“ยิ่งกว่าเมืองที่แข็งแรง”
“ตามอัตราปัจจุบัน ประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ของเด็กในสหรัฐจะเห็นชีวิตสมรสของบิดามารดาสิ้นสุดลงก่อนพวกเขาจะอายุ 18 ปี.” (ไซเยนซ์, ภาษาอังกฤษ, 7 มิถุนายน 1991) เป็นสถิติที่น่าตกใจเสียจริง ๆ! ทำไมจึงเกิดเรื่องเช่นนี้?
เอ็ดเวิร์ด เอ็ม. กินส์เบอร์ก ผู้พิพากษาศาลเกี่ยวกับความสัมพันธ์ในครอบครัวและศาลพิสูจน์พินัยกรรม ได้ให้ความเห็นในการให้สัมภาษณ์แก่หนังสือพิมพ์ เดอะ บอสตัน โกลบ ว่า “พวกเราเป็นสังคมที่เห็นแก่ตัว. เราอยากได้เพื่อตนเอง. เราถามว่า ‘มีอะไรให้ฉันบ้างตอนนี้?’ เราอยากได้ความพอใจทันที.”
ความเห็นแก่ตัวเช่นนั้นนำไปสู่ความขมขื่นและความขัดแย้งในชีวิตสมรส. ผู้พิพากษากินส์เบอร์กกล่าวว่า เมื่อคู่สมรสไปยังศาลเพื่อขอหย่ากันในที่สุด สามีและภรรยาต่างก็ต้องการพิสูจน์ว่าเป็นฝ่ายถูก. พวกเขาต้องการใครบางคนบอกเขาว่าเขาเป็นฝ่ายถูกและคู่ของเขาเป็นฝ่ายผิด. เขาต้องการให้บางคนบอกว่า “คุณชนะการต่อสู้นั้นแล้ว.”
ถ้อยคำของเขาทำให้เรานึกถึงสุภาษิตที่ได้รับการดลใจที่ว่า “พี่น้องที่ถูกกระทำผิดก็แข็งยิ่งกว่าเมืองที่แข็งแรง.” (สุภาษิต 18:19, ล.ม.) ใช่แล้ว เมื่อการต่อสู้ปะทุขึ้นในชีวิตสมรส ฝ่ายต่าง ๆ ที่ปะทะกันก็อาจเป็นคนไร้เหตุผลและแข็งกร้าวได้. บ่อยครั้ง พวกเขาปฏิเสธอย่างเด็ดเดี่ยวที่จะยอมอ่อนข้อ เสมือน “เมืองที่แข็งแรง” ซึ่งถูกโจมตี.
สิ่งต่าง ๆ จำต้องเป็นเช่นนี้ไหม? ไม่ ยังมีทางเลือกอีกทางหนึ่ง. ชีวิตสมรสจะมั่นคงและยืนยาวเมื่อทั้งสองฝ่ายเอาใจใส่ถ้อยคำของเปาโลเสียตั้งแต่แรก ที่ว่า “ท่านทั้งหลายจงเมตตาซึ่งกันและกัน, มีใจเอ็นดูซึ่งกันและกัน, และอภัยโทษให้กันและกัน, เหมือนพระเจ้าได้ทรงโปรดอภัยโทษให้ท่านทั้งหลายในพระคริสต์.” (เอเฟ. 4:32) เป็นการง่ายไหมที่จะปลูกฝังคุณลักษณะเหล่านั้น? ไม่ง่ายเสมอไป. แต่ง่ายขนาดไหนที่จะหย่า? ชีวิตสมรสที่แตกแยกเป็นความปวดร้าวทางอารมณ์และเป็นภาระหนักทางการเงินสักเท่าใด? และจะว่าอย่างไรกับลูก ๆ ซึ่งบ่อยครั้งต้องมีแผลฝังใจไปจนโตจากการหย่าร้างของบิดามารดา?
ดีกว่ามากที่บิดามารดาจะพยายามถนอมชีวิตสมรสเอาไว้และไม่เป็นคนที่ไม่ยอมอ่อนข้อให้กันเหมือน “เมืองที่แข็งแรง.” คำแนะนำที่เปาโลมีแก่คริสเตียนใช้กับคู่สมรสเป็นพิเศษ คือว่า “จงสวมตัวท่านด้วยความรัก เพราะความรักเป็นเครื่องเชื่อมสามัคคีที่ดีพร้อม.”—โกโลซาย 3:14, ล.ม.
[ที่มาของภาพหน้า 32]
The Complete Encyclopedia ofIllustration/J. G. Heck