หนุ่มสาวถามว่า . . .
การตั้งครรภ์ในวัยรุ่น—เด็กสาวควรทำอย่างไร?
การตั้งครรภ์และการทำแท้งของวัยรุ่นเป็นปัญหาระดับโลก. ถึงแม้ว่าผู้อ่านของเราส่วนใหญ่เป็นคริสเตียนวัยหนุ่มสาวซึ่งใช้ความสุขุมรอบคอบที่จะหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ก่อนการสมรส แต่ก็มีอีกหลายล้านคนซึ่งภูมิหลังต่างกันอ่านวารสารตื่นเถิดด้วย. ฉะนั้นบทความต่อไปนี้จึงจัดไว้เพื่อช่วยหนุ่มสาวคนใดก็ตามซึ่งกำลังเผชิญหน้ากับการเป็นบิดาหรือมารดาที่ไม่ได้สมรส ในขณะเดียวกัน เน้นถึงผลอันร้ายกาจซึ่งสืบเนื่องจากการมีเพศสัมพันธ์ก่อนสมรส.
แอนบอกว่า “ดิฉันอายุ 15 ปีและกำลังตั้งครรภ์. ดิฉันไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรดี—จะทำแท้ง ยกให้เป็นลูกบุญธรรมคนอื่น หรืออะไรดี?” แอนเป็นเพียงหนึ่งในเด็กสาวมากกว่าหนึ่งล้านคนของสหรัฐซึ่งตั้งครรภ์ในปีนั้น!
ขณะที่มีกรณีน่าสลดใจไม่กี่กรณีที่เด็กสาวตั้งครรภ์เนื่องจากการข่มขืน การตั้งครรภ์ของวัยรุ่นมักจะเกิดขึ้นจากการสมัครใจที่จะมีเพศสัมพันธ์ก่อนการสมรส.a อย่างไรก็ตาม การตั้งครรภ์ทำให้เด็กสาวที่ยังไม่ได้สมรสต้องเผชิญหน้ากับทางเลือกที่ปวดร้าวหลายอย่าง เช่น เธอควรแต่งงานไหม? เธอควรยกให้เป็นลูกบุญธรรมคนอื่นไหม? การทำแท้งเป็นทางแก้ไหม? จริง ๆ แล้ว ต้องมีสองคนจึงมีทารกได้ และด้วยเหตุผลทุกอย่างพ่อของเด็กควรแบกความรับผิดชอบของตน. (ดูในกรอบสี่เหลี่ยม.) แต่บ่อยครั้ง เด็กสาว (อาจโดยความช่วยเหลือของบิดามารดาเธอ) ถูกทิ้งไว้กับการเลือกที่ทำได้ยากเหล่านั้น. และสิ่งที่เธอเลือกจะมีผลกระทบยาวนานต่อสวัสดิภาพทางกาย อารมณ์ และจิตใจของเธอเองและของทารกในครรภ์.
‘เราควรแต่งงานกันไหม?’
หลายคนอาจรู้สึกว่าการแต่งงานกับพ่อของเด็กเป็นวิธีแก้ที่ดีที่สุด. อย่างน้อย คงจะทำให้เด็กสาวและครอบครัวของเธอไม่ต้องรู้สึกอึดอัดใจต่อธารกำนัล และให้โอกาสแก่ทารกได้รับการเลี้ยงดูจากทั้งพ่อและแม่. แต่การสมรสไม่ได้แก้ปัญหาสารพัดอย่าง. อนึ่ง เพียงแต่การกลับใจในองค์พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้นจะสามารถแก้ความผิดในสายพระเนตรของพระเจ้าได้.b (ยะซายา 1:16, 18) ยิ่งกว่านั้น การรีบเข้าสู่การสมรสอาจทำให้ปัญหาของเด็กสาวทวีคูณ. เนื่องจากหนุ่มสาวเหล่านั้นยังอยู่ใน “ความเปล่งปลั่งแห่งวัยหนุ่ม” เขาอาจไม่เป็นผู้ใหญ่ทางอารมณ์เพียงพอเพื่อรับมือกับชีวิตสมรสได้. (1 โกรินโธ 7:36, ล.ม.) อาจเป็นได้ว่าเด็กหนุ่มคนนั้นไม่ใช่คริสเตียนแท้และด้วยเหตุนี้จึงไม่เหมาะที่จะเป็นคู่สมรส.—1 โกรินโธ 7:39.
ดร. อาเธอร์ เอลส์เทอร์ ให้ข้อสังเกตต่อไปว่า “การเป็นบิดาก่อนเวลาอันควร บ่อยครั้งเป็นเหตุให้พวกเขาออกจากโรงเรียนและทำให้เสียเปรียบด้านงานอาชีพ.” ปัญหายุ่งยากทางเศรษฐกิจที่ตามมาสามารถทำลายการสมรสได้. ที่จริง การสำรวจบางรายอ้างว่าอัตราหย่าร้างท่ามกลางการสมรสที่มีขึ้นหลังตั้งครรภ์ มีตั้งแต่ 50 เปอร์เซ็นต์ ถึง 75 เปอร์เซ็นต์!
การสมรสเป็นก้าวที่สำคัญและไม่ควรรีบร้อนกระทำ. (เฮ็บราย 13:4) หลังจากพิจารณาเรื่องแล้วทุกคนที่เกี่ยวข้องอาจเห็นพ้องกันว่าที่จะสมรสไม่ใช่เป็นการฉลาด แต่เป็นการดีกว่าสำหรับเด็กสาวคนนั้นที่จะเลี้ยงลูกที่บ้านพร้อมด้วยความช่วยเหลือของครอบครัวเธอ แทนการสมรสที่มีปัญหา.
การทำแท้ง—ทัศนะของคัมภีร์ไบเบิล
เด็กสาวผู้หนึ่งบอกว่า ‘ฉันต้องการทำอะไรหลายอย่างในชีวิต และการมีลูกจะไม่เข้าท่า.’ ฉะนั้น การทำแท้งเป็นสิ่งที่เด็กสาวครึ่งล้านเลือกทำแต่ละปีเฉพาะในสหรัฐอเมริกา. แต่เป็นการถูกต้องหรือแม้แต่ยุติธรรมไหมที่จะทำลายชีวิตของทารกเพียงเพราะ ‘ไม่เข้าท่า’ ในแผนการส่วนตัว?
จงสังเกตสิ่งที่คัมภีร์ไบเบิลกล่าวเกี่ยวกับชีวิตของทารกในครรภ์ที่เอ็กโซโด 21:22, 23 ว่า: “และในกรณีที่ผู้ชายตีกันและโดนหญิงที่มีครรภ์จนลูกของเธอออกมา แต่ไม่เกิดเหตุถึงตาย เขาจะต้องจ่ายค่าเสียหาย . . . แต่ถ้าเกิดเหตุถึงตาย [แก่มารดาหรือ ทารกในครรภ์] เจ้าจะต้องให้จิตวิญญาณแทนจิตวิญญาณ.” ใช่แล้ว การฆ่าทารกในครรภ์ ถือว่าเป็นการฆาตกรรม!
เป็นความจริงที่แพทย์บางคนอ้างว่าทารกในครรภ์เป็นเพียงเนื้อเยื่อ—ไม่ใช่บุคคล. แต่พระเจ้าตรัสต่างออกไป. พระองค์ทรงพิจารณาแม้แต่ตัวอ่อนในครรภ์ว่าเป็นบุคคลหนึ่งเฉพาะ เป็นมนุษย์มีชีวิตอยู่! (บทเพลงสรรเสริญ 139:16) ใคร ๆ จะทำแท้งชีวิตที่อยู่ในครรภ์และยังจะมีฐานะเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าผู้ซึ่ง “ได้ทรงโปรดประทานชีวิต . . . แก่คนทั้งปวง” ได้หรือ?—กิจการ 17:25.
หนังสือโกรว์อิง อินทู เลิฟ เสนอข้อแย้งต่อต้านการทำแท้งอีกอย่างหนึ่งว่า “แม้ว่าปัญหาการตั้งครรภ์แก้ได้ง่ายขึ้นโดยมีการทำแท้งก็ตาม การทำเช่นนั้น บ่อยครั้งก่อความยุ่งยากลำบากใจมาก . . . วัยรุ่น . . . อาจคิดว่าลูกในท้องเป็นแค่ตัวอ่อน . . . แต่ไม่มีคำอธิบายใด ๆ ทางกฎหมายจะทำให้เธอลืมสิ่งที่อยู่ในส่วนลึกแห่งจิตใจของเธอว่า ลูกอ่อนซึ่งปฏิสนธิมีศักยภาพที่จะมีชีวิต.”
เด็กสาวคนหนึ่งชื่อลินดา พบว่าเรื่องนี้เป็นความจริง. โดยกลัวว่าการให้กำเนิดลูกของเธอจะทำให้ครอบครัวได้รับความอับอายขายหน้า เธอจึงทำแท้ง. กระนั้น หลังจากทำแท้ง เธอจำได้ว่า “ตัวฉันเริ่มสั่นมากถึงกับควบคุมไม่ได้. แล้วฉันเริ่มร้องไห้ และทันใดนั้นฉันสำนึกได้ว่าได้ทำอะไรลงไป. ฉันได้ทำลายชีวิตของลูกในครรภ์ มนุษย์อีกคนหนึ่ง!” ตอนนี้ลินดาคิดอย่างไรเกี่ยวกับการทำแท้ง? “เป็นความผิดพลาดที่ร้ายแรงที่สุดในชีวิตของฉัน.”
‘ฉันไม่อาจให้สิ่งดีที่สุดแก่เขาได้’
มารดาที่ไม่ได้สมรสบางรายยกลูกของตนให้เป็นลูกบุญธรรมคนอื่น. บ่อยครั้งเขารู้สึกเช่นเดียวกับเฮเทอร์ เด็กสาวที่อ้างไว้ในนิตยสารเซเวนทีน ผู้ซึ่งบอกว่า “บางครั้ง ฉันมีปัญหาเพียงพออยู่แล้วในการรับมือกับตัวเองอย่าไปพูดถึงทารกน้อย ๆ เลย. ฉันชอบเด็กมาก ๆ ฉันรักเขา แต่ฉันรู้ว่าไม่อาจให้สิ่งดีที่สุดแก่เขาได้.”
เป็นความจริงว่าการยกลูกให้คนอื่นเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรมดีกว่าการทำลายชีวิตด้วยการทำแท้ง. และเป็นที่ยอมรับว่าความคิดที่จะเลี้ยงลูกโดยตนเองดูเหมือนเป็นภาระหนักเกินไปสำหรับเด็กสาวที่ขาดประสบการณ์. ดังมารดาผู้หนึ่งซึ่งไม่ได้สมรสบอกกับตื่นเถิดว่า “คุณแบกความรับผิดชอบอันมหึมาอย่างเดียวดายและแสนเข็ญและเรียกร้องการเสียสละอย่างมาก.” แต่จงจำไว้ว่า พระเจ้าทรงถือว่าบิดามารดามีความรับผิดชอบ ‘ที่จะเลี้ยงลูกของตน.’ (1 ติโมเธียว 5:8) ในสภาพการณ์ส่วนใหญ่ คงดีกว่าถ้าเด็กสาวคนนั้นจะเลี้ยงลูกด้วยตนเอง.
ดังนั้น แอนที่กล่าวถึงตอนต้น ตัดสินใจอย่างฉลาด—แม้ไม่ใช่สิ่งง่ายที่สุด. เธอกล่าวว่า “ฉันตัดสินใจที่จะรักษาลูกไว้. คุณพ่อคุณแม่ช่วยฉันและยังช่วยอยู่ขณะนี้.” จริงอยู่ การเป็นมารดาที่ไม่ได้สมรสเป็นเรื่องยาก. แต่ไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ และมารดาวัยรุ่นหลายคนกลายเป็นผู้ชำนาญ. จะเป็นเช่นนั้นโดยเฉพาะเมื่อมารดาที่ไม่ได้สมรสอธิษฐานขอความช่วยเหลือที่จะเลี้ยงลูกด้วย “การปรับความคิดจิตใจ ตามหลักการของพระยะโฮวา.”c (เอเฟโซ 6:4, ล.ม.) บิดามารดาที่รับเลี้ยงเด็กเป็นบุตรบุญธรรมอาจจัดหาสิ่งฝ่ายวัตถุให้เด็กได้ดีกว่า. แต่เขาจะให้การนำทางฝ่ายวิญญาณที่เด็กจำเป็นต้องได้รับเพื่อจะเติบโตเป็นผู้ที่มีความรักต่อพระยะโฮวาพระเจ้าเที่ยงแท้ไหม?—พระบัญญัติ 6:4-8.
จำไว้ด้วยว่า ขณะที่มารดาซึ่งไม่ได้สมรสอาจไม่สามารถให้สิ่งที่ดีที่สุดทางวัตถุแก่ลูกของตน แต่เธอสามารถให้สิ่งที่สำคัญกว่านั้นมาก ได้แก่ ความรัก. “มีผักเป็นอาหาร ณ ที่ ๆ ซึ่งแวดล้อมไปด้วยความรักยังดีกว่ามีวัวตอนทั้งตัวเป็นอาหาร แต่แวดล้อมไปด้วยความเกลียดชัง.”—สุภาษิต 15:17.
แน่นอน ความทุกข์ยากโดยไม่จำเป็นหลายอย่างสามารถป้องกันได้ ถ้าไม่ทำบาปโดยการลักลอบได้เสียกัน.d แต่ถ้าหากเด็กสาวคนใดได้ทำผิดพลาดในเรื่องนี้ เธอไม่ควรสรุปว่าชีวิตของเธอหมดสิ้นแล้ว. โดยการกระทำที่ฉลาด เธอสามารถหลีกเลี่ยงการเพิ่มความผิดพลาดยิ่งขึ้นอีกและทำอย่างดีที่สุดในสถานการณ์ของเธอ. จริงทีเดียว เธอสามารถแม้กระทั่งรับความช่วยเหลือจากพระเจ้าเอง ผู้ซึ่ง “ทรงให้อภัย” แก่ผู้หันกลับจากแนวทางผิด.—ยะซายา 55:7.
[เชิงอรรถ]
a ไม่มีการยินยอมต่อการผิดประเวณีท่ามกลางพยานพระยะโฮวา เช่นเดียวกับที่ไม่มีการยินยอมท่ามกลางคริสเตียนในศตวรรษแรก. (1 โกรินโธ 5:11-13) อย่างไรก็ดี ผู้กระทำผิดสามารถรับความช่วยเหลือจากผู้ปกครองที่มีความรักใคร่ในประชาคม. (ยาโกโบ 5:14, 15) โดยการกลับใจจากแนวทางประพฤติผิด คนเช่นนั้นสามารถได้รับการอภัยโทษทั้งจากพระเจ้าและประชาคมคริสเตียน.
b ภายใต้กฎหมายของโมเซ พระเจ้าเรียกร้องให้ผู้ชายที่ได้ล่อลวงสาวพรหมจารีต้องแต่งงานกับเธอ. (เอ็กโซโด 22:16, 17; พระบัญญัติ 22:28, 29) แต่กฎหมายนั้นเหมาะกับความจำเป็นแห่งประชาชนของพระเจ้าภายใต้สภาพการณ์ในยุคนั้น. และแม้แต่ในตอนนั้น การสมรสก็ไม่ได้เป็นไปโดยอัตโนมัติเพราะบิดาสามารถขัดขวางได้.—ดูวารสารที่ออกคู่กับเล่มนี้คือหอสังเกตการณ์ ฉบับวันที่ 15 พฤศจิกายน 1989 หัวเรื่อง “คำถามจากผู้อ่าน.”
c พยานพระยะโฮวาได้ช่วยหลายครอบครัวในการจัดการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลขึ้นเป็นประจำ. ติดต่อกับพวกเขาได้โดยเขียนถึงผู้พิมพ์วารสารนี้.
d ดูบท 24 ในหนังสือปัญหาที่หนุ่มสาวถาม—คำตอบที่ใช้ได้ผล (ภาษาอังกฤษ) พิมพ์โดยสมาคมว็อชเทาเวอร์ไบเบิลแอนแทร็คอ็อฟนิวยอร์ก.
[กรอบหน้า 23]
การตั้งครรภ์ในวัยรุ่นผลลัพธ์ที่เกิดกับเด็กหนุ่ม
ด้วยความกลัว—หรือการไม่เอาใจใส่อย่างเห็นแก่ตัว—เด็กหนุ่มบางคนผู้ซึ่งให้ชีวิตแก่ทารกที่เกิดนอกสายสมรสพยายามจะหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบของเขาทั้งสิ้น. เด็กหนุ่มคนหนึ่งซึ่งเพื่อนหญิงของเขาตั้งครรภ์พูดอย่างนี้ “ผมเพียงแต่บอกเธอว่า ‘แล้วเจอกัน’”
ยังดีที่เด็กหนุ่มส่วนใหญ่ดูเหมือนต้องการจะเข้าไปพัวพันบ้างกับลูกของเขา. เมื่อเห็นว่าการสมรสไม่เป็นที่พึงปรารถนา (ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นบ่อยครั้ง) ส่วนใหญ่ก็เสนอความช่วยเหลือทางการเงิน. บางคนถึงกับเสนอตัวที่จะมีส่วนดูแลทารกแต่ละวัน. แต่ความพยายามเช่นนั้นบ่อยครั้งไปไม่รอด ประสบความล้มเหลวเนื่องจากความสามารถในการหารายได้มีจำกัดและการขาดความอดทน และความชำนาญที่จำเป็นเพื่อสนองความต้องการของทารกน้อย.
บางครั้งบิดามารดาของเด็กสาวต่อต้านอย่างขมขื่น ที่จะอนุญาตให้เด็กหนุ่มมาเกี่ยวข้องกับลูกสาวต่อไปโดยกลัวว่าจะยังผลให้มีการประพฤติผิดทางเพศอีก—หรือการแต่งงานก่อนเวลาอันควร. พวกเขาอาจไม่ให้เด็กหนุ่มเข้ามามีส่วนในการตัดสินใด ๆ เกี่ยวกับทารก บางที่บังคับให้เขายืนมองอย่างทำอะไรไม่ได้ ขณะที่ลูกถูกทำแท้ง หรือยกให้เป็นลูกบุญธรรมคนอื่น และหมดโอกาสที่จะมีส่วนในชีวิตของเด็กที่เขาให้กำเนิด. อีกด้านหนึ่ง เด็กหนุ่มอาจได้รับการยอมให้ติดต่อกับลูกของเขา—เพียงเพื่อจะได้รับความปวดร้าวแสนสาหัสเมื่อเด็กสาวแต่งงานและชายคนใหม่นั้นรับบทบาทของบิดา.
ดังนั้น ไม่มีข้อสงสัยที่บิดาซึ่งไม่ได้สมรสจะเก็บเกี่ยวผลเสียของการประพฤติที่ขาดความรับผิดชอบเช่นกัน. บิดาที่ไม่ได้สมรสรายหนึ่งวัย 16 ปี กล่าวว่า “มีความรู้สึกหลายอย่างที่คุณไม่สามารถรับมือได้. เป็นเหมือนกับคุณอธิษฐานขอที่จะกลับไปอยู่ในฐานะเดิม แต่ไม่มีหนทางที่คุณจะกลับไปได้.”—นิตยสาร “ทีน” ฉบับพฤศจิกายน 1984.