“ภารกิจของเราคือการฆ่าตัวตาย”
วันนั้น วันที่ 15 สิงหาคม 1945 ท้องฟ้าเริ่มสว่างเมื่อเราอยู่ไกลออกไปในตอนใต้มหาสมุทรแปซิฟิก. ผมอยู่ในการปฏิบัติภารกิจฐานะสมาชิกของไคเต็น กองปฏิบัติการโจมตีพิเศษ (ฆ่าตัวตาย) บนเรือดำน้ำA-367. เมื่อคำประกาศขององค์จักรพรรดิเรื่องการยอมแพ้ได้ออกมาทางวิทยุ ทุกคนก็ได้แต่ยืนประจำจุดรักษาการของตนด้วยความงุนงง. สงครามแห่งแปซิฟิกยุติแล้ว.
ภายในสิบวัน เราก็กลับถึงญี่ปุ่น. คนเหล่านั้นในพวกเราซึ่งเป็นทหารเรืออาชีพไม่อาจเข้าใจได้ว่าทำไมทหารเรือคนอื่น ๆ จึงดูเหมือนดีใจกันนักที่ถูกปลดประจำการและทั้ง ๆ ที่แพ้สงคราม! ช่างน่าขัดเคืองใจเพียงไรที่เห็นผู้คนปีติยินดีต่อการยุติลงของสงคราม ในเมื่อมีคนหนุ่มมากมายที่ได้ตายไปเพื่อประเทศของเขา!
ในปฏิบัติการฆ่าตัวตาย
เมื่อหวนคิดผมนึกถึงช่วงเวลาสักแปดเดือนก่อนหน้า หลังจากที่ได้สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนต่อต้านเรือดำน้ำและโรงเรียนเรือดำน้ำ. นั่นเป็นวันที่ 25 ธันวาคม 1944 และผมเพิ่งได้รับคำสั่งให้ไปปฏิบัติหน้าที่ในเรือดำน้ำ A-367. ตอนที่เราลงเรือที่โยโกสุกะในวันขึ้นปีใหม่ 1945 คำสั่งที่เราได้รับคือให้ร่วมในปฏิบัติการโจมตีพิเศษ. คำว่า “การโจมตีพิเศษ” หมายถึงการโจมตีแบบฆ่าตัวตาย เหมือนกับหน่วยคามิคาเซในปฏิบัติการทางอากาศ. หน่วยของเรามีชื่อว่าชิมบุแห่งกองปฏิบัติการโจมตีพิเศษไคเต็น.
เพื่อเตรียมตัวสำหรับภารกิจ เราแล่นเรือไปที่คึเระ ท่าเรือที่สำคัญแห่งหนึ่งของกองทัพเรือใกล้เมืองฮิโรชิมา เพื่องานดัดแปลงเรือดำน้ำสำหรับการใช้ไคเต็น. ไคเต็นคือตอร์ปิโดซึ่งถูกเปลี่ยนให้มีห้องควบคุมแคบ ๆ กลางลำจุคนเดียว. หลังจากที่ตอร์ปิโดถูกปล่อยจากดาดฟ้าข้างบนเรือดำน้ำแล้ว ผู้ปฏิบัติการก็ควบคุมมันให้พุ่งชนเป้าหมาย ด้วยเหตุนี้จึงเรียกว่าตอร์ปิโดมนุษย์. เมื่อได้ปล่อยไปแล้วจะไม่กลับมา. การโจมตีถูกเป้า หมายถึงการตายเยี่ยงวีรบุรุษ แต่ถ้าพลาดก็คือการตายเยี่ยงสุนัข ดังที่ชาวญี่ปุ่นเรียกกันเมื่อคนหนึ่งตายไปโดยไร้ประโยชน์.
พวกเราคิดว่าการตายเพื่อประเทศชาติเป็นเกียรติอันสูงส่ง. เมื่อผู้บังคับบัญชาของเราขอผู้อาสาสมัครให้ก้าวออกมาข้างหน้าเพื่อเป็นสมาชิกของหน่วยฆ่าตัวตายนี้ ทุกคนก้าวออกไปข้างหน้าประดุจคน ๆ เดียว. ถึงแม้ว่าผมไม่ได้เป็นผู้ปฏิบัติการไคเต็นก็ตาม เจ้าหน้าที่ประจำเรือทั้งหมดก็ถูกมองดูว่าเป็นสมาชิกของกองปฏิบัติการโจมตีฆ่าตัวตาย. ช่างเป็นเกียรติจริง ๆ!
ภายหลังการฝึกวิธีปล่อยไคเต็น เราออกไปปฏิบัติการโดยมีไคเต็นห้าลูกติดตั้งบนดาดฟ้าเรือ. มุ่งหน้าสู่มหาสมุทรแปซิฟิกโดยผ่านน่านน้ำทะเลภายใน ผมยืนบนดาดฟ้าเรือและมองดูความสวยงามของต้นฤดูร้อน. ผมคิดสงสัยว่ารางวัลอะไรนะที่รอคอยผลงานของเจ้ายานมรณะทั้งห้านี้อยู่ และนึกถึงสิ่งที่ฝังใจทั้งสุขและทุกข์ในสมัยที่ผมรับการฝึกเป็นทหารเรือ.
การฝึกทหารเรือ
ตั้งแต่เด็กแล้วผมต้องการยึดอาชีพเป็นทหารเรือ จึงได้เข้าโรงเรียนทหารเรือทุ่นระเบิดเมื่ออายุครบ 18 ในปี 1944. ในสองเดือนแรก การฝึกเน้นเกี่ยวกับพื้นฐานการต่อสู้ภาคพื้นดินและหลักสูตรเร่งรัดเกี่ยวกับความรู้ทั่วไปทางนาวี. หลังจากนั้นโรงเรียนถูกเปลี่ยนชื่อใหม่และกลายเป็นโรงเรียนทหารเรือต่อต้านเรือดำน้ำ. การศึกษาในเรื่องการทำงานของเครื่องฟังใต้น้ำและโซนาร์ก็เริ่มต้นเพื่อเราจะสามารถรีบเร่งเข้าสู่เขตสู้รบอย่างที่ได้รับการฝึกเต็มอัตรา.
สองวันแรกในโรงเรียน เราถูกปฏิบัติราวกับเป็นแขกผู้มีเกียรติ. ครูฝึกอธิบายแก่พวกเราอย่างนิ่มนวลถึงสิ่งต่าง ๆ ที่เราไม่เข้าใจ. แล้วในวันที่สาม “การปรับตัว” ครั้งแรกก็เกิดขึ้น. ทันทีหลังจากที่นายทหารยามได้เสร็จการเดินตรวจการเข้านอนของเรา เราได้ยินคำสั่งครูฝึก “ทุกคนลุกขึ้น! ทุกคนไปเข้าแถวบนดาดฟ้า!” โดยทำอะไรไม่ถูก เราวิ่งกันพล่าน. “ไป! เร็ว ๆ! เข้าแถว!” มีเสียงตะคอกใส่เรา. ในที่สุด หลังจากเข้าแถวแล้ว พวกเราก็ได้ยินเสียงสั่งว่า “พวกแกทุกคนจำต้องมีวินัย.” และ “การปรับตัว” ก็ได้เริ่มขึ้น. ในกองทัพเรือ “การปรับตัว” หมายถึงการเฆี่ยน. ก่อนอื่นเราได้รับคำสั่งให้ยืนแยกเท้าและกัดฟันแน่นเพื่อเราจะไม่ล้มลงหรือกัดเนื้อข้างในปากเรา. ติดตามด้วยการตบหน้าอย่างไม่ยั้ง.
การปรับตัวอาศัยพื้นฐานความรับผิดชอบเป็นหมู่. ถ้าสมาชิกคนหนึ่งของหมู่ทำผิด ทั้งหมู่จะได้รับการปรับตัว. หลายครั้งที่มีการใช้ท่อนไม้คล้ายกับไม้ตีเบสบอลตีที่ตะโพกของเรา. ไม้นั้นถูกเรียกว่า “ท่อนไม้เพื่อประสิทธิ์ประสาทน้ำใจของทหาร.” คิดกันว่า การปรับตัวนั้นจะบ่มน้ำใจของการร่วมมือกัน ซึ่งต้องใช้มากเมื่อออกในทะเล. ทุกครั้งที่รับการปรับตัว ผมสงสัยว่านั่นจะช่วยได้หรือในการต่อสู้จริง ๆ.
หลังจากสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนต่อต้านเรือดำน้ำแล้ว ผมก็ได้เข้าเรียนในโรงเรียนเรือดำน้ำ. ตอนนี้เราเรียนเพื่อจะปฏิบัติการอีกลักษณะหนึ่ง โดยได้รับการสอน และการฝึกเกี่ยวกับวิธีตรวจจับเสียงเรือที่อยู่บนผิวน้ำเหนือเรือดำน้ำและโจมตีเรือลำนั้น. การฝึกที่นี่เข้มงวดกว่าเสียอีก เป็นแบบที่ทหารเรือญี่ปุ่นเรียกว่า ตาราง “จันทร์–จันทร์–อังคาร–พุธ–พฤหัส–ศุกร์–ศุกร์.” หรือเรียกอีกอย่างคือ—ไม่มีวันหยุด.
การโจมตีแบบฆ่าตัวตาย
“ตอนนี้เราผ่านช่องแคบบุงโกมาแล้ว” เสียงดังจากเครื่องขยายเสียงกระชากผมจากการนึกถึงความหลัง. “เราจะแล่นบนผิวน้ำจนถึงเช้าพรุ่งนี้. เราคาดหมายว่าคุณจะปฏิบัติภารกิจนี้ให้สำเร็จในฐานะหน่วยชิมบุแห่งกองปฏิบัติการโจมตีพิเศษไคเต็น. จงทำหน้าที่มอบหมายของคุณให้ดีที่สุด.” ภารกิจของเราคือดักซุ่มคอยและทำลายเรือที่แล่นฝ่าเส้นทางส่งกำลังบำรุงระหว่างโอกินาวาและกวม. เป็นเวลาถึงสี่วันที่เราดำตอนเช้าตรู่และโผล่พ้นผิวน้ำตอนพลบค่ำ.
เวลา 14:00 น. ในวันที่ห้า เราพบแหล่งเสียงแหล่งหนึ่ง. เรารักษาระดับความลึกที่ 14 เมตร และแล่นเข้าใกล้โดยไม่เปลี่ยนทิศทางในขณะที่สังเกตดูเป้าหมายด้วยกล้องส่องใต้น้ำ. ทันใดนั้น คำสั่งก็ได้ออกมาติด ๆ กัน.
“ทุกคนประจำตำแหน่ง!”
“ไคเต็นพร้อม!”
“ผู้ปฏิบัติการเข้าประจำที่!”
ขณะที่ผู้ปฏิบัติการวิ่งผ่านทางแคบพร้อมกับผูกผ้าคาดหัวที่มีภาพดวงอาทิตย์กำลังขึ้น บรรดาลูกเรือก็แนบตัวชิดผนัง แสดงการคารวะอำลา.
ผู้ปฏิบัติการวิ่งขึ้นบันไดสู่ท่อลำเลียง (ทางผ่านจากภายในเรือดำน้ำไปสู่ห้องตอร์ปิโด) กลับหลังหันตรงทางออก และแสดงความเคารพขณะที่ร้องว่า: “ขอบคุณทุกคน ที่เอาใจใส่พวกเราอย่างดี. เราจะทำให้สำเร็จ!” คนที่ยืนอยู่ข้างล่างเงียบกริบ ใบหน้าตลึงงัน.
“ทุกลำเตรียมปล่อย!” เสียงทหารสั่นขณะที่เขาถ่ายทอดคำสั่งของกัปตัน.
“เป้าหมาย: เรือส่งกำลังบำรุงขนาดใหญ่หนึ่งลำกับเรือพิฆาตหนึ่งลำ” กัปตันประกาศ. “ลำที่ 1 ขัดข้อง. ฉะนั้น ลำที่ 2 และลำที่ 3 จะออกไปโจมตีเป้าหมาย. ลำอื่น ๆ เตรียมพร้อมไว้.”
“ลำที่ 2 ปฏิบัติการ!”
“ลำที่ 3 ปฏิบัติการ!”
“ตุ๊ด! ตุ๊ด!” เส้นลวดที่ยึดไคเต็นถูกปลดออกและกระทบดาดฟ้าอย่างแรง. ลำที่ 2 พุ่งออกไป และขณะที่เสียงดังสนั่นของมันยังก้องอยู่ ลำที่ 3 ก็ตามไป. ใบหน้าที่อ่อนเยาว์ของผู้ปฏิบัติการโจมตีแวบเข้ามาในความคิดผม. ผมจดจ่ออยู่กับงานของผมเกี่ยวกับการติดตามวิถีของไคเต็น ด้วยเครื่องฟังใต้น้ำ.
“มันน่าจะถูกเป้าหมายแล้ว” คนหนึ่งพึมพำ. ไคเต็น เพิ่งถูกปล่อยออกไปแค่ 15 นาที แต่เรารู้สึกเหมือนกับหนึ่งชั่วโมงหรือกว่านั้นอีก. “บู—ม!” เสียงระเบิดดังสนั่น และอีกครั้งหนึ่งก็ตามมาติด ๆ.
“จ่าทหารเรือจิบะโจมตีถูกเป้า!”
“จ่าทหารเรือโอโนะโจมตีถูกเป้า!”
ความเงียบปกคลุมไปทั่ว. ไม่มีใครส่งเสียง แม้แต่จะกระแอมก็ไม่มี. บางคนหันหน้าพนมมือสวดมนต์ในทิศทางของการระเบิด. หยาดน้ำตาทิ้งคราบบนใบหน้าของลูกเรือซึ่งยืนนิ่งอยู่. เป็นฉากที่เงียบสงบจนไม่น่าเชื่อสำหรับผลลัพธ์อันงดงามเช่นนี้.
เราได้พบบทกวีอำลาซ่อนอยู่ในทรัพย์สินส่วนตัวของจ่าทหารเรือโอโนะซึ่งเขาได้เขียนขึ้นตามประเพณีของชาวญี่ปุ่นที่จะฝากบทกวีซึ่งเขียนเองไว้บทหนึ่งเมื่อคน ๆ นั้นคาดหมายจะตาย. เขาเขียนว่า: “คราวเมื่อต้นเชอรี่ของญี่ปุ่นแต่ครั้งโบราณผลิดอก และกลีบดอกก็ร่วงกระจาย กระจายจมสู่ก้นชลธี.” โอโนะอายุเพียง 19 ปี.
การโจมตีทางอากาศ!
เรายังคงค้นหาข้าศึกต่อ ๆ ไป ดำลงก่อนอาทิตย์ขึ้นและขึ้นสู่ผิวน้ำหลังอาทิตย์ตก. หลังจากค้นหาอย่างไร้ผลมาสองสัปดาห์ กัปตันประกาศว่าเราจะกลับยังคึเระทันที. ลูกเรือทั้งหมดตื่นเต้นดีใจ. ขณะเรือดำน้ำทอดสมอที่คึเระเพื่อรับการซ่อมและเติมเสบียง ลูกเรือต่างก็ออกไปเที่ยวเตร่ตามสถานอาบน้ำแร่ในบริเวณนั้น.
วันที่ 15 มิถุนายน 1945. เราจอดเทียบอยู่ที่ท่าเรือใกล้คลังสรรพาวุธกองทัพเรือขณะที่กำลังเตรียมตัวจะออกปฏิบัติการต่อไป. สัญญาณเตือนภัยทางอากาศก็ดังขึ้น. ไม่มีเวลาเตรียมตัวเลย. ฝูงบินทิ้งระเบิด B-29 ขนาดมหึมามุ่งตรงมายังคลังสรรพาวุธ. ผมกระโจนจากดาดฟ้าไปที่ท่าบนฝั่งเพื่อจะปลดที่ยึดทางหัวเรือ. ผมตะโกนบอกจ่าทหารเรือโมริซึ่งเพิ่งกลับมาให้เขาปลดที่ยึดทางท้ายเรือ. เรือดำน้ำเคลื่อนออกจากท่า และทิ้งเราไว้.
เราหาที่หลบภัยตามหลุมหลบภัยใกล้คลังสรรพาวุธ แต่มันเต็มไปด้วยคนงานคลังสรรพาวุธ. ตอนที่เรายืนอยู่ใกล้ ๆ ทางเข้านั้น ระเบิดลูกหนึ่งก็ตกลงมา ทำให้เรากระเด็นออกไปข้างนอก. เราเห็นว่าเป็นอันตรายที่จะอยู่ที่นั่นจึงตัดสินใจจะวิ่งไปยังถ้ำแห่งหนึ่งซึ่งขุดเข้าไปในภูเขาด้านหลังคลังสรรพาวุธ. เราจับเวลาได้ว่าการทิ้งระเบิดแต่ละครั้งห่างกันสามนาที. ทันทีที่ฝูงเครื่องบินทิ้งระเบิดฝูงหนึ่งผ่านไป เราก็พุ่งตัวออกมาและวิ่งตรงไปยังเนินเขาลูกนั้น. ระเบิดลูกหนึ่งตกลงข้างหลังผมตอนที่ไปถึงถ้ำและเหวี่ยงร่างผมเข้าไปข้างใน. ดีที่ไม่บาดเจ็บ. จ่าทหารโมริซึ่งตามผมมา ไม่เห็นร่องรอยของเขาเลย. ทันทีที่การโจมตีทางอากาศสิ้นสุดลง ผมค้นหาเขาตามทางที่กลับไปท่าเรือ. ระเบิดได้ก่อหลุมมหึมาจำนวนมากตามทางเดิน. ผมมองหาเพื่อนทหารของผมแต่ก็ไม่พบ.
ผมไม่เคยเห็นคนตายและบาดเจ็บมากอย่างนี้มาก่อนเลย. ความเลวร้ายและไร้ประโยชน์ของสงครามกระทบกระเทือนใจผมอย่างรุนแรงยิ่งกว่าแต่ก่อน ๆ. ผมคิดว่า ไม่ว่าพระเจ้าหรือพระพุทธไม่มี. หากมีจริงคงจะไม่ยอมให้ความโหดร้ายทารุณเช่นนี้เกิดขึ้น.
การพบพระเจ้าที่ไว้วางใจได้
เพียงสองเดือนหลังจากการโจมตีทางอากาศซึ่งผมจำต้องยอมรับความพ่ายแพ้ของจักรวรรดิญี่ปุ่นในฤดูร้อนของแปซิฟิกใต้คราวนั้น. ภายหลังทำงานเบ็ดเตล็ดต่าง ๆ ผมได้กลับบ้านเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 1945. สองวันต่อมาผมก็ได้งานทำที่การรถไฟแห่งประเทศญี่ปุ่น. ต่อจากนั้นเป็นเวลาถึง 30 ปี ผมได้ทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ควบคุมขบวนรถและเจ้าหน้าที่ประจำสถานีรถไฟในหลายเมืองบนเกาะชิโกกุ. เนื่องจากสิ่งที่ผมได้ประสบพบเห็นมาในระหว่างสงคราม จิตใจผมจึงรับเอาแนวความคิดแบบอเทวนิยม.
ในปี 1970 ผมถูกมอบหมายให้ทำงานที่สถานีซาโกะ ซึ่งเป็นจังหวัดติดกันกับที่ผมอยู่ ใช้เวลาเดินทางราวสามชั่วโมง. ขณะที่โดยสารรถไฟไปกลับเป็นประจำนั้น ผมอ่านหนังสือพิมพ์และนิตยสาร. ทุกเช้าเมื่อเปิดกระเป๋าของผม จะพบวารสารหอสังเกตการณ์ และ ตื่นเถิดอยู่ในมุมบนเสมอ. ภรรยาผมเพิ่งเข้าเป็นพยานพระยะโฮวาและได้ใส่วารสารเหล่านั้นไว้. ในตอนแรกผมรู้สึกอารมณ์เสียเมื่อเห็นวารสารเหล่านั้นและโยนทิ้งไว้บนชั้นวางกระเป๋าเดินทาง. ผมมีความรู้สึกเป็นปฏิปักษ์ต่อศาสนาและต่อต้านศาสนาคริสเตียนของภรรยาอย่างรุนแรง. “คุณอย่าเอาวารสารพรรค์นี้ใส่ในกระเป๋าผมอีกนะ” ผมตะโกนใส่เธอตอนที่กลับบ้าน. แต่ในวันต่อมา วารสารก็อยู่ในกระเป๋าผมอีก.
วันหนึ่งผมสังเกตเห็นคนหนึ่งหยิบวารสารนั้นจากชั้นวางกระเป๋าแล้วเริ่มอ่าน. ผมนึกสงสัยว่า ‘มีอะไรน่าสนใจนักนะในวารสารพวกนั้น?’ หลังจากที่ได้เห็นเหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้นสองสามครั้ง วันหนึ่งหลังจากอ่านหนังสือพิมพ์เสร็จแล้วผมก็ได้ดูวารสารหอสังเกตการณ์แบบผ่าน ๆ. ผมไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรในสิ่งที่มีเขียนไว้ในวารสารนั้น แต่ผมพบว่าวารสารตื่นเถิดน่าสนใจ. เพียงอ่านครั้งเดียว ผมก็รู้สึกว่าวารสารเหล่านี้มีบางสิ่งที่แตกต่างออกไป และผมอ่านวารสารทั้งสองอย่างตั้งแต่นั้นมา. ขอสังเกต ผมไม่ได้อ่านวารสารเหล่านั้นที่บ้านเนื่องจากผมยืนหยัดเป็นผู้ต่อต้าน แต่ผมก็ค่อย ๆ ได้มาตระหนักว่าทำไมภรรยาผมจึงออกไปประกาศทุกวัน.
ตั้งแต่ต้นปี 1975 สภาพร่างกายของผมเสื่อมถอยลง และผมปลดเกษียณ ในเดือนเมษายนของปีนั้นเอง. แพทย์พบว่าผมเป็นมะเร็งในช่องคอ. ตอนที่ผมอยู่ในโรงพยาบาล ชายพยานพระยะโฮวาคนหนึ่งมาเยี่ยมผมและให้หนังสือพระคัมภีร์คริสเตียนภาคภาษากรีกฉบับแปลโลกใหม่ กับหนังสือชีวิตมีแค่นี้ละหรือ? แก่ผมเป็นของขวัญ. ผมรู้สึกเบื่อที่อยู่ในโรงพยาบาล และเนื่องจากมีการให้คัมภีร์ไบเบิลแก่ผมเป็นของขวัญ ผมจึงมีข้อแก้ตัวที่จะอ่านอย่างเปิดเผย.
หลังจากออกโรงพยาบาล ชายคนนั้นก็มาเยี่ยมผมทันที. การเยี่ยมสองครั้งแรกเป็นเพียงการคุยกันฉันมิตร. เราคุยกันถึงประสบการณ์ต่าง ๆ ในช่วงสงคราม. แต่ในการเยี่ยมครั้งที่สาม เขาเสนอการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลแก่ผม ซึ่งผมก็ได้ตอบรับ. หลังจากเอาชนะความคิดแบบอเทวนิยมซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากประสบการณ์ในสงคราม ที่สุดผมก็ได้รับบัพติสมา ณ การประชุมภาคปี 1980. นับแต่นั้นมา ผมได้ชื่นชมกับสิทธิพิเศษแห่งการรับใช้คนอื่น ๆ และเมื่อไม่นานมานี้เองผมก็ได้รับการแต่งตั้งให้รับใช้ในฐานะผู้ปกครอง ในประชาคมท้องถิ่น.
เมื่อมองย้อนหลังไป ผมก็ตระหนักว่าทำไมพวกผู้นำทางการเมืองและการทหารจึงสามารถอบรมคนหนุ่ม ๆ ให้อุทิศชีวิตของตนอย่างไม่เห็นแก่ตัวเพื่อประเทศของเขา. พลังอำนาจของซาตานพญามารกระตุ้นให้เขาทำ ดังที่การศึกษาคัมภีร์ไบเบิล พระคำของพระเจ้า ได้เปิดเผยให้ทราบ. บัดนี้ผมสามารถมองเห็นเจตนาอันบ้าคลั่งแบบโหดร้ายของซาตานอยู่เบื้องหลังกลุ่มคนที่กระหายจะปฏิบัติการฆ่าตัวตายนั้น. พระธรรมวิวรณ์ 12:7–9, 12 ได้บอกล่วงหน้าถึงสิ่งนั้น: “มีการสงครามในสวรรค์ มิคาเอลกับเทพบริวารของท่านได้สู้รบกับพญานาคนั้น และพญานาคกับบริวารของมันได้ต่อสู้กันกับมิคาเอล แต่จะเอาชัยชนะไม่ได้ และสำหรับพญานาคจะไม่มีที่อยู่ในสวรรค์เลย. พญานาคใหญ่นั้น คืองูเฒ่าที่เขาเรียกว่ามารและซาตานผู้ลวงมนุษย์โลกทั้งปวง ก็ถูกกำจัดออกเสีย มันกับทั้งบริวารของมันก็ถูกผลักลงมาอยู่ที่แผ่นดินโลก. เพราะเหตุนั้นแหละสวรรค์ทั้งหลายกับทั้งผู้ที่อยู่ในสวรรค์นั้นจงชื่นชมยินดีเถิด วิบัติจะมีแก่แผ่นดินโลกและทะเล เพราะว่ามารลงมาถึงเจ้ามีความโกรธยิ่งนัก ด้วยมันรู้ว่าเวลาของมันมีน้อย.”
จิตใจของผมถูกทำให้มืดมนเป็นเวลานานด้วยความเชื่อที่ว่าการปฏิบัติการฆ่าตัวตายนั้นเป็นสิ่งที่มีเกียรติ แต่บัดนี้ผมสามารถมองเห็นความจริงที่มีการเปิดเผยแล้ว. ผมสามารถเห็นได้ว่าใครอยู่เบื้องหลังความมืดบอดของผม. ถ้อยคำของอัครสาวกเปาโลที่ 2 โกรินโธ 4:3–6 ทำให้เรื่องนี้ชัดเจน: “แต่ถ้ามีม่านบังกิตติคุณของเราไว้จากใคร ก็คือคนเหล่านั้นที่จะถึงความพินาศ คือในคนจำพวกนั้น พระของสมัยนี้ได้กระทำใจของคนที่ไม่เชื่อให้มืดไป เพื่อไม่ให้เขาเห็นแสงสว่างของกิตติคุณอันประกอบด้วยสง่าราศี คือกิตติคุณของพระคริสต์ผู้เป็นแบบพระฉายของพระเจ้า. ด้วยเราไม่ได้ประกาศตัวเราเอง แต่ได้ประกาศพระเยซูคริสต์ว่าเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และได้ประกาศตัวเราเองว่าเป็นทาสของท่านทั้งหลายเพราะเห็นแก่พระเยซูนั้น เพราะว่าพระเจ้าองค์นั้นผู้ได้ตรัสสั่งให้ความสว่างออกมาจากความมืด ได้ทรงส่องสว่างเข้าในใจของเรา เพื่อเราจะได้มีความสว่างแห่งความรู้ถึงสง่าราศีของพระเจ้าปรากฏในพระพักตร์พระคริสต์.”
การได้มารู้จักความจริงและพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียวผู้ทรงพระชนม์อยู่อาจเปรียบได้กับความหอมหวาน ใช่ ความสดชื่นของอากาศ เมื่อเราขึ้นสู่ผิวน้ำและเปิดประตูทางเข้าเรือดำน้ำ. ไม่มีใครอาจหยั่งรู้ค่าของความหอมหวานและความสดชื่นนั้นมากไปกว่าพวกเรา. ส่วนความสดชื่นฝ่ายวิญญาณนี้ ผมรู้สึกขอบพระคุณพระยะโฮวาอย่างยิ่ง. และก็รู้สึกขอบคุณภรรยาของผมด้วยสำหรับความมานะพยายามของเธอในการแบ่งปันความจริงแห่งคัมภีร์ไบเบิลกับผม โดยไม่ท้อถอยตลอดสิบปีจนกระทั่งผมได้อุทิศตัวต่อพระเจ้าในที่สุด. ผลก็คือ บัดนี้ผมได้เข้าร่วมในกิจกรรมฝ่ายคริสเตียน ปฏิบัติการช่วยชีวิตเพื่อพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่.—เล่าโดย โยชิมิ อาโอโนะ.
[รูปภาพหน้า 21]
โยชิมิ อาโอโนะ
[รูปภาพหน้า 22]
เนื่องจากความพยายามอย่างไม่ละลดของภรรยา ตอนนี้ผมกำลังลงมือปฏิบัติการช่วยชีวิต เพื่อ รับใช้พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่