บท 4
ความแก่ชราและความตายบังเกิดขึ้นอย่างไร?
แม้ว่าคนส่วนมากจะยอมรับว่าความแก่ชรา และความตายเป็นสิ่งธรรมดาแต่ก็ยังคงทำให้มนุษย์รู้สึกฉงนสนเท่ห์อยู่นั่นเอง. ทั้งนี้ย่อมเห็นได้ชัดจากข้อเท็จจริงที่ว่า นับเป็นเวลาหลายร้อยปีได้มีการเล่านิทานสืบกันต่อ ๆ มาซึ่งพยายามชี้แจงเหตุผลของการที่มนุษย์เราต้องแก่ลงแล้วก็ตายไป.
เรื่องหนึ่งเกี่ยวกับนิยายโบราณของชาติกรีกมีเล่าถึงแพนโดร่าที่เป็นหีบหรือภาชนะใบหนึ่งซึ่งเธอได้รับคำสั่งให้ระวังดูแลปิดเอาไว้. มีการกล่าวกันว่าการกระทำของเธอเช่นนี้ได้ปล่อยให้ “ความแก่ชรา” “โรคภัยไข้เจ็บ” “ความวิกลจริต” และ “ความพยาบาทมุ่งร้าย” และอื่น ๆ ออกมา และรบกวนมนุษย์อยู่เรื่อย ๆ มาทีเดียว.
ในประเทศออสเตรเลีย เผ่าต่าง ๆ ที่เป็นชาวพื้นเมืองหลายเผ่าเชื่อกันว่ามนุษย์เราเมื่อแรกเดิมนั้นมีโอกาสที่จะมีชีวิตอยู่ตลอดไป. แต่ว่าเขาจำต้องคอยระวังไม่เข้าไปใกล้ต้นไม้ที่เป็นโพรงต้นหนึ่ง. เมื่อฝูงผึ้งป่าไปทำรังอยู่ที่ต้นไม้นี้ พวกผู้หญิงต่างก็รู้สึกกระหายที่จะได้กินน้ำผึ้งเสียจริง ๆ. โดยไม่เอาใจใส่คำเตือนของพวกผู้ชาย หญิงคนหนึ่งได้ใช้ขวานของเธอฟันต้นไม้นั้น. ตามนิยายซึ่งมีเล่ากันต่อ ๆ มานั้นบอกว่าเนื่องจากเหตุนั้นค้างคาวตัวใหญ่ตัวหนึ่งจึงบินออกมา. ค้างคาวนั้นก็ได้แต่ “ความตาย” ครั้นถูกปล่อยออกมาจากต้นไม้แล้ว มันจึงออกไปอ้างสิทธิเรียกร้องเอา ทุกสิ่งทุกอย่างมีมันแตะต้องเอาไว้ด้วยปีกของมันนั้น.
เป็นที่น่าสังเกตว่า นิยายของชนชาติอื่น ๆ ซึ่งมีอยู่กระจัดกระจายทั่ว ๆ ไปนั้น ก็ตั้งเหตุผลคล้ายคลึงกันว่าความตายคือผลอันเนื่องมาจาก การไม่เชื่อฟัง ซึ่งในตอนเริ่มแรกนั้นผู้หญิงมักจะมีส่วนพัวพันด้วย.
เหตุใดจึงมีความคล้ายคลึงกัน?
ขณะที่อ่านนิยายต่าง ๆ เช่นนั้น บางคนอาจชอบเอาคำชี้แจงในพระคัมภีร์เกี่ยวกับสาเหตุของความแก่ชรา และความตายเข้ามาไว้ในประเภทเดียวกัน เขาอาจจะถึงกับชี้ให้เห็นเสียด้วยซ้ำว่านิยายต่าง ๆ นั้นดูเหมือนว่าคล้ายคลึงกับคำอธิบายในพระคัมภีร์. แต่ก็เหตุใดจึงได้มีความคล้ายคลึงกัน? จะเป็นไปได้ไหมว่านิยายเหล่านี้มีรากฐานอันเป็นมูลความจริง ซึ่งเอามาบิดเบือนทำให้เพี้ยนไปจากความจริงเท่านั้นเอง?
พระคัมภีร์เองให้ความสว่างแก่คำตอบสำหรับปัญหาเหล่านี้. โดยชี้ไปยังเมืองบาเบ็ลโบราณในประเทศแค็ลเดีย (เคเซ็ด) อันเป็นแหล่งซึ่งบรรดามนุษย์ผู้ก่อการจลาจลต่อพระเจ้าด้วยกระทำการฝ่าฝืนไม่เกรงกลัวพระบัญชาของพระองค์ จนถึงกับต้องแตกกระจัดกระจายออกไปเสียจากเมืองนั้น. (เยเนซิศ 11:2-9) รายการต่าง ๆ แห่งพระคัมภีร์เกี่ยวกับวงศ์วานมนุษย์แสดงให้ทราบว่า เรื่องนี้เกิดขึ้นในคราวเมื่อบางคนที่มีชีวิตอยู่ ซึ่งเป็นผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระเจ้านั้นทราบความจริงเกี่ยวด้วยชีวิต และเหตุผลในเรื่องความตาย. (เยเนซิศ 6:7,8; 8:20, 21; 9:28; 10:1-9; 11:10-18; 1 โครนิกา 1:19) อย่างไรก็ดี คนส่วนใหญ่นั้นโดยเหตุที่พวกเขาเองมิได้คำนึงถึงความจริงในเรื่องพระดำริของพระเจ้าสำหรับมนุษย์ จึงแทบจะคาดหมายไม่ได้ในการที่เขาจะปกปักรักษาความจริงอันถูกต้อง แน่นอนเอาไว้ในเรื่องที่ว่า ความตายบังเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ขณะที่พวกเขาแพร่หลายกระจายออกไป และพร้อมด้วยเวลาที่ล่วงเลยไป ก็ยังมีการบิดเบือนความจริงต่าง ๆ ทำให้ผิดเพี้ยนไป และยิ่งมีการต่อเติมเสริมขึ้นอีกจนกระทั่งนิยายต่าง ๆ ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นมา. การอธิบายของเขา แบบที่เป็นนิยายเกี่ยวกับสาเหตุของความแก่ชราและความตายนั้น มีแตกต่างกันมากมายหลายอย่าง กระนั้นก็ดีหลักสำคัญอันเป็นรากฐานร่วมกันก็ยังแลเห็นอยู่.
ทั้งนี้หาใช่เป็นเพียงแต่สันนิษฐานเอาเท่านั้นไม่. พยานหลักฐานเท่าที่หาได้ง่ายย่อมเผยให้เห็นว่า นิยายต่าง ๆ ทางศาสนา รวมทั้งนิยายต่าง ๆ เกี่ยวกับความตายด้วยนั้น ล้วนออกมาจากแหล่งกำเนิดอันเดียวกัน. พันเอกเจ. การ์เนียร์ ให้ข้อสังเกตไว้ในหนังสือของเขาที่มีชื่อว่า ดะ เวอร์ฌิพ อ็อฟ ดะ เด้ด ดังต่อไปนี้:
“ไม่เพียงแต่ชนชาวอียิปต์ ชนชาวแค็ลเดียน (เคเซ็ด) ชนชาวฟีนิเชียน (ฟอยนิเก) ชนชาวกรีก และโรมันเท่านั้น แต่ชนชาวฮินดู ชาวพุธแห่งประเทศจีนและทิเบต ชาวก็อธ ชาวแองกโลแซ็กซั่น ชาวดรูอิดส์ ชาวเม็กซิโก และชาวเปรู ชนพื้นเมืองดั้งเดิม แห่งทวีปออสเตรเลีย และแม้กระทั่งชนชาวป่าเถื่อนแห่งหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิกภาคใต้ด้วย ชนทั้งหมดเหล่านี้คงต้องได้รับเค้าความคิดเห็นทางศาสนาของตนมาจากแหล่งกำเนิดร่วมกัน และจากจุดศูนย์กลางร่วมกัน. ทุกหนทุกแห่งเราจะแลเห็นมีความสอดคล้องพ้องกันอย่างเป็นที่น่าแปลกใจในเรื่องแบบแผน พิธีรีตอง ขนบธรรมเนียม ประเพณี และในการตั้งชื่อและความเกี่ยวพันแห่งพวกพระเจ้าทั้งหลาย และเทพธิดาต่าง ๆ แต่ละอย่างนั้น.”
แหล่งกำเนิดร่วมกันนี้คือสถานที่แห่งใด? พยานหลักฐานชี้ไปยังดินแดนแค็ลเดีย (เคเซ็ด) ตามที่พระคัมภีร์หมายถึงกระนั้นไหม? ศาสตราจารย์ จอร์ช รอลินสันบันทึกลงไว้ดังต่อไปนี้:
“ความคล้ายคลึงกันที่เห็นได้ชัดระหว่างระเบียบการของชนชาวแค็ลเดียนกับเทพนิยายโบราณ (โดยเฉพาะในประการแรก ของชนชาติกรีกและโรมัน) ดูเหมือนว่าสมควรที่จะเอาใจใส่เป็นพิเศษ. ความคล้ายคลึงกันนี้มีอย่างกว้างขวางทั่วไป และในบางประการใกล้เคียงกันเกินไปที่จะยอมให้มีการสมมุติว่าเป็นเพียงแต่โดยบังเอิญเท่านั้น ในบรรดาพวกพระต่าง ๆ แห่งชาวกรีกและโรมัน และในบรรดาพระแห่งชาวแค็ลเดียน มีการจัดแบ่ง (พระและเทพธิดา) ออกเป็นพวกใหญ่ ๆ อย่างเดียวกัน บ่อยครั้งมีลำดับการสืบตำแหน่งอย่างเดียวกัน และในบางกรณีแม้แต่ชื่อและยศของพวกพระแห่งชนชาติกรีกและโรมันจะได้รับการชี้แจง และการอธิบายอย่างน่าประหลาดจากแหล่งต่าง ๆ แห่งชนชาติแค็ลเดียน.”
โดยเหตุนั้น เขาจึงลงความเห็นเป็นประการใด? เขากล่าวดังนี้:
“เราจึงแทบจะสงสัยไม่ได้ว่ามีการติดต่อกันไม่ทางใดก็ทางหนึ่งเกี่ยวกับความเชื่อการถ่ายทอดความคิดความเห็นเกี่ยวกับเทพนิยายในสมัยดึกดำบรรพ์จากชายฝั่งของอ่าวเปอร์เซีย (ซึ่งเป็นที่ตั้งของกรุงบาเบลโบราณ) ถึงดินแดนรอบ ๆ ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน.”
ด้วยเหตุนี้ สิ่งที่พระคัมภีร์เผยให้เห็นในเรื่องความเจริญเติบโตขึ้นเป็นลำดับเกี่ยวกับความคิดทางด้านศาสนานั้นรู้สึกว่าตรงกันกับพยานหลักฐานอื่น ๆ ตามประวัติศาสตร์. หากพระคัมภีร์ปกปักรักษาความถูกต้อง แม่นยำแห่งความจริงซึ่งต่อมาถูกบิดเบือนทำให้เพี้ยนไปโดยนิยายต่าง ๆ ทางศาสนานั้นไว้อย่างแท้จริงแล้ว เรื่องราวในพระคัมภีร์จึงน่าจะประทับใจเราว่า มีเหตุผล. เรื่องราวนั้นจึงควรจะมีเหตุผล. เป็นอย่างนั้นจริงหรือ?
ชีวิตขึ้นอยู่กับการเชื่อฟัง
ในการพิจารณาดูเหตุผลต่าง ๆ ของการแก่ชราลง และการตายไปนั้น พระธรรมเยเนซิศหนังสือเล่มแรกของพระคัมภีร์ หาได้เริ่มกล่าวด้วยข้อความว่า “ในกาลครั้งหนึ่ง” อันเป็นการวางฉากคล้ายกับอยู่ใน “ดินแดนแห่งความฝัน” เช่นนั้นไม่ หากแต่เสนอเรื่องซึ่งเป็นความจริง. พระธรรมเล่มนั้นกล่าวเกี่ยวกับเอเดนสถานที่ซึ่งมีสภาพเป็นอยู่ในเวลานั้นจริง ๆ ที่ตั้งของสถานที่นั้นตามภูมิศาสตร์อย่างคร่าว ๆ ก็มีหลักฐานแสดงเอาไว้ด้วยแม่น้ำบางสาย. ในบรรดาแม่น้ำเหล่านี้ มีอยู่สองสามสายซึ่งเป็นที่รู้จักกันอยู่จนกระทั่งทุกวันนี้คือแม่น้ำยูเฟรติส (ฟะราธ) และไทกรีส (ฮิเดะเค็ล). (เยเนซิศ 2:10-14) อาจคำนวณเวลาโดยบัญชีแสดงลำดับวงศ์วาน ในพระคัมภีร์ได้ว่าอยู่ในปี 4026 ก.ส.ศ. หรือมิช้ามินานภายหลังจากนั้น. ยิ่งกว่านั้น หลักฐานอ้างอิงของพระคัมภีร์ที่กล่าวพาดพิงถึงมนุษย์คู่แรกนั้น ตามหลักวิทยาศาสตร์แล้วก็นับว่าหนักแน่นทีเดียว. โปรดสังเกตดูหนังสือ ดะ เรเซ็ส อ็อฟ แมนไคนด์ ดังต่อไปนี้:
“เรื่องราวในพระคัมภีร์เกี่ยวกับอาดามและฮาวา บิดามารดาของมวลมนุษย์ชาตินั้น ได้มีบอกไว้หลายร้อยปีมาแล้ว ถึงความเจริญอย่างเดียวกันที่วิทยาศาสตร์ได้เผยให้ทราบทุกวันนี้ที่ว่า: ชนชาติทั้งสิ้นแห่งแผ่นดินโลกเป็นครอบครัวหนึ่งครอบครัวเดียวกัน และมีต้นกำเนิดร่วมกัน.”
ภายหลังที่บอกถึงวิธีซึ่งมนุษย์คนแรกมาสู่การมีชีวิตนั้นแล้ว เรื่องราวในพระคัมภีร์เผยให้ทราบว่า พระยะโฮวาพระเจ้าพระผู้สร้าง ได้ทรงให้มนุษย์ชาติเริ่มต้นขึ้นในบ้านอันมีสภาพเป็นสวนธรรมชาติ. พระองค์ทรงจัดความหวังในเรื่องชีวิตอันไม่มีที่สิ้นสุดขึ้นไว้เฉพาะหน้ามนุษย์ ในขณะเดียวกันนั้น ทรงกระทำให้ความเพลิดเพลินจากชีวิตเป็นไปแบบที่มีเงื่อนไข. พระเจ้าตรัสแก่มนุษย์นั้นว่า: “บรรดาผลแห่งต้นไม้ทุกต้นในสวนนั้นเจ้ากินได้จนเป็นที่พอใจ. เว้นแต่ผลจากต้นที่ให้ความรู้ในเรื่องความดี และความชั่วนั้นเจ้าไม่ต้องกิน เพราะว่าในวันซึ่งเจ้ากินผลจากต้นนั้นเข้าไป เจ้าจะตายเป็นแน่.”—เยเนซิศ 2:16, 17.
นั่นเป็นคำสั่งง่าย ๆ. กระนั้นก็ดีทั้งนี้ย่อมเป็นสิ่งที่เราจะพึงคาดหมายมิใช่หรือ? ตอนนั้นมนุษย์อาดามมีชีวิตอยู่โดดเดี่ยว. ชีวิตเป็นแบบง่าย ๆ ไม่สลับซับซ้อน. ไม่มีปัญหาเลยในการหาเลี้ยงชีพ. ไม่มีความกดดันจากระเบียบการค้าขายอันมีแต่ความโลภ. ไม่จำเป็นต้องมีกฎหมายที่ยุ่งยากซับซ้อนเพื่อควบคุมความโน้มเอียงอันเป็นความผิดบาปภายในตัวของมนุษย์คนแรกนั้น. ด้วยเหตุที่เป็นมนุษย์ผู้สมบูรณ์ อาดามจึงหาได้มีแนวโน้มเอียงไปในทางที่เป็นความผิดบาปไม่.
คำสั่งนี้เป็นคำสั่งที่ง่าย ๆ ไม่ยุ่งเหยิงซับซ้อนก็จริง แต่ก็นำมาซึ่งประเด็นเกี่ยวด้วยศีลธรรมอันยังผลอย่างสำคัญทีเดียว. การขัดขืนคำสั่งของพระเจ้าในกรณีของมนุษย์คู่แรกนั้นย่อมหมายถึงการกบฏทรยศต่อพระองค์ ในฐานะเป็นผู้ปกครอง. อย่างไรกันเล่า?
ข้อห้ามของพระเจ้านั่นเองที่ทำให้การกินผลจาก “ต้นไม้ที่ให้ความรู้ในเรื่องความดีและความชั่ว” นั่นเป็นการกระทำผิด. ในผลไม้นั้นแล้วหาได้ประกอบด้วยคุณสมบัติอันเป็นพิษเป็นภัยอะไรไม่เลย. ผลไม้นั้นให้ประโยชน์แก่ร่างกาย “น่ากิน” อย่างแท้จริง. (เยเนซิศ 3:6) เนื่องจากเหตุนี้ การทรงห้ามของพระเจ้าในเรื่องต้นไม้นั้นก็เพียงแต่เน้นให้ทราบถึงการที่มนุษย์ต้องพึ่งพาอาศัยพระผู้สร้างของตนอย่างแท้จริง ในฐานะเป็นผู้ปกครอง. โดยการเชื่อฟังแล้วมนุษย์ชายหญิงคู่แรกก็จะสามารถเผยให้เห็นได้ว่าเขาเคารพสิทธิของพระเจ้าในการทำให้เขารู้จักว่า สิ่งอะไร “ดี” หรือที่พระเจ้าทรงรับรองแล้ว และสิ่งอะไรที่ “ไม่ดี” หรือที่พระเจ้าทรงตัดสินวางโทษแล้ว. เพราะฉะนั้นในกรณีของเขานั้นการไม่เชื่อฟังย่อมหมายถึงการกบฏทรยศต่อพระบรมเดชานุภาพของพระเจ้า.
พระยะโฮวาพระเจ้าทรงกำหนดโทษของการกบฏทรยศเช่นนั้น ขึ้นไว้ด้วยความตาย. นั่นเป็นการลงโทษที่รุนแรงเกินไปกระนั้นหรือ? เอาละชาติต่าง ๆ ของโลกเป็นจำนวนมากถือเสียว่าเป็นสิทธิพิเศษของเขาที่จะกำหนดให้อาชญากรรมบางประเภทอยู่ในฐานะที่เป็นความผิดซึ่งต้องได้รับโทษประหารชีวิตมิใช่หรือ? กระนั้นก็ดีชาติเหล่านี้ก็หาใช่ว่าสามารถก่อให้เกิดชีวิต และประคับประคองชีวิตของคนใด ๆ ไว้อย่างไม่มีเวลาจำกัดนั้นได้ไม่. หากแต่พระผู้สร้างของมนุษย์เท่านั้นสามารถกระทำได้. และการที่อาดามและฮาวาเกิดมีชีวิตขึ้นมาก็เนื่องจากน้ำพระทัยประสงค์ของพระองค์ต่างหาก. (วิวรณ์ 4:11) ดังนั้นในฐานะที่เป็นผู้ก่อให้เกิดซึ่งชีวิต และผู้รักษาชีวิตไว้เช่นนั้นจึงเป็นการถูกต้องมิใช่หรือที่จะพึงกำหนดเอาการไม่เชื่อฟังพระองค์นั้นให้คู่ควรเหมาะสมกับความตาย? แน่นอนทีเดียว! นอกจากนั้น พระองค์ผู้เดียวทรงสำนึกอย่างเต็มที่ในเรื่องความเป็นจริงเป็นจังเกี่ยวกับผลเสียหายอันเนื่องมาจากการไม่เชื่อฟังกฎหมายของพระองค์. โดยการเชื่อฟังคำสั่งห้ามนั้น อาดามและฮาวามนุษย์คู่แรกก็คงสามารถแสดงความหยั่งรู้สำนึกบุญคุณต่อพระเจ้าได้สำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง ที่พระองค์ทรงกระทำเพื่อตน. การเชื่อฟังโดยมีเจตนาอย่างถูกต้องก็คงจะป้องกันเขาไว้จากการเป็นคนเห็นแก่ตัว และจากการทำเพิกเฉยไม่เอาใจใส่ในเรื่อง พระเจ้าผู้ทรงให้ความอุปถัมภ์แก่ตน.
พระบัญชานั้นเป็นชนิดที่เราจะพึงคาดหมายจากพระเจ้า องค์ประกอบด้วยความรักและความยุติธรรม. พระบัญชานั้นมิใช่ว่าไม่มีเหตุผล. พระเจ้าหาได้กีดกันเขาไว้จากสิ่งจำเป็นต่าง ๆ เกี่ยวกับชีวิตไม่. เนื่องจากเหตุนี้ อาดามมีต้นไม้อื่น ๆ อีกมากมายที่เขาสามารถใช้ผลเป็นอาหารได้พอกับความต้องการ. เนื่องจากเหตุนี้ อาดามและฮาวาจึงไม่มีเหตุผลใด ๆ เลยที่จะรู้สึกว่าจำเป็นต้องกินผลจาก “ต้นไม้ที่ให้ความรู้ในเรื่องความดีและความชั่วนั้น.”
อย่างไรก็ดี เรื่องราวเผยให้ทราบว่า ในระหว่างที่สามีของเธอไม่อยู่ ฮาวาตกไปเป็นเหยื่อของอุบายหลอกลวงแล้วกินผลไม้ที่ทรงห้ามนั้นเข้าไป. (ข้อปลีกย่อยเกี่ยวกับการหลอกลวงและผู้หลอกลวงนี้ได้มีการพิจารณาในบทที่ 10) ภายหลังเธอก็สามารถทำการชักชวนสามีของเธอให้ร่วมกับเธอในการฝ่าฝืนกฎของพระเจ้าได้เป็นผลสำเร็จ.—เยเนซิศ 3:1-6
ตอนนี้อาจจะมีการโต้แย้งก็ได้ว่า พระเจ้าน่าจะมีทัศนะคติแบบที่ยอมให้เป็นไปได้ในเรื่องการขัดขืนของมนุษย์คู่แรกเช่นนั้น. อาจจะมีการเสนอแนะว่า หากพระองค์ปิดตาต่อการกระทำผิดของเขา คือระงับเสียโดยไม่ให้มีการลงโทษก็ได้. แต่ว่านั่นจะเป็นวิธีดำเนินการที่ดีที่สุดไหม? ไม่เป็นความจริงหรอกหรือว่าการที่ไม่บังคับการให้เป็นไปตามกฎหมายในหมู่มนุษย์ทุกวันนี้นั้นได้ดำเนินไปสู่การไม่เคารพต่อกฎหมายอันเหมาะสมต่าง ๆ และนำไปสู่อาชญากรรมและความรุนแรงซึ่งมีเพิ่มพูนขึ้นเช่นนั้น? สำหรับพระเจ้าแล้วการที่จะปล่อยการกระทำผิดของอาดาม และฮาวาไว้ โดยมิได้ถูกลงโทษนั้นย่อมหมายถึงการสนับสนุนเขา และลูกหลานของเขาให้กล้าที่จะกระทำการละเลยกฎหมายต่อ ๆ ไป. ทั้งนี้ก็ย่อมทำให้พระเจ้ามีส่วนในความรับผิดชอบต่อการกระทำเช่นนี้ทีเดียว.
นอกจากนั้นแล้ว การยินยอมให้เป็นไปเช่นนี้ย่อมจะทำให้เกิดข้อสงสัยขึ้นเช่นกันในเรื่องการน่าเชื่อถือไว้วางใจในพระวจนะของพระเจ้า. คงจะทำให้ดูเหมือนว่าสิ่งที่พระองค์ตรัสไว้นั้นไม่มีความหมายอะไรเลย และเพราะฉะนั้นจึงสามารถทำการฝ่าฝืนกฎหมายของพระองค์ได้ โดยที่ไม่ต้องได้รับโทษ.
ด้วยเหตุนี้จึงปรากฏชัดว่า เป็นสิ่งที่ถูกต้องและยุติธรรมอย่างเดียวเท่านั้นสำหรับพระเจ้าในเรื่องที่จะเชิดชูกฎหมายของพระองค์และในการปล่อยให้มนุษย์คู่แรกทนรับผล อันเนื่องมาแต่การละเมิดขัดขืนโดยเจตนาของตนนั้น. ขออย่าได้มองข้ามข้อที่ว่า ในกรณีของเขานั้นหาได้มีพยานหลักฐานในเรื่องการรู้สำนึกเสียใจในความผิดของตนแต่อย่างใดไม่. เขาทั้งสองมิได้แสดงพยานหลักฐานเสียเลยในเรื่องการเปลี่ยนใจแก้ไขเสียใหม่.
เหตุผลขั้นพื้นฐาน—ความบาป
โดยการที่เขากบฏทรยศต่อพระเจ้า อาดามและฮาวาจึงเท่ากับว่าตัดตัวเองออกจากสายสัมพันธ์อย่างดีกับพระองค์. เขาหาได้มีชีวิตแบบไม่รู้จักตายที่ใคร ๆ จะทำลายเสียมิได้นั้นไม่. พระคัมภีร์ไบเบิ้ลบอกว่า โดยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า พระองค์ ‘ทรงดูแลให้ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาวทั้งหลายดำรงคงอยู่ตลอดไป จนกระทั่งเวลาที่ไม่มีกำหนด.’ (บทเพลงสรรเสริญ 148:3-6) ดังนั้นก็เช่นเดียวกันกับมนุษย์คู่แรก. เขาทั้งสองจำต้องพึ่งอาศัยพระเจ้าในการที่จะดำรงชีวิตอยู่ตลอดไป.
โดยการไม่ยอมปฏิบัติตามกฎหมายของพระเจ้า อาดามและฮาวาจึงตัดตัวเองออกจากอำนาจประคับประคองของพระองค์. ยิ่งกว่านั้นเมื่อห่างเหินจากพระเจ้าไปแล้ว เขาทั้งสองจึงอยู่โดยปราศจากการควบคุม และการทรงนำของพระองค์. ครั้นได้เวลาเข้าแล้ว ความผิดบาปที่ทำให้อาดามและฮาวาห่างเหินไปจากพระเจ้านั้นเป็นเหตุทำให้เขาทั้งสองต้องถึงซึ่งความตาย.
อย่างไรก็ดี หลังจากการฝ่าฝืนกฎหมายของพระเจ้าแล้ว เขาทั้งสองก็ยังคงมีขีดแห่งความสามารถอยู่อย่างมากมายภายในตัวในเรื่องชีวิต. ทั้งนี้ก็จะเห็นได้ชัดจากบทความบันทึกตามประวัติศาสตร์ ซึ่งเผยให้ทราบว่าอาดามมีชีวิตอยู่เป็นเวลา 930 ปี. (เยเนซิศ 5:5) กระนั้นก็ดี คำเตือนที่ทรงให้ไว้กับอาดามก็มาสำเร็จสมจริงที่ว่า: “ในวันซึ่งเจ้ากินผล (จากต้นไม้ที่ให้ความรู้เกี่ยวกับความดีและความชั่วนั้นเข้าไป) เจ้าจะตายเป็นแน่”. เพราะพระเจ้าทรงพิพากษาลงโทษอาดามให้ถึงซึ่งความตาย ในวันนั้นทีเดียว.—เยเนซิศ 2:17.
เนื่องด้วยการไม่เชื่อฟังของเขานั่นเอง อาดามในฐานะที่เป็นบรรพบุรุษแห่งครอบครัวของมนุษย์ จึงไม่เพียงแต่นำเอาความตายมาสู่ตนเองเท่านั้น แต่ยังได้นำเอามาสู่ลูกหลานของเขาที่ยังไม่เกิดมานั้นอีกด้วย. เหตุฉะนั้นพระคัมภีร์จึงบอกดังนี้: “ความผิดบาปได้เข้ามาในโลก เพราะคน ๆ เดียว และความตายก็เกิดขึ้นเพราะความผิดบาปนั้น และดังนั้นความตายจึงได้แผ่ลามไปถึงคนทั้งปวง เพราะว่าเขาทั้งหลายได้ทำผิดทุกคน.”—โรม 5:12.
เนื่องด้วยสภาพความสมบูรณ์ถูกริบเอาไปเสีย อาดามจึงไม่สามารถถ่ายทอดความสมบูรณ์นั้น ๆ ไปยังลูกหลานของเขาได้. ผลแห่งความผิดบาปภายในร่างกายของเขานั้นเองทำให้ไม่มีทางเป็นไปได้ที่เขาจะให้กำเนิดลูกหลานโดยที่ไม่มีข้อบกพร่องหรือข้ออ่อนแอ. ทั้งนี้จึงนับว่าลงรอยกันกับถ้อยแถลงในพระธรรมโยบ 14:4 ที่ว่า: “ผู้ใดหรือจะให้กำเนิดใครคนใดที่สะอาดหมดจดจากคนที่ไม่สะอาดหมดจดได้? ไม่มีผู้ใดเลยจะกระทำได้.” ดังนี้ความแก่ชรา และความตายของมวลมนุษย์ทุกวันนี้นั้น ในประการแรกก็เนื่องด้วยความผิดบาปซึ่งมนุษย์ได้รับจากอาดามเป็นมรดก. ในฐานะที่เป็นลูกหลานของเขา มนุษย์เราจึงได้รับค่าจ้างซึ่งความบาปให้ไว้นั้นคือ—ความตาย.—โรม 6:23.
นั่นจะหมายความว่าอย่างไรจริง ๆ? ความตายเป็นเครื่องหมายแสดงถึงจุดจบแห่งการดำเนินชีวิตของคนเราทุกคนกระนั้นไหม หรือว่ามีบางส่วนของมนุษย์ที่ยังดำรงชีวิตอยู่ต่อไปอีก? ชีวิตแบบที่รู้สึกตัว ยังคงมีอยู่เรื่อยไปกระนั้นไหมหลังจากที่ร่างกายตายไปแล้ว?
[แผนที่หน้า 37]
(รายละเอียดดูจากหนังสือ)
เทพนิยายของหลายประเทศเริ่มต้นที่บาเบล
กรีซ
บาเบล
อาฟริกา
อินเดีย
[รูปภาพหน้า 40]
พระคัมภีร์บอกว่า พระเจ้าทรงให้มนุษย์คู่แรกมีความหวังที่จะมีชีวิตชั่วนิรันดร์