การอ่าน ณ การประชุมประชาคม
เวลาส่วนใหญ่ที่ใช้กับการศึกษาวารสารหอสังเกตการณ์ และการศึกษาหนังสือประจำประชาคมคือการอ่านวรรคต่าง ๆ. นี่หมายความว่าพี่น้องที่ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้อ่านมีความรับผิดชอบอย่างมากในฐานะเป็นผู้สอน. เขาต้องอ่านในวิธีที่ทำให้เนื้อเรื่องมีความหมายเพื่อผู้ฟังจะไม่เพียงแต่เข้าใจเรื่องเท่านั้น แต่จะได้รับแรงกระตุ้นให้ลงมือปฏิบัติด้วย.—นเฮม. 8:8.
หนังสือคู่มือโรงเรียนการรับใช้ตามระบอบการของพระเจ้า บทเรียน 6 กล่าวดังนี้: “เพื่อจะอ่านได้ดีในหมู่ผู้ฟัง การเตรียมตัวนับว่าจำเป็น. ก่อนจะอ่านส่วนที่ถูกมอบให้อ่านนั้นแม้จะเป็นการอ่าน ณ การศึกษาประจำประชาคมก็ตาม นับว่าดีเสมอที่จะอ่านเรื่องราวให้ตลอดเสียก่อน. มิฉะนั้นแล้ว ผู้ฟังจะไม่ได้ประโยชน์เท่าที่ควร และเขาอาจจะเลียนการออกเสียงผิด ๆ จากผู้อ่านก็ได้.” พระยะโฮวาตรัสกับฮะบาฆูคว่า “จงเขียนเนื้อความนิมิตลงไว้ที่แผ่นจารึกให้กระจ่างตา เพื่อว่าคนที่อ่านดัง ๆ จากแผ่นจารึกนั้นจะได้อ่านคล่อง.” (ฮบา. 2:2, ล.ม.) ต่อไปนี้คือคุณลักษณะบางอย่างที่จำเป็นสำหรับการอ่านต่อหน้าผู้ฟังเพื่อกระตุ้นผู้ฟังและช่วยให้เข้าใจได้ง่าย.
เน้นให้ถูกที่: จงกำหนดให้แน่ชัดว่าคำหรือวลีไหนที่ต้องเน้นเพื่อจะถ่ายทอดความเข้าใจที่ถูกต้อง.
ออกเสียงคำต่าง ๆ อย่างถูกต้อง: การออกเสียงถูกต้องและชัดเจนเป็นสิ่งสำคัญเพื่อผู้ฟังจะเข้าใจถ้อยคำต่าง ๆ ในหนังสือเล่มนั้น. จงเปิดดูคำที่ไม่คุ้นเคยหรือที่ไม่ค่อยได้ใช้จากพจนานุกรม หรือฟังจากเทปบันทึกเสียงของสมาคมฯ ถ้ามีในภาษาของคุณ.
อ่านเสียงดังพอเหมาะและด้วยความกระตือรือร้น: การอ่านเสียงดังฟังชัดด้วยความกระตือรือร้นช่วยสร้างความสนใจ, เร้าอารมณ์ความรู้สึก, และกระตุ้นผู้ฟัง.
อบอุ่นและเป็นแบบสนทนา: จงอ่านแบบที่เป็นธรรมชาติอย่างคล่องแคล่ว. ด้วยการเตรียมตัวและการฝึกซ้อม ผู้อ่านจะรู้สึกผ่อนคลาย และจะทำให้การอ่านเป็นที่ดึงดูดใจ แทนที่จะอ่านด้วยเสียงระดับเดียวกันตลอดและไร้ชีวิตชีวา.—ฮบา. 2:2.
อ่านเนื้อเรื่องตามที่พิมพ์ไว้: ควรอ่านเชิงอรรถและข้อความในวงเล็บกลมหรือวงเล็บเหลี่ยมด้วยถ้าข้อความเหล่านั้นทำให้เนื้อเรื่องชัดเจน. ไม่ต้องอ่านข้ออ้างอิงที่เพียงแต่ระบุที่มาของเนื้อหา. เมื่อถึงเครื่องหมายเชิงอรรถที่อยู่ในวรรคนั้น ควรอ่านเชิงอรรถด้วย โดยอ่านดังนี้: “เชิงอรรถอ่านว่า . . . ” หลังจากอ่านเชิงอรรถจบแล้ว ก็ให้อ่านส่วนที่เหลือของวรรคนั้นต่อไป.
ลักษณะสำคัญอีกอย่างหนึ่งสำหรับการอ่านต่อหน้าผู้ฟังอย่างมีความหมายคือ การหยุดตามวรรคตอน. บางคนอ่านโดยไม่มีการหยุดเว้นวรรคเลย หรือหยุดเฉพาะเมื่อสุดลมหายใจเท่านั้น. การสังเกตเครื่องหมายวรรคตอนทำให้หยุดได้ถูกที่ และดังนั้น จึงทำให้อ่านได้ดี. ถึงแม้หนังสือไทยโดยทั่วไปไม่ได้ใช้เครื่องหมายวรรคตอนก็ตาม แต่หลายปีมาแล้วที่สมาคมฯ ได้เริ่มใช้ระบบเครื่องหมายวรรคตอนคล้ายกับที่หลายภาษาใช้กัน. นี่ตรงกับแนวแนะที่ราชบัณฑิตยสถานได้กำหนดขึ้น.
หนังสือคู่มือโรงเรียน บทเรียน 23 วรรค 17 อธิบายดังนี้: “การหยุดตามวรรคตอนก็เพื่อให้เข้าใจความหมายแจ่มชัด เพื่อแยกข้อความที่เกี่ยวเนื่องกัน เพื่อระบุวลีหรืออนุประโยค, และตอนจบของประโยคหรือวรรค. บ่อยครั้ง การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะแสดงให้เห็นได้โดยการเปลี่ยนระดับเสียง แต่การหยุดระหว่างพูดก็ใช้ได้ดี เพื่อแสดงถึงวรรคตอนในสิ่งที่ท่านพูด. เครื่องหมายแบ่งวรรคตอนที่ใช้กันมีความสำคัญต่างกันฉันใด การหยุดระหว่างพูดก็ควรสั้นยาวต่างกันไปแล้วแต่การใช้ฉันนั้น.” เมื่อในประโยคมีการเว้นวรรค ควรหยุดอ่านสั้น ๆ. เมื่อมีเครื่องหมายมหัพภาค (.) ควรหยุดนานกว่าเล็กน้อย. นับว่าสำคัญอย่างยิ่งที่จะหยุดเมื่อมีเครื่องหมายมหัพภาคในตอนจบของประโยคและท้ายวรรคต่าง ๆ. ยกตัวอย่าง ขอสังเกตความหมายที่ต่างออกไปเมื่ออ่านกิจการ 28:6, 7 ในคัมภีร์ไบเบิลภาษาไทยโดยหยุดเมื่ออ่านถึงเครื่องหมายมหัพภาคในตอนจบของข้อ 6 และเมื่อไม่หยุด.
เมื่ออ่านต่อหน้าผู้ฟังเป็นอย่างดีแล้ว นี่ก็เป็นวิธีที่สำคัญวิธีหนึ่งซึ่งเราสามารถ ‘สอนคนอื่น ๆ ให้ถือรักษาสิ่งสารพัตรซึ่งได้รับสั่ง’ จากครูผู้ยิ่งใหญ่ของเรา.—มัด. 28:20.