย่างเปรียบเทียบเมื่อบอกเรื่องต่าง ๆ กับพวกคุณ เมื่อถึงเวลา ผมจะไม่ใช้ตัวอย่างเปรียบเทียบอีก แต่ผมจะบอกพวกคุณตรง ๆ เรื่องพระเจ้าผู้เป็นพ่อ 26 ในตอนนั้น พวกคุณจะขอจากพระเจ้าผู้เป็นพ่อในนามของผม แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าผมจะขอแทนพวกคุณ 27 พระเจ้าผู้เป็นพ่อรักพวกคุณ เพราะพวกคุณรักผม+และเชื่อว่าผมเป็นตัวแทนของพระองค์+ 28 ผมเข้ามาในโลกฐานะตัวแทนของพระเจ้าผู้เป็นพ่อ และตอนนี้ผมกำลังจะไปจากโลกเพื่อกลับไปหาพระเจ้าผู้เป็นพ่อ”+
29 พวกสาวกจึงพูดว่า “นี่ไง ตอนนี้ท่านพูดกับพวกเราตรง ๆ โดยไม่ใช้ตัวอย่างเปรียบเทียบแล้ว 30 พวกเราเห็นแล้วว่าท่านรู้ทุกอย่าง และท่านไม่ต้องรอให้คนมาถาม เพราะท่านรู้หมดว่าใครคิดอะไรอยู่ นี่แหละ พวกเราถึงได้เชื่อว่าท่านมาจากพระเจ้า” 31 พระเยซูถามพวกเขาว่า “พวกคุณเชื่อจริง ๆ หรือ? 32 คอยดูนะ ใกล้จะถึงเวลาแล้ว ที่จริง ถึงเวลาแล้วด้วยซ้ำที่พวกคุณจะกระจัดกระจายกลับไปบ้านของตัวเอง และจะทิ้งผมไว้คนเดียว+ แต่ผมไม่ได้อยู่คนเดียว เพราะพระเจ้าผู้เป็นพ่ออยู่กับผม+ 33 ผมบอกเรื่องทั้งหมดนี้เพื่อพวกคุณจะมีความสงบสุขเพราะผม+ ในโลกนี้พวกคุณจะมีความยากลำบาก+ แต่ขอให้กล้าหาญไว้ ผมชนะโลกแล้ว”+
17 เมื่อพระเยซูพูดอย่างนั้นแล้ว ก็เงยหน้ามองฟ้า และพูดว่า “พ่อครับ ถึงเวลาแล้ว ขอแต่งตั้งผมที่เป็นลูกของพระองค์ให้มีเกียรติ เพื่อผมจะได้ยกย่องพระองค์+ 2 พระองค์ให้ลูกของพระองค์มีอำนาจเหนือมนุษย์ทุกคนแล้ว+ เพื่อผมจะให้ชีวิตตลอดไป+กับทุกคนที่พระองค์ยกให้ผม+ 3 พวกเขาจะได้ชีวิตตลอดไป+ ถ้าพวกเขามารู้จักพระองค์ที่เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว+ และรู้จักคนที่พระองค์ใช้มา คือเยซูคริสต์+ 4 ผมได้ยกย่องพระองค์บนโลกนี้แล้ว+ และทำงานที่พระองค์มอบหมายให้ทำจนสำเร็จ+ 5 พ่อครับ ตอนนี้ ขอให้ผมได้รับเกียรติที่จะอยู่เคียงข้างพระองค์ คือเกียรติที่ผมเคยมีตอนที่อยู่เคียงข้างพระองค์ก่อนจะมีโลกนี้+
6 “คนที่พระองค์แยกออกจากโลกนี้และยกให้ผม ผมช่วยพวกเขาให้รู้จักชื่อของพระองค์แล้ว+ พวกเขาเป็นคนของพระองค์ พระองค์ยกพวกเขาให้ผม และพวกเขาทำตามคำสอนของพระองค์ 7 เดี๋ยวนี้พวกเขารู้แล้วว่า ทุกอย่างที่ผมได้รับมานั้นก็มาจากพระองค์ 8 เพราะผมบอกทุกอย่างตามที่พระองค์สอนไว้+ และพวกเขารับคำสอนนั้นแล้ว พวกเขามั่นใจว่าผมเป็นตัวแทนของพระองค์+ และเชื่อว่าพระองค์ใช้ผมมา+ 9 ผมขอเพื่อพวกเขา ผมไม่ได้ขอเพื่อโลกนี้ แต่ขอเพื่อคนที่พระองค์ยกให้ผม เพราะพวกเขาเป็นคนของพระองค์ 10 ทุกสิ่งของผมก็เป็นของพระองค์ และทุกสิ่งของพระองค์ก็เป็นของผม+ และพวกเขายกย่องให้เกียรติผมแล้ว
11 “ผมจะไม่อยู่ในโลกนี้แล้ว แต่พวกเขายังอยู่ในโลกต่อไป+ ผมจะไปหาพระองค์ พ่อผู้บริสุทธิ์ ขอดูแลพวกเขา+เพื่อเห็นแก่ชื่อของพระองค์ที่ให้ผมไว้ ให้พวกเขาเป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนที่ผมกับพระองค์เป็นหนึ่งเดียวกัน+ 12 ตอนที่ผมอยู่กับพวกเขา ผมดูแลพวกเขา+เพื่อเห็นแก่ชื่อของพระองค์ที่ให้ผมไว้ และผมปกป้องพวกเขาไว้ไม่ให้พินาศสักคนเดียว+ นอกจากคนนั้นที่จะต้องพินาศ+ตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์+ 13 ตอนนี้ ผมกำลังจะไปหาพระองค์ และผมพูดถึงสิ่งเหล่านี้ตอนที่ยังอยู่ในโลก เพื่อพวกเขาจะมีความสุขความยินดีมากเหมือนกับผม+ 14 ผมถ่ายทอดคำสอนของพระองค์ให้พวกเขาแล้ว แต่โลกนี้เกลียดพวกเขา+ เพราะพวกเขาไม่ได้เป็นคนของโลก+ เหมือนที่ผมไม่ได้เป็นคนของโลก
15 “ผมไม่ได้ขอพระองค์ให้เอาพวกเขาออกไปจากโลก แต่ขอให้ปกป้องพวกเขาจากตัวชั่วร้าย+ 16 พวกเขาไม่ได้เป็นคนของโลก+ เหมือนที่ผมไม่ได้เป็นคนของโลก+ 17 ถ้อยคำของพระองค์เป็นความจริง+ ขอให้ความจริงนี้ทำให้พวกเขาบริสุทธิ์+ 18 ผมใช้พวกเขาไปในโลก เหมือนที่พระองค์ใช้ผมเข้ามาในโลก+ 19 ผมรักษาตัวเองให้บริสุทธิ์เพื่อประโยชน์ของพวกเขา เพื่อพวกเขาจะเป็นคนบริสุทธิ์ได้ด้วยความจริง
20 “ผมไม่ได้ขอเพื่อพวกเขาเท่านั้น แต่ขอเพื่อคนที่เชื่อผมเพราะได้ฟังพวกเขาด้วย 21 พวกเขาจะได้เป็นหนึ่งเดียวกัน+ เหมือนที่พระองค์เป็นหนึ่งเดียวกับผม+ และผมเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ พวกเขาจะได้เป็นหนึ่งเดียวกับพวกเราด้วย เพื่อโลกจะเชื่อว่าพระองค์ใช้ผมมา 22 ผมทำให้พวกเขามีเกียรติ เหมือนที่พระองค์ทำให้ผมมีเกียรติ เพื่อพวกเขาจะเป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนที่พวกเราเป็นหนึ่งเดียวกัน+ 23 ผมเป็นหนึ่งเดียวกับพวกเขา และพระองค์ก็เป็นหนึ่งเดียวกับผม เพื่อพวกเขาเองจะเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างแท้จริง+ โลกจะได้รู้ว่าพระองค์ใช้ผมมา และรู้ว่าพระองค์รักพวกเขาเหมือนที่รักผม 24 พ่อครับ ผมขอให้คนที่พระองค์ยกให้ผมได้อยู่ที่เดียวกับผม+ เพื่อพวกเขาจะได้เห็นเกียรติที่ผมได้รับจากพระองค์ เพราะพระองค์รักผมตั้งแต่ก่อนมีโลกนี้+ 25 พ่อยุติธรรมเสมอ โลกไม่รู้จักพระองค์เลย+ แต่ผมรู้จักพระองค์+ และพวกเขาที่อยู่ที่นี่รู้แล้วว่าพระองค์ใช้ผมมา 26 ผมทำให้พวกเขารู้จักชื่อของพระองค์แล้ว และจะทำให้พวกเขารู้จักดีขึ้นอีก+ เพื่อพวกเขาจะมีความรักแบบเดียวกับที่พระองค์รักผม และผมจะเป็นหนึ่งเดียวกับพวกเขา”+
18 เมื่อพระเยซูอธิษฐานเสร็จแล้วก็ออกไปกับพวกสาวก ข้ามหุบเขาขิดโรน+ แล้วเข้าไปในสวนแห่งหนึ่ง+ 2 ยูดาสคนที่ทรยศพระเยซูก็รู้จักสวนนั้นด้วย+ เพราะพระเยซูไปที่นั่นกับพวกสาวกบ่อย ๆ 3 ยูดาสจึงพาทหารกลุ่มหนึ่งกับเจ้าหน้าที่ของพวกปุโรหิตใหญ่และของพวกฟาริสีไปที่นั่น พวกเขาถือคบไฟ ตะเกียง และอาวุธมาด้วย+ 4 พระเยซูรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับท่าน ท่านจึงก้าวออกมาและถามพวกเขาว่า “มาตามหาใคร?” 5 พวกเขาตอบว่า “เยซูชาวนาซาเร็ธ”+ พระเยซูบอกพวกเขาว่า “ผมเอง” ยูดาสคนทรยศก็ยืนอยู่กับพวกเขาด้วย+
6 เมื่อพระเยซูพูดว่า “ผมเอง” พวกเขาถึงกับผงะถอยหลังล้มลงกับพื้น+ 7 ท่านจึงถามอีกครั้งว่า “มาตามหาใคร?” พวกเขาตอบว่า “เยซูชาวนาซาเร็ธ” 8 พระเยซูบอกว่า “ก็บอกแล้วว่าผมนี่แหละ ถ้าพวกคุณมาตามหาผม ก็ปล่อยคนพวกนี้ไปเถอะ” 9 ที่พระเยซูทำอย่างนี้ก็เพื่อให้เป็นไปตามที่ท่านเคยบอกไว้ว่า “ผมปกป้องคนที่พระองค์ยกให้ผมไว้ ไม่ให้หายไปแม้แต่คนเดียว”+
10 ซีโมนเปโตรมีดาบอยู่เล่มหนึ่ง เขาชักดาบออกฟันทาสของมหาปุโรหิตโดนหูขวาขาด+ ทาสคนนั้นชื่อมัลคัส 11 แต่พระเยซูบอกเปโตรว่า “เก็บดาบใส่ฝักซะ+ ถ้วยที่พ่อให้ผมดื่ม ผมจะไม่ดื่มได้หรือ?”+
12 แล้วทหารกับผู้บังคับบัญชาและเจ้าหน้าที่ของผู้นำชาวยิวก็จับพระเยซูมัดไว้ 13 แล้วพาไปหาอันนาสก่อน เพราะเขาเป็นพ่อตาของเคยาฟาส+ที่เป็นมหาปุโรหิตในปีนั้น+ 14 เคยาฟาสคนนี้เคยแนะนำผู้นำชาวยิวว่า จะเป็นประโยชน์กับพวกเขาเอง ถ้าให้คนหนึ่งตายแทนประชาชน+
15 ซีโมนเปโตรกับสาวกอีกคนหนึ่งตามพระเยซูไป+ สาวกคนนั้นรู้จักกับมหาปุโรหิต เขาจึงตามพระเยซูเข้าไปในลานบ้านของมหาปุโรหิต 16 แต่เปโตรยืนอยู่ตรงทางเข้า แล้วสาวกคนที่รู้จักกับมหาปุโรหิตก็ออกมาพูดกับสาวใช้ที่เฝ้าประตูอยู่ และพาเปโตรเข้าไปข้างใน 17 สาวใช้คนนั้นถามเปโตรว่า “คุณเป็นสาวกของคนนั้นด้วยไม่ใช่หรือ?” เขาตอบว่า “เปล่า ผมไม่ได้เป็น”+ 18 พวกทาสกับเจ้าหน้าที่เอาถ่านมาก่อกองไฟ แล้วยืนผิงไฟกันอยู่เพราะอากาศหนาว เปโตรก็เข้าไปยืนผิงไฟกับพวกเขาด้วย
19 ปุโรหิตใหญ่ซักถามพระเยซูเกี่ยวกับพวกสาวกและคำสอนของท่าน 20 พระเยซูตอบเขาว่า “ผมพูดต่อหน้าทุกคนอย่างเปิดเผย ผมสอนอยู่ในที่ประชุมและในวิหาร+ที่พวกยิวทุกคนมาชุมนุมกัน ผมไม่ได้พูดอะไรในที่ลับเลย 21 มาถามผมทำไม? ไปถามคนที่ได้ยินผมพูดสิ พวกเขาก็รู้” 22 พอพระเยซูพูดอย่างนั้น เจ้าหน้าที่คนหนึ่งซึ่งยืนอยู่ใกล้ ๆ ก็ตบหน้าพระเยซู+และพูดว่า “ตอบปุโรหิตใหญ่แบบนี้ได้ยังไง?” 23 พระเยซูตอบเขาว่า “ถ้าผมพูดอะไรผิด ก็เอาหลักฐานมายืนยันสิ แต่ถ้าผมพูดถูก มาตบผมทำไม?” 24 แล้วอันนาสก็ให้คนส่งตัวพระเยซูที่ถูกมัดอยู่ไปให้มหาปุโรหิตเคยาฟาส+
25 ส่วนซีโมนเปโตรยืนผิงไฟอยู่ คนที่อยู่ที่นั่นก็ถามเขาว่า “คุณเป็นสาวกของคนนั้นด้วยไม่ใช่หรือ?” เขาปฏิเสธว่า “เปล่า ผมไม่ได้เป็น”+ 26 ทาสคนหนึ่งของมหาปุโรหิต ซึ่งเป็นญาติกับคนที่ถูกเปโตรฟันหูขาด+พูดขึ้นมาว่า “ผมเห็นคุณอยู่กับคนนั้นในสวนด้วยนี่” 27 เปโตรปฏิเสธอีก ทันใดนั้นไก่ก็ขัน+
28 ตอนเช้าตรู่ พวกเขาเอาตัวพระเยซูจากบ้านของเคยาฟาสไปที่บ้านผู้ว่าราชการ+ แต่พวกเขาไม่ยอมเข้าไปในบ้าน เพราะถือว่าจะทำให้ตัวเขาไม่สะอาด+และจะกินอาหารปัสกาไม่ได้ 29 ปีลาตจึงออกมาหาพวกเขาข้างนอกและถามว่า “พวกคุณฟ้องผู้ชายคนนี้ด้วยข้อหาอะไร?” 30 พวกเขาตอบปีลาตว่า “ถ้าคนนี้ไม่ได้ทำอะไรผิด* พวกเราคงไม่ส่งตัวมาให้ท่านหรอก” 31 ปีลาตจึงบอกพวกเขาว่า “เอาตัวเขาไปพิพากษากันเองตามกฎหมายของพวกคุณเถอะ”+ ผู้นำชาวยิวบอกว่า “พวกเราไม่มีอำนาจจะประหารใคร”+ 32 เรื่องนี้เป็นไปตามที่พระเยซูเคยบอกไว้ว่าท่านจะตายอย่างไร+
33 ปีลาตกลับเข้าไปในบ้าน แล้วเรียกพระเยซูมาถามว่า “คุณเป็นกษัตริย์ของชาวยิวหรือ?”+ 34 พระเยซูพูดว่า “ที่ถามอย่างนี้ คุณคิดเองหรือว่ามีคนบอกคุณ?” 35 ปีลาตตอบว่า “ผมไม่ใช่คนยิวซะหน่อย คนชาติเดียวกับคุณและพวกปุโรหิตใหญ่ส่งตัวคุณมาให้ผม คุณไปทำอะไรมา?” 36 พระเยซูตอบว่า+ “รัฐบาล*ของผมไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโลกนี้+ ถ้ารัฐบาลของผมเป็นส่วนหนึ่งของโลกนี้ คนของผมก็คงต่อสู้ไม่ให้พวกยิวจับผมได้+ แต่จริง ๆ แล้ว รัฐบาลของผมไม่ได้รับอำนาจจากโลกนี้” 37 ปีลาตจึงถามพระเยซูว่า “ถ้าอย่างนั้น คุณเป็นกษัตริย์หรือเปล่า?” พระเยซูตอบว่า “ผมเป็นกษัตริย์อย่างที่คุณว่า+ และเหตุผลที่ผมเกิดมาและเข้ามาในโลกก็เพื่อเป็นพยานยืนยันความจริง+ ทุกคนที่รักความจริงจะฟังผม”+ 38 ปีลาตถามพระเยซูว่า “แล้วความจริงคืออะไรล่ะ?”
พอพูดอย่างนั้นแล้ว เขาก็ออกไปหาผู้นำชาวยิวอีกและพูดว่า “ผมไม่เห็นว่าคนนี้มีความผิดอะไร+ 39 อีกอย่าง พวกคุณมีธรรมเนียมให้ผมปล่อยนักโทษคนหนึ่งให้คุณในช่วงเทศกาลปัสกา+ อยากให้ปล่อยตัวกษัตริย์ของชาวยิวไหม?” 40 คนพวกนั้นตะโกนว่า “ไม่เอาคนนี้ จะเอาบารับบัส” บารับบัสคนนี้เป็นโจร+
19 ปีลาตจึงให้เอาตัวพระเยซูไปเฆี่ยน+ 2 พวกทหารเอาหนามสานเป็นมงกุฎมาสวมหัวพระเยซู และเอาเสื้อคลุมสีม่วงใส่ให้ท่าน+ 3 แล้วพวกเขาก็เวียนกันมาเยาะเย้ยพระเยซูว่า “ขอคำนับกษัตริย์ของชาวยิว” พวกเขายังตบหน้าท่านด้วย+ 4 ปีลาตออกไปพูดกับพวกยิวอีกว่า “ดูนี่ ผมพาเขาออกมาให้ดู พวกคุณจะได้รู้ว่าผมไม่เห็นว่าเขามีความผิดอะไร”+ 5 พระเยซูออกมาทั้งที่สวมมงกุฎหนามและเสื้อคลุมสีม่วง ปีลาตพูดกับพวกยิวว่า “ดูผู้ชายคนนี้สิ” 6 แต่เมื่อพวกปุโรหิตใหญ่กับพวกเจ้าหน้าที่เห็นพระเยซู พวกเขาก็ตะโกนว่า “ตรึงเขาบนเสา! ตรึงเขาบนเสา!”*+ ปีลาตบอกพวกเขาว่า “พวกคุณเอาเขาไปตรึงเองสิ* ผมไม่เห็นว่าเขามีความผิดอะไร”+ 7 พวกยิวพูดว่า “พวกเรามีกฎหมาย และตามกฎหมายนั้นเขาสมควรตาย+ เพราะเขาตั้งตัวเป็นลูกของพระเจ้า”+
8 พอปีลาตได้ยินอย่างนั้นก็ยิ่งกลัว 9 จึงกลับเข้าไปในบ้านและถามพระเยซูว่า “คุณมาจากไหนกันแน่?” แต่พระเยซูไม่ตอบ+ 10 ปีลาตพูดว่า “ไม่ยอมพูดกับผมหรือ? ไม่รู้หรือว่าผมมีอำนาจจะปล่อยคุณหรือจะประหารคุณ*ก็ได้?” 11 พระเยซูตอบว่า “คุณจะมีอำนาจเหนือผมไม่ได้หรอกถ้าไม่ได้รับอำนาจจากพระเจ้า+ เพราะอย่างนี้แหละ คนที่มอบผมไว้ในมือคุณก็มีความผิดมากกว่าคุณ”
12 ปีลาตจึงพยายามหาทางปล่อยพระเยซู แต่พวกยิวตะโกนว่า “ถ้าท่านปล่อยเขา ท่านก็เป็นศัตรูกับซีซาร์ ทุกคนที่ตั้งตัวเป็นกษัตริย์ก็ต่อต้านซีซาร์”+ 13 เมื่อปีลาตได้ยินอย่างนั้นก็พาพระเยซูออกมา แล้วเขาก็นั่งบนบัลลังก์พิพากษาซึ่งตั้งอยู่ตรงที่ที่เรียกว่า ลานหิน ภาษาฮีบรูเรียกว่ากับบาธา 14 ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณเที่ยงวันของวันเตรียม+สำหรับปัสกา ปีลาตพูดกับพวกยิวว่า “ดูสิ กษัตริย์ของพวกคุณ” 15 แต่พวกยิวตะโกนว่า “ฆ่าเขาซะ ฆ่าเขาซะ ตรึงเขาบนเสา!”* ปีลาตถามพวกเขาว่า “จะให้ผมประหารกษัตริย์ของพวกคุณหรือ?” พวกปุโรหิตใหญ่ตอบว่า “พวกเราไม่มีกษัตริย์อื่นนอกจากซีซาร์” 16 ปีลาตจึงมอบพระเยซูให้พวกเขาเอาไปประหารบนเสา+
พวกทหารก็คุมตัวพระเยซูไป 17 พระเยซูแบกเสาทรมานของตัวเอง และท่านออกไปถึงที่แห่งหนึ่ง+ที่มีชื่อภาษาฮีบรูว่ากลโกธา ซึ่งแปลว่ากะโหลก+ 18 แล้วพวกทหารก็ตรึงพระเยซูบนเสา+ มีผู้ชายอีก 2 คนถูกตรึงอยู่ด้วยข้างละคน พระเยซูอยู่ตรงกลาง+ 19 ปีลาตให้เขียนป้ายติดไว้บนเสาทรมานด้วย ซึ่งอ่านว่า “เยซูชาวนาซาเร็ธ กษัตริย์ของชาวยิว”+ 20 คนยิวหลายคนได้อ่านป้ายนั้น เพราะที่ที่พระเยซูถูกตรึงบนเสาอยู่ใกล้เมือง และป้ายนั้นเขียนเป็นภาษาฮีบรู ละติน และกรีก 21 แต่พวกปุโรหิตใหญ่ของชาวยิวบอกปีลาตว่า “อย่าเขียนว่า ‘กษัตริย์ของชาวยิว’ แต่ให้เขียนว่า ‘คนนี้อ้างว่าเป็นกษัตริย์ของชาวยิว’” 22 ปีลาตบอกว่า “ผมจะเขียนอย่างนี้แหละ”
23 พอพวกทหารตรึงพระเยซูบนเสาแล้ว ก็เอาเสื้อชั้นนอกของท่านมาแบ่งเป็น 4 ส่วน แล้วเอาไปคนละส่วน แต่พอพวกเขาหยิบเสื้อตัวในมา ก็เห็นว่าเสื้อนั้นไม่มีตะเข็บ เป็นแบบที่ทอเป็นชิ้นเดียวตลอดทั้งตัว 24 พวกเขาจึงพูดกันว่า “อย่าฉีกเลย มาจับฉลากกันดีกว่าว่าใครจะได้”+ เรื่องนี้เป็นไปตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า “พวกเขาเอาเสื้อผ้าของผมแบ่งกัน และเอาเสื้อผมมาจับฉลากกัน”+ พวกทหารก็ทำอย่างนั้นจริง ๆ
25 มีคนยืนอยู่ใกล้ ๆ เสาทรมานของพระเยซู คือ แม่+กับน้าสาวของท่าน รวมทั้งมารีย์ภรรยาของโคลปัส และมารีย์มักดาลา+ 26 เมื่อพระเยซูเห็นแม่กับสาวกที่ท่านรัก+ยืนอยู่ใกล้ ๆ ท่านก็บอกกับแม่ว่า “แม่ครับ ตั้งแต่นี้ไปเขาเป็นลูกของแม่นะ” 27 แล้วบอกสาวกคนนั้นว่า “นี่คือแม่ของคุณ” ตั้งแต่นั้นมา สาวกคนนั้นก็รับมารีย์ไปอยู่ด้วย
28 หลังจากนั้น เมื่อพระเยซูรู้ว่าทำทุกอย่างสำเร็จแล้ว และเพื่อให้เป็นไปตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ ท่านจึงพูดว่า “หิวน้ำ”+ 29 ที่นั่นมีไหใส่เหล้าองุ่นเปรี้ยววางอยู่ไหหนึ่ง พวกเขาจึงเอาฟองน้ำชุบเหล้าองุ่นเปรี้ยวเสียบปลายกิ่งหุสบ แล้วชูขึ้นให้ถึงปากพระเยซู+ 30 พระเยซูชิมเหล้าองุ่นเปรี้ยวแล้วพูดว่า “สำเร็จแล้ว”+ จากนั้นท่านก็คอพับและสิ้นใจตาย+
31 วันนั้นเป็นวันเตรียม+ พวกยิวจึงขอปีลาตสั่งให้ทุบขาของคนที่ถูกตรึงให้หักแล้วเอาศพลงมา เพื่อไม่ให้ศพค้างอยู่บนเสาทรมาน+ในวันสะบาโต (เพราะวันสะบาโตนั้นเป็นวันสะบาโตพิเศษ)+ 32 พวกทหารจึงมาทุบขาของสองคนนั้นที่ถูกตรึงบนเสาข้าง ๆ พระเยซู 33 แต่พอมาถึงพระเยซู พวกเขาเห็นว่าท่านตายแล้ว จึงไม่ได้ทุบขาของท่านให้หัก 34 ทหารคนหนึ่งเอาหอกแทงสีข้างพระเยซู+ เลือดกับน้ำก็ไหลออกมาทันที 35 คนที่เล่าเรื่องนี้เป็นคนที่เห็นเหตุการณ์ คำบอกเล่าของเขาเป็นความจริง เขารู้ว่าเรื่องที่เขาเล่าเป็นเรื่องจริง เพื่อพวกคุณจะได้เชื่อด้วย+ 36 เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจริงตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า “กระดูกของเขาจะไม่หักแม้แต่ท่อนเดียว”+ 37 และตามที่เขียนไว้อีกข้อหนึ่งว่า “พวกเขาจะมองดูคนที่พวกเขาแทง”+
38 หลังจากนั้น โยเซฟจากเมืองอาริมาเธียไปหาปีลาตเพื่อขอศพพระเยซู โยเซฟคนนี้เป็นสาวกคนหนึ่งของพระเยซูที่ไม่เปิดเผยตัวเพราะกลัวพวกยิว+ เมื่อปีลาตอนุญาต โยเซฟจึงมาเอาศพพระเยซูไป+ 39 นิโคเดมัส+ที่เคยไปหาพระเยซูตอนกลางคืนก็มา และเอาผงมดยอบผสมกฤษณาหนักประมาณ 30 กิโลกรัมมาด้วย+ 40 พวกเขาจึงเอาผ้าลินินมาพันศพพระเยซู พร้อมกับใส่เครื่องหอม+ตามธรรมเนียมการฝังศพของชาวยิว+ 41 ใกล้ ๆ กับที่ที่พระเยซูถูกตรึง*มีสวนแห่งหนึ่ง ในสวนนั้นมีอุโมงค์ฝังศพใหม่+ที่ยังไม่เคยใช้ฝังศพใครเลย 42 พวกเขาเอาศพพระเยซูไปไว้ในอุโมงค์นั้นเพราะอยู่ใกล้ และวันนั้นเป็นวันเตรียม+ของชาวยิว
20 ตอนเช้ามืดวันแรกของสัปดาห์ มารีย์มักดาลาก็ไปที่อุโมงค์ฝังศพพระเยซู+ และเห็นว่าหินที่ปิดปากอุโมงค์ถูกกลิ้งออกไปแล้ว+ 2 มารีย์จึงวิ่งไปหาซีโมนเปโตรกับสาวกคนนั้นที่พระเยซูรัก+ และบอกว่า “มีคนเอาศพนายของพวกเราไปจากอุโมงค์ฝังศพแล้ว+ ไม่รู้พวกเขาเอาท่านไปไว้ที่ไหน”
3 เปโตรกับสาวกคนนั้นจึงไปที่อุโมงค์ฝังศพ 4 ทั้งสองคนวิ่งไป แต่สาวกคนนั้นวิ่งเร็วกว่าเปโตร จึงไปถึงอุโมงค์ก่อน 5 แต่ยังไม่ได้เข้าไปข้างใน พอเขาชะโงกมองดูก็เห็นผ้าลินินที่ใช้พันศพวางอยู่+ 6 เมื่อซีโมนเปโตรวิ่งมาถึงก็เข้าไปในอุโมงค์ และเห็นผ้าลินินวางอยู่เหมือนกัน 7 แต่ผ้าที่ใช้คลุมส่วนหัวถูกม้วนวางไว้ต่างหาก ไม่ได้วางอยู่กับผ้าพันศพส่วนอื่น ๆ 8 แล้วสาวกคนที่มาถึงอุโมงค์ก่อนก็ตามเข้าไป เขาจึงเห็นและเชื่อ 9 แต่พวกเขายังไม่เข้าใจข้อคัมภีร์ที่บอกว่า พระเยซูจะต้องฟื้นขึ้นจากตาย+ 10 สาวกทั้งสองจึงพากันกลับบ้าน
11 แต่มารีย์ยังยืนร้องไห้อยู่ข้างนอกใกล้ ๆ กับอุโมงค์ฝังศพ ตอนที่ร้องไห้อยู่ เธอชะโงกมองเข้าไปในอุโมงค์ 12 และเห็นทูตสวรรค์ 2 องค์+ใส่ชุดขาวนั่งอยู่ตรงที่ที่ศพพระเยซูเคยวางอยู่ องค์หนึ่งนั่งอยู่ทางหัว อีกองค์หนึ่งนั่งอยู่ทางเท้า 13 ทูตสวรรค์พูดกับมารีย์ว่า “คุณร้องไห้ทำไม?” เธอตอบว่า “มีคนเอาศพนายของดิฉันไป ไม่รู้พวกเขาเอาท่านไปไว้ที่ไหน” 14 พอพูดจบ มารีย์ก็หันกลับมาและเห็นพระเยซูยืนอยู่ แต่ไม่รู้ว่าเป็นท่าน+ 15 พระเยซูถามมารีย์ว่า “คุณร้องไห้ทำไม? มองหาใครอยู่?” มารีย์คิดว่าพระเยซูเป็นคนสวน จึงบอกว่า “คุณคะ ถ้าคุณเอาศพท่านไป ช่วยบอกดิฉันหน่อยว่าคุณเอาท่านไปไว้ที่ไหน ดิฉันจะได้ไปรับศพมา” 16 พระเยซูพูดกับเธอว่า “มารีย์” เธอมองพระเยซูและอุทานเป็นภาษาฮีบรูว่า “รับโบนี!” (ซึ่งแปลว่า “อาจารย์”) 17 พระเยซูบอกมารีย์ว่า “อย่ารั้งผมไว้เลย ผมยังไม่ได้ขึ้นไปหาพ่อของผม ไปบอกพี่น้องของผม+ว่า ‘ผมกำลังจะขึ้นไปหาพ่อของผม+ซึ่งเป็นพ่อของพวกคุณ และไปหาพระเจ้าของผม+ซึ่งเป็นพระเจ้าของพวกคุณ’” 18 แล้วมารีย์มักดาลาก็ไปหาพวกสาวกและบอกว่า “ฉันได้เจอนายของพวกเราด้วย!” และเล่าว่าพระเยซูสั่งอะไรเธอบ้าง+
19 ตอนเย็นวันนั้นซึ่งเป็นวันแรกของสัปดาห์ พวกสาวกมาอยู่รวมกันที่บ้านหลังหนึ่ง และใส่กลอนประตูไว้แน่นหนาเพราะกลัวพวกยิว แล้วพระเยซูก็มายืนอยู่ในหมู่พวกเขาและพูดว่า “สวัสดีทุกคน”*+ 20 พอพูดจบ พระเยซูก็ให้พวกเขาดูมือและสีข้างของท่าน+ พวกสาวกดีใจมากที่ได้เจอผู้เป็นนาย+ 21 พระเยซูพูดกับพวกเขาอีกว่า “ขอให้มีความสงบสุข+ ผมจะใช้พวกคุณไป+เหมือนที่พ่อของผมใช้ผมมา”+ 22 พอพูดจบ พระเยซูก็เป่าลมใส่พวกเขาและบอกว่า “รับพลังบริสุทธิ์ของพระเจ้าไป+ 23 ถ้าพวกคุณอภัยบาปให้ใคร บาปของเขาก็จะได้รับการอภัย แต่ถ้าพวกคุณไม่อภัยบาปให้ใคร บาปของเขาก็จะไม่ได้รับการอภัย”
24 แต่โธมัสดิดุโมส+ คนหนึ่งในอัครสาวก 12 คน+ ไม่ได้อยู่ด้วยตอนที่พระเยซูมาหา 25 สาวกคนอื่น ๆ จึงบอกเขาว่า “พวกเราได้เจอนายของเราด้วย” แต่โธมัสพูดว่า “ผมไม่เชื่อเด็ดขาด+จนกว่าจะได้เห็นและเอานิ้วแยงรอยตะปูที่มือท่าน และได้จับดูสีข้างของท่าน+ด้วยมือผมเอง”
26 แปดวันต่อมา สาวกของพระเยซูอยู่ในบ้านด้วยกันอีกครั้ง โธมัสก็อยู่ด้วย พระเยซูเข้ามายืนอยู่ในหมู่พวกเขาถึงแม้ประตูใส่กลอนไว้แล้ว ท่านพูดว่า “สวัสดีทุกคน”+ 27 แล้วท่านก็พูดกับโธมัสว่า “เอานิ้วแยงมือผมดู และเอามือจับสีข้างของผมสิ ขอให้เชื่อและเลิกสงสัยเถอะ” 28 โธมัสอุทานว่า “นายของผมและพระเจ้าของผม!”+ 29 พระเยซูถามเขาว่า “คุณเชื่อเพราะได้เห็นผมอย่างนั้นหรือ? คนที่เชื่อทั้งที่ไม่ได้เห็นก็มีความสุข”+
30 จริง ๆ แล้ว พระเยซูทำการอัศจรรย์อีกหลายอย่างให้พวกสาวกเห็น แต่ไม่ได้เขียนไว้ในม้วนหนังสือนี้+ 31 ส่วนเรื่องราวที่เขียนไว้นี้ก็เพื่อพวกคุณจะเชื่อได้ว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์ ลูกของพระเจ้า และถ้าพวกคุณเชื่อ พวกคุณจะได้ชีวิตเพราะชื่อของพระเยซู+
21 หลังจากนั้น พระเยซูปรากฏตัวให้พวกสาวกเห็นอีกครั้งที่ทะเลสาบทิเบเรียส* เหตุการณ์ครั้งนั้นมีอยู่ว่า 2 ซีโมนเปโตร โธมัสดิดุโมส+ นาธานาเอล+ชาวเมืองคานาในแคว้นกาลิลี กับลูก 2 คนของเศเบดี+ และสาวกอีก 2 คนกำลังอยู่ด้วยกัน 3 ซีโมนเปโตรบอกสาวกคนอื่น ๆ ว่า “ผมจะออกไปจับปลา” พวกเขาพูดว่า “ไปด้วย” พวกเขาจึงลงเรือไปด้วยกัน แต่คืนนั้นทั้งคืน พวกเขาจับอะไรไม่ได้เลย+
4 ตอนเช้าตรู่ พระเยซูยืนอยู่บนฝั่ง แต่พวกสาวกไม่รู้ว่าเป็นพระเยซู+ 5 แล้วพระเยซูตะโกนถามพวกเขาว่า “ลูก ๆ มีอะไรกินบ้างไหม?” พวกเขาตอบว่า “ไม่มีเลย” 6 พระเยซูพูดว่า “หย่อนอวนลงทางขวาของเรือสิ แล้วจะได้ปลา” พวกเขาก็หย่อนอวนลง แล้วได้ปลามากมายจนดึงขึ้นมาบนเรือไม่ไหว+ 7 สาวกคนที่พระเยซูรัก+จึงพูดกับเปโตรว่า “นั่นนายของเรานี่” พอซีโมนเปโตรได้ยินว่าคนนั้นคือผู้เป็นนาย ก็หยิบเสื้อมาใส่แล้วกระโดดลงน้ำเพราะตอนนั้นเขาถอดเสื้ออยู่ 8 แต่สาวกคนอื่น ๆ เอาเรือเล็กลำนั้นลากอวนที่มีปลาอยู่เต็มเข้าฝั่ง พวกเขาอยู่ไม่ห่างฝั่ง แค่ประมาณ 90 เมตร
9 พอพวกเขาขึ้นฝั่ง ก็เห็นปลาปิ้งอยู่บนกองถ่านที่ติดไฟอยู่ และมีขนมปังด้วย 10 พระเยซูบอกพวกเขาว่า “เอาปลาที่พวกคุณเพิ่งจับได้มาหน่อยสิ” 11 ซีโมนเปโตรจึงกลับไปที่เรือแล้วลากอวนขึ้นฝั่ง ในอวนมีแต่ปลาตัวใหญ่ ๆ ถึง 153 ตัว แต่ถึงจะมีปลามากขนาดนั้นอวนก็ไม่ขาด 12 พระเยซูบอกพวกเขาว่า “มากินอาหารเช้ากันเถอะ”+ ไม่มีสาวกสักคนกล้าถามว่า “ท่านเป็นใคร?” เพราะพวกเขารู้อยู่แล้วว่าท่านคือผู้เป็นนาย 13 พระเยซูก็หยิบขนมปังให้พวกเขา และหยิบปลาให้ด้วย 14 นี่เป็นครั้งที่สาม+ที่พระเยซูปรากฏตัวให้พวกสาวกเห็นหลังจากที่ฟื้นขึ้นจากตาย
15 เมื่อพวกเขากินอาหารเช้าแล้ว พระเยซูถามซีโมนเปโตรว่า “ซีโมนลูกยอห์น คุณรักผมมากกว่าปลาพวกนี้ไหม?” เขาตอบว่า “ครับนาย ท่านก็รู้ว่าผมรักท่าน” พระเยซูสั่งเขาว่า “ให้คุณเลี้ยงลูกแกะของผม”+ 16 พระเยซูถามเปโตรครั้งที่สองว่า “ซีโมนลูกยอห์น คุณรักผมไหม?” เขาตอบว่า “ครับนาย ท่านก็รู้ว่าผมรักท่าน” พระเยซูสั่งเขาว่า “ให้คุณดูแลแกะตัวเล็ก ๆ ของผม”+ 17 พระเยซูถามเปโตรครั้งที่สามว่า “ซีโมนลูกยอห์น คุณรักผมไหม?” เปโตรรู้สึกทุกข์ใจเพราะพระเยซูถามเขาครั้งที่สามว่า “คุณรักผมไหม?” เขาจึงตอบว่า “นายครับ ท่านรู้ทุกอย่างอยู่แล้ว ท่านก็รู้ว่าผมรักท่าน” พระเยซูสั่งเขาว่า “ให้คุณเลี้ยงแกะตัวเล็ก ๆ ของผม+ 18 ผมจะบอกให้รู้ว่า ตอนที่ยังหนุ่ม คุณแต่งตัวและเดินไปไหนมาไหนได้ตามต้องการ แต่ตอนที่คุณแก่ คุณจะยื่นมือออก แล้วคนอื่นจะแต่งตัวให้และพาคุณไปในที่ที่คุณไม่อยากไป”+ 19 พระเยซูพูดอย่างนี้เพื่อให้รู้ว่าเปโตรจะตายแบบไหนเพื่อพระเจ้าซึ่งจะทำให้พระองค์ได้รับการยกย่อง เมื่อพูดจบพระเยซูก็บอกเปโตรว่า “ให้คุณติดตามผมต่อ ๆ ไป”+
20 เปโตรหันมาเห็นสาวกคนที่พระเยซูรัก+กำลังเดินตามมา สาวกคนนี้เป็นคนที่นั่งเอนตัวใกล้กับอกของพระเยซูตอนกินอาหารมื้อเย็นด้วยกัน และเป็นคนที่ถามพระเยซูว่า “นายครับ ใครเป็นคนทรยศท่าน?” 21 เมื่อเปโตรเห็นเขา ก็ถามพระเยซูว่า “นายครับ แล้วคนนี้ล่ะจะเป็นยังไง?” 22 พระเยซูตอบเปโตรว่า “ถ้าผมอยากให้เขาอยู่จนถึงตอนที่ผมมา นั่นก็ไม่เกี่ยวกับคุณ ให้คุณติดตามผมต่อ ๆ ไปเถอะ” 23 พวกสาวกจึงลือกันว่าสาวกคนนั้นจะไม่ตาย แต่พระเยซูไม่ได้บอกเปโตรว่าสาวกคนนั้นจะไม่ตาย ท่านแค่พูดว่า “ถ้าผมอยากให้เขาอยู่จนถึงตอนที่ผมมา นั่นก็ไม่เกี่ยวกับคุณ”
24 สาวกคนนี้แหละ+ที่เล่าเรื่องทั้งหมดนี้และเขียนไว้ และพวกเรารู้ว่าคำบอกเล่าของเขาเป็นความจริง+
25 ที่จริง พระเยซูยังทำอะไรอีกมากมาย ถ้าจะเขียนไว้ทั้งหมดละก็ ผมคิดว่าโลกนี้คงไม่มีที่พอจะเก็บม้วนหนังสือทั้งหมดนั้นได้+
หรือ “คำพูด”
หรือ “ไม่ยอมรับ”
เป็นตำแหน่งที่มีเกียรติของครูสอนศาสนายิว
หรือ “ราชอาณาจักร”
แปลตรงตัวว่า “เกิดจากน้ำและพลังของพระเจ้า”
หรือ “เหนือทุกสิ่ง”
แปลตรงตัวว่า “ถ้าคุณรู้จักของขวัญจากพระเจ้า”
หรือ “และเป็นอัมพาต” แปลตรงตัวว่า “เหี่ยวแห้ง”
หรือ “ประทับตรารับรองแล้ว”
แปลตรงตัวว่า “เพื่อชีวิตของโลกนี้”
หรือ “เรื่องนี้ทำให้พวกคุณไม่พอใจหรือ?”
หรือ “พูดความจริง”
หรือ “ตามมาตรฐานของมนุษย์” “ตามที่เห็นภายนอก”
หรือ “ไม่ยอมรับคำพูดของผม”
หรือ “เขาก็จะรอด”
แปลตรงตัวว่า “เกลียดชีวิต”
หรือ “รายงาน”
หรือ “พวกเขาอยากได้การยอมรับจากมนุษย์มากกว่าการยอมรับจากพระเจ้า”
หรือ “คือ”
หรืออาจแปลได้ว่า “แล้วก็มีการเตรียมอาหารมื้อเย็น”
หรือ “เพราะท่าน”
หรือ “ส่งผู้ช่วยมาผ่านทางผม”
หรือ “ไม่ได้เป็นผู้ร้าย”
หรือ “ราชอาณาจักร”
หรือ “ประหารเขาบนเสา! ประหารเขาบนเสา!”
หรือ “ไปประหารบนเสาเองสิ”
หรือ “ประหารคุณบนเสา”
หรือ “ประหารเขาบนเสา!”
หรือ “ถูกประหารบนเสา”
แปลตรงตัวว่า “ขอให้พวกคุณมีความสงบสุข” นี่เป็นคำทักทายปกติของชาวยิว
หรือ “ทะเลสาบกาลิลี” ดู ยน 6:1