การหาเหตุผลจากพระคัมภีร์ หน้า 64-67
ถ้ามีคนพูดว่า—‘ผมไม่เชื่อคัมภีร์ไบเบิล’
คุณอาจตอบว่า: ‘แต่คุณก็เชื่อว่ามีพระเจ้าใช่ไหมครับ? . . . ขอผมถามหน่อยนะครับว่า มีอะไรในคัมภีร์ไบเบิลที่คุณคิดว่าเป็นเรื่องยากที่จะยอมรับ?’
หรือคุณอาจพูดว่า: ‘คุณคิดอย่างนี้ตลอดมาเลยหรือเปล่าครับ? . . . ผมเคยได้ยินคนอื่นพูดอย่างนั้น แม้ว่าเขาไม่เคยศึกษาคัมภีร์ไบเบิลโดยตลอด. แต่เนื่องจากคัมภีร์ไบเบิลบอกไว้ชัดว่าคัมภีร์ไบเบิลเป็นข่าวสารจากพระเจ้าและพระองค์เสนอชีวิตนิรันดร์แก่เราถ้าเราเชื่อและดำเนินชีวิตตามที่คัมภีร์ไบเบิลบอก คุณเห็นด้วยไหมครับว่า อย่างน้อยก็คงจะคุ้มค่าถ้าจะตรวจสอบว่า ที่คัมภีร์ไบเบิลอ้างอย่างนั้นจะจริงหรือเปล่า? (ใช้เนื้อหาในหน้า 60-63.)’
‘คัมภีร์ไบเบิลขัดแย้งในตัวเอง’
คุณอาจตอบว่า: ‘เคยมีคนอื่นบอกผมอย่างนี้เหมือนกันครับ แต่ไม่มีใครเคยแสดงให้ผมเห็นได้เลยว่าที่ขัดแย้งจริง ๆ น่ะเป็นตรงไหน. และตามที่ผมอ่านคัมภีร์ไบเบิลเอง ผมไม่เคยเห็นสักแห่งที่ขัดแย้งกัน. คุณจะช่วยยกตัวอย่างให้ผมดูสักแห่งได้ไหมครับ? แล้วอาจเสริมว่า: ‘ที่ผมเคยพบคือ หลายคนเพียงแต่ไม่เคยพบคำตอบสำหรับคำถามที่คัมภีร์ไบเบิลทำให้เขาคิด. ตัวอย่างเช่น คายินได้ภรรยามาจากไหน? (ใช้เนื้อหาในหน้า 301, 302.)’
‘มนุษย์เป็นผู้เขียนคัมภีร์ไบเบิล’
คุณอาจตอบว่า: ‘ใช่ครับ. มีประมาณ 40 คนที่มีส่วนในการเขียนคัมภีร์ไบเบิล. แต่การเขียนนั้นมีขึ้นโดยการดลใจ จากพระเจ้า.’ แล้วอาจเสริมว่า: (1) ‘นั่นหมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าพระเจ้าทรงชี้นำการเขียน เหมือนที่นักธุรกิจใช้เลขานุการให้เขียนจดหมายให้เขา.’ (2) ‘แนวคิดเรื่องการได้รับข่าวสารจากใครสักคนที่อยู่ไกลออกไปในอวกาศคงไม่ทำให้เราประหลาดใจนะครับ. แม้แต่มนุษย์ก็เคยส่งข่าวสารและภาพจากดวงจันทร์. พวกเขาทำได้อย่างไร? ก็โดยใช้กฎต่าง ๆ ที่พระผู้สร้างเองได้เริ่มตั้งขึ้นนานมาแล้ว.’ (3) ‘แต่เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าสิ่งที่มีอยู่ในคัมภีร์ไบเบิลมาจากพระผู้สร้างจริง ๆ? คัมภีร์ไบเบิลบรรจุความรู้ซึ่งไม่อาจมาจากแหล่งของมนุษย์ได้เลย. อย่างเช่น รายละเอียดเกี่ยวกับอนาคต; และรายละเอียดเหล่านั้นปรากฏว่าถูกต้องแม่นยำทั้งหมด. (ยกตัวอย่าง ดูหน้า 60-62, แล้วก็หน้า 234-239, ใต้หัวเรื่อง “สมัยสุดท้าย.”)’
‘แต่ละคนตีความคัมภีร์ไบเบิลกันเอง’
คุณอาจตอบว่า: ‘และเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ทุกคนตีความถูก.’ แล้วอาจเสริมว่า: (1) ‘การบิดเบือนพระคัมภีร์ให้เข้ากับแนวคิดของตัวเราเองทำให้เกิดความเสียหายยาวนาน. (2 เป. 3:15, 16)’ (2) ‘มีสองสิ่งที่ช่วยเราให้เข้าใจคัมภีร์ไบเบิลได้อย่างถูกต้อง. สิ่งแรกคือ พิจารณาบริบท (ข้อที่อยู่ก่อนและหลัง) ของข้อความนั้น. จากนั้น เทียบข้อนั้นกับข้อความอื่นในคัมภีร์ไบเบิลซึ่งกล่าวถึงเรื่องเดียวกัน. ด้วยวิธีนี้เรากำลังให้พระคำของพระเจ้าชี้นำความคิดเรา และพระเจ้าเป็นผู้ตีความไม่ใช่เรา. นั่นแหละคือวิธีการที่ใช้ในหนังสือต่าง ๆ ของสมาคมว็อชเทาเวอร์.’ (ดูหน้า 204, 205, ภายใต้หัวเรื่อง “พยานพระยะโฮวา.”)
‘คัมภีร์ไบเบิล ใช้ไม่ได้กับสมัยของเรา’
คุณอาจตอบว่า: ‘และเราสนใจสิ่งที่ใช้ได้ผลกับพวกเราในสมัยนี้ใช่ไหมครับ?’ แล้วอาจเสริมว่า: (1) ‘คุณคงเห็นด้วยนะครับว่าการทำให้สงครามยุติลงเป็นเรื่องมีประโยชน์? . . . คุณเห็นด้วยใช่ไหมว่าถ้าผู้คนเรียนรู้ที่จะอยู่ด้วยกันอย่างสันติกับคนชาติอื่น ๆ ย่อมเป็นการเริ่มต้นที่ดี? . . . คัมภีร์ไบเบิลบอกล่วงหน้าไว้อย่างนั้นแหละ. (ยซา. 2:2, 3) เนื่องจากการศึกษาคัมภีร์ไบเบิล สิ่งนี้กำลังเกิดขึ้นท่ามกลางพยานพระยะโฮวาในทุกวันนี้.’ (2) ‘ยังต้องมีมากกว่านั้นอีก นั่นคือการขจัดมนุษย์และชาติทั้งหลายที่ทำให้เกิดสงคราม. เรื่องนี้จะมีวันเกิดขึ้นไหม? ใช่ และคัมภีร์ไบเบิลก็อธิบายว่าจะเกิดขึ้นอย่างไร. (ดานิ. 2:44; เพลง. 37:10, 11)’
หรือคุณอาจพูดว่า: ‘ผมขอบคุณที่เป็นห่วง. ถ้าคู่มือเล่มไหนใช้ไม่ได้ผล เราคงไม่ฉลาดใช่ไหมครับถ้าเราใช้คู่มือนั้น?’ แล้วอาจเสริมว่า: ‘คุณคงเห็นด้วยนะครับว่า หนังสือที่ให้คำแนะนำที่ดีซึ่งทำให้เราสามารถมีชีวิตครอบครัวที่มีความสุขย่อมใช้ได้ผลจริง? . . . ทฤษฎีและวิธีปฏิบัติต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตครอบครัวมีการเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีกหลายครั้งหลายหน และผลที่เราเห็นอยู่ในทุกวันนี้ก็มีแต่ผลเสีย. แต่ผู้ที่รู้จักและทำตามสิ่งที่คัมภีร์ไบเบิลบอกต่างก็มีครอบครัวที่มั่นคงและมีความสุข. (โกโล. 3:12-14, 18-21)’
‘คัมภีร์ไบเบิล เป็นหนังสือที่ดีเล่มหนึ่ง แต่ก็ไม่มีหนังสือใดที่เป็นความจริงไปเสียทั้งหมด’
คุณอาจตอบว่า: ‘ก็จริงนะครับที่แต่ละคนมีความเห็นต่าง ๆ กันไป. และถึงแม้มีคนคิดว่าเขาเข้าใจเรื่องหนึ่งแล้ว แต่เขาก็มักพบว่าอย่างน้อยก็มีปัจจัยอีกอย่างหนึ่งที่เขาไม่ได้พิจารณา. แต่มีผู้หนึ่งซึ่งไม่มีข้อจำกัดอย่างนั้น. เป็นใครล่ะ? . . . ก็คือพระผู้สร้างเอกภพ.’ แล้วอาจเสริมว่า: (1) ‘นั่นแหละคือเหตุผลที่พระเยซูคริสต์ตรัสถึงพระองค์ว่า “พระคำของพระองค์เป็นความจริง.” (โย. 17:17) ความจริงนั้นอยู่ในคัมภีร์ไบเบิล. (2 ติโม. 3:16, 17)’ (2) ‘พระเจ้าไม่ทรงประสงค์ให้เราคลำหาด้วยความไม่รู้อะไรเลย พระองค์ตรัสไว้ว่าพระองค์มีพระทัยประสงค์ให้เราบรรลุความรู้ถ่องแท้เรื่องความจริง. (1 ติโม. 2:3, 4) คัมภีร์ไบเบิลให้คำตอบที่ละเอียดน่าพอใจสำหรับคำถามอย่างเช่น . . . ’ (เพื่อช่วยบางคน คุณอาจต้องพิจารณากับเขาก่อนในเรื่องหลักฐานสำหรับความเชื่อในเรื่องการดำรงอยู่ของพระเจ้า. ดูที่หน้า 145-151 ภายใต้หัวเรื่อง “พระเจ้า.”)
‘คัมภีร์ไบเบิลเป็นหนังสือของพวกฝรั่ง’
คุณอาจตอบว่า: ‘จริงครับที่ว่าพวกเขาพิมพ์คัมภีร์ไบเบิลจำนวนมาก. แต่คัมภีร์ไบเบิลไม่ได้บอกว่าชาติพันธุ์ไหนดีกว่าชาติพันธุ์อื่น.’ แล้วคุณอาจเสริมว่า: (1) ‘คัมภีร์ไบเบิลมาจากพระผู้สร้างของเรา และพระองค์ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง. (กิจ. 10:34, 35)’ (2) ‘พระคำของพระเจ้าเสนอโอกาสให้ผู้คนทุกชาติทุกเผ่าพันธุ์จะได้มีชีวิตอยู่ตลอดไปบนแผ่นดินโลกนี้ภายใต้ราชอาณาจักรของพระองค์. (วิ. 7:9, 10, 17)’
หรือคุณอาจพูดว่า: ‘เปล่าเลยครับ! พระผู้สร้างมนุษยชาติทรงเป็นผู้เลือกคนที่พระองค์จะทรงดลใจเขาให้เขียนพระธรรม 66 เล่มในคัมภีร์ไบเบิล. และถ้าพระองค์ทรงเลือกใช้คนผิวขาว นั่นก็เป็นสิทธิ์ของพระองค์. แต่ข่าวสารในคัมภีร์ไบเบิลไม่ได้ถูกจำกัดไว้สำหรับคนขาวเท่านั้น.’ แล้วคุณอาจเสริมว่า: (1) ‘ขอให้สังเกตที่พระเยซูตรัสสิครับ . . . (โย. 3:16) “ทุกคน” นั้นรวมถึงผู้คนไม่ว่าผิวสีอะไร. นอกจากนั้น ก่อนเสด็จขึ้นสวรรค์ พระเยซูตรัสถ้อยคำเหล่านี้โดยเฉพาะแก่เหล่าสาวกของพระองค์ . . . (มัด. 28:19)’ (2) ‘น่าสนใจ ที่กิจ. 13:1 บอกถึงคนหนึ่งที่ชื่อนิเกร์ ซึ่งชื่อนี้หมายความว่า “ดำ.” เขาเป็นผู้พยากรณ์และผู้สอนคนหนึ่งในประชาคมในเมืองอันติโอเกียที่ซีเรีย.’