การยอมอยู่ใต้อำนาจด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้า—ทำไมและโดยผู้ใด?
“โอ้พระยะโฮวา, ข้าพเจ้ารู้อยู่ว่าทางที่มนุษย์จะไปนั้นไม่ได้อยู่ในตัวของตัว, ไม่ใช่ที่มนุษย์ซึ่งดำเนินนั้นจะได้กำหนดก้าวของตัวได้.”—ยิระมะยา 10:23.
1. การมีอิสรภาพในรูปแบบใดบ้างเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวาง?
ในบรรดาแถลงการณ์ของมนุษย์ฉบับที่ขึ้นชื่อที่สุดได้แก่แถลงการณ์ประกาศเอกราช โดย 13 อาณานิคมอังกฤษในทวีปอเมริกาเหนือซึ่งได้ประกาศอิสรภาพแยกจากอังกฤษ ประเทศแม่ของตนสมัยศตวรรษที่ 18. อาณานิคมเหล่านั้นต้องการอิสรภาพ และเอกราชพ้นจากการควบคุมจากต่างแดนควบคู่กับอิสรภาพ. ความเป็นเอกราชทางการเมืองและเศรษฐกิจอาจเป็นข้อได้เปรียบอย่างยิ่ง. เมื่อไม่นานมานี้ประเทศแถบยุโรปตะวันออกบางประเทศได้ก้าวไปสู่ความเป็นเอกราชทางการเมือง. แต่ก็ต้องยอมรับกันว่าในประเทศเหล่านั้น เอกราชนั้นนำปัญหาร้ายแรงหลายอย่างตามมา.
2, 3. (ก) อิสรภาพแบบไหนเป็นสิ่งไม่น่าปรารถนา? (ข) ข้อเท็จจริงนี้ได้รับการตอกย้ำตั้งแต่แรกอย่างไร?
2 ทั้งที่อิสรภาพหลายรูปแบบต่าง ๆ อาจเป็นสิ่งที่พึงปรารถนา แต่ก็มีอิสรภาพแบบหนึ่งไม่เป็นที่พึงปรารถนา. นั้นคือรูปแบบไหน? อิสรภาพโดยไม่พึ่งพาพระเจ้ายะโฮวา ผู้ทรงสร้างมนุษย์ทั้งมวล. อิสรภาพเช่นนั้นหาเป็นพระพรไม่ แต่เป็นความเสียหาย. เพราะเหตุใด? เพราะมนุษย์ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาให้ทำอะไรก็ตามโดยไม่พึ่งผู้ที่ได้สร้างเขาขึ้นมา ดังถ้อยคำของผู้พยากรณ์ยิระมะยาที่ได้ยกมากล่าวข้างต้นแสดงไว้อย่างเหมาะเจาะ. กล่าวอีกนัยหนึ่ง มนุษย์พึงอยู่ใต้อำนาจผู้ที่ได้สร้างเขานั่นเอง. ที่จะยอมอยู่ในอำนาจพระผู้สร้างหมายถึงการเชื่อฟังพระองค์.
3 ความจริงข้อนี้ได้รับการตอกย้ำอย่างชัดแจ้งต่อมนุษย์คู่แรก โดยคำสั่งของพระยะโฮวาดังบันทึกในพระธรรมเยเนซิศ 2:16, 17, (ล.ม.) ที่ว่า “จากต้นไม้ทุกต้นในสวนเจ้ากินได้จนเป็นที่พอใจ. ส่วนต้นไม้เกี่ยวกับความรู้เรื่องความดีและความชั่วนั้นเจ้าอย่ากินจากต้นนั้น เพราะว่าในวันซึ่งเจ้ากินจากต้นนั้นเจ้าจะตายเป็นแน่.” การปฏิเสธที่จะอยู่ใต้อำนาจผู้สร้างของเขานำบาป, ความทุกข์ลำบาก, และความตายมาให้อาดามและเผ่าพันธุ์ทั้งสิ้นของเขา.—เยเนซิศ 3:19; โรม 5:12.
4, 5. (ก) การที่มนุษย์ปฏิเสธที่จะอยู่ใต้อำนาจของพระเจ้าได้ก่อผลประการใด? (ข) กฎศีลธรรมข้อใดซึ่งไม่อาจหลีกเลี่ยงได้?
4 การที่มนุษย์ไม่ยอมอยู่ใต้อำนาจพระเจ้าเป็นการไม่ฉลาดและผิดทางด้านศีลธรรมด้วย. ในโลกนี้ก็ปรากฏผลดาษดื่นด้วยการละเลยกฎหมาย, อาชญากรรม, ความรุนแรง, และการผิดศีลธรรมทางเพศซึ่งยังผลทำให้มีการแพร่ระบาดโรคทางเพศ. นอกจากนี้แล้ว การแพร่ระบาดของอาชญากรรมที่ผู้เยาว์ก่อขึ้นในทุกวันนี้ส่วนใหญ่เนื่องมาจากหนุ่มสาวไม่ยอมอยู่ใต้อำนาจพระยะโฮวา เช่นเดียวกับไม่ยอมอยู่ใต้อำนาจบิดามารดาของเขาและกฎหมายของบ้านเมืองมิใช่หรือ? น้ำใจที่อยากจะเป็นเอกเทศนี้ประจักษ์ได้จากแนวการแต่งกายของเขาในชุดเสื้อผ้าแปลก ๆ และไม่เรียบร้อย และในการใช้ถ้อยคำหยาบคายซึ่งหลายคนใช้.
5 แต่ไม่ว่าใคร ๆ ก็หลบหลีกกฎทางศีลธรรมอันเด็ดขาดของพระผู้สร้างไม่ได้ที่ว่า “อย่าให้ใครชักนำท่านให้หลง: จะหลอกพระเจ้าเล่นไม่ได้. ด้วยว่าคนใดหว่านอะไรลงก็จะเกี่ยวเก็บสิ่งนั้น; เพราะคนใดที่หว่านโดยคำนึงถึงเนื้อหนังของตนเองจะเกี่ยวเก็บการเปื่อยเน่าจากเนื้อหนังนั้น.”—ฆะลาเตีย 6:7, 8, ล.ม.
6, 7. อะไรเป็นมูลเหตุของการบอกปัดการอยู่ใต้อำนาจ ดังเห็นได้จากตัวอย่างอะไรบ้าง?
6 อะไรคือสาเหตุหลักของการปฏิเสธที่จะยอมอยู่ใต้อำนาจ? พูดง่าย ๆ คือความเห็นแก่ตัวและความยโส. นี้แหละเป็นเหตุที่ฮาวาผู้หญิงคนแรกในโลกปล่อยให้งูหลอกลวงเธอกระทั่งตัวเองยอมกินผลไม้ต้องห้ามนั้น. การล่อใจเพื่อจะเป็นเหมือนพระเจ้า—โดยตัดสินใจเองว่าไหนดีไหนชั่ว—คงไม่สามารถโน้มน้าวใจฮาวาได้หากนางเป็นคนเจียมตัวและถ่อมใจ. และถ้านางไม่เห็นแก่ตัว นางก็คงไม่ประสงค์สิ่งซึ่งพระเจ้ายะโฮวาผู้สร้างเธอทรงสั่งห้ามไว้.—เยเนซิศ 2:16, 17.
7 ไม่นานภายหลังการเสื่อมสถานะของอาดามกับฮาวา ความยโสและความเห็นแก่ตัวเป็นเหตุให้คายินฆ่าเฮเบลน้องชายของตน. อนึ่ง ความเห็นแก่ตัวทำให้ทูตสวรรค์จำนวนหนึ่งประพฤติตนอย่างเอกเทศ ละฐานะเดิมของตนและได้จำแลงกายเป็นมนุษย์เพื่อที่จะระเริงในกามราคะ. ความยโสและความเห็นแก่ตัวเป็นแรงเร้าใจนิมโรดและได้กลายมาเป็นลักษณะพิเศษจำเพาะของผู้ครอบครองฝ่ายโลกตั้งแต่ครั้งนั้นเรื่อยมา.—เยเนซิศ 3:6, 7; 4:6-8; 1 โยฮัน 3:12; ยูดา 6.
เหตุผลที่เราจำต้องอยู่ใต้อำนาจพระเจ้ายะโฮวา
8-11. เรามีเหตุผลหนักแน่นสี่ประการอะไรบ้างที่พึงยอมอยู่ใต้อำนาจด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้า?
8 ทำไมพวกเราพึงยอมอยู่ใต้อำนาจพระเจ้ายะโฮวาผู้สร้างของเรา? ประการแรก เพราะพระองค์เป็นพระบรมมหิศรแห่งเอกภพ. อำนาจทั้งสิ้นดำรงอยู่กับพระองค์โดยสิทธิอันถูกต้อง. พระองค์ทรงเป็นตุลาการ, ผู้บัญญัติกฎหมาย, และพระมหากษัตริย์ของเรา. (ยะซายา 33:22, ฉบับแปลเก่าข้อ 23) มีการเขียนข้อความกล่าวถึงพระองค์เป็นอย่างดีดังนี้: “สรรพสิ่งปรากฏแจ้งต่อพระเนตรของพระองค์ผู้ซึ่งเราต้องให้การนั้น.”—เฮ็บราย 4:13.
9 ยิ่งกว่านั้น เนื่องจากพระผู้สร้างของเราทรงมีฤทธานุภาพทุกประการ จึงไม่มีผู้ใดบังอาจขัดขวางพระองค์อย่างสำเร็จผลได้ ไม่มีใครเลยจะสามารถละเลยพันธะหน้าที่ของตนในการอยู่ใต้อำนาจพระองค์. ไม่ช้าก็เร็ว คนที่ปฏิเสธจะประสบความหายนะเหมือนฟาโรห์ครั้งกระโน้น และเช่นเดียวกับซาตานพญามารในเวลากำหนดของพระเจ้า.—บทเพลงสรรเสริญ 136:1, 11-15; วิวรณ์ 11:17; 20:10, 14.
10 การยอมอยู่ใต้อำนาจเป็นพันธะหน้าที่ของผู้มีเชาวน์ปัญญาทั้งปวง เนื่องจากเขามีชีวิตเพื่อจุดประสงค์จะปฏิบัติผู้ที่ได้สร้างตนขึ้นมา. วิวรณ์ 4:11, (ล.ม.) แถลงอย่างนี้: “พระยะโฮวาพระเจ้าของข้าพเจ้าทั้งหลาย พระองค์คู่ควรจะได้รับสง่าราศีและเกียรติยศและฤทธิ์เดช เพราะพระองค์ได้ทรงสร้างสิ่งทั้งปวง และเนื่องด้วยพระทัยประสงค์ของพระองค์ สิ่งเหล่านั้นจึงได้ดำรงอยู่และถูกสร้างขึ้น.” พระองค์ทรงเป็นช่างปั้นหม้อองค์ใหญ่ยิ่ง และพระองค์ทรงสร้างมนุษย์เพื่อส่งเสริมจุดมุ่งหมายของพระองค์.—ยะซายา 29:16; 64:8.
11 พวกเราไม่ควรมองข้ามข้อเท็จจริงที่ว่าผู้สร้างของเราทรงพระปรีชาญาณยิ่ง ฉะนั้น พระองค์ทรงทราบว่าอะไรดีที่สุดสำหรับเรา. (โรม 11:33) บทบัญญัติต่าง ๆ ของพระองค์เป็น ‘ประโยชน์แก่เรา.’ (พระบัญญัติ 10:12, 13) ยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด “พระเจ้าเป็นความรัก” ดังนั้น พระองค์ทรงประสงค์จะให้เรามีแต่สิ่งดี ๆ เท่านั้น. เรามีเหตุผลหนักแน่นมากมายเพียงใดในเรื่องการยอมอยู่ใต้อำนาจพระเจ้ายะโฮวา ผู้สร้างของเรา!—1 โยฮัน 4:8.
พระเยซูคริสต์ ตัวอย่างที่ดีพร้อมในการยอมอยู่ใต้อำนาจด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้า
12, 13. (ก) พระเยซูคริสต์ได้ทรงสำแดงการยอมอยู่ใต้อำนาจด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้าโดยวิธีใด? (ข) คำตรัสอะไรของพระเยซูแสดงถึงทัศนะของพระองค์ในการยอมอยู่ใต้อำนาจ?
12 โดยไม่มีข้อสงสัยแม้แต่น้อย พระเยซูคริสต์ พระบุตรที่พระยะโฮวาทรงให้กำเนิดองค์เดียวนี้ได้วางตัวอย่างที่ดีพร้อมในการอยู่ใต้อำนาจด้วยความเลื่อมใสต่อพระเจ้า. อัครสาวกเปาโลชี้แจงข้อนี้ในฟิลิปปอย 2:6-8, (ล.ม.) ดังนี้: “[พระเยซู] ถึงแม้พระองค์จะดำรงอยู่ในลักษณะของพระเจ้าก็ตาม มิได้ทรงคำนึงถึงการที่จะแย่งชิง กล่าวคือการที่พระองค์จะได้เท่าเทียมกับพระเจ้า. เปล่าเลย แต่พระองค์ได้ยอมสละพระองค์เองแล้วก็รับเอาสภาพแห่งทาสและมารับเอารูปลักษณะเป็นมนุษย์. ยิ่งกว่านั้น เมื่อแลเห็นว่า พระองค์เองอยู่ในลักษณะมนุษย์แล้ว พระองค์ทรงถ่อมพระองค์ และยอมเชื่อฟังจนถึงความมรณา คือความมรณาบนหลักทรมาน.” เมื่ออยู่ในโลกนี้ พระเยซูได้ตรัสหลายครั้งว่าพระองค์ไม่ทำสิ่งใดโดยการริเริ่มของตนเอง; พระองค์ไม่ทรงกระทำการใด ๆ อย่างเป็นเอกเทศ, ทว่าได้ทรงยอมอยู่ใต้อำนาจพระบิดาของพระองค์ทางภาคสวรรค์อยู่เสมอ.
13 เราอ่านที่โยฮัน 5:19, 30, (ล.ม.) ดังนี้: “พระเยซูตรัสตอบพวกเขาต่อไปว่า ‘เราบอกเจ้าทั้งหลายตามจริงว่า พระบุตรจะกระทำสิ่งใดตามความริเริ่มของตนเองไม่ได้เลย เว้นแต่ที่ได้เห็นพระบิดาทรงกระทำ. เพราะว่าสิ่งใด ๆ ที่พระองค์ทรงกระทำ พระบุตรก็ทรงกระทำในลักษณะเดียวกัน. เราจะกระทำสิ่งใดด้วยความริเริ่มของเราเองไม่ได้; เราได้ยินอย่างไร เราก็พิพากษาอย่างนั้น; และการพิพากษาของเราก็ยุติธรรม เพราะเรามิได้มุ่งที่จะทำตามความประสงค์ของเราเอง แต่ตามความประสงค์ของพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา.’” ในทำนองเดียวกัน คืนนั้นที่มีการทรยศต่อพระองค์ พระองค์ก็ได้ทูลอธิษฐานหลายครั้งว่า “อย่าให้เป็นตามใจปรารถนาของข้าพเจ้า, แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์.”—มัดธาย 26:39, 42, 44; ดูโยฮัน 7:28; 8:28, 42 ด้วย.
ตัวอย่างการอยู่ใต้อำนาจด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้าแต่โบราณ
14. โนฮาแสดงให้เห็นอย่างไรถึงการอยู่ใต้อำนาจด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้า?
14 ท่ามกลางตัวอย่างต่าง ๆ ของผู้คนสมัยโบราณที่ยอมอยู่ใต้อำนาจด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้าก็มีโนฮา. ท่านแสดงการยอมอยู่ใต้อำนาจด้วยวิธีสามประการ. ประการแรก โดยที่ท่านเป็นคนชอบธรรม, ปราศจากข้อผิดพลาดในคนสมัยเดียวกัน, ดำเนินกับพระเจ้าองค์เที่ยงแท้. (เยเนซิศ 6:9) ประการที่สอง โดยทำการสร้างนาวา. “พระเจ้ารับสั่งให้โนฮาทำอย่างไร, โนฮาก็กระทำอย่างนั้นทุกสิ่งทุกประการ.” (เยเนซิศ 6:22) ประการที่สาม โดยการเตือนล่วงหน้าถึงเรื่องจะมีน้ำท่วมโลก ฐานะเป็น “ผู้ประกาศความชอบธรรม.”—2 เปโตร 2:5.
15, 16. (ก) อับราฮามได้วางตัวอย่างอันดีประการใดในเรื่องการอยู่ใต้อำนาจด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้า? (ข) ซาราได้แสดงการยอมอยู่ใต้อำนาจโดยวิธีใด?
15 อับราฮามเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่เด่นเกี่ยวกับการยอมอยู่ใต้อำนาจด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้า. ท่านแสดงการอยู่ใต้อำนาจโดยเชื่อฟังคำสั่งของพระเจ้าที่ว่า “เจ้าต้องออกจากเมืองจากญาติพี่น้อง.” (เยเนซิศ 12:1) ทั้งนี้หมายถึงการละสิ่งต่าง ๆ ซึ่งให้ความสะดวกสบายไว้ที่เมืองอูระ ไม่ใช่เมืองเล็ก ๆ ที่ไม่สลักสำคัญดังที่การขุดค้นทางโบราณคดีแสดงให้เห็น แล้วสัญจรในต่างแดนนานเป็นร้อยปีอย่างคนไม่มีหลักแหล่ง. โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อับราฮามได้แสดงการอยู่ใต้อำนาจด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้า โดยรับการทดลองอย่างหนักเพื่อพิสูจน์ความเต็มใจที่จะถวายยิศฮาคบุตรชายของตนเป็นเครื่องบูชา.—เยเนซิศ 22:1-12.
16 ซาราภรรยาของอับราฮามก็เป็นตัวอย่างอันดีแก่พวกเราในด้านการอยู่ใต้อำนาจด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้า. การเดินทางไปในดินแดนใหม่ที่ไม่เคยรู้จักคงหมายถึงความไม่สะดวกหลายอย่างเป็นแน่ แต่เราอ่านไม่พบว่านางพร่ำบ่น. นางวางตัวอย่างที่ดีสองคราวแสดงถึงการยอมอยู่ใต้อำนาจด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้า เมื่ออับราฮามให้นางแสดงตัวเป็นน้องสาวต่อหน้าเจ้าเมืองชาวต่างชาติ. ทั้งสองครั้งนางร่วมมือ ถึงแม้นางเกือบถูกนำตัวเข้าไปอยู่ในฮาเร็มของเจ้าเมืองเหล่านั้นด้วยซ้ำ. หลักฐานที่แสดงถึงการยอมอยู่ใต้อำนาจด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้านั้นคือวิธีที่นางพูดในใจเรื่องสามีโดยเรียกอับราฮามว่า “นาย” ซึ่งแสดงให้เห็นว่านั้นเป็นทัศนคติจากใจจริงของนางทีเดียว.—เยเนซิศ 12:11-20; 18:12; 20:2-18; 1 เปโตร 3:6.
17. ทำไมจึงกล่าวได้ว่ายิศฮาคสำแดงการยอมอยู่ใต้อำนาจด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้า?
17 อย่าให้เรามองข้ามตัวอย่างเรื่องการยอมอยู่ใต้อำนาจด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้าซึ่งวางไว้โดยยิศฮาคบุตรชายของอับราฮาม. คำพูดที่เล่าสืบกันมาของชาวยิวระบุว่ายิศฮาคมีอายุประมาณ 25 ปีเมื่อพระยะโฮวาสั่งอับราฮามผู้เป็นบิดาให้ถวายบุตรชายเป็นเครื่องบูชา. หากยิศฮาคต้องการทัดทานบิดาของท่านซึ่งมีอายุแก่กว่าร่วมร้อยปีก็น่าจะทำได้อย่างง่ายดาย. แต่ไม่เป็นเช่นนั้น. แม้ยิศฮาคนึกสงสัยว่าไม่มีสัตว์ที่จะใช้เป็นเครื่องบูชา ด้วยใจถ่อมท่านได้ยอมให้บิดาวางร่างของท่านบนแท่น แล้วมัดมือมัดเท้าไว้เพื่อป้องกันปฏิกิริยาที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่ตั้งใจในตอนใช้มีดสังหาร.—เยเนซิศ 22:7-9.
18. โมเซเป็นตัวอย่างที่ดีโดยวิธีใดในด้านการยอมอยู่ใต้อำนาจด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้า?
18 หลายปีต่อมา โมเซเป็นตัวอย่างที่ดีแก่พวกเราในเรื่องการอยู่ใต้อำนาจด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้า. ข้อนี้ระบุไว้เป็นที่แน่นอนโดยมีคำพรรณนาว่า “ท่านเป็นคนถ่อมจิตใจอ่อนยิ่งมากกว่าคนทั้งปวงที่อยู่บนแผ่นดิน.” (อาฤธโม 12:3) การที่ท่านได้ปฏิบัติอย่างเชื่อฟังตามคำสั่งของพระยะโฮวาระหว่างเดินทางในป่านาน 40 ปี แม้นต้องดูแลฝูงชนที่ดื้อดึงมากถึงสองสามล้านคน, เป็นหลักฐานเพิ่มขึ้นอีกว่าท่านอยู่ใต้อำนาจด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้า. ดังนั้น บันทึกจึงบอกว่า “พระยะโฮวาได้ตรัสสั่งให้โมเซทำประการใดท่านก็ได้กระทำดังนั้นทุกประการ.”—เอ็กโซโด 40:16.
19. โยบแสดงว่าท่านยอมอยู่ใต้อำนาจพระยะโฮวาโดยคำพูดเช่นไร?
19 โยบเป็นอีกคนหนึ่งที่เด่นมาก ซึ่งวางตัวอย่างอันยอดเยี่ยมในเรื่องการอยู่ใต้อำนาจด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้า. หลังจากพระยะโฮวาอนุญาตให้ซาตานทำลายทรัพย์สมบัติทั้งสิ้นของโยบ, ทำให้ลูกทุกคนของท่านถึงแก่ความตาย, แถมทำให้โยบเกิดเป็น “ฝีร้ายลามทั่วไปทั้งตัว, ตั้งแต่ฝ่าเท้าจนถึงกระหม่อมศีรษะ” ภรรยาของโยบกล่าวแก่ท่านว่า “ท่านยังจงรักภักดีต่อพระเจ้าอยู่หรือ? จงแช่งด่าพระเจ้า; ถึงจะตายก็ตายเถิด!” กระนั้นก็ดี โยบได้แสดงการอยู่ใต้อำนาจด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้า โดยกล่าวแก่ภรรยาว่า “เจ้าพูดอย่างหญิงที่โฉดชั่ว. อะไรนะ, เราก็เคยได้รับสิ่งที่ดีจากพระหัตถ์พระเจ้า; แล้วสิ่งที่ไม่ดีจะไม่ยอมรับบ้างเจียวหรือ?” (โยบ 2:7-10) ถ้อยคำของท่านที่บันทึกอยู่ในโยบ 13:15 แสดงถึงเจตคติอย่างเดียวกันดังนี้: “แม้ว่าพระองค์ทรงสังหารข้าฯเสีย, ข้าฯก็ยังไว้วางใจในพระองค์.” แม้โยบกังวลมากในเรื่องการแก้ต่างให้ตัวเอง เราก็ไม่ควรมองข้ามข้อที่ว่า ในที่สุดพระยะโฮวาตรัสแก่คนหนึ่งซึ่งอ้างตัวเป็นผู้ให้การปลอบโยนแก่โยบดังนี้: “โทโสของเราได้พลุ่งขึ้นต่อเจ้าแล้ว, และต่อมิตรสหายสองคนของเจ้าด้วย, เพราะเจ้าได้พูดอะไร ๆ ถึงเรานั้นไม่เป็นความจริง ดังโยบผู้ทาสของเราได้กล่าวแล้ว.” โดยไม่ต้องสงสัย โยบได้วางตัวอย่างที่ดีแก่พวกเราเกี่ยวกับการอยู่ใต้อำนาจด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้า.—โยบ 42:7.
20. ดาวิดแสดงตนในทางใดว่าท่านยอมอยู่ใต้อำนาจด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้า?
20 ดาวิดเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งจากคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรูที่เราจะกล่าวถึง. เมื่อกษัตริย์ซาอูลได้ตามล่าดาวิดประหนึ่งล่าสัตว์ ดาวิดมีโอกาสถึงสองครั้งที่จะทำให้ความทุกข์ยากของท่านสิ้นสุดลงโดยสังหารซาอูล. ถึงกระนั้น การที่ดาวิดยอมอยู่ใต้อำนาจด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้ากีดกั้นท่านไว้จากการทำสิ่งนั้น. ถ้อยคำของท่านมีจารึกไว้ที่ 1 ซามูเอล 24:6 ดังนี้: “ขอพระยะโฮวาทรงห้ามอย่าให้ข้าพเจ้าทำอย่างนี้ต่อเจ้านายของตน ผู้ที่พระยะโฮวาทรงชโลมไว้, คือเหยียดมือออกต่อสู้ท่าน, ซึ่งเป็นผู้ที่พระยะโฮวาทรงชโลมไว้.” (ดูที่ 1 ซามูเอล 26:9-11 ด้วย.) ทำนองเดียวกัน ท่านแสดงการอยู่ใต้อำนาจด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้า โดยทรงยอมรับการว่ากล่าวเมื่อท่านผิดพลาดหรือกระทำบาป.—2 ซามูเอล 12:13; 24:17; 1 โครนิกา 15:13.
ตัวอย่างของเปาโลในการอยู่ใต้อำนาจ
21-23. อัครสาวกเปาโลแสดงการยอมอยู่ใต้อำนาจด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้าในกรณีใดบ้าง?
21 ในคัมภีร์คริสเตียนภาคภาษากรีก อัครสาวกเปาโลเป็นตัวอย่างเด่นแก่เราในด้านการอยู่ใต้อำนาจด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้า. ท่านเลียนแบบพระเยซูคริสต์ผู้เป็นนายของท่านในเรื่องนี้อย่างที่ท่านได้ทำในแง่อื่น ๆ ทั้งสิ้นแห่งงานรับใช้ฐานะอัครสาวก. (1 โกรินโธ 11:1) แม้ว่าพระเจ้ายะโฮวาทรงใช้ท่านทำงานอย่างแข็งขันกว่าอัครสาวกอื่น ๆ ก็ตาม เปาโลไม่เคยทำการใด ๆ โดยเอกเทศ. ลูกาได้แจ้งแก่เราว่าเมื่อเกิดปัญหาที่ว่าคนต่างชาติผู้เปลี่ยนศาสนาแล้วต้องรับสุหนัตหรือไม่ “เขาทั้งหลาย [พี่น้องที่อันติโอเกีย] ได้ตั้งเปาโลกับบาระนาบากับคนอื่น ๆ ในจำพวกนั้นให้ขึ้นไปหารือกับอัครสาวกและผู้ปกครองในกรุงยะรูซาเลมด้วยข้อที่เถียงกันนั้น.”—กิจการ 15:2.
22 เกี่ยวกับการเดินทางของเปาโลที่ออกไปเผยแพร่นั้น เราได้รับการบอกเล่าที่ฆะลาเตีย 2:9 ดังนี้: “และเมื่อยาโกโบกับเกฟาและโยฮัน, ผู้ที่เขานับถือว่าเป็นหลัก ได้เห็นพระคุณซึ่งทรงประทานแก่ข้าพเจ้า, ท่านทั้งสามจึงได้ยื่นมือขวาให้ข้าพเจ้ากับบาระนาบาจับเป็นเครื่องหมายว่ามีความสามัคคีต่อกัน เพื่อเราจะได้ไปหาชนต่างชาติ, และท่านเหล่านั้นจะได้ไปหาพวกที่ถือพิธีสุหนัต.” แทนที่จะทำไปโดยความคิดเห็นของตัวเอง เปาโลแสวงหาการชี้นำ.
23 ทำนองคล้ายคลึงกัน ครั้งสุดท้ายที่เปาโลอยู่ที่กรุงยะรูซาเลม ท่านได้รับรองเอาคำแนะนำของผู้ปกครองที่นั่นเกี่ยวกับการเข้าไปในพระวิหารและการปฏิบัติตามวิธีการแห่งพระบัญญัติ เพื่อทุกคนจะเห็นได้ว่าท่านมิได้เป็นคนออกหากในเรื่องที่เกี่ยวกับกฎหมายของโมเซ. เนื่องจากการที่ท่านได้กระทำเช่นนั้น ดูเหมือนว่านำไปสู่ความหายนะโดยที่ฝูงชนกลุ้มรุมเพื่อทำร้ายท่านเช่นนั้น การที่ท่านยอมอยู่ใต้อำนาจผู้ปกครองเหล่านั้นผิดหรือ? เปล่าเลย ดังหลักฐานปรากฏตามที่เราอ่านที่กิจการ 23:11 ดังนี้: “ในเวลากลางคืนวันนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงยืนอยู่กับเปาโลตรัสว่า, ‘เจ้าจงมีใจกล้าเถิด, เพราะว่าเจ้าได้เป็นพยานฝ่ายเราในกรุงยะรูซาเลมฉันใด, เจ้าจะต้องเป็นพยานในกรุงโรมด้วยฉันนั้น.’”
24. มีการพิจารณาแง่มุมอื่น ๆ อะไรอีกเกี่ยวกับการยอมอยู่ใต้อำนาจในบทความถัดไป?
24 จริง ๆ แล้ว พระคัมภีร์ให้เหตุผลแก่เราอย่างหนักแน่นสำหรับการอยู่ใต้อำนาจและให้ตัวอย่างที่เด่นชัดของคนเหล่านั้นที่ได้สำแดงการอยู่ใต้อำนาจดังกล่าว. ในบทความถัดไป เราจะพิจารณาขอบเขตต่าง ๆ ซึ่งเราสามารถคงอยู่ใต้อำนาจพระเจ้ายะโฮวา สิ่งที่ช่วยให้เราทำเช่นนั้น และรางวัลที่จะตามมา.
คุณจะตอบอย่างไร?
▫ รูปแบบเช่นไรของอิสรภาพเป็นสิ่งไม่พึงปรารถนา?
▫ อะไรคือมูลเหตุแห่งการปฏิเสธที่จะอยู่ใต้อำนาจ?
▫ พวกเราต้องอยู่ใต้อำนาจพระยะโฮวาด้วยเหตุผลอะไรบ้าง?
▫ คัมภีร์ไบเบิลบรรจุตัวอย่างดี ๆ อะไรบ้างเกี่ยวด้วยการยอมอยู่ใต้อำนาจด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้า?
[รูปภาพหน้า 13]
โนฮาเป็นตัวอย่างที่ปราศจากตำหนิในการอยู่ใต้อำนาจด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้า.—เยเนซิศ 6:14, 22.