บท 11
พระเยซูทรงสอนเราให้อธิษฐาน
ลูกเคยพูดกับพระเจ้ายะโฮวาไหม?— พระองค์ต้องการให้เราพูดกับพระองค์. ขณะที่ลูกพูดกับพระเจ้า นี่แหละเรียกว่าการอธิษฐาน.
พระเยซูเคยทูลต่อพระบิดาของพระองค์ในสวรรค์บ่อย ๆ. บางครั้งพระองค์อยากอยู่โดยลำพังขณะที่พระองค์พูดกับพระเจ้า. ครั้งหนึ่งพระคัมภีร์บอกว่า “พระองค์เสด็จขึ้นไปบนภูเขาที่สงัดเพื่อจะอธิษฐาน. ครั้นพลบค่ำแล้ว พระองค์ยังทรงอยู่ที่นั่นผู้เดียว.”—มัดธาย 14:23.
ลูกจะไปอธิษฐานถึงพระยะโฮวาโดยลำพังได้ที่ไหน?— บางทีลูกอาจจะพูดกับพระเจ้าโดยลำพังก่อนเข้านอนตอนกลางคืนก็ได้. พระเยซูตรัสว่า “ฝ่ายท่านเมื่ออธิษฐานจงเข้าในห้องชั้นใน, และเมื่อปิดประตูแล้ว, จงอธิษฐานขอจากพระบิดาของท่าน.” ลูกอธิษฐานถึงพระเจ้าทุกคืนก่อนเข้านอนไหม?— นั่นเป็นการกระทำที่ดี.—มัดธาย 6:6.
พระเยซูทรงอธิษฐานขณะที่คนอื่น ๆ อยู่กับพระองค์ด้วยเช่นกัน. พระเยซูทรงอธิษฐานเมื่อพระองค์มีการประชุมกับเหล่าสาวกของพระองค์. ลูกสามารถไปยังการประชุมของคริสเตียนซึ่งเป็นที่ที่มีการกล่าวคำอธิษฐานได้. ณ การประชุมเหล่านี้ ตามปกติบุคคลที่อาวุโสคนหนึ่งจะอธิษฐาน. จงเอาใจใส่ฟังสิ่งที่เขากล่าว เพราะเขากำลังพูดกับพระเจ้าแทนลูก. แล้วลูกก็จะกล่าวคำ “อาเมน” ต่อคำอธิษฐานนั้นได้.
ลูกรู้ไหมว่า การกล่าวคำ “อาเมน” ตอนจบการอธิษฐานนั้น หมายความอย่างไร?— นั่นหมายความว่าลูกชอบคำอธิษฐานนั้น. หมายความว่าลูกเห็นพ้องด้วยและต้องการให้เป็นคำอธิษฐานของลูกเช่นกัน.
พระเยซูทรงอธิษฐานในเวลารับประทานอาหารด้วย. พระองค์ขอบพระคุณพระยะโฮวาสำหรับอาหารของพระองค์. ลูกอธิษฐานเสมอก่อนรับประทานอาหารไหม?—
เป็นการดีที่เราพึงขอบพระคุณพระยะโฮวาสำหรับอาหารก่อนที่เราจะรับประทาน. คุณพ่อของลูกอาจจะกล่าวคำอธิษฐานเมื่อรับประทานอาหารร่วมกัน. แต่ถ้าลูกรับประทานคนเดียวล่ะ จะว่าอย่างไร? หรือถ้าลูกรับประทานด้วยกันกับผู้ที่ไม่ขอบพระคุณพระยะโฮวาล่ะ จะว่าอย่างไร?— ถ้าเช่นนั้นแล้ว ลูกก็จำเป็นต้องกล่าวคำอธิษฐานของลูกเอง.
ลูกจะต้องอธิษฐานออกเสียงดังเสมอไปหรือ?— ไม่หรอก. พระยะโฮวาสามารถสดับคำอธิษฐานของลูกได้แม้แต่เมื่อลูกอธิษฐานในใจ. ฉะนั้น ลูกก็สามารถกล่าวคำอธิษฐานในใจเงียบ ๆ ได้ขณะที่ลูกอยู่กับผู้ที่ไม่อธิษฐานถึงพระเจ้า. ตัวอย่างเช่น ลูกก็กล่าวคำอธิษฐานเงียบ ๆ ได้เมื่อรับประทานอาหารกลางวันที่โรงเรียน.
เมื่ออธิษฐานนั้น ลูกควรจะก้มศีรษะไหม? ลูกควรจะคุกเข่าลงไหม? ลูกคิดอย่างไร?—
บางครั้งพระเยซูทรงคุกเข่าลงเมื่อพระองค์อธิษฐาน. บางครั้งพระองค์เงยศีรษะขึ้นขณะที่อธิษฐาน. และพระองค์ทรงกล่าวถึงการอธิษฐานต่อพระเจ้าระหว่างที่ยืนอยู่เช่นกัน.
ดังนั้น ทั้งหมดนี้แสดงถึงอะไร? ลูกจำต้องอยู่ในท่าเดียวกันเสมอไปขณะที่ลูกอธิษฐานกระนั้นหรือ?— ลูกจะอยู่ในท่าไหนนั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญ. แต่ว่าบางครั้งก็สมควรจะก้มศีรษะ. ในบางโอกาสลูกอาจต้องการจะคุกเข่าลงเช่นเดียวกับพระเยซูก็ได้. แต่จงจำไว้ว่า เราสามารถอธิษฐานถึงพระเจ้าเวลาไหน ๆ ก็ได้ไม่ว่าตอนกลางวันหรือกลางคืน และพระองค์จะทรงฟังเรา.
สิ่งสำคัญในการอธิษฐานก็คือเราเชื่ออย่างแท้จริงว่าพระยะโฮวากำลังทรงฟังอยู่. ลูกเชื่อไหมว่าพระยะโฮวาได้ยินลูก?—
เราจะพูดถึงอะไรบ้างในคำอธิษฐานของเราต่อพระยะโฮวา?— ลองบอกพ่อ (แม่) ซิว่า เมื่อลูกอธิษฐานนั้นลูกพูดกับพระเจ้าถึงเรื่องอะไรบ้าง?—
พระยะโฮวาทรงประทานสิ่งดีหลายอย่างแก่เรา และเป็นการถูกต้องที่เราพึงขอบพระคุณพระองค์สำหรับสิ่งเหล่านั้น จริงไหม?— เราขอบพระคุณพระองค์สำหรับอาหารที่เรารับประทาน. แต่ลูกเคยขอบพระคุณพระองค์สำหรับท้องฟ้าสีคราม ต้นไม้เขียวสดและดอกไม้สวยงามต่าง ๆ ไหมล่ะ?— พระองค์ทรงสร้างสิ่งเหล่านั้นด้วยเช่นกัน.
ครั้งหนึ่ง สาวกของพระเยซูทูลขอให้พระองค์สอนเขาอธิษฐาน. และครูผู้ยิ่งใหญ่ทรงชี้ให้เขาเห็นสิ่งสำคัญที่สุดที่พึงอธิษฐานขอ. ลูกรู้ไหมว่าสิ่งเหล่านั้นคืออะไร?— หยิบเอาพระคัมภีร์ของลูกมา แล้วเปิดไปที่มัดธายบท 6. ที่ข้อ 9 จนถึงข้อ 13 เราจะพบข้อความซึ่งหลายคนเรียกว่า “คำอธิษฐานขององค์พระผู้เป็นเจ้า.” ให้เราอ่านด้วยกัน.
ในข้อความนี้ เราเรียนรู้ว่าพระเยซูทรงบอกเราให้อธิษฐานเกี่ยวกับพระนามของพระเจ้า. พระองค์ตรัสว่าให้อธิษฐานขอให้พระนามของพระเจ้าเป็นที่นับถืออันบริสุทธิ์หรือถือเป็นพระนามศักดิ์สิทธิ์น่าเคารพ. พระเจ้าทรงมีพระนามว่าอย่างไร?— คัมภีร์ไบเบิลบอกเราว่า พระนามนั้นคือยะโฮวา และเราควรรักพระนามนั้น.
ประการที่สอง พระเยซูทรงสอนเราให้อธิษฐานขอให้ราชอาณาจักรของพระเจ้ามา. ราชอาณาจักรนี้สำคัญจริง ๆ เพราะจะนำสันติภาพมาสู่แผ่นดินโลกและจะทำให้แผ่นดินโลกเป็นอุทยาน.
ประการที่สาม ครูผู้ยิ่งใหญ่ทรงบอกเราให้อธิษฐานขอเพื่อพระทัยประสงค์ของพระเจ้ามาสำเร็จบนแผ่นดินโลกนี้เช่นเดียวกับที่ได้สำเร็จแล้วในสวรรค์. นั้นหมายความว่า เราควรทำตามพระทัยประสงค์ของพระเจ้า.
อนึ่ง พระเยซูทรงสอนเราให้อธิษฐานขออาหารที่จำเป็นสำหรับแต่ละวันไป. และพระองค์ตรัสว่าเราควรกราบทูลพระเจ้าว่า เราเสียใจเมื่อกระทำสิ่งที่ผิดพลาด. เราควรทูลขอพระเจ้าให้อภัยเรา. แต่ว่าก่อนที่พระองค์จะให้อภัยเรานั้น เราจำต้องให้อภัยคนอื่น ๆ ถ้าเขาทำผิดต่อเรา. ลูกทำอย่างนั้นไหม?—
ท้ายที่สุด พระเยซูตรัสว่าเราควรอธิษฐานขอพระเจ้ายะโฮวาป้องกันเราไว้จากตัวชั่วร้ายนั้น คือ พญามารซาตาน. ดังนั้น ทั้งหมดนี้แหละเป็นสิ่งดีที่เราควรทูลอธิษฐานต่อพระเจ้า.
เราควรเชื่อว่าพระยะโฮวาทรงสดับฟังคำอธิษฐานของเรา และเราควรขอบพระคุณพระองค์ต่อ ๆ ไป นอกเหนือจากการขอให้พระองค์ช่วยเรา. พระยะโฮวาทรงชอบพระทัยจะสดับฟังเราทูลอธิษฐานถึงพระองค์. พระองค์มีความสุขเมื่อเราอธิษฐานด้วยน้ำใสใจจริง และเมื่อเราทูลขอสิ่งที่ถูกต้องสมควร. และพระองค์จะทรงประทานสิ่งเหล่านั้นให้แก่เรา. ลูกเชื่ออย่างนั้นไหม?—
(มีคำแนะนำดี ๆ เพิ่มเติมในเรื่องการอธิษฐานใน 1 เปโตร 3:12; 1 โยฮัน 5:14 และโรม 12:12.)