คำถามจากผู้อ่าน (2)
• หากคริสเตียนคนหนึ่งถอนหมั้นฝ่ายเดียว จะมีผลกระทบอะไรบ้างต่อการที่คนนั้นถูกใช้เป็นแบบอย่างอันดีในประชาคม?
1 ทั้งการหมั้นและการถอนหมั้นเป็นขั้นตอนที่สำคัญ จะถือเป็นเรื่องไม่สลักสำคัญไม่ได้. แต่โดยพื้นฐานแล้ว ทั้งสองก็เป็นเรื่องส่วนตัว. คณะผู้ปกครองในประชาคมไม่จำเป็นต้องซักถามในเรื่องนั้นเว้นแต่คู่หมั้นฝ่ายหนึ่งร้องทุกข์กับพวกเขา หรือมีหลักฐานว่า มีพี่น้องจำนวนหนึ่งในประชาคมไม่สบายใจ แล้วจึงขาดความนับถือฝ่ายที่ถอนหมั้น. ในบางกรณีอาจเป็นว่า พวกพี่น้องที่ไม่สบายใจนั้นจำเป็นต้องมีความเข้าใจชัดขึ้นเกี่ยวกับหลักการที่เกี่ยวข้องอยู่ด้วย.
2 เราอาจสังเกตว่า ภายใต้ข้อกำหนดของชาติยิศราเอล ผู้หญิงที่หมั้นแล้วถูกมองดูว่าได้รับการผูกมัดเนื่องจากการหมั้นนั้น และถ้าเธอมีความผิดในเรื่องความไม่ซื่อสัตย์ บัญญัติของโมเซมีว่า เธอต้องถูกดำเนินการเหมือนกับที่สตรีที่สมรสแล้วจะได้รับ. (พระบัญญัติ 22:23, 24) ชายชาวยิศราเอลมีอิสระมากกว่าและอาจถอนหมั้นได้ ดังที่โยเซฟแห่งนาซาเร็ธคิดจะทำ. มัดธาย 1:19 บอกว่า หลังจากทราบเรื่องมาเรียมีครรภ์ “ด้วยเป็นคนซื่อตรง และในขณะเดียวกันก็ต้องการช่วยนางจากการถูกเปิดโปง โยเซฟปรารถนาจะถอนหมั้นเงียบ ๆ.” (นิว อิงลิช ไบเบิล; เทียบกับพระบัญญัติ 24:1.) แต่คริสเตียนไม่อยู่ใต้กฎหมายแห่งคำสัญญาไมตรี และหลาย ๆ แห่งในทุกวันนี้ ผู้หญิงที่หมั้นแล้วไม่ถือว่าเป็นการผูกมัดถึงขนาดที่เหมือนกับในสมัยนั้น.
3 ที่มัดธาย 5:37 พระเยซูตรัสดังนี้: “ให้ถ้อยคำของท่านเป็นคำตรงเถิด จริงก็ว่าจริง, ไม่ก็ว่าไม่ ซึ่งพูดเกินนี้ไปก็มาจากความชั่ว.” บริบทแสดงว่าพระองค์ทรงเตือนให้ระวังกิจปฏิบัติที่หลายคนมักพูดพร้อมกับสบถสาบานไปด้วย โดยอ้างสวรรค์หรือกรุงยะรูซาเลมหรือสิ่งใด ๆ ก็ตามเป็นประจำ. แต่โดยคำเตือนให้ระวังการพูดเกินไปเช่นนี้ พระเยซูไม่ได้ตรัสว่า เมื่อคนเราสำนึกว่าตนได้ทำสิ่งผิดพลาดร้ายแรง เป็นการไม่ถูกต้องที่จะพยายามเพื่อแก้ไขความผิดนั้น. สุภาษิต 6:1-5 กล่าวถึงคนที่ค้ำประกันให้อีกคนหนึ่งและได้ “ติดกับโดยคำทั้งหลาย” ซึ่งออกมาจากปากเขา “ถูกดัก” โดยคำเหล่านั้น และแนะนำว่า คนเช่นนั้นต้องลงมือทำเพื่อช่วยตนเองให้หลุดพ้น โดยกล่าวว่า “จงรีบไปวิงวอนขอต่อเพื่อนบ้านของเจ้า.” คนที่หมั้นหมายแล้วอาจมาตระหนักว่าเขาหรือเธอได้ทำไปอย่างไม่สุขุม. เป็นความจริงที่ว่า ระหว่างช่วงที่เป็นคู่รักกันก่อนหน้าการหมั้นนั้นโดยทั่วไปแล้วชายหรือหญิงต่างก็แสดง ‘สภาพภายนอกที่ดีที่สุด,’ ‘การประพฤติดีที่สุด.’ แต่หลังจากประกาศการหมั้นแล้ว แต่ละคนก็อาจเริ่มเผยให้เห็นตัวจริงมากขึ้น. ตอนนี้ฝ่ายหนึ่งอาจมองเห็นปัญหาร้ายแรงซึ่งก่อนหน้านั้นไม่ปรากฏให้เห็น.
4 ในกรณีพิเศษเหล่านั้นที่ผู้ปกครองเห็นจริง ๆ ว่าจำเป็นต้องสอบสวนในเรื่องของการถอนหมั้น พวกเขาควรสนใจที่จะสืบให้รู้แน่ชัดว่า เหตุผลสำหรับการถอนหมั้นนั้นฟังขึ้นหรือไม่. อะไรอาจเป็นเหตุผลที่ “ฟังขึ้น”? “คำถามจากผู้อ่าน” ในเดอะ ว็อชเทาเวอร์ ฉบับ 1 ตุลาคม 1968 ให้สองตัวอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้. ทีนี้ขอพิจารณาอีกสองสามตัวอย่าง. ระหว่างที่เป็นคู่หมั้นกันนั้น ฝ่ายหญิงอาจเริ่มเผยให้เห็นเจตคติที่ “ชอบใช้อำนาจ” อย่างมาก ไม่แสดงความนับถืออย่างแท้จริงต่อความเป็นประมุข ทั้งนี้ย่อมให้หลักฐานหนักแน่นของการเป็นคนชนิดที่มีพรรณนาไว้ในสุภาษิต 19:13; 21:9; 27:15, 16. หรือ ระหว่างเวลานั้น ฝ่ายชายอาจมีส่วนร่วมในการทำผิดร้ายแรงบางอย่าง บางทีกลายเป็นคนขี้เมา ร่วมในการผิดศีลธรรมบางอย่างหรือการกระทำที่ไม่ซื่อตรงอย่างร้ายแรง. หรือฝ่ายหนึ่งอาจมองเห็นความอ่อนแอฝ่ายวิญญาณอื่น ๆ บางประการอย่างชัดแจ้งในคู่หมั้น อาจเป็นเจตคติแรงกล้าด้านวัตถุนิยม และอาจรู้สึกด้วยน้ำใสใจจริงว่า ถ้าแต่งงานกันก็อาจทำให้มีภาระหนักฝ่ายวิญญาณแก่ตน บางทีอาจเกินกว่าที่เขาคิดว่าสามารถแบกได้โดยไม่เกิดความเสียหาย. กระนั้น นี่ไม่หมายความว่า อีกฝ่ายจะถูกมองว่ามีข้อบกพร่องหรือใช้ไม่ได้ในทุกกรณีไป. บางคนอาจรู้สึกว่า อีกฝ่ายเป็นคนดีมาก แต่ก็มาตระหนักว่า มีความแตกต่างกันมากในด้านบุคลิกภาพหรือทัศนะที่คงทำให้สายสัมพันธ์ในการสมรสเป็นเรื่องยากมากสำหรับเขาทั้งสอง. เหล่านี้ก็เป็นสาเหตุร้ายแรงบางประการ ไม่ใช่ทุกประการ ที่อาจทำให้ฝ่ายหนึ่ง ซึ่งหลังจากใคร่ครวญอย่างรอบคอบและทูลอธิษฐานแล้ว ตัดสินใจถอนหมั้น. แน่นอน การที่ต่างฝ่ายต่างตกลงกันจะถอนหมั้นย่อมดีกว่าการที่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดทำการถอนหมั้นแต่ฝ่ายเดียวมากทีเดียว. แต่อาจเป็นได้ว่า อีกฝ่ายหนึ่งไม่ยอมเข้าใจ หรือถึงกับจงใจจะไม่รับรู้ปัญหาที่มีอยู่.
5 ทั้งหมดที่กล่าวมานี้เน้นคุณค่าของการที่ไม่รีบด่วนทำการหมั้น แต่ดีกว่าที่จะพยายามรู้จักอีกฝ่ายให้ดีเสียก่อน. ความรักต่อเพื่อนบ้านพึงป้องกันคนเราไว้จากการมีเจตคติที่มองดูการหมั้นเป็นเรื่องไม่สลักสำคัญ โดยตระหนักถึงความเจ็บปวดทางอารมณ์ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ถ้ามีการถอนหมั้น.
6 ในกรณีที่คนเราสูญเสียคู่ของตนไปเนื่องจากความตายหรือเนื่องจากความไม่ซื่อสัตย์ (และการหย่าร้างตามหลักพระคัมภีร์) อารมณ์ของเขาหรือเธออาจอยู่ในสภาพที่ต้องการเพื่อนอย่างยิ่งเพื่อต่อสู้กับความเปล่าเปลี่ยว. อาจมีแนวโน้มจะเข้าสู่การหมั้นเร็วกว่าที่จะทำภายใต้สภาพการณ์อื่น ๆ. เมื่อมีความสมดุลทางอารมณ์กลับมา เขาอาจตระหนักว่า การหมั้นนั้นไม่สุขุมรอบคอบ. ในกรณีของผู้ปกครอง การนี้อาจแสดงให้เห็นความไม่มั่นคงของเขา หรืออาจไม่ใช่ก็ได้. จำเป็นต้องพิจารณาสภาพการณ์ต่าง ๆ เสียก่อน.
จากเดอะ ว็อชเทาเวอร์ ฉบับ 15 มิถุนายน 1975