ไม่ว่าเด็กหรือผู้สูงอายุก็เป็นตัวอย่างที่ดีให้คนอื่นได้ (ฟิลิป. 3:17; 1 ติโม. 4:12)
ตัวอย่างที่ดีของพ่อ
(จากหนังสือประจำปี 2015 น. 71 ว. 2 ถึง น. 72 ว. 4)
ที่สเปน เจไมมาเรียนความจริงตั้งแต่เด็ก แต่พออายุ 7 ขวบ ชีวิตเธอเปลี่ยนไป แม่ตัดสินใจเลิกเป็นพยานพระยะโฮวาและหย่ากับพ่อ พออายุ 13 เจไมมาก็เลิกติดต่อกับพยานฯและไม่ยอมให้พ่อสอนพระคัมภีร์อีกต่อไป
แต่พอเจไมมาโตขึ้น เธอเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกลุ่มนักเคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อเรียกร้อง “ความยุติธรรม” ให้กับคนจน ต่อมา ตอนที่เธอตกงานพ่อของเธอชื่อโดมิงโกชวนเธอไปทำงานทาสีกับเขา
วันหนึ่งตอนที่ทำงานด้วยกัน โดมิงโกชวนเจไมมาศึกษาพระคัมภีร์ แต่เธอปฏิเสธและบอกว่าถ้าเธอสนใจศึกษาเมื่อไรเธอจะบอกเขาเอง ในระหว่างที่ทาสี โดมิงโกจะฟังเสียงการอ่านคัมภีร์ไบเบิลและวารสาร แต่ลูกสาวจะใส่หูฟังเพื่อฟังเพลงป๊อป
ในเดือนพฤศจิกายนปี 2012 โดมิงโกที่แต่งงานใหม่ได้รับคำเชิญให้เข้าโรงเรียนพระคัมภีร์สำหรับคู่สมรส เจไมมาประทับใจที่เห็นพ่ออยากเข้าโรงเรียนพระคัมภีร์ซึ่งมีหลักสูตร 2 เดือนจนยอมทิ้งทุกสิ่งและยินดีไปที่ไหนก็ได้ที่ได้รับมอบหมาย นี่เป็นครั้งแรกที่เจไมมาเห็นว่าความจริงหยั่งรากลึกในหัวใจของพ่อมากขนาดไหน และเธออยากรู้ว่าทำไม
เจไมมาเลิกฟังเพลงที่เธอชอบและเริ่มหันมาฟังเสียงการอ่านพระคัมภีร์ที่พ่อเปิด และเธอก็เริ่มถามคำถามด้วย วันหนึ่งเมื่อโดมิงโกทาสีอยู่บนบันได เจไมมาบอกว่า “พ่อจำได้ไหมหนูเคยบอกว่าถ้าหนูพร้อมศึกษาพระคัมภีร์เมื่อไรหนูจะบอกพ่อเอง ตอนนี้หนูพร้อมแล้วค่ะ”
โดมิงโกดีใจมากที่ได้ยินแบบนั้น ในเดือนมกราคมปี 2013 พวกเขาเริ่มศึกษาด้วยกันสัปดาห์ละสองครั้ง พอโรงเรียนพระคัมภีร์เริ่มในเดือนเมษายน โดมิงโกก็ยังศึกษาพระคัมภีร์กับลูกสาวทางอินเทอร์เน็ต เจไมมาเข้าร่วมวันจบหลักสูตรของพ่อด้วย เธอชอบการประชุมนั้นมาก วันที่ 14 ธันวาคม 2013 เจไมมาก็รับบัพติสมา
เจไมมาบอกว่า “พระยะโฮวาอดทนกับฉันมาก ฉันรู้ว่าพระองค์ไม่เคยหมดหวังในตัวฉัน พระองค์ให้สิ่งที่ฉันไม่เคยเจอในโลกนี้ นั่นคือเพื่อนแท้ สังคมพี่น้องทั่วโลกทำให้ฉันเห็นคุณค่าความรักที่ยิ่งใหญ่ของพระยะโฮวามากขึ้น”
เด็กเกินกว่าที่จะประกาศไหม?
(จากหนังสือประจำปี 2015 น. 76-77)
เช้าวันหนึ่ง เตียริกิเด็กชายวัย 7 ขวบซึ่งอาศัยอยู่ที่เกาะตาระวาในประเทศคิริบาส กำลังไปประกาศกับพ่อของเขาที่ชื่อตุยติ เมื่อถึงบ้านหลังหนึ่งพวกเขาเจอชายหญิงกลุ่มหนึ่งประมาณ 10 คนซึ่งอายุราว ๆ 20 ปี หลังจากที่พ่อของเตียริกิประกาศข่าวสารราชอาณาจักรกับคนกลุ่มนี้ คนหนึ่งก็บอกพ่อว่า “เราสังเกตว่าพวกคุณทุกคนชอบเอาลูกออกไปประกาศด้วย ทำไมต้องเอาลูกมาด้วย? พวกเขายังเด็กเกินไปที่จะพูดเรื่องพระเจ้า”
ตุยติตอบว่า “คุณอยากเห็นไหมว่าลูกผมทำอะไรได้บ้าง? ผมจะเดินออกไปข้างนอก แล้วคุณลองฟังเขาพูดเองละกันนะครับ” พวกเขาบอกว่า “ได้ เราอยากฟังเหมือนกันว่าเขาจะพูดอะไร”
พอตุยติออกไปแล้ว เตียริกิก็ถามพวกเขาว่า “พวกพี่ ๆ รู้ไหมครับว่าพระเจ้าชื่ออะไร?”
พวกเขาบอกว่า “พระเยซู” อีกคนหนึ่งบอกว่า “พระเจ้า” ส่วนอีกคนบอกว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า”
เตียริกิบอกว่า “ลองมาดูว่าพระคัมภีร์บอกยังไงนะครับ ที่ยะซายา 42:5 อ่านดูด้วยกันไหมครับ?” หลังจากอ่านจบแล้ว เตียริกิก็ถามว่า “ข้อนี้พูดถึงใครครับ?”
วัยรุ่นคนหนึ่งตอบว่า “พระเจ้า” แล้วเตียริกิก็พูดต่อว่า “ใช่ครับ พระเจ้าเที่ยงแท้ แล้วถ้าเราอ่านข้อ 8 พระเจ้าเที่ยงแท้บอกว่ายังไง ‘เราคือยะโฮวา นามนี้เป็นนามของเรา และสง่าราศีของเรา ๆ จะไม่ยกให้แก่ผู้ใด’ เห็นไหมครับว่าพระเจ้าชื่ออะไร?”
พวกเขาตอบว่า “ยะโฮวา”
ตอนนี้ทุกคนหันมาสนใจเตียริกิ เขาพูดอีกว่า “เราจะได้ประโยชน์อะไรบ้างจากการใช้ชื่อพระยะโฮวาพระเจ้า? เราดูด้วยกันที่กิจการ 2:21 ที่นั่นอ่านว่า ‘ทุกคนที่ทูลอ้อนวอนโดยออกพระนามพระยะโฮวาจะรอด’ จากข้อนี้บอกว่าเราจะได้ประโยชน์อะไรจากการใช้ชื่อพระเจ้าครับ?”
วัยรุ่นคนหนึ่งในกลุ่มบอกว่า “ได้ความรอด”
พอถึงตอนนี้พ่อของเตียริกิก็เข้ามาในห้อง เขาถามคนกลุ่มนั้นว่า “ตอนนี้คุณคิดยังไงครับ? ลูก ๆ ของเราประกาศได้ไหม? เราควรจะพาพวกเขาไปประกาศกับเราด้วยใช่ไหม?” ทุกคนเห็นด้วยว่าเด็ก ๆ เก่งมากและพ่อแม่ควรจะพาลูก ๆ ไปประกาศด้วย ตุยติบอกว่า “พวกคุณก็บอกความจริงจากพระคัมภีร์กับคนอื่น ๆ ได้เหมือนที่ลูกผมทำ ถ้าคุณได้เรียนคัมภีร์ไบเบิล”