อนาคตของศาสนาจากการพิจารณาศาสนาในอดีต
ตอนที่ 20: ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา การฟื้นฟูใกล้เข้ามาแล้ว!
“วิธีดีที่สุดที่จะเห็นแสงสว่างแห่งพระเจ้าก็คือ ดับแสงเทียนของตน.”—ทอมัส ฟุลเลอร์ นายแพทย์และนักเขียนชาวอังกฤษ (1654-1734)
ศตวรรษที่สิบเก้าถูกเรียกว่าเป็นช่วงเวลาที่มีชีวิตชีวาที่สุดช่วงหนึ่งในประวัติศาสนาคริสเตียน พอ ๆ กับในศตวรรษแรก ๆ และช่วงแห่งการปฏิรูป. มีเหตุผลต่าง ๆ กันมากมายสำหรับความรู้สำนึก และกิจกรรมทางศาสนาที่เพิ่มขึ้นเช่นนั้น.
นักประพันธ์ เคนเน็ท เอส. ลาทัวเร็ท ระบุปัจจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องสิบสามประการ ซึ่งบางข้อก็ได้พิจารณาในฉบับที่แล้วของวารสารนี้. เขากล่าวว่า “ไม่เคยมีมาก่อนเลยที่สังคมมนุษย์ได้ถูกเปลี่ยนแปลงอย่างมโหฬาร และในหลายหลากวิถีทางเหมือนกับในช่วงเวลาอันสั้นนี้.”
ในสหรัฐ การฟื้นฟูด้านศาสนาเป็นสิ่งที่มองเห็นได้อย่างชัดเจน. ตัวอย่างเช่น จำนวนสมาชิกของคริสต์ศาสนจักรได้เพิ่มขึ้นจากไม่ถึงร้อยละสิบของจำนวนประชากรในตอนต้นศตวรรษ เป็นร้อยละสี่สิบเมื่อปลายศตวรรษ. โรงเรียนสอนศาสนาในวันอาทิตย์—ซึ่งเริ่มมีขึ้นในอังกฤษเมื่อปี 1780—ก็ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น. สาเหตุหนึ่งก็คือ ในประเทศสหรัฐนั้นคริสต์จักรกับรัฐถูกแยกกันอยู่ต่างหาก จึงห้ามการสอนศาสนาในโรงเรียนของรัฐบาล ทั้งนี้ตรงกันข้ามกับสภาพในยุโรป. อีกทั้งได้มีการก่อตั้งวิทยาลัยของนิกายต่าง ๆ และสมาคมเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลที่ไม่ได้สังกัดนิกายใดนิกายหนึ่งขึ้นหลายสิบแห่ง และในช่วงห้าสิบปีแรกของศตวรรษที่สิบเก้านี้ ได้มีการตั้งวิทยาลัยทางเทววิทยาขึ้นในสหรัฐอย่างน้อย 25 แห่ง.
ขณะเดียวกัน ลัทธิโปรเตสแตนต์ได้หันมาเน้นหนักด้านการเผยแพร่ศาสนาในระดับโลก. วิลเลียม แครีย์ ชาวอังกฤษซึ่งเป็นช่างทำรองเท้าและครู ได้เป็นผู้นำในเรื่องนี้เมื่อปี 1792 โดยพิมพ์หนังสือชื่อ การค้นคว้าเรื่องพันธะหน้าที่ของคริสเตียนในการใช้วิธีการต่าง ๆ เพื่อให้ชนนอกรีตเปลี่ยนศาสนา (ภาษาอังกฤษ). ขณะที่ทำงานเป็นมิชชันนารีในอินเดีย แครีย์กับผู้ร่วมงานของเขาได้แปลคัมภีร์ไบเบิลทั้งเล่มหรือในบางส่วนเป็นภาษาอินเดีย และภาษาอื่น ๆ ในเอเชียรวมทั้งภาษาท้องถิ่นมากกว่า 40 ภาษา. การงานที่มิชชันนารีกลุ่มแรกเหล่านี้บางกลุ่มได้ทำไปในการเผยแพร่คัมภีร์ไบเบิลนับว่าน่ายกย่องทีเดียว.
วิทยาศาสตร์ที่ค่อนข้างใหม่ทางด้านโบราณคดีวิทยาของคัมภีร์ไบเบิลเป็นที่ยอมรับกันมากขึ้นด้วยในศตวรรษที่สิบเก้านั้น. ในปี 1799 ทหารฝรั่งเศสในอียิปต์ได้ค้นพบแผ่นหินภูเขาไฟสีดำแผ่นหนึ่งซึ่งบัดนี้เรียกกันว่า แผ่นศิลาโรเซ็ทตา. มีข้อความเดียวกันถึงสามชุด จารึกไว้บนแผ่นศิลานั้น สองชุดจารึกด้วยอักษรรูป ของอียิปต์โบราณในสองแบบต่างกัน และอีกชุดหนึ่งด้วยภาษากรีก. ดังนั้น แผ่นศิลานี้จึงมีคุณค่ามหาศาลในการแปลอักษรรูป ของอียิปต์. ต่อมาไม่นานนัก ตัวอักษรรูปลิ่มของชาวอัสสิเรียก็มีการถอดความเช่นกัน. ฉะนั้น เมื่อเริ่มการขุดค้นในอัสสิเรียและอียิปต์ในเวลาต่อมาไม่นาน วัตถุโบราณที่ขุดพบจึงมีความหมายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน. บันทึกเรื่องราวในคัมภีร์ไบเบิลจำนวนมากจึงได้รับการยืนยันแม้ในรายละเอียดปลีกย่อย.
จุดเทียนของพวกเขาเองขึ้น
ขณะที่ความสนใจในเรื่องศาสนามีมากขึ้น จำนวนผู้ที่จะเป็นนักปฏิรูปก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน. แต่อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่า ไม่ใช่ทุกคนที่จริงใจ. นักประพันธ์เคนเน็ท เอส. ลาทัวเร็ทที่ได้กล่าวถึงข้างต้น ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่านิกายใหม่ ๆ ทางศาสนาบางนิกาย “ได้กำเนิดขึ้นเนื่องด้วยความอิจฉา การแข่งขันชิงดี และความทะเยอทะยานส่วนตัว.” แต่พวกนักปฏิรูปที่จุดเทียน แห่งความทะเยอทะยานของตัวเองนั้นยากที่จะคาดหมายว่าเป็นผู้ซึ่งพระเจ้าเลือกให้ฟื้นฟูการนมัสการแท้.
ในท่ามกลางแสงกระพริบของเทียนหลาย ๆ อย่างเช่นนั้น แนวคิดด้านเทววิทยาก็ตกอยู่ในความสับสนยุ่งเหยิง. การวิพากษ์วิจารณ์ในระดับสูง ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในเยอรมนี ก่อให้มีการตีความหมายพระคัมภีร์เสียใหม่โดยอาศัยความเข้าใจตามแนวทางวิทยาศาสตร์ที่ “ก้าวหน้า.” พวกนักวิจารณ์ในระดับสูงเห็นว่าคัมภีร์ไบเบิลเป็นเพียงบันทึกประสบการณ์ทางศาสนาของชาวยิวเท่านั้น. ความน่าเชื่อถือของคัมภีร์ไบเบิลฐานะเป็นปัจจัยสำคัญในการชี้ทางแห่งความรอดนั้นถูกสงสัยเช่นเดียวกันกับสติปัญญาของมาตรฐานทางศีลธรรมที่พระคัมภีร์สนับสนุนยกย่อง.
การวิพากษ์วิจารณ์ในระดับสูงนั้นได้รับการสนับสนุนอย่างไม่ลังเล โดยเฉพาะจากพวกนักเทศน์โปรเตสแตนต์. ตามที่มีรายงานว่า เมื่อถึงปี 1897 ในมหาวิทยาลัยด้านเทววิทยาของโปรเตสแตนต์ยี่สิบแห่งในเยอรมนีไม่มีสมาชิกแม้แต่คนเดียวที่ยังคงยึดอยู่กับความคิดเห็นที่สืบต่อกันมาเกี่ยวกับผู้เขียนเพนทาทุค หรือพระธรรมยะซายา.
อีกไม่กี่ปีต่อมาคือในปี 1902 เกิดการโต้เถียงกันขึ้นในเรื่องการวิจารณ์ระดับสูง ณ การประชุมสมัชชาใหญ่ของคริสต์จักรเพรสไบทีเรียนในสก็อตแลนด์. หนังสือพิมพ์ เอดินเบรอะ อิฟนิง นิวส์ รายงานว่า “ตามคำกล่าวของเหล่านักวิจารณ์ ระดับสูง . . . คัมภีร์ไบเบิลเป็นหนังสือรวบรวมเรื่องนิยาย ซึ่งผู้สั่งสอน อาจได้เกร็ดคำสอนเรื่องจริยธรรมไปบ้างเล็กน้อย เช่นเดียวกับผู้สอนศีลธรรมที่ชำนาญอาจได้เกร็ดคำสอนเรื่องจริยธรรมจาก ‘นิทานอีสป.’” แต่หนังสือพิมพ์นี้ก็ได้ให้ข้อสังเกตไว้ว่า “ชนชั้นกรรมาชีพไม่ได้โง่เขลา. พวกเขาจะไม่เข้าโบสถ์เพื่อฟังคนที่กำลังอยู่ในสภาพมัวหม่นทางจิตใจเสียเอง.”
บทความที่สองในอีกไม่กี่วันต่อมายิ่งตรงไปตรงมาขึ้นอีก มีข้อวิจารณ์ว่า “ไม่มีประโยชน์ที่จะพูดอย่างอ้อมค้อม. คริสต์จักรโปรเตสแตนต์เป็นแหล่งรวมการหน้าซื่อใจคด และ พวกผู้นำก็โกหกหลอกลวงทั้งนั้น. ที่จริง คริสต์จักรนี้มาถึงขั้นที่ว่า หากผู้ประพันธ์หนังสือ ‘เอจ ออฟ รีซัน’ [ยุคแห่งการหาเหตุผล] ยังมีชีวิตอยู่ในเวลานี้ เขาคงจะไม่ถูกเรียกอย่างดูถูกเหยียดหยามว่าเป็นทอม เพน คนนอกรีต แต่ว่าเป็น ท่านอาจารย์ทอมัส เพน ด็อกเตอร์ทางศาสนศาสตร์ ศาตราจารย์ด้านอรรถาธิบายภาษาฮีบรูและคัมภีร์เดิม ประจำวิทยาลัย ยูไนเตด ฟรี แห่งกลาสโกว์.คงไม่มีปัญหาที่เขาจะสั่งสอนฐานะนักเทศน์ของโปรเตสแตนต์ . . . [และ] รับเงินเดือนอย่างงามในตำแหน่งศาสตราจารย์ด้านเทววิทยา.”
ปฏิกิริยารุนแรงทางศาสนา
ตั้งแต่เริ่มต้น ลัทธิโปรเตสแตนต์เน้นหนักในเรื่องการเปลี่ยนศาสนาของบุคคลและประสบการณ์ของการเป็นคริสเตียน พึ่งในพระคัมภีร์เป็นหลัก และลดความสำคัญของพิธีกรรมและจารีตประเพณีลง.
ในทศวรรษปี 1830 และ 1840 ผู้เผยแพร่ชาวโปรเตสแตนต์จำนวนมากได้เริ่มประกาศว่าการเสด็จมาครั้งที่สองของพระคริสต์จวนจะถึงอยู่แล้วพร้อมด้วยการเริ่มรัชสมัยพันปี. วิลเลียม มิลเลอร์ กสิกรชาวนิวยอร์ก เก็งว่า การเสด็จมาครั้งที่สองนี้อาจจะเกิดขึ้นประมาณปี 1843. กลุ่มผู้เชื่อในเรื่องรัชสมัยพันปีนี้ได้ช่วยวางรากฐานสำหรับนิกายอีเวนเจลิคัลที่โดดเด่นกว่า และกล้าพูดกล้าทำซึ่งได้มาเป็นที่รู้จักกันว่าลัทธิฟันดะเมนตัล.
ลัทธิฟันดะเมนตัลส่วนใหญ่แล้วเกิดจากปฏิกิริยาต่อต้านรุนแรงต่อการชอบสงสัย การคิดอย่างอิสระ การหาเหตุผลเข้าข้างตนเอง และความหละหลวมทางศีลธรรมซึ่งลัทธิโปรเตสแตนต์แบบเสรีนิยมได้เพาะขึ้นมา. ต่อมาลัทธินี้ได้รับเอาชื่อจากชุดหนังสือสิบสองเล่มที่มีชื่อว่า ฟันดะเมนตัลส์ ซึ่งจัดพิมพ์ขึ้นตั้งแต่ปี 1909 ถึง 1912 โดยสถาบันมูดดี ไบเบิล.
ลัทธิฟันดะเมนตัล ได้มาเป็นที่รู้จักกันดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐ ทั้งนี้โดยการสอนศาสนาทางวิทยุและโทรทัศน์อย่างได้ผล โดยทางสถาบันเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิล และโดยการโฆษณาเผยแพร่อย่างกว้างขวางกับการประชุมที่เร้าอารมณ์ของพวกเขา. แต่เมื่อไม่นานมานี้ ชื่อเสียงของพวกเขาเสียหายเนื่องจากพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในเรื่องการเงิน และเรื่องเพศของพวกผู้นำชั้นแนวหน้า. และพวกเขายังถูกวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับกิจกรรมทางการเมือง ที่เพิ่มมากขึ้นด้วย โดยเฉพาะตั้งแต่มีการก่อตั้งกลุ่มมอรัล เมเจอริตีขึ้นในปี 1979 ซึ่งก็ถูกยกเลิกไปเมื่อไม่นานมานี้.
ลัทธิฟันดะเมนตัล ในขณะที่อ้างว่าจะแก้ต่างให้คัมภีร์ไบเบิลนั้นที่จริงแล้วก็ยังได้บ่อนทำลายความน่าเชื่อถือของคัมภีร์ไบเบิลด้วย. วิธีหนึ่งที่พวกเขาทำเช่นนั้นก็คือโดยการตีความข้อคัมภีร์ต่าง ๆ ตามตัวอักษร ทั้ง ๆ ที่เห็นได้ชัดว่าข้อเหล่านั้นไม่ได้มีความหมายตามตัวอักษรเลย. ตัวอย่างหนึ่งก็คือ การอ้างว่าตามบันทึกในเยเนซิศนั้นโลกถูกสร้างในหกวันที่มียี่สิบสี่ชั่วโมงจริง ๆ. เป็นที่ชัดแจ้งว่า วันเหล่านี้มีความหมายเป็นนัยหมายถึงช่วงเวลาที่ยาวนานกว่านี้มากทีเดียว. (เปรียบเทียบ เยเนซิศ 2:3, 4; 2 เปโตร 3:8) ในทางอื่น ๆ อีกที่ลัทธิฟันดะเมนตัลบ่อนทำลายคัมภีร์ไบเบิล คือโดยสอนหลักคำสอนที่ไม่เป็นไปตามพระคัมภีร์ เช่น การทรมานชั่วนิรันดร์ในไฟนรก และบางครั้งก็โดยการสนับสนุนมาตรฐานการประพฤติแบบอื่นนอกเหนือจากที่มีกำหนดเรียกร้องในพระคัมภีร์ เช่น การห้ามบริโภคเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ หรือการแต่งหน้าของสตรี. โดยวิธีต่าง ๆ เหล่านี้เองที่ลัทธิฟันดะเมนตัลทำให้ผู้คนปฏิเสธข่าวสารของคัมภีร์ไบเบิล ซึ่งพวกเขามองว่าไร้สาระ ไม่มีเหตุผล และไม่เป็นไปตามหลักวิทยาศาสตร์.
เป็นไปตามเวลากำหนด
เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่จำเป็นคือ การฟื้นฟูการนมัสการแท้! แต่ดังที่พระธรรมท่านผู้ประกาศ 3:1 กล่าวว่า “มีวาระกำหนดไว้สำหรับทุกสิ่ง.”
ย้อนไปในศตวรรษแรก พระเยซูทรงฟื้นฟูการนมัสการแท้ขึ้นในรูปของศาสนาคริสเตียน. กระนั้น พระองค์ได้ทรงพยากรณ์ไว้ว่าจะมีการออกหาก. พระองค์ตรัสว่าคริสเตียนแท้ซึ่งเป็นเหมือนข้าวสาลี และคริสเตียนเทียมซึ่งเป็นเหมือนข้าวละมานจะ “จำเริญไปด้วยกันจนถึงฤดูเกี่ยว.” และในเวลานั้นทูตสวรรค์จะ “เก็บข้าวละมานและ . . . เผาไฟเสีย” ขณะที่คริสเตียนแท้จะถูกรวบรวมเข้าไว้ในความโปรดปรานของพระเจ้า. (มัดธาย 13:24-30, 37-43) ในช่วงห้าสิบปีหลังของศตวรรษที่สิบเก้า เวลากำหนดสำหรับการฟื้นฟูการนมัสการแท้นี้ก็ได้มาถึง.
ชาร์ลส์ เทส รัสเซลล์ เกิดเมื่อปี 1852 ที่พิตส์เบอร์ก มลรัฐเพนซิลเวเนีย และเขาได้แสดงความสนใจอย่างยิ่งในคัมภีร์ไบเบิลแม้ยังเป็นเด็กอยู่. เมื่ออายุได้ยี่สิบเศษ เขาไม่ได้หมกมุ่นกับธุรกิจของครอบครัวอีกต่อไปแต่อุทิศเวลาทั้งหมดเพื่องานประกาศสั่งสอน. จนถึงปี 1916 ซึ่งเป็นปีที่เขาเสียชีวิตขณะอายุได้ 64 ปีนั้น ตามรายงานแจ้งว่า เขาเคยบรรยายสั่งสอนมากกว่า 30,000 ครั้ง และได้เขียนหนังสือซึ่งรวมกันมีมากกว่า 50,000 หน้า.
ในขณะที่ยอมรับในการงานอันน่าชมเชยที่หลายคนได้ทำไปในการเผยแพร่คัมภีร์ไบเบิลนั้น รัสเซลล์ตระหนักว่าเพียงแค่การแปล พิมพ์ และจำหน่ายจ่ายแจกคัมภีร์เท่านั้นไม่เพียงพอ. ดังนั้นในปี 1879 เขาจึงเริ่มพิมพ์วารสารขึ้นซึ่งบัดนี้เป็นที่รู้จักกันในชื่อเดอะ ว็อชเทาเวอร์ (หอสังเกตการณ์). ในฉบับแรกมีกล่าวว่า “เราใคร่จะถามเหลือเกินว่า คริสต์จักรของฉันกล่าวอย่างไรเกี่ยวกับปัญหานี้หรือปัญหานั้น แทนที่จะถามว่า พระคัมภีร์กล่าวไว้อย่างไร? มีการศึกษาเรื่องเทววิทยามากไป และคัมภีร์ไบเบิลยังศึกษาไม่เพียงพอ. ฉะนั้น ขอให้เรามาตรวจสอบดูด้วยทัศนะที่ว่า ‘พระคัมภีร์สามารถทำให้เรามีปัญญา’ และ ‘ถ้อยคำขององค์พระผู้เป็นเจ้าทำให้คนรู้น้อยมีปัญญาได้.’
จนบัดนี้เป็นเวลา 110 ปีแล้วที่มีการจัดพิมพ์ เดอะ ว็อชเทาเวอร์ โดยไม่มีการหยุดชะงักแม้แต่ครั้งเดียว (ปัจจุบันพิมพ์ออกใน 108 ภาษา และมากกว่า 13 ล้านฉบับต่องวด) วารสารนี้ยังคงดำเนินต่อไปในการพิจารณาพระคำของพระเจ้า. ผู้คนจำนวนหลายล้านได้หยั่งรู้คุณค่าการช่วยเหลือที่วารสารนี้จัดให้มีขึ้นในการศึกษา ความเข้าใจ และการปฏิบัติตามสิ่งที่คัมภีร์ไบเบิลสอนไว้.
รัสเซลล์ไม่เหมือนกับพวกที่มีความคิดในการปฏิรูปสมัยเดียวกับเขาในประการที่ว่าเขาไม่ได้ประกาศสั่งสอนวิธีการเข้ามาหาพระเจ้าแบบพิเศษ ไม่ได้โอ้อวดว่าได้เห็นนิมิตหรือได้รับการเปิดเผยจากพระเจ้าโดยตรง ไม่ได้พบข่าวสารลึกลับในรูปของหนังสือที่ถูกปิดซ่อนไว้หรือในรูปแบบอื่น ๆ และไม่เคยอ้างว่าจะรักษาคนเจ็บป่วยทางร่างกายได้. อีกทั้งเขาไม่ได้ยืนยันว่าจะตีความคัมภีร์ไบเบิลได้. ฐานะเป็นเครื่องมือในพระหัตถ์ของพระเจ้าด้วยความเต็มใจ เขาต่อต้านการล่อใจทุกอย่างที่จะทำให้ “เทียนของเขาเอง” ฉายแสงมากกว่าความสว่างของพระเจ้า.
รัสเซลล์เขียนไว้เมื่อปี 1900 ว่า “คือความจริงต่างหากที่ควรได้รับการยกย่องและประกาศออกไป ไม่ใช่ตัวผู้รับใช้แห่งความจริง” และเสริมว่า “มีแนวโน้มมากเกินไปที่จะยกให้ความจริงเป็นของผู้ประกาศสั่งสอน โดยลืมว่าความจริงทุกอย่างนั้นมาจากพระเจ้า ผู้ทรงใช้ผู้รับใช้คนใดคนหนึ่งของพระองค์ ในการประกาศความจริงนั้นอย่างที่พระองค์ทรงพอพระทัย.” นี่คือสาเหตุใหญ่ที่ผู้เขียนและผู้แปลสิ่งตีพิมพ์ต่าง ๆ ของสมาคมว็อชเทาเวอร์ และบรรดาสมาชิกคณะกรรมการแปลพระคัมภีร์ฉบับโลกใหม่เลือกที่จะไม่ระบุชื่อของตนเอง.
พระมหากษัตริย์ที่พระเจ้าทรงแต่งตั้งขึ้นครองราชย์แล้ว!
ในศตวรรษแรก โยฮันผู้ให้บัพติสมาได้ประกาศว่าการเสด็จมาของพระเยซูในฐานะผู้ซึ่งพระเจ้ากำหนดไว้ให้เป็นกษัตริย์นั้นใกล้เข้ามาแล้ว. ในศตวรรษที่สิบเก้า ก็ถึงเวลาที่จะประกาศว่ามหากษัตริย์องค์นั้นจวนจะเสด็จมาแล้วพร้อมด้วยอำนาจในสวรรค์. ด้วยเหตุนี้ วารสาร ไซโอนส์ ว็อชเทาเวอร์ ฉบับเดือนมีนาคม 1880 ได้แถลงไว้ว่า “เวลาของคนต่างชาติจะดำเนินไปจนถึงปี 1914 และราชอาณาจักรฝ่ายสวรรค์จะยังไม่มีอำนาจเต็มที่จนกว่าจะถึงเวลานั้น.”
ดังนั้น กลุ่มชนซึ่งบัดนี้เป็นที่รู้จักว่าคณะพยานพระยะโฮวาได้ประกาศต่อสาธารณชนกว่าร้อยปีมาแล้วโดยบอกให้ทราบว่าปี 1914 จะเป็นจุดเริ่มต้นแห่งราชอาณาจักรของพระเจ้า. การขึ้นครองราชย์ของมหากษัตริย์ที่พระเจ้าทรงแต่งตั้งนั้นเป็นก้าวแรกสู่การดับแสงเทียนอันริบหรี่ของศาสนาเท็จที่จะมาถึงในขั้นสุดท้าย เพื่อว่ามันจะไม่ทำให้แสงสว่างแห่งพระเจ้าเป็นที่คลุมเครืออีกต่อไป.
เมื่อศตวรรษที่สิบเก้าใกล้จะสิ้นสุดลง ศาสนาแห่งคริสต์ศาสนจักรก็ไม่มีเครื่องแสดงหลักฐานว่า เป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า. พวกเขาสมควรจะถูกพระเจ้าทอดทิ้งเสีย. เวลาที่พวกเขาจะถูกพิพากษาได้ใกล้เข้ามา. เชิญเรียนเรื่องนี้ต่อไป ในฉบับหน้า.
[กรอบหน้า 29]
“ลูก ๆ ที่เกิดรั้งท้าย” ของการปฏิรูป
เชิร์ช ออฟ ไครสท์ ไซเยนติสท์: กลุ่มศาสนานี้เป็นที่รู้จักโดยทั่วไปว่า คริสเตียนไซเยนส์. ถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1879 โดยแมรีเบเกอร์ เอ็ดดี ผู้ซึ่งใส่ใจอย่างมากในเรื่องสุขภาพ. ตามที่กล่าวกัน การหายเป็นปกติอย่างฉับพลันจากอุบัติเหตุร้ายแรงในปี 1866 นั้น ทำให้เธอมั่นใจว่าได้ค้นพบหลักการสำคัญที่ทำให้พระเยซูสามารถรักษาคนป่วยและปลุกคนตายได้. หนังสือของเธอ ชื่อ ไซเยนส์ แอนด์ เฮลท์ วิท คีย์ ทู เดอะ สคริพเจอร์ส (วิทยาศาสตร์และสุขภาพพร้อมด้วยกุญแจไขพระคัมภีร์, ภาษาอังกฤษ) ซึ่งพิมพ์เมื่อปี 1875 สอนว่า วิญญาณนั้นมีอำนาจเหนือร่างกาย และสอนว่าความบาป โรคภัย ความตาย และสิ่งไม่ดีอื่น ๆ นั้นเป็นของลวงตาซึ่งจะเอาชนะได้โดยความรู้เกี่ยวด้วยความจริง และการนึกคิดในด้านดีซึ่งสอดคล้องกับ “พระจิตต์” อันได้แก่พระเจ้า.
ดิสไซเปิลส์ ออฟ ไครสท์: คริสต์จักรนี้ตั้งขึ้นในปี 1832 โดยพวกเพรสไบทีเรียนชาวอเมริกันซึ่งมีความมุ่งหมายในการฟื้นฟู. คติพจน์ของพวกเขามีว่า “ที่ใดพระคัมภีร์พูด เราก็พูด ที่ใดพระคัมภีร์ไม่พูด เราก็เงียบ.” หนังสืออ้างอิงเล่มหนึ่งพรรณนาถึงพวกเขาว่า “มีความยืดหยุ่นอย่างยิ่งในเรื่องหลักคำสอนและศาสนา.” เหล่าสมาชิกได้ปล่อยให้ทัศนะทางการเมืองทำให้เกิดการแบ่งแยกกันอย่างร้ายแรงในช่วงสงครามกลางเมืองในสหรัฐ. เมื่อปี 1970 คริสต์จักรนี้มีถึง 118 นิกาย ซึ่งรวมทั้งเชิชเชส ออฟ ไครสท์ที่ตั้งขึ้นเมื่อปี 1906.
ซัลเวชัน อาร์มี: วิลเลียม บูท ก่อตั้งกลุ่มศาสนานี้ขึ้นซึ่งมีการจัดระบบในแบบเดียวกับการทหาร. บูทเข้าเป็นนักเทศน์เมโธดิสท์เมื่ออายุยี่สิบเศษ ต่อมาได้เปลี่ยนเป็นผู้เผยแพร่อิสระในปี 1861. เขากับภรรยาได้จัดตั้งคณะผู้สั่งสอนขึ้นในหมู่คนยากจนในแถบอีส์ต เอนด์ แห่งกรุงลอนดอน. ชื่อของกลุ่มนี้ได้เปลี่ยนจากคณะคริสเตียนมิชชันเป็นซัลเวชัน อาร์มี เมื่อปี 1878. คณะซัลเวชัน อาร์มี มุ่งที่จะ “ช่วยจิตวิญญาณให้รอด” โดยเสนอความช่วยเหลือทางสังคมสงเคราะห์แก่ผู้ไร้ที่อาศัย ผู้ที่อดอยากหิวโหย ผู้ที่ถูกปฏิบัติอย่างโหดร้าย และผู้ที่มีฐานะทางสังคมต่ำต้อย.
เซเวนธ์เดย์ แอ็ดเวนติสท์: เป็นนิกายใหญ่ที่สุดของคริสต์จักรแอดเวนติสท์ซึ่งมีจำนวนประมาณ 200 นิกาย. ชื่อนี้ตั้งตามความเชื่อในการเสด็จมาหรือแอ็ดเวนต์ ครั้งที่สองของพระคริสต์. คริสต์จักรแอ็ดเวนติสท์เกิดมาจากกลุ่มของวิลเลียม มิลเลอร์ ผู้เผยแพร่ที่เป็นฆราวาสในคริสต์จักรแบ็พติสท์ ในตอนต้น ๆ แห่งทศวรรษปี 1840. เซเวนธ์เดย์ แอ็ดเวนติสท์สอนว่าบัญญัติสิบประการยังมีผลบังคับใช้ พวกเขาจึงถือวันเสาร์เป็นวันซะบาโตตามตัวอักษร. สมาชิกนิกายนี้บางคนถือว่าข้อเขียนของเอลเลน โกลด์ ไวท์ ผู้นำที่มีอิทธิพลมากที่สุดคนหนึ่ง ซึ่งเธออ้างว่าได้รับแสงสว่างโดยชุดนิมิตจากพระเจ้านั้น เป็นข้อเขียนที่แทบจะเหมือนกับพระคัมภีร์ซึ่งได้รับการดลบันดาล.
[รูปภาพหน้า28]
แผ่นศิลาโรเซ็ทตาช่วยยืนยันความน่าเชื่อถือของคัมภีร์ไบเบิล
[ที่มาของภาพ]
Courtesy of the Trustees of the British Museum