คุณจะช่วยคนอื่นให้พบเส้นทางสู่ความสงบและความสุขได้!
1, 2. เราต้องไม่ลืมเรื่องอะไรเมื่อพูดกับผู้คน?
1 คนเราสร้างสะพานเพื่อจะเดินทางข้ามเหวที่กว้างใหญ่. ทำนองเดียวกัน สำหรับคนที่แทบไม่รู้เรื่องคำสอนในคัมภีร์ไบเบิลนั้นก็เหมือนมีเหวที่กว้างใหญ่กั้นระหว่างเขากับความจริงของพระเจ้า. ฉะนั้น เราต้องสร้าง “สะพาน” เพื่อช่วยเขาให้ข้ามเหวนั้นมาหาความจริงของพระองค์.
2 จุลสารเส้นทางสู่ความสงบและความสุข จะเป็น “สะพาน” ให้ผู้คนในเขตประกาศของเรามาเข้าใจความจริง. (1 ติโม. 2:3, 4) แต่เราก็ต้องพาพวกเขาข้ามสะพานนั้น และเพื่อจะช่วยพวกเขาให้ข้ามมาได้ เราอาจต้องเปลี่ยนวิธีพูดของเรา. จะทำอย่างไร?
3. เราจะเริ่มสร้าง “สะพาน” เชื่อมโยงกับเจ้าของบ้านอย่างไร?
3 สร้างความสัมพันธ์กับผู้ฟัง. ถ้าเราพูดกับเจ้าของบ้านอย่างนุ่มนวลและเป็นมิตรและพูดเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเขาก็จะช่วยสร้างความสัมพันธ์ฉันมิตรซึ่งทำให้พูดคุยกันได้ง่ายขึ้น อย่างที่สะพานเชื่อมโยงแผ่นดินสองฝั่งเข้าด้วยกันเพื่อจะข้ามได้สะดวก. เมื่อไม่นานมานี้มีภัยธรรมชาติหรือความไม่สงบเกิดขึ้นไหม? บางทีละแวกนั้นอาจมีโจรขโมยชุกชุม หรือมีปัญหาหนักด้านเศรษฐกิจก็ได้. ถ้าเรารู้จักสังเกตและตั้งใจฟัง เราก็จะรู้ว่าเจ้าของบ้านอาจกังวลเรื่องอะไร.
4. (ก) เราจะเริ่มการสนทนาอย่างไร? (ข) ทำไมการอ่านข้อคัมภีร์จากจุลสารอาจเป็นประโยชน์? (ค) ทำไมคุณคิดว่าข้อแนะเหล่านี้อาจจะใช้ได้ผลในเขตประกาศของคุณ?
4 เราควรทักทายเจ้าของบ้านด้วยท่าทีที่แสดงความนับถือและด้วยรอยยิ้ม. เมื่อพูดถึงข่าวหรือเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบตัวเขาหรือครอบครัวในทางใดทางหนึ่งแล้ว เราอาจพูดว่า
“เนื่องจากมีความกดดันหลายอย่างในชีวิต หลายคนเลยรู้สึกว่าทำให้เขากับครอบครัวเครียดมาก แล้วก็ยังมีปัญหาอีกเยอะที่แก้ได้ยาก. ที่จริง เราทุกคนอยากให้มีอะไรสักอย่างมาช่วยแก้ปัญหาพวกนั้น. คุณเห็นด้วยไหม?”
หรือเราอาจถามว่า
“ผมได้คุยกับหลายคนที่แสดงความเป็นห่วงมากในเรื่องที่ว่าชุมชนที่พวกเขาอยู่ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว. หลายคนยังจำได้ว่าในชุมชนนี้เคยมีน้ำใจช่วยเหลือกัน แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว. ผู้คนดูเหมือนไม่มีเวลาให้กัน ทำให้ไม่ค่อยห่วงใยและช่วยเหลือกัน. คุณสังเกตเห็นเรื่องนี้ด้วยไหม?”
เมื่อให้เขาออกความเห็นแล้ว เราอาจพูดต่อว่า
“จุลสารนี้เป็นเรื่องของสามีภรรยาคู่หนึ่งชื่อสนั่นกับวาสนาซึ่งมีปัญหาเหมือนคุณกับผม. ทั้งสองแปลกใจเมื่อได้อ่านข้อความที่ยกมาจากหนังสือศักดิ์สิทธิ์ที่เก่าแก่เล่มหนึ่ง. [อ่าน 2 ติโม. 3:1-5 จากจุลสารหน้า 10] คุณคงเห็นด้วยนะครับว่าคนในสมัยนี้เป็นอย่างนั้นจริง ๆ. [ให้เจ้าของบ้านตอบ] คุณคิดว่าจะมีคำแนะนำที่ช่วยเราจัดการกับปัญหาพวกนี้ได้จริง ๆ ไหม? จุลสารนี้จะบอกว่าอะไรที่ช่วยสามีภรรยาคู่นี้. ผมแน่ใจว่าคุณคงจะชอบอ่านจุลสารนี้. เอาไว้ผมมาคราวหน้า เรามาคุยกันสั้น ๆ นะครับว่าเส้นทางสู่ความสงบและความสุขที่ว่านี้คืออะไร.” [ให้จุลสาร]
5. เราควรไตร่ตรองเรื่องอะไรเมื่อนัดหมายจะกลับเยี่ยม?
5 เมื่อสนทนาจบ เราจะบอกชื่อตัวเองและบอกที่อยู่ของหอประชุม แล้วถามชื่อเจ้าของบ้านอย่างสุภาพ. เราควรไตร่ตรองให้ดีว่าเราจะนัดหมายให้แน่นอนเพื่อกลับเยี่ยมหรือไม่. สำหรับบางคน การบอกแค่ว่าเราอยากคุยกับเขาอีกอาจดีกว่า แต่เราก็ควรวางแผนในใจที่จะกลับเยี่ยม.
6. ทำไมการสร้างมิตรภาพกับเจ้าของบ้านตั้งแต่พบกันครั้งแรกจึงเป็นเรื่องสำคัญ?
6 การกลับเยี่ยมอย่างได้ผล. บางคนยินดีต้อนรับเมื่อเราไปหาเขาที่บ้านเป็นครั้งแรก แต่เมื่อเรากลับไปเยี่ยม เขาอาจไม่ค่อยอยากจะคุยด้วย. ดังนั้น การสร้างมิตรภาพกับเจ้าของบ้านเป็นเรื่องสำคัญมาก. ตั้งแต่พบกันครั้งแรก เราควรแสดงความสนใจเป็นส่วนตัวด้วยการคำนึงถึงสภาพการณ์ของเจ้าของบ้านและสังเกตดูว่าเขากังวลเรื่องอะไร. สิ่งนี้จะช่วยเราให้พูดในเรื่องที่เขายินดีรับฟัง. เราจะทำอย่างไรถ้าคิดว่าเจ้าของบ้านอาจไม่เต็มใจต้อนรับเมื่อเรากลับเยี่ยม?
7. เราควรจดบันทึกอะไรบ้าง และข้อมูลนั้นจะช่วยเราอย่างไรให้กลับเยี่ยมอย่างได้ผล?
7 จดบันทึกอย่างละเอียด. เจ้าของบ้านน่าจะมีความทรงจำที่ดีจากการพบกันครั้งแรก. เราสังเกตเห็นอะไรบ้างที่อาจช่วยเราให้แสดงความสนใจเขาเป็นส่วนตัวอย่างเหมาะสม? ตัวอย่างเช่น เจ้าของบ้านหรือคนในบ้านเขาป่วยไหม? เขาได้รับผลกระทบจากเหตุร้ายบางอย่างไหม? เขารักสัตว์ไหม? พี่น้องบางคนจดชื่อสัตว์เลี้ยงในบ้านนั้นไว้ด้วยซ้ำ. บันทึกที่เราจดอย่างละเอียดจะช่วยเราให้คิดถึงสภาพการณ์ของเจ้าของบ้าน แล้วเราจะแสดงความสนใจอย่างแท้จริงด้วยการถามคำถามเกี่ยวกับเรื่องที่กระทบตัวเขา.
8. เราจะแสดงความสนใจเป็นส่วนตัวโดยใช้ตื่นเถิด! ได้อย่างไร?
8 ใช้ตื่นเถิด! มิชชันนารีคนหนึ่งที่รับใช้ในประเทศไทยมานานได้พบชายคนหนึ่งที่มีครอบครัวแล้วซึ่งเป็นห่วงเรื่องปัญหาเศรษฐกิจ. พอตื่นเถิด! ฉบับที่ลงเรื่องวิธีจัดการเรื่องเงินออกมา เขาตั้งใจจะใช้ฉบับนั้นไปเยี่ยมชายคนนั้น ซึ่งประทับใจมากที่พี่น้องแสดงความสนใจเขาและจึงยินดีพิจารณาพระคัมภีร์กันเป็นประจำ. คุณจะทำอย่างนั้นได้ไหม? แต่ละครั้งที่เราอ่านวารสารฉบับใหม่ เราน่าจะดูว่ามีเรื่องที่คนที่เราได้พบสนใจไหม. บันทึกที่เราจดไว้จะช่วยเราให้หาบทความที่เป็นประโยชน์ต่อเขาโดยเฉพาะ.
9. มีจุดไหนบ้างในข้อแนะเหล่านี้ที่คุณคิดว่าจะใช้ได้ผลในเขตประกาศ?
9 หมั่นสร้างสะพานเสมอ. ถ้าเราพบคนที่เราคิดว่าเขาอาจไม่เต็มใจต้อนรับเมื่อเราไปเยี่ยมเขาอีก เราน่าจะลองพูดอย่างนี้
“สวัสดีครับ คุณ . . . ยินดีที่ได้พบคุณอีก ผมยังจำเรื่องที่เราคุยกันวันนั้นได้อยู่เลย. [พูดถึงปัญหาบางอย่างที่คนนั้นพูดถึงตอนที่พบกันครั้งแรก ถ้าเห็นว่าเหมาะก็แสดงความห่วงใยและถามว่าเรื่องนั้นดีขึ้นไหม] ผมว่าปัญหานั้นจัดการได้ไม่ง่ายเลยนะครับ ตอนที่ผมอ่านวารสารฉบับนี้ ผมนึกถึงคุณและอยากให้คุณได้อ่านด้วย. [ให้วารสารตื่นเถิด! ที่มีบทความที่เหมาะกับเขา] ผมผ่านมาทางนี้บ่อย ๆ คงได้พบกันอีกนะครับ.”
การพูดอย่างผ่อนสั้นผ่อนยาวและคิดถึงสิ่งที่ผู้คนกังวลจะปูทางไว้สำหรับการกลับเยี่ยมครั้งต่อ ๆ ไป. เมื่อเรากลับเยี่ยมเราอาจพูดว่า
“สวัสดีครับ ยินดีที่พบคุณอีก. วันนี้ผมมาแถวนี้ก็เลยคิดถึงคุณ. สบายดีไหมครับ? ผมยังจำเรื่องที่คุณพูดถึงตอนที่เราคุยกันครั้งที่แล้วได้อยู่เลย [พูดถึงความเห็นของเขา]. ผมคิดว่าหลายคนก็คงคิดอย่างนั้นเหมือนกัน. คุณจำเรื่องสามีภรรยาคู่นั้นในจุลสารที่ผมฝากไว้ให้คุณได้ไหมครับ? [พูดถึงสิ่งที่สนั่นกับวาสนากังวลในหน้า 3 ที่ตรงกับเรื่องของเขา] คุณสังเกตเห็นไหมว่าเกิดอะไรขึ้นกับทั้งสอง? [พิจารณาสี่ย่อหน้าในหน้า 5 กับเขา (อ่านด้วยถ้าเห็นว่าเหมาะ)] ในคัมภีร์ไบเบิลมีคำแนะนำดี ๆ อย่างนี้แหละครับ. [เปิดหน้า 6 แล้วเน้นหลักพระคัมภีร์สองสามอย่างที่บอกไว้ อธิบายว่าถ้าทุกคนทำตามหลักการเหล่านั้นปัญหาต่าง ๆ นั้นจะน้อยลงมาก] คุณคิดว่าคำชี้แนะข้อไหนจะเป็นประโยชน์ต่อคุณครับ? [พูดถึงคำถามทบทวนข้อ 3 ในหน้า 7] จากเรื่องนี้ สนั่นสงสัยว่าความรู้อย่างนี้มาจากไหน. ผมคิดว่าคุณก็คงสงสัยเหมือนกัน และคุณก็คงอยากรู้ด้วยว่าคัมภีร์ไบเบิลเป็นหนังสือแบบไหนใช่ไหมครับ. เรามาหาคำตอบกันตอนผมมาคราวหน้าดีไหมครับ. [สนับสนุนเขาให้อ่านหน้า 8 ถึง 10]”
10. ทำไมเราควรคิดถึงปฏิกิริยาของเจ้าของบ้าน?
10 เมื่อเรากลับเยี่ยม เราจะพูดกับเจ้าของบ้านในเรื่องทั่วไปก่อนหรือพูดตรง ๆ นั้นขึ้นอยู่กับปฏิกิริยาของเขาในครั้งก่อน. ถ้าเขาไม่ค่อยเต็มใจต้อนรับ การพูดคุยสั้น ๆ เกี่ยวกับเรื่องที่เขากังวล การแสดงความสนใจเขาเป็นส่วนตัวจะค่อย ๆ ช่วยเขาให้ไว้ใจเราและช่วยเขาให้มีความรู้เรื่องคัมภีร์ไบเบิลด้วย.
11. เราจะพิจารณาจุลสารเส้นทาง กับเจ้าของบ้านให้ได้ผลดีได้อย่างไร?
11 การใช้จุลสารเส้นทางพิจารณากับเจ้าของบ้านเป็นประจำจะปูทางสำหรับการศึกษาหนังสือไบเบิลสอนต่อไป. เราอาจพิจารณาจุลสารสักตอนหนึ่งหรือไม่กี่ย่อหน้าในการเยี่ยมครั้งหนึ่ง. เราอาจจะอ่านทุกย่อหน้าหรืออ่านเฉพาะย่อหน้าที่เลือกไว้ก็ได้. เราควรตัดสินใจว่าอย่างไหนจะเหมาะสมกับเจ้าของบ้าน. คำถามในกรอบทบทวนจะช่วยเราให้รู้ว่าจะเน้นอะไรระหว่างพิจารณา หรือใช้เพื่อทบทวนเมื่อพิจารณาจบ.
12. เราจะทำความคุ้นเคยกับการใช้จุลสารนี้ได้อย่างไร?
12 เราอาจฝึกซ้อมวิธีการเสนอและการกลับเยี่ยมกับเพื่อนหรือครอบครัวเราก็ได้. คุณคิดจะใช้จุลสารเส้นทางเพื่อเตรียมตัวสำหรับการประกาศในช่วงการนมัสการประจำครอบครัวไหม?
13. เราจะช่วยคนอื่น ๆ ให้ “เข้าใจความหมาย” ของข่าวสารในคัมภีร์ไบเบิลได้อย่างไร?
13 ในอุปมาโวหารของพระเยซูเรื่องเมล็ดพืชที่ถูกหว่านลงในสภาพแวดล้อมต่าง ๆ กันนั้นพระองค์ตรัสว่าเมล็ดที่หว่านบนดินดีคือคนที่ได้ยินและ “เข้าใจความหมายของพระคำนั้น.” (มัด. 13:23) เพื่อช่วยคนอื่น ๆ ให้ “เข้าใจความหมาย” ของข่าวสารในคัมภีร์ไบเบิล เราต้องพยายามปรับการพูดให้เข้ากับสภาพการณ์ของพวกเขาและต้องพากเพียรสอนพวกเขาอย่างค่อยเป็นค่อยไปจนเขาเข้าใจ.
14. เราต้องจำอะไรไว้เสมอเมื่อเราพยายามชักนำผู้คนให้รู้จักความจริง?
14 การพยายามสร้างความสัมพันธ์ฉันมิตรกับผู้คนจะช่วยเราให้เข้าถึงหัวใจพวกเขาได้ง่ายขึ้น. แต่เราต้องระวังไม่ให้การเยี่ยมเป็นแค่การไปถามสารทุกข์สุกดิบหรือคุยเรื่องสัพเพเหระ. ทุกครั้งที่ไปเยี่ยม เราต้องแน่ใจว่าเราได้ช่วยเจ้าของบ้านอย่างผ่อนสั้นผ่อนยาวให้เข้าใจสักเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับข่าวราชอาณาจักร. พระยะโฮวาทรงวางตัวอย่างไว้ในเรื่องนี้.—ยซา. 30:21
15. เราจะทูลอธิษฐานขออย่างเจาะจงในเรื่องอะไรได้บ้าง?
15 ทูลขอพระยะโฮวาให้ช่วย. เมื่อเราเสาะหาคนที่สุจริตใจ เราก็เป็นผู้ร่วมงานกับพระเจ้า. (1 โค. 3:8, 9) เราทูลขอพระยะโฮวาให้ช่วยไหมเมื่อเราพยายามช่วยผู้คนให้เข้าใจความจริง? เมื่อเราอธิษฐาน การทูลเรื่องคนที่เราอยากช่วยจะก่อผลดีต่อเขาอย่างเห็นได้ชัด. เราจะทูลขอพระองค์อย่างเจาะจงได้ เช่น ทูลขอให้ทรงเปิดใจเขาโดยเอ่ยชื่อเขา. (กิจ. 16:14) นอกจากนี้ เรายังทูลขอพระองค์ทรงช่วยเขาไม่ให้รู้สึกอึดอัดเมื่อเรากลับไปเยี่ยมได้ด้วย. คุณเคยสังเกตเห็นไหมว่าเขาพยายามมากเพื่อจะเข้าใจบางเรื่อง แต่ก็ยังไม่เข้าใจ? เราน่าจะทูลขอพระยะโฮวาให้ทรงช่วยเขาให้เข้าใจและช่วยเราให้รู้วิธีอธิบายเรื่องนั้นด้วย.
16. เราจะสรรเสริญพระยะโฮวาได้อย่างไรบ้าง?
16 ไม่ว่าผู้คนจะฟังข่าวที่เราไปบอกหรือไม่ เมื่อเราสรรเสริญพระยะโฮวาอย่างเปิดเผย เราก็ทำตามหน้าที่ของเราแล้ว. (ฮีบรู 13:15; ยซา. 43:21) แต่เราจะทำให้พระองค์ได้รับคำสรรเสริญมากขึ้นอีกถ้าเราช่วยพาผู้คนให้เดินข้ามสะพานมาเข้าใจเรื่องความจริงและรักพระองค์. ขอให้เราทุกคนพยายามสุดกำลังเพื่อจะทำงานประกาศและสอนผู้คนด้วยความชื่นชมยินดีซึ่งจะทำให้มีเสียงร้องสรรเสริญพระองค์ดังขึ้นเรื่อย ๆ!
[ส่วนโปรยเรื่องหน้า 3]
โปรดเก็บไว้
[ส่วนโปรยเรื่องหน้า 4]
โยฮัน 21:3-7 สอนเราอย่างไรในเรื่องประโยชน์ของการเปลี่ยนวิธีพูด?