อนาคตของศาสนาจากการพิจารณาศาสนาในอดีต
ตอนที่ 15: ปี ส.ศ. 1095-1453 จำต้องจับดาบ
“คนเราจะโต้เถียง เขียนหนังสือ ต่อสู้ ยอมตาย และจะทำทุกสิ่งเพื่อศาสนา เว้นแต่ดำเนินชีวิตตามหลักศาสนา” ชาร์ลส์ คาเล็บ คอลตัน นักศาสนาชาวอังกฤษในศตวรรษที่ 19
ศาสนาคริสเตียนในสมัยต้น ๆ มีความเจริญด้วยเหล่าผู้เชื่อถือซึ่งดำเนินชีวิตตามหลักศาสนา. พวกเขาใช้ “พระแสงของพระวิญญาณคือพระคำของพระเจ้า” (เอเฟโซ 6:17) อย่างกระตือรือร้นในการต่อสู้ป้องกันความเชื่อ. แต่ต่อมาภายหลัง ดังเหตุการณ์ในช่วงปี 1095-1453 แสดงให้เห็น พวกคริสเตียนแต่ในนาม ไม่ใช่ที่ดำเนินชีวิตแบบคริสเตียนแท้ ได้หันไปใช้ดาบชนิดอื่น.
เมื่อถึงศตวรรษที่หก จักรวรรดิโรมันตะวันตกได้หมดสภาพลง. และถูกแทนที่โดยจักรวรรดิทางตะวันออกซึ่งควบคู่กันมาคือ จักรวรรดิไบแซนไทน์ซึ่งมีกรุงคอนสแตนติโนเปิลเป็นเมืองหลวง. แต่ในไม่ช้า ทั้งสองคริสต์จักรซึ่งกำลังประสบกับภาวะย่ำแย่ที่สุดด้านความสัมพันธ์ที่มีต่อกัน ก็ได้พบว่าตนเองถูกคุกคามโดยศัตรูร่วมกัน คือพวกอิสลามที่กำลังแผ่ขยายอาณาเขตอย่างรวดเร็ว.
คริสต์จักรทางตะวันออกรู้ตัวก็เมื่อสายเกินแก้เสียแล้ว เมื่อชาวมุสลิมได้ยึดครองอียิปต์และส่วนอื่นของจักรวรรดิไบแซนไทน์ซึ่งอยู่ในแอฟริกาเหนือในศตวรรษที่เจ็ด.
ต่อมาอีกไม่ถึงร้อยปี คริสต์จักรทางตะวันตกก็ถึงกับตะลึงงันที่ได้เห็นพวกอิสลามกำลังเคลื่อนทัพผ่านสเปนเข้าไปยังฝรั่งเศส เข้าไปจนเหลือราวร้อยหกสิบกิโลเมตรจะถึงกรุงปารีส. ชาวสเปนที่เป็นคาทอลิกจำนวนมากได้เปลี่ยนไปถือศาสนาอิสลาม ขณะที่อีกหลายคนได้นำเอาธรรมเนียมของมุสลิมมาใช้และรับเอาวัฒนธรรมมุสลิม. หนังสือเออร์ลี อิสลามกล่าวว่า “คริสต์จักรทำงานอย่างหนักแทบไม่หยุดหย่อนในหมู่ชาวสเปนเพื่อโหมกระพือไฟแค้น.”
หลายร้อยปีต่อมา หลังจากชาวสเปนที่เป็นคาทอลิกได้ดินแดนส่วนใหญ่กลับคืน พวกเขาก็ “หันเข้าเล่นงานประชากรที่เป็นมุสลิมและข่มเหงคนเหล่านั้นอย่างไร้ความเมตตา. พวกเขาบังคับคนเหล่านั้นให้ปฏิเสธความเชื่อ ขับไล่ออกจากประเทศ และดำเนินการอย่างเฉียบขาดเพื่อถอนรากถอนโคนร่องรอยทุกอย่างของวัฒนธรรมแบบสเปน–มุสลิม.”
และแล้วก็จับดาบ
ในปี 1095 สันตะปาปา เออร์บันที่สองเรียกร้องให้ชาวคาทอลิกในยุโรปจับดาบจริง ๆ. ชาวอิสลามต้องถูกขับออกไปจากแผ่นดินตะวันออกกลางอันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งคริสต์ศาสนจักรอ้างสิทธิ์ขาดแต่ผู้เดียว.
แนวความคิดเรื่องสงคราม “ธรรมะ” ไม่ใช่เรื่องใหม่. ตัวอย่างเช่น เคยมีการยุยงให้เกิดสงครามเช่นนี้ในคราวการต่อสู้กับชาวมุสลิมในสเปนและซิซิลี. คาร์ลฟรีด เฟรอลิค แห่งวิทยาลัยเทววิทยาปรินสตันบอกว่า อย่างน้อยสิบปีก่อนการเรียกร้องของสันตะปาปาเออร์บัน สันตะปาปาเกรกอรีที่เจ็ด “ได้นึกถึงเรื่องกองทหารคริสเตียนพลเรือน (มิลิเทีย คริสติ) เพื่อการรบต่อสู้ศัตรูทั้งมวลของพระเจ้า และได้คิดไว้แล้วถึงการส่งกองทัพไปยังตะวันออก.”
ปฏิบัติการของสันตะปาปาเออร์บันส่วนหนึ่งเป็นการตอบรับคำขอร้องจากจักรพรรดิอะเล็กซิอุสแห่งไบแซนไทน์. แต่เนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายตะวันออกกับตะวันตกของคริสต์ศาสนจักรดูเหมือนกำลังดีขึ้น สันตะปาปาจึงอาจถูกกระตุ้นโดยความเป็นไปได้ของโอกาสนี้เพื่อการรวมตัวกันใหม่ของคริสต์จักรพี่น้องที่วิวาทกันอยู่. จะอย่างไรก็ตาม เขาก็ได้เรียกประชุมสภาแห่งเคลอร์มองต์ ซึ่งได้แถลงว่าคนเหล่านั้นที่เต็มใจเข้าร่วมในภาระกิจอัน “ศักดิ์สิทธิ์” นี้จะได้รับการอภัยโทษอย่างเต็มที่ (ยกเลิกการบำเพ็ญทุกรกิริยาเพื่อไถ่บาป”). การตอบรับเป็นไปในทางเห็นด้วยอย่างไม่คาดหมาย. คำ “เดอุส โวลท์” (พระเจ้าทรงประสงค์สิ่งนั้น) ได้กลายมาเป็นคำร้องปลุกใจทั้งในทางตะวันออกและตะวันตก.
การเคลื่อนทัพหลายครั้ง ได้เริ่มขึ้นซึ่งครอบคลุมระยะเวลาส่วนใหญ่ของช่วงสองร้อยปี. (ดูกรอบหน้า 30) ทีแรกพวกมุสลิมคิดว่าผู้บุกรุกคือพวกไบแซนไทน์. แต่หลังจากได้ทราบต้นตอ พวกมุสลิมก็เรียกผู้บุกรุกว่าพวกแฟรงค์ คือชาวเยอรมันโบราณซึ่งต่อมาชื่อฝรั่งเศส ก็ได้มาจากพวกนี้. เพื่อเผชิญการท้าทายของชาวยุโรป “ป่าเถื่อน” เหล่านั้น ความรู้สึกเพื่อจิฮาดคือสงครามหรือการสู้รบอันศักดิ์สิทธิ์ก็ได้ก่อขึ้นท่ามกลางพวกมุสลิม.
เดสมอนด์ สจ๊วต ศาสตราจารย์ชาวอังกฤษชี้ว่า “ต่อนักวิชาการหรือพ่อค้าหนึ่งคนในทุก ๆ คนผู้ซึ่งได้วางรากอารยธรรมอิสลามไว้โดยการอบรมสั่งสอนและวางแบบอย่าง มีทหารหนึ่งคนซึ่งสำหรับเขาศาสนาอิสลามคือเสียงเรียกเข้าสู่การสู้รบ” ในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่สิบสอง นุเรดดิน ผู้นำชาวมุสลิมได้สร้างกองทหารที่มีประสิทธิภาพขึ้นโดยการรวมเอาชาวมุสลิมในซีเรียภาคเหนือกับเมโซโปเตเมียตอนบนเข้าด้วยกัน. สจ๊วตกล่าวต่อไปว่า ดังนั้น “พวกคริสเตียนในยุคกลางจับอาวุธเข้าต่อสู้เพื่อให้ศาสนาของพระคริสต์เจริญรุ่งเรืองฉันใด พวกมุสลิมก็จับอาวุธเพื่อให้ศาสนาแห่งองค์ศาสดาเจริญรุดหน้าฉันนั้น.”
เป็นความจริงที่ว่า ไม่ใช่เหตุผลทางด้านศาสนาเสมอไปที่กระตุ้นผู้คนเข้าสู่สงคราม. หนังสือเดอะ เบิร์ธ ออฟ ยุโรปให้ข้อสังเกตว่า สำหรับชาวยุโรปส่วนใหญ่สงครามครูเสด “เสนอโอกาสที่ไม่มีใครอยากจะปฏิเสธในการได้ชื่อเสียง หรือริบทรัพย์เชลย หรือชิงดินแดนใหม่ หรือครอบครองทั้งประเทศ—หรือเพียงเพื่อหนีจากความจำเจด้วยการผจญภัยน่าตื่นเต้น.” พวกพ่อค้าชาวอิตาลียังได้เห็นโอกาสในการตั้งด่านธุรกิจการค้าขึ้นในดินแดนเมดิเตอร์เรเนียนทางตะวันออก. แต่แรงกระตุ้นจะเป็นอะไรก็ตาม ก็เห็นชัดว่าทุกคนเต็มใจจะตายเพื่อศาสนาของตน—ไม่ว่าจะตายในสงคราม “ธรรมะ” ของคริสต์ศาสนจักร หรือ จิฮาดของมุสลิม.
ดาบก่อผลที่ไม่คาดคิด
ดิ เอ็นไซโคลพีเดีย ออฟ รีลีจัน กล่าวดังนี้ “แม้สงครามครูเสดมุ่งโดยตรงเพื่อต่อสู้พวกมุสลิมทางตะวันออก ความเร่าร้อนของพวกนักรบครูเสดกลับแสดงต่อชาวยิวซึ่งอาศัยในดินแดนที่นักรบครูเสดถูกเกณฑ์ นั่นคือในยุโรป. แนวความคิดที่มีอยู่ทั่วไปในพวกนักรบครูเสดก็คือเพื่อแก้แค้นต่อการประหารพระเยซู ชาวยิวจึงเป็นเหยื่อพวกแรก. การข่มเหงชาวยิวมีขึ้นในรูอัง เมื่อปี 1096 และตามติดด้วยการสังหารหมู่ในวอร์มส์ ไมนส์ และโคโลญ.” นี่เป็นเพียงสิ่งบอกล่วงหน้าของน้ำใจต่อต้านยิวในสมัยแห่งการกวาดล้างของพวกนาซีเยอรมัน.
สงครามครูเสดยังทำให้ความตึงเครียดระหว่างตะวันออกกับตะวันตกซึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 1054 นั้นเพิ่มขึ้นอีกด้วย เมื่อสังฆราชมิคาเอล เซอรูลาริอุสแห่งตะวันออก และคาร์ดินัล ฮัมเบิร์ต แห่งตะวันตกได้ประกาศคว่ำบาตรกันและกัน. เมื่อนักรบครูเสดได้ให้บิชอพของพวกลาตินเข้าทำหน้าที่แทนพวกนักบวชชาวกรีกในเมืองที่ยึดได้ ความแตกแยกของฝ่ายตะวันออกกับตะวันตกเพิ่มมากขึ้นถึงขั้นที่มีผลต่อสามัญชน.
การแตกกันระหว่างคริสต์จักรทั้งสองถึงขั้นเด็ดขาดคราวสงครามครูเสดครั้งที่สี่เมื่อสันตะปาปาอินโนเซนท์ที่สามแสดงบท “ตีสองหน้า” ตามคำกล่าวของเฮอร์เบิร์ต วัตดัมส์อดีตนักบวชนิกายแองกลิกันแห่งแคนเทอร์เบอรี. ด้านหนึ่งสันตะปาปาแสดงความขุ่นเคืองต่อการชิงเอาเมืองคอนสแตนติโนเปิล. (ดูกรอบหน้า 30) เขาเขียนว่า “คริสต์จักรกรีกคาดหมายได้อย่างไรกันที่จะหันกลับไปอยู่ใต้อำนาจสันตะปาปาอีกในเมื่อได้เห็นแล้วถึงการวางตัวอย่างที่ไม่ดีและการกระทำอันชั่วร้ายของชาวลาติน และด้วยเหตุผลอันดีคริสต์จักรกรีกเกลียดชังเขายิ่งกว่าสุนัข.” แต่อีกด้านหนึ่ง เขารีบฉวยโอกาสจากสถานการณ์นั้นโดยสถาปนาอาณาจักรลาตินภายใต้สังฆราชของทางตะวันตกขึ้นที่นั่น.
หลังจากสองร้อยปีที่มีแต่การสู้รบเกือบตลอดเวลา จักรวรรดิไบแซนไทน์ได้อ่อนแอลงมากจนไม่อาจทนการโจมตีของชาวเตอร์กออตโตมาน ผู้ซึ่งในที่สุดก็ยึดเมืองคอนสแตนติโนเปิลได้เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 1453. จักรวรรดินี้ถูกโค่นล้มไม่ใช่เพียงโดยดาบของอิสลาม แต่โดยดาบของคริสต์จักรพี่น้องในโรมด้วย. คริสต์ศาสนจักรที่แบ่งแยกได้ปูทางอันสะดวกสบายแก่พวกอิสลามในการเคลื่อนเข้าสู่ยุโรป.
ดาบแห่งเล่ห์เหลี่ยมและการข่มเหง
สงครามครูเสดได้ทำให้ฐานะทางศาสนาและการเป็นผู้นำทางการเมืองของสันตะปาปาเข้มแข็งขึ้น. มัน “ให้อำนาจควบคุมทางการทูตของยุโรปแก่สันตะปาปา” นักประวัติศาสตร์จอห์น เอช. มันดิ เขียนดังนั้น. จากนั้นไม่นาน “คริสต์จักรก็เป็นระบบปกครองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของยุโรป . . . , [สามารถ] ใช้อำนาจทางการเมืองได้มากยิ่งกว่าทุกรัฐบาลทางตะวันตก.”
การขึ้นสู่อำนาจนี้ก็กลายเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ขึ้นมาเมื่อจักรวรรดิโรมันทางตะวันตกล่มจม. คริสต์จักรยังคงอยู่ในฐานะเป็นอำนาจเพียงหนึ่งเดียวที่ทำให้มีเอกภาพในทางตะวันตก และดังนั้นจึงได้เริ่มมีบทบาทต่อกิจกรรมการเมืองในสังคมมากกว่าคริสต์จักรทางตะวันออก ซึ่งในตอนนั้นยังอยู่ใต้ผู้ครอบครองที่แข็งแกร่งซึ่งเป็นฆราวาสคือจักรพรรดิแห่งไบแซนไทน์. ฐานะที่สูงในทางการเมืองนี้ซึ่งถูกยึดไว้โดยคริสต์จักรทางตะวันตกนั้นได้เสริมความน่าเชื่อถือให้กับข้ออ้างที่ว่าสันตะปาปามีอำนาจสูงสุด ซึ่งเป็นแนวความคิดที่คริสต์จักรทางตะวันออกปฏิเสธ. ขณะที่มีการยินยอมให้สันตะปาปาเป็นผู้ที่เหมาะสมแก่เกียรติยศนั้น คริสต์จักรทางตะวันออกไม่เห็นด้วยที่ว่าเขามีอำนาจเด็ดขาดในเรื่องหลักคำสอน หรือในการตัดสินคดี.
โดยได้รับการหนุนหลังจากอำนาจทางการเมือง และความเชื่อทางศาสนาอย่างผิด ๆ คริสต์จักรโรมันคาทอลิกได้ใช้ดาบเพื่อกำจัดการต่อต้านออกไป. การไล่ล่าคนนอกศาสนาได้กลายมาเป็นภารกิจของเขา. มิโรสลาฟ ร็อค และแอนนา สกีโบวา ศาสตราจารย์ในสาขาวิชาประวัติศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยคาร์ลที่กรุงปราก ประเทศเชคโกสโลวาเกีย บรรยายถึงวิธีการที่ศาลศาสนา คือศาลที่กำหนดขึ้นเป็นพิเศษเพื่อจัดการกับคนนอกศาสนานั้นว่า ได้ดำเนินการ “ในทางตรงกันข้ามกับวิธีปฏิบัติโดยทั่วไป ชื่อของผู้ให้ข่าวนั้น . . . ไม่จำเป็นต้องเปิดเผย” สันตะปาปาอินโนเซนท์ที่สี่ได้มีราชโองการ “กวาดล้างให้สิ้นซาก” ออกมาในปี 1252 ซึ่งอนุญาตให้มีการทรมาน. “วิธีการที่ใช้เพื่อประหารคนนอกศาสนาในช่วงศตวรรษที่ 13 ก็คือการเผาทั้งเป็นบนหลัก . . . ซึ่งเป็นเครื่องหมายแสดงว่า โดยการลงโทษด้วยวิธีนี้ คริสต์จักรจะไม่มีความผิดฐานทำให้โลหิตตก.”
เจ้าหน้าที่ศาลศาสนาได้ลงโทษหลายหมื่นคน. อีกหลายพันคนถูกเผาทั้งเป็นบนหลัก ทำให้นักประวัติศาสตร์ วิลล์ ดูแรนท์ ให้ความเห็นว่า “เมื่อคำนึงถึงการยินยอมทุกประการที่มีการเรียกร้องจากนักประวัติศาสตร์ และที่อนุญาตให้คริสเตียนแล้ว เราจำต้องถือว่าศาลศาสนา . . . เป็นรอยด่างที่เข้มที่สุดรอยหนึ่งในประวัติบันทึกของมนุษยชาติ ที่เผยให้เห็นถึงความโหดร้ายทารุณที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนในสัตว์เดรัจฉานใด ๆ.”
เหตุการณ์เกี่ยวกับศาลศาสนาทำให้นึกถึงถ้อยคำของเบลส พาสคาล นักปรัชญา และนักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศสแห่งศตวรรษที่ 17 ซึ่งเขียนไว้ว่า “มนุษย์เราไม่เคยทำความชั่วอย่างเต็มขนาดและด้วยความเต็มอกเต็มใจเหมือนอย่างที่พวกเขาได้ทำเนื่องด้วยความเชื่อมั่นทางศาสนา.” ความจริงคือการกวัดแกว่งดาบแห่งการกดขี่ข่มเหงต่อบุคคลต่างศาสนาได้เป็นลักษณะของศาสนาเท็จนับแต่คายินฆ่าเฮเบลเป็นต้นมา.—เยเนซิศ 4:8.
ถูกแบ่งแยกโดยดาบแห่งการแตกสามัคคี
การแตกแยกภายในชาติ และการใช้เล่ห์เหลี่ยมทางการเมืองนำไปสู่การโยกย้ายที่พำนักของสันตะปาปาจากโรมไปเป็นที่อะวินญอง เมื่อปี 1309. แม้จะมีการย้ายกลับสู่โรมอีกในปี 1377 ไม่นานหลังจากนั้น การเลือกสันตะปาปาองค์ใหม่คือ เออร์บันที่ 6 ได้ทำให้เกิดการจลาจลมากขึ้น. แต่กลุ่มคาร์ดินัลซึ่งได้เลือกเขาขึ้นมาก็ยังได้เลือกสันตะปาปาคู่แข่งอีกองค์หนึ่งขึ้นมาคือ เคลเมนต์ที่ 7 ซึ่งประทับที่อะวินญอง. เหตุการณ์ยิ่งยุ่งเหยิงมากขึ้นอีกในตอนต้นศตวรรษที่ 15 เมื่อสันตะปาปาสามองค์ปกครองในเวลาเดียวกันเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ.
สถานการณ์ตอนนั้น ซึ่งเป็นที่รู้จักกันว่าการแตกแยกในฝ่ายตะวันตก หรือการแตกแยกครั้งใหญ่ ได้ยุติลงโดยสภาแห่งคอนสแตนซ์. สภานี้ได้เรียกร้องให้มีกฎเกณฑ์เกี่ยวกับคณะกรรมการบริหารส่วนท้องถิ่น คือกฎเกณฑ์ที่ว่าอำนาจเด็ดขาดทางด้านสงฆ์นั้นขึ้นอยู่กับคณะกรรมการกลางไม่ใช่สันตะปาปา. ด้วยเหตุนั้น สภาคอนสแตนซ์จึงสามารถเลือก มาร์ตินที่ 5 ขึ้นเป็นสันตะปาปาองค์ใหม่. แต่ถึงจะรวมกันได้อีกครั้งหนึ่ง คริสต์จักรก็อ่อนแอลงอย่างน่าวิตก. ถึงกระนั้น แม้จะมีรอยตำหนิ สันตะปาปาก็ปฏิเสธจะรับรู้ถึงความจำเป็นในการปฏิรูป. ตามคำกล่าวของจอห์น แอล. บูจัมราแห่งวิทยาลัยเทววิทยานิกายออร์โธด็อกซ์แห่งเซนต์วลาดีเมียร์ ความเสื่อมถอยนี้ “ได้วางรากฐานไว้สำหรับ การปฏิรูปในศตวรรษที่ 16.”
พวกเขาดำเนินชีวิตตามหลักศาสนาของเขาไหม?
ผู้ก่อตั้งศาสนาคริสเตียนแท้ได้สั่งสอนเหล่าผู้ติดตามพระองค์ให้ทำคนเป็นสาวก แต่ไม่ได้ทรงสั่งพวกเขาให้ใช้กำลังในการทำเช่นนั้น. ที่จริง พระองค์ทรงให้คำเตือนโดยเฉพาะว่า “บรรดาผู้ถือดาบจะต้องพินาศเพราะดาบ.” เช่นเดียวกัน พระองค์ไม่ได้ทรงสั่งสอนผู้ติดตามให้ประทุษร้ายร่างกายผู้ที่มีแนวโน้มไม่ตอบรับ. หลักการคริสเตียน ที่พึงยึดถือนั้นคือ “ทาสขององค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่จำเป็นต้องต่อสู้ แต่จำเป็นต้องสุภาพต่อคนทั้งปวง มีคุณวุฒิที่จะสั่งสอน เหนี่ยวรั้งตัวไว้ภายใต้สภาพการณ์อันไม่ดี สั่งสอนคนที่มีแนวโน้มไม่ยินดีรับนั้นด้วยใจอ่อนสุภาพ.”—มัดธาย 26:52, ล.ม.; 2 ติโมเธียว 2:24, 25.
โดยการหมายพึ่งดาบแห่งการสู้รบ เช่นเดียวกับดาบอันมีความหมายเป็นนัยแห่งการเมือง และการกดขี่ข่มเหง คริสต์ศาสนจักรก็แสดงตัวชัดเจนว่าไม่ได้ติดตามการนำของพระองค์ผู้ซึ่งพวกเขากล่าวอ้างว่าเป็นผู้ก่อตั้งศาสนา. ขณะที่ประสบความเสียหายเนื่องจากการแตกสามัคคีแล้ว คริสต์ศาสนจักรก็ถูกคุกคามด้วยการพังทลายอย่างสิ้นเชิง. คริสต์จักรโรมันคาทอลิกเป็น “ศาสนาซึ่งต้องปฏิรูป” แต่การปฏิรูปจะมีขึ้นไหม? ถ้ามี เมื่อไร? จากผู้ใด? ฉบับเดือนเมษายนจะอธิบายมากขึ้น.
[กรอบภาพหน้า 30]
สงครามที่ดีงามของคริสเตียนหรือ?
ครูเสดเป็นสงครามอันดีงามที่คริสเตียน ได้รับการสั่งสอนให้ทำหรือ?—2 โกรินโธ 10:3, 4; 1 ติโมเธียว 1:18.
สงครามครูเสดครั้งที่หนึ่ง (1096-1099) ยังผลให้เป็นการยึดกรุงยะรูซาเลมคืน และการตั้งรัฐลาตินขึ้นในทางตะวันออกสี่รัฐคือ: ปริมณฑลยะรูซาเลม มณฑลอิเดสสา แคว้นแอนติอ็อค และมณฑลตริโปลี. แหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือซึ่ง เอช. จี. เวลส์ ยกขึ้นมาอ้าง กล่าวถึงการยึดกรุงเยรูซาเลมว่า “เป็นการเข่นฆ่าสังหารอันน่าสยดสยอง เลือดของผู้แพ้ไหลตามถนน กระทั่งสาดกระเซ็น เมื่อเขาขี่ม้าย่ำลงไป. ตกกลางคืนก็เป็น ‘การร่ำไห้ด้วยความยินดีเกินขนาด’ พวกนักรบครูเสดมาที่สุสานหลังจากการทำให้โลหิตไหลนอง และประสานมือที่เปรอะเลือดเข้าด้วยกันเพื่ออธิษฐาน.”
มีการริเริ่มสงครามครูเสดครั้งที่สอง (1147-1149) เพราะการสูญเสียมณฑลอิเดสสาแก่พวกมุสลิมซีเรียในปี 1144 และสิ้นสุดลงเมื่อพวกมุสลิมทำให้ “ผู้ไม่เลื่อมใสในอิสลาม” ของคริสต์ศาสนจักรถอยกลับไปได้สำเร็จ.
สงครามครูเสดครั้งที่สาม (1189-1192) กระทำกันหลังจากพวกมุสลิมชิงเยรูซาเลมคืนไป โดยมีผู้นำคนหนึ่งคือ กษัตริย์ริชาร์ดที่หนึ่ง “ใจสิงห์” แห่งอังกฤษ. ดิ เอ็นไซโคลพีเดีย ออฟ รีลีจันกล่าวว่า ในไม่ช้าก็ “สลายไป” “เพราะการเสื่อมถอยกำลัง การวิวาทและขาดความร่วมมือกัน.”
สงครามครูเสดครั้งที่สี่ (1202-1204) ถูกทำให้เบี่ยงเบนจากอียิปต์ไปที่คอนสแตนติโนเปิลเนื่องจากขาดเงินทุน. มีคำสัญญาจะให้การเกื้อกูลด้านทรัพย์สินเป็นการตอบแทนในการช่วยเหลืออะเล็กซิอุส ผู้หมายตำแหน่งกษัตริย์แห่งจักรวรรดิไบแซนไทน์ซึ่งถูกเนรเทศให้ขึ้นสู่บัลลังก์. “[ผลก็คือ] การปล้นสะดมกรุงคอนสแตนนิโนเปิลโดยพวกนักรบครูเสด ซึ่งเป็นสิ่งที่คริสต์จักรออร์โธด็อกซ์ทางตะวันออกไม่เคยลืมเลือน หรือให้อภัยเลย.” ดิ เอ็นไซโคลพีเดีย ออฟ รีลีจันกล่าว และเสริมว่า “หากจะมีการอ้างวันใดวันหนึ่งว่ามีการก่อตั้งนิกายศาสนาต่าง ๆ ขึ้นมาอย่างแน่ชัด—อย่างน้อยที่สุดจากแง่คิดทางจิตวิทยา—วันนั้นจะตกในปี 1204.”
สงครามครูเสดของเด็ก ๆ (1212) ทำให้มีเด็กเยอรมันและฝรั่งเศสเสียชีวิตหลายพันคนก่อนที่พวกเขาจะบรรลุจุดหมายปลายทางด้วยซ้ำ.
สงครามครูเสดครั้งที่ห้า (1217-1221) เป็นสงครามครั้งสุดท้ายที่อยู่ใต้การควบคุมของสันตะปาปา ประสบความล้มเหลวเนื่องจากการนำที่บกพร่อง และการแทรกแซงของพวกนักบวช.ล
สงครามครูเสดครั้งที่หก (1228-1229) นำโดยจักรพรรดิ ฟรีดริคที่สองแห่งโฮเฮนสเตาเฟน ผู้ซึ่งสันตะปาปาเกรกอรีที่สี่ได้ประกาศอเปหิออกจากศาสนาก่อนหน้านั้น.
สงครามครูเสดครั้งที่เจ็ด และแปด (1248-1254 และ 1270-1272) นำโดยพระเจ้าหลุยส์ที่เก้าแห่งฝรั่งเศส แต่ก็ได้ล้มเหลวไปภายหลังการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ที่แอฟริกาเหนือ.
[รูปภาพหน้า 29]
สุสานยิวในวอร์มส์ ประเทศเยอรมนี—อนุสรณ์แห่งสงครามครูเสดครั้งที่หนึ่ง