ฉันมีชีวิตอยู่กับโรคลูปัสได้อย่างไร?
เหตุการณ์เป็นเช่นเคย. คุณหมอเดินเข้ามา ในห้องตรวจและนั่งลงตรงข้ามฉัน. ด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่น เขาถามฉันโดยมีปากกาในมือ: “เป็นอย่างไรบ้าง คุณโรบิน?” ขณะที่ฉันพยายามเล่าถึงรายละเอียดต่าง ๆ ของความทุกข์แสนสาหัสในระยะสี่สัปดาห์ที่ผ่านมา เขาพยักหน้าและจดอาการต่าง ๆ ของฉันลงไป อย่างรวดเร็ว. เหตุผลที่ฉันต้องมาหาหมอน่ะหรือ? ฉันเป็นหนึ่งในหลายพันคนที่ป่วยเป็นโรคภูมิคุ้มกันผิดปกติที่เรียกว่า โรคลูปัส. คุณคงอยากรู้ว่านี่เป็น โรคอะไร? ถ้าคุณอยากทราบ ฉันจะเล่าให้ฟัง.
ย้อนหลังไปในวัยเด็ก พูดได้ว่าฉันเป็นเด็กผู้หญิงที่มีสุขภาพปกติ. ฉันเกิดในปี 1958 เป็นลูกคนเดียวในครอบครัว เติบโตขึ้นในแถบตะวันตกเฉียงเหนือของสหรัฐ. ตั้งแต่เล็ก ๆ คุณแม่ได้ใส่ความคิดอย่างหนึ่งไว้ นั่นคือ ฉันควรจะรับใช้พระผู้สร้างพระยะโฮวาเจ้า อย่างสุดกำลังของฉันเสมอ.
หลังจากจบการศึกษาในปี 1975 ฉันเลือกงานที่ไม่ต้องทำเต็มเวลา เพื่อมีเวลามากขึ้นในการประกาศพระคำของพระเจ้า. ฉันมีความสุขกับแนวทางชีวิตของฉัน และไม่มีแผนการจะเปลี่ยน. แต่แล้วก็มีเหตุการณ์ที่ทำให้หลายสิ่งเปลี่ยนไปสำหรับฉัน.
การเปลี่ยนแปลงที่ทำให้แย่ลง
เมื่ออายุได้ 21 ปี สุขภาพของฉันเริ่มเลวลงตามลำดับ. ฉันเริ่มเจ็บป่วย ทีแรกก็เจ็บที่หนึ่ง ต่อมาก็เจ็บอีกที่หนึ่ง. บางอย่างแพทย์ก็ตรวจพบและจัดการผ่าตัดเสีย. อย่างอื่นกลายเป็นเรื่องปริศนา ซึ่งทำให้แพทย์หลายคนตั้งข้อสงสัยไม่เพียงแต่ว่ามีโรคจริงหรือไม่ แต่ในเรื่องสุขภาพทางจิตใจและอารมณ์ของฉันด้วย. ร่างกายฉันดูเหมือนติดเชื้อได้ง่ายขึ้น. ความอัดอั้นและความกังวลมีสูงมาก—ฉันเสาะหาแพทย์ที่สามารถจะวินิจฉัยได้แน่ชัดและแก้ปัญหาสุขภาพของฉัน.
ในช่วงหนึ่งที่ฉันมีสุขภาพดีพอใช้ ฉันได้พบกับแจ็ค และเราได้แต่งงานกันในปี 1983. ฉันเคยคิดว่าเมื่อความเครียดและความเหนื่อยล้าของการแต่งงานและการปรับตัวผ่านพ้นไปและชีวิตของฉันสงบกว่าเดิม สุขภาพคงจะค่อย ๆ ดีขึ้นเอง.
ฉันจำได้ว่าตื่นขึ้นมาเช้าวันหนึ่งในเดือนกุมภาพันธ์ กะว่าจะใช้เวลาวันนั้นไปทำธุระนอกบ้าน. แต่กล้ามเนื้อฉันรู้สึกแปลกเหลือเกิน ราวกับว่ามันไม่อยากร่วมมือกันทำงาน. ฉันรู้สึกสั่นอยู่ข้างใน และไม่ว่าจะหยิบฉวยอะไร ฉันจะทำมันหล่น. ฉันปลอบใจตัวเองว่า ‘คงจะเหนื่อยไปหน่อยเท่านั้น.’
ฉันรู้สึกว่ายิ่งเวลาในวันนั้นผ่านไปก็ยิ่งรู้สึกแปลกขึ้นทุกที. ความรู้สึกหนาวเหน็บ สลับกับอาการปวดอักเสบจะมีตามต้นคอ แขน และขา. ที่จริงแล้วอาการต่าง ๆ ทำให้ฉันรู้สึกแย่มากจนต้องไปนอนบนเตียงกระทั่งแจ็คกลับมาจากทำงาน. ตอนหัวค่ำฉันมีไข้ต่ำ ๆ และเหนื่อยมากอีกทั้งเวียนศีรษะจนเกือบคลานขึ้นเตียงไม่ไหว. เราไม่รู้จะลงความเห็นว่าเป็นอะไรนอกจากเป็นไข้หวัดใหญ่. ดูเหมือนมีเหตุผลดี เพราะตอนนั้นกำลังมีไข้หวัดใหญ่ระบาดในละแวกที่เราอยู่พอดี.
เมื่อตื่นนอนในวันรุ่งขึ้น ฉันรู้สึกดีขึ้นบ้าง อย่างน้อยชั่วครู่หนึ่ง. แต่ในไม่ช้าอาการปวดก็เริ่มขึ้นอีก โดยเฉพาะปวดลงไปที่ขาและข้อเท้า. ฉันไม่มีไข้แล้วแต่ยังคงรู้สึกเหนื่อยมาก ๆ. อาการที่เหมือนไข้หวัดใหญ่จะสลับกับอาการพิกล ๆ อื่น ๆ. ฉันจำได้ว่า ฉันคิดแล้วคิดอีกว่า ‘นี่จะเป็นแค่ไข้หวัดใหญ่ชนิดหนึ่งเท่านั้นหรือ?’ ขณะที่วันคืนผ่านไป บางเวลาฉันคิดว่ากำลังจะดีขึ้น แต่แล้วก็จะมีบางช่วงที่ป่วยมากจนแทบจะยกศีรษะขึ้นจากหมอนไม่ได้.
การแสวงหาความช่วยเหลือ
สองสัปดาห์ต่อมาเมื่อน้ำหนักได้ลดลงไปสี่กิโลกรัม ฉันตัดสินใจว่าถึงเวลาต้องไปหาหมอแล้ว. วันที่ฉันนัดพบกับแพทย์เป็นวันที่รู้สึกไม่สบายที่สุดเท่าที่เคยเป็นมาจนกระทั่งถึงเวลานั้น. อาการปวดรุนแรงมากจนฉันรู้สึกเหมือนกับว่ามีคนกำลังฉีกกล้ามเนื้อของฉันและในขณะเดียวกันจิ้มฉันด้วยมีดที่ร้อน. นอกจากนั้นยังมีอาการซึมเศร้าทับถมเข้ามาด้วย. ฉันได้แต่นั่งร้องไห้อยู่ที่ขอบเตียง.
การไปพบแพทย์ครั้งแรกไม่ได้ให้คำตอบอะไร. มีการตรวจเลือดหลายรายการเพื่อหาโรคติดเชื้อชนิดต่าง ๆ. มีอย่างเดียวเท่านั้นที่ให้ผลบวก แสดงว่ามีการอักเสบรุนแรงในร่างกาย. หลายสัปดาห์ต่อมาเมื่ออาการยังไม่ดีขึ้น ฉันได้ปรึกษาแพทย์อีกคนหนึ่งในคลินิกเดียวกัน. อีกครั้งหนึ่งมีการตรวจสอบหลายอย่าง และมีผลอย่างเดียวที่ออกมาผิดปกติ เหมือนเดิม. แพทย์ทั้งสองคนไม่มีข้อสรุปอะไรนอกจากคิดว่าอาการของฉันเป็นเพียงโรคไวรัสที่รุนแรง.
หลายสัปดาห์ผ่านไป แต่อาการก็ไม่ดีขึ้น. ในที่สุด สองเดือนหลังจากที่เริ่มป่วย ฉันไปพบแพทย์อีกคนหนึ่งที่คลินิก ซึ่งเป็นผู้ที่เคยรักษาอาการป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ ตั้งแต่ฉันยังเป็นเด็ก. ฉันมั่นใจว่าเขาจะต้องหาสาเหตุของความเจ็บไข้ที่ลึกลับนี้ได้.
แต่ฉันท้อแท้ใจ ที่แพทย์คนนี้ไม่ได้ให้การรักษาอย่างที่คาดไว้. แทนที่จะฟังอย่างจริงจังถึงความเจ็บป่วยอันแปลกประหลาดของฉัน เขากลับหาว่าเป็นโรคประสาท โดยบอกเป็นนัยว่าอาการแปลก ๆ ของฉันเป็นผลเนื่องจากแต่งงานใหม่. ฉันแทบไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยิน ขณะที่พยายามกลั้นน้ำตาของความเจ็บปวดและความโกรธ. อย่างไรก็ดี เขาตกลงที่จะทำการตรวจสิ่งที่ให้ “ผลบวก” นั้นซ้ำอีกครั้งหนึ่ง. ฉันจะขอบคุณเสมอสำหรับการตรวจเช่นนั้น!
เมื่อออกมาจากคลินิก ฉันร้องไห้อยู่สองชั่วโมง. ฉันรู้อย่างแน่นอนว่าต้องมีอะไรบางอย่างผิดปกติทางร่างกาย แต่ดูเหมือนไม่มีใครอยากฟังอย่างจริงจัง. บ่ายวันต่อมา ฉันได้รับโทรศัพท์จากสำนักงานแพทย์แจ้งว่าผลการตรวจเลือดผิดปกติเช่นเดิม. ฉันถูกส่งตัวไปเพื่อปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญการรักษาข้ออักเสบ. ฉันรู้สึกโล่งใจว่าในที่สุดมีบางคนที่คิดว่าฉันมีความเจ็บป่วยจริง แต่เหตุใดจึงไปหาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญการรักษาข้ออักเสบ? ข้ออักเสบจะทำให้ฉันรู้สึกอย่างนี้ได้หรือ?
การวินิจฉัยที่ไม่น่ายินดี
สองสัปดาห์ต่อมาฉันพร้อมกับแจ็คไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่สำนักงาน. หลังจากผ่านขั้นตอนปกติแล้ว ฉันก็เริ่มเล่าเรื่องของฉัน. ฉันรู้สึกทึ่งทีเดียวที่เขาสรุปได้ทันทีว่าฉันเป็นอะไร แต่ไม่ได้เป็นตามที่เราคาดคิดไว้เลย. เรารู้สึกงงไปหมดเมื่อคุณหมอบอกว่าฉันเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับเนื้อเยื่อ หรือเรียกแบบใหม่ว่าโรคภูมิคุ้มกันของตนเองผิดปกติ และเขาสงสัยว่าจะเป็น systemic lupus erythematosus (เรียกสั้น ๆ ว่าโรคลูปัส). ฉันจะต้องเป็นโรคนี้ไปตลอดชีวิตเชียวหรือ? ความคิดที่ว่าจะต้องเจ็บป่วยตลอดเวลาทำให้ฉันกลัว.
คุณหมออธิบายต่อว่า แม้แพทย์จะสามารถวินิจฉัยโรคในกลุ่มนี้ได้เร็วขึ้นกว่าเดิม แต่ก็ยังทราบเพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับสาเหตุ และจึงไม่มีทางรักษาโรคนี้ให้หายขาดได้. เราได้รับการบอกด้วยว่า เนื่องจากการผิดปกติบางอย่างของระบบภูมิคุ้มกัน ร่างกายไม่สามารถแยกได้ว่าอะไรเป็นสิ่งแปลกปลอมและอะไรเป็นของร่างกายเอง. ดังนั้นระบบภูมิคุ้มกันจะสร้างแอนติบอดีตลอดเวลาเพื่อต่อสู้เนื้อเยื่อของร่างกาย. เป็นเหมือนกับว่าร่างกายต่อต้านตัวเอง. แอนติบอดีเหล่านี้จะโจมตีและทำลายเนื้อเยื่อรวมทั้งอวัยวะสำคัญต่าง ๆ ด้วย. นอกจากเวลาที่โรคนี้อยู่ในภาวะสงบอย่างสิ้นเชิง พวกแอนติบอดีเหล่านี้จะทำให้เกิดอาการปวดและความไม่สบายทั่วทั้งระบบเกือบตลอดเวลา.
เนื่องด้วยธรรมชาติของโรคนี้ อาการจะมีได้หลายอย่างและมักจะต่างกันไปในแต่ละบุคคล. อาการที่ฉันเป็นคือ ปวดกล้ามเนื้อและข้อ ผิวหนังอักเสบ หัวใจเต้นเร็วหรือแรง หายใจไม่ออก เจ็บเยื่อหุ้มปอด คลื่นไส้ ปวดแน่นกระเพาะปัสสาวะ วิงเวียน เดินโคลงเคลง และปวดศีรษะอย่างรุนแรง และมีผลต่อระบบประสาทส่วนกลางที่ละเอียดอ่อนซึ่งทำให้การมีสมาธิลดลง อารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย และความซึมเศร้า. มีหลายวันทีเดียวที่ฉันรู้สึกว่าร่างกายตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ปวดระบมไปหมดเนื่องจากการอักเสบที่มีภายใน.
โรคนี้ยังทำให้เกิดอาการเหนื่อยล้าอย่างรุนแรงด้วย. บางครั้งเป็นมากจนไม่อาจลุกจากเตียงเมื่อตื่นขึ้นตอนเช้า. บางครั้งจะมีอาการนี้ในตอนที่ฉันไม่คาดคิดเลย. ฉันจะรู้สึกว่าพลังทุกส่วนได้เหือดหายไปจากร่างกายและแม้แต่สิ่งที่จะใช้แรงเพียงเล็กน้อยที่สุด เช่นการบิดฝาหลอดยาสีฟัน กลายเป็นเรื่องที่ฉันทำไม่ได้. การถูกรังสีอัลตราไวโอเลตจากแสงแดดจะทำให้อาการยิ่งแย่ลงและอ่อนเพลียมากยิ่งขึ้น.
การปรับตัวใหม่
ฉันไม่อาจเข้าร่วมประชุมประจำประชาคมของพยานพระยะโฮวาเลยเป็นเวลาถึงสองเดือน ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำประการแรกคือพยายามรวบรวมกำลังให้มากพอที่จะประชุมกับพี่น้องชายหญิงฝ่ายวิญญาณได้อีกครั้งหนึ่ง. ถึงแม้จะต้องใช้ความพยายามและวินัยค่อนข้างมาก ฉันได้บังคับตัวเองให้ออกกำลังกาย. ในที่สุด ด้วยความช่วยเหลือของแจ็ค ฉันก็สามารถเข้าร่วมการประชุมได้เป็นบางครั้ง. เมื่อเวลาผ่านไปก็ทนได้มากขึ้นจนสามารถทำงานบ้านได้เป็นบางส่วน รวมทั้งเข้าส่วนในการประกาศข่าวราชอาณาจักรได้อีกครั้งหนึ่ง. ฉันรู้สึกตื่นเต้นที่สุขภาพดีขึ้นและพยายามทำมากขึ้นอีก. แต่น่าเสียดายนั่นเป็นข้อผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงทีเดียว เพราะฉันได้รู้อย่างเจ็บปวดว่า ถ้าพยายามทำเกินกำลัง โรคจะลุกลามขึ้นทันที.
ดูเหมือนว่าความเครียดจะเป็นศัตรูตัวร้ายที่สุด ดังนั้นการหลีกเลี่ยงความเครียดจึงจำเป็นอย่างยิ่ง. ฉันต้องบอกว่าการรู้จักประมาณกำลังตนเองเป็นเรื่องยากลำบากที่สุดอย่างหนึ่งที่ต้องปรับตัว. เนื่องจากฉันเป็นคนไม่ชอบอยู่เฉย ฉันจึงต้องจัดลำดับความสำคัญของสิ่งที่จะทำ และต้องจำไว้เสมอว่าถ้าทำเกินขีดจำกัดของฉัน นั่นจะหมายถึงการหมดเรี่ยวแรง หงุดหงิด ซึมเศร้า และร้องไห้. ฉันพยายามจัดวันสำหรับงานเฉพาะอย่าง แต่ก็ไม่อาจทำตามกำหนดได้เพราะฉันจะสามวันดีสี่วันไข้. แม้ในวันที่ฉันรู้สึกสบายดี ฉันก็ต้องพักระหว่างการทำงานใหญ่ ๆ. เดี๋ยวนี้ฉันต้องทิ้งงานบ้านบางอย่างให้แจ็คช่วยทำ. นี่เป็นอีกส่วนหนึ่งของการปรับตัวสำหรับเราทั้งสองคน.
คนอื่นจะช่วยอะไรได้บ้าง
เพื่อนแท้ช่วยปลอบประโลมใจได้ในยามเจ็บป่วย. ความรู้สึกที่ว่าพวกเขาเข้าใจสภาพของเราจะช่วยลดความกดดันได้มาก. แต่หลายคน ด้วยความเป็นคนที่ยังมีข้อบกพร่องเหมือนเรา อาจมองไม่ออกว่าคนที่เจ็บป่วยต้องการจะได้ยินได้ฟังถ้อยคำอะไรบ้าง. คำพูดบางอย่างที่ผู้พูดดูเหมือนเป็นคำชมหรือคำหนุนใจ อาจเป็นสิ่งตรงกันข้ามสำหรับผู้ที่เจ็บป่วย. เมื่อผู้คนมาพบฉันและไถ่ถามอาการ พวกเขามักจะพูดอย่างนี้ “เอ คุณดูหน้าตาสดใสดีนี่!” คำพูดอย่างนี้มักจะทำให้รู้สึกว่าพวกเขาสงสัยในความเป็นจริงของความเจ็บป่วยของฉัน หรือไม่ก็คิดว่าเมื่อภายนอกฉันดูสดใสดี ภายในก็ควรจะรู้สึกดีด้วย. แต่สำหรับโรคลูปัส สิ่งที่เห็นภายนอกอาจหลอกตาได้ง่าย ๆ. ผู้ที่ป่วยด้วยโรคนี้บ่อยครั้งจะดูสบายดี โดยเฉพาะในกรณีของผู้ป่วยที่เป็นหญิงถ้ามีการแต่งผมและแต่งหน้า.
ฉันจำได้ว่ามีใครคนหนึ่งเข้ามาพูดกับฉันในตอนเย็นหลังจากเลิกประชุมประจำประชาคมและพูดว่า “ดีใจจังเลยที่พบเธอ. ฉันรู้ว่าเธอต้องลำบากในการมาร่วมประชุม แต่พวกเรายินดีที่ได้พบเธอในคืนวันนี้.” คำพูดเช่นนี้ทำให้รู้สึกว่าผู้คนรู้พอสมควรถึงสภาพที่ฉันเผชิญอยู่.
นอกจากนั้นคนที่กำลังต่อสู้กับโรคนี้อยู่ เป็นการง่ายที่จะรู้สึกว่าตนถูกทอดทิ้งทางด้านสังคมเพราะการที่เดี๋ยวเป็นเดี๋ยวหาย. อาการใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิดและฉับพลัน หมายความว่าแผนการส่วนใหญ่ที่ทำขึ้นมายังเอาแน่ไม่ได้. โรคนี้เปลี่ยนแปลงเร็วมากจนบางครั้งแผนการซึ่งกำหนดขึ้นล่วงหน้าเพียงสองชั่วโมงเท่านั้น ต้องยกเลิกในนาทีสุดท้าย. ด้วยเหตุนี้ ชีวิตส่วนใหญ่ของฉันจึงประกอบด้วยความไม่แน่นอนและความกังวล.
วิธีที่ฉันรับมือ
คุณอาจสงสัยว่าฉันรับมือได้อย่างไรกับโรคที่ทำลายอารมณ์ รวมทั้งทำให้ชีวิตต้องมีข้อจำกัดหลายอย่าง. ฉันคงไม่ต้องบอกว่าเป็นการทดลองอย่างมาก ไม่เฉพาะสำหรับฉันเท่านั้นแต่สำหรับแจ็คด้วย. การที่ไม่สามารถทำกิจกรรมหลายอย่างที่คนอื่นถือว่าเป็นเรื่องปกติ ทำให้ฉันเรียนรู้ที่จะพอใจกับความสุขอย่างง่าย ๆ เช่น การทำอาหารพิเศษให้แจ็ค การใช้เวลาอยู่กับครอบครัว หรือเพียงแค่การนั่งลูบไล้แมวตัวน้อยของฉัน.
เนื่องจากฉันมีปฏิกิริยาไวต่อแสงแดด ฉันจึงต้องป้องกันตัวไว้เวลาออกเผยแพร่ศาสนา. ผู้คนจะสังเกตเห็นฉันได้ง่าย คือคนที่ถือร่มสีสดใส. ฉันจะเลี่ยงการออกนอกบ้านในวันที่ร้อนจัดจริง ๆ เพราะความร้อนจะทำให้ฉันอ่อนเพลียมาก. นอกจากนั้น เนื่องจากฉันมีเรี่ยวแรงจำกัดที่จะใช้ในการประกาศตามบ้าน ฉันจึงพยายามหาหนทางอื่นที่จะพูดคุยกับผู้คนเกี่ยวกับความหวังในอนาคตที่มีอยู่ในคัมภีร์ไบเบิล.
โดยพยายามที่จะให้ความสนใจต่อสิ่งที่เสริมสร้างในชีวิต แทนที่จะใส่ใจกับเรื่องที่ทำให้ท้อถอย ฉันจึงขจัดอาการของความ “สงสารตัวเอง” ได้. สิ่งที่ฉันต้องต่อสู้มากที่สุดคือการเรียนรู้ที่จะไม่พยายามทำเกินกำลัง แล้วมานั่งตำหนิตัวเองเมื่อทำไม่ได้. แต่ถึงแม้มีทัศนะที่ดี บางครั้งก็ยังมีความซึมเศร้า การท้อแท้ใจและการหลั่งน้ำตา. เมื่อฉันเจอกับวันที่แย่มาก ๆ และดูเหมือนเมฆหมอกแห่งความเศร้าจะครอบคลุมตัวฉัน ฉันพยายามนึกไว้ว่ามันจะผ่านพ้นไป และด้วยการไว้วางใจในพระเจ้ามากขึ้น ฉันจึงผ่านมาได้.
ฉันรู้สึกหยั่งรู้ค่าอย่างแท้จริงในคุณลักษณะแห่งความเมตตาสงสารของพระยะโฮวาเจ้า จำได้เสมอถึงคำกล่าวในพระธรรมโยบ 34:28 ที่ว่า ‘และพระองค์ทรงฟังเสียงร้องของคนทุกข์ใจ.’ ถูกแล้ว มนุษยชาติกำลังป่วย ป่วยในหลายด้านทีเดียว. เราต้องการความช่วยเหลือที่แม้แต่แพทย์ที่ชำนาญที่สุดก็ไม่อาจให้ได้. ฉันเชื่อว่าในไม่ช้า พระยะโฮวาจะทรงกระทำสมจริงตามข้อคัมภีร์แรกที่ฉันรู้จักตั้งแต่เป็นเด็ก. เมื่อนั้นจะพูดถึงทุกคนได้ว่า “จะไม่มีใครที่อาศัยอยู่ที่นั่นพูดว่า ‘ข้าพเจ้าป่วยอยู่.’” (ยะซายา 33:24) นั่นไม่ใช่เรื่องที่วิเศษสุดหรือ? สำหรับฉันวิเศษจริง ๆ!—เล่าโดย โรบิน คานสตูล.
[กรอบหน้า 16]
ลูปัสคืออะไร?
เป็นอาการอักเสบที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก ซึ่งปัจจุบันไม่อาจรักษาให้หายได้. เป็นความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันซึ่งทำให้แอนติบอดีโจมตีอวัยวะสำคัญของร่างกาย. กระนั้นลูปัสไม่ใช่โรคติดต่อหรือมะเร็ง. โรคนี้อันตรายเพียงไร? มีตั้งแต่ไม่ร้ายแรงจนถึงอันตรายต่อชีวิต. ชื่อของโรคมาจากคำ “สุนัขป่า” ในภาษาลาติน เพราะคนไข้หลายคนเป็นผื่นบนใบหน้าในลักษณะลาย ๆ แบบหน้าสุนัขป่า. สาเหตุของโรคยังไม่เป็นที่รู้จัก.
[รูปภาพหน้า 18]
แจ็คและโรบินในปัจจุบัน