โทรทัศน์เปลี่ยนคุณไหม?
“หน้าต่างเปิดสู่โลก.” นี่คือคำเปรียบเปรยโทรทัศน์. ในหนังสือ ทิวบ์ ออฟ เพล็นตี—ดิ เอฟโวลูชัน ออฟ อเมริกัน เทเลวิชัน ผู้ประพันธ์ เอริค บาร์นาวว์ ให้ความเห็นว่า เมื่อถึงต้นทศวรรษปี 1960 “[โทรทัศน์] กลายเป็นหน้าต่างสู่โลกสำหรับคนส่วนมาก. ภาพที่เห็นจากหน้าต่างดูเหมือนจะเป็นโลกแท้. พวกเขาไว้วางใจในความถูกต้องและความสมบูรณ์ครบถ้วนของโทรทัศน์.”
อย่างไรก็ดี ลำพังหน้าต่างไม่อาจจะเลือกลักษณะของภาพที่จะเสนอได้เอง ไม่สามารถกำหนดแสงหรือมุม ทั้งไม่อาจเปลี่ยนภาพได้ฉับไวเพื่อดึงความสนใจของคุณเอาไว้. แต่ทีวีทำได้. องค์ประกอบเหล่านั้นนวดปั้นความรู้สึกของคุณและการลงความเห็นของคุณได้อย่างมากต่อสิ่งที่คุณจ้องดู กระนั้นสิ่งดังกล่าวก็ถูกควบคุมโดยผู้ผลิตรายการทีวี. แม้กระทั่งภาพข่าวและสารคดีที่ชัดเจนแทบไม่มีช่วงให้คิดเป็นอย่างอื่นก็ยังถูกจัดฉากให้ออกมาในลักษณะเช่นว่า ถึงแม้อาจจะไม่จงใจก็ตาม.a
ผู้ลวงหลอกฝีมือฉกาจ
กระนั้น ส่วนใหญ่แล้วผู้ทำงานด้านโทรทัศน์พยายามจูงใจผู้ชมอย่างสิ้นเชิง. ยกตัวอย่าง ในการโฆษณา พวกเขามีอิสระแทบจะไม่มีข้อจำกัดเพื่อใช้กลเม็ดชวนตาชวนใจทุก ๆ อย่างเท่าที่หาได้ เพื่อล่อให้คุณเกิดอารมณ์อยากจะซื้อ. สีสัน. ดนตรี. ผู้คนสวย ๆ งาม ๆ. การยั่วกามารมณ์. ฉากอันวิจิตร. อุปกรณ์ของเขาหลายหลาก และเขานำมาใช้อย่างช่ำชอง.
อดีตผู้จัดการฝ่ายโฆษณาเขียนถึงช่วงเวลา 15 ปีของเขาในวงการนี้ว่า “ผมเรียนรู้ว่าเป็นไปได้ที่จะพูดผ่านทางสื่อ [เช่นทีวี] โดยตรงเข้าไปในสมองของผู้คน เหมือนกับนักมายากลผู้มีอำนาจลี้ลับ ทิ้งภาพนั้นไว้ในสมองซึ่งอาจทำให้ผู้คนทำสิ่งที่พวกเขาไม่เคยคิดว่าจะทำ.”
ที่ว่าโทรทัศน์มีอำนาจอันน่าสะพรึงกลัวต่อผู้คนนั้นปรากฏหลักฐานชัดเจน ในทศวรรษปี 1950 แล้ว. บริษัทค้าลิปสติกซึ่งทำรายได้ปีละ 1.25 ล้านบาท เริ่มโฆษณาทางโทรทัศน์สหรัฐ. ภายในสองปียอดขายพุ่งพรวดถึง 112.5 ล้านบาทต่อปี! ยอดเงินฝากธนาคารแห่งหนึ่งเพิ่มขึ้น 375 ล้านบาททันทีเมื่อโฆษณาการบริการทางรายการโทรทัศน์ซึ่งผู้หญิงนิยมดูกัน.
ปัจจุบันนี้ ชาวอเมริกันโดยเฉลี่ยแล้วดูโฆษณา 32,000 เรื่องทุกปี. โฆษณาชักจูงอารมณ์. ดังที่ มาร์ค คริสพิน มิลเลอร์ เขียนลงในหนังสือ บ็อกเซด อิน—เดอะ คัลเจอร์ ออฟ ทีวี ว่า “จริงอยู่ เราถูกล่อใจอย่างแยบยลจากสิ่งที่เราดู. โฆษณาสินค้าที่แทรกซึมชีวิตประจำวันของเรามีอิทธิพลต่อเราอย่างไม่หยุดยั้ง.” เขาเสริมว่า กลเม็ดอันแยบยลเช่นนี้ “เป็นอันตรายอย่างแน่ชัดเพราะมักจะสังเกตได้ยาก และดังนั้นจะไม่ล้มเหลวจนกระทั่งเรารู้เท่าทัน.”
แต่โทรทัศน์มิได้ขายเฉพาะลิปสติก ทัศนะทางการเมือง และวัฒนธรรม. ยังขายศีลธรรม—หรือการไร้ศีลธรรมอีกด้วย.
ทีวีและศีลธรรม
คนส่วนใหญ่ไม่แปลกใจที่รู้ว่า พฤติกรรมทางเพศออกอากาศ ถี่ยิ่งขึ้นทางทีวีอเมริกัน. การวิจัยตีพิมพ์เมื่อปี 1989 ในหนังสือ เจอร์นัลลิซึม ควอเตอร์ลี พบว่าภายใน 66 ชั่วโมงของช่วงเวลาออกอากาศที่มีผู้ชมมากที่สุดแห่งเครือข่ายทีวี มีการแสดงพฤติกรรมทางเพศ 722 ครั้ง ไม่ว่าจะเป็นเชิงให้คิด แสดงด้วยคำพูด หรือแสดงภาพให้เห็น. ตัวอย่างนั้นมีตั้งแต่การสัมผัสยั่วกามารมณ์จนถึงการร่วมเพศ การสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง รักร่วมเพศ และการร่วมเพศในวงญาติใกล้ชิด. เฉลี่ยแล้ว 10.94 ครั้งทุก ๆ หนึ่งชั่วโมง!
สหรัฐมิใช่จะถือเป็นกรณีโดดเด่นในเรื่องนี้. ทีวีฝรั่งเศสแสดงอย่างโจ่งแจ้งถึงพฤติกรรมทางเพศแบบรุนแรง. มีการแสดงเปลื้องผ้าทางทีวีอิตาลี. รายการทีวีรอบดึกของสเปนเน้นภาพยนตร์รุนแรงและยั่วกามารมณ์. ยังมีอีกมากมาย.
ความรุนแรงเป็นการผิดศีลธรรมอีกลักษณะหนึ่งทางทีวี. ในสหรัฐนักวิจารณ์รายการทีวีสำหรับวารสารไทม์ ไม่นานมานี้ยกย่อง “อารมณ์ขันที่สยดสยอง” ในรายการชุดเขย่าขวัญ. ชุดรายการภาพยนตร์นี้มีฉากตัดหัวคน การตัดแขนขา การตรึงบนหลัก และผีเข้าสิง. แน่ละ ความรุนแรงทางทีวีส่วนมากแสดงความทารุณน้อยกว่า—และง่ายกว่าที่จะถือว่าเป็นปกติธรรมดา. เมื่อมีการแสดงภาพยนตร์ทีวีตะวันตกไม่นานมานี้ ณ หมู่บ้านไกลออกไปใน โกต ดิ วัวร์ แอฟริกาตะวันตก ชายชราผู้รู้สึกงุนงงทำได้แค่เพียงถามขึ้นว่า “ทำไมคนขาวชอบแทงกัน ยิงกัน และชกต่อยกัน?”
แน่ละ คำตอบคือผู้ผลิตรายการโทรทัศน์และผู้อุปถัมภ์รายการต้องการให้ผู้ชม ๆ สิ่งที่เขาต้องการจะชม. ความรุนแรงดึงดูดใจผู้ชม. เรื่องเพศก็เช่นกัน. ฉะนั้น ทีวีจึงบริการให้อย่างมากมายทั้งสองอย่าง—แต่ก็ค่อยเป็นค่อยไป มิฉะนั้นผู้ชมจะไม่ยอมรับ. ดังที่ดอนนา แม็คครอแฮม บอกไว้ในหนังสือ ไพรม์ ไทม์ เอาเวอร์ไทม์ ดังนี้ “รายการแสดงระดับยอดนิยมส่วนใหญ่ไปจนสุดขอบเขตเท่าที่ทำได้ด้านภาษา เรื่องเพศ ความรุนแรง หรือเนื้อเรื่อง ครั้งถึงขอบเขตนั้นแล้ว เขาก็รื้อขอบเขตนั้นออก. และแล้ว สาธารณชนก็พร้อมสำหรับขอบเขตใหม่.”
ตัวอย่างเช่น เรื่องรักร่วมเพศเคยถือว่าล้ำ “ขอบเขต” แห่งรสนิยมที่ดีสำหรับโทรทัศน์. แต่เมื่อผู้ชมเคยชิน เขาก็พร้อมจะรับเรื่องต่อไป. นักหนังสือพิมพ์ฝรั่งเศสบอกว่า “ไม่มีผู้ผลิตรายการคนใดกล้าเสนอเรื่องราวว่าการรักร่วมเพศเป็นสิ่งผิดปกติในสมัยนี้ . . . สังคมและการที่ไม่ยอมรับพฤติกรรมนี้ต่างหากที่ผิดปกติ.” ในเคเบิลทีวีของอเมริกา ‘ละครชุดเรื่องพวกเกย์’ แสดงรอบปฐมทัศน์ใน 11 เมือง เมื่อปี 1990. รายการนั้นเน้นฉากผู้ชายหลับนอนด้วยกัน. ผู้ผลิตรายการบอกกับวารสารนิวส์วีค เกี่ยวด้วยฉากเช่นนั้น ของพวกเกย์ว่าเป็นการ “มุ่งลดปฏิกิริยาของผู้ชมเพื่อพวกเขาจะตระหนักว่าเราก็เหมือนคนอื่น ๆ.”
ความเพ้อฝันเผชิญความเป็นจริง
บรรดาผู้เขียนเกี่ยวกับการสำรวจซึ่งรายงานไว้ในหนังสือ เจอร์นัลลิซึม ควอเตอร์ลี ให้ความเห็นว่าเนื่องจากทีวีแทบจะไม่แสดงผลพวงอันเกิดจากเพศสัมพันธ์ที่ต้องห้าม การที่ทีวี “กระหน่ำปลุกเร้ามโนภาพทางเพศอย่างไม่ละลด” เท่ากับการรณรงค์ให้ข้อมูลผิด ๆ. พวกเขาอ้างถึงงานสำรวจอีกชิ้นหนึ่งซึ่งมีผลสรุปว่าละครชุดทางทีวีส่งข่าวสารนี้มากกว่าเรื่องอื่น ๆ: เพศสัมพันธ์มีไว้สำหรับผู้ที่ไม่ได้สมรส และไม่มีใครเกิดโรคเพราะเหตุนั้น.
นี่คือโลกที่คุณรู้จักไหม? การมีเพศสัมพันธ์ก่อนสมรส โดยไม่เกิดตั้งครรภ์ในวัยรุ่นหรือโรคติดต่อทางเพศไหม? การร่วมเพศเดียวกัน หรือต่างเพศกันโดยจะปลอดจากการติดโรคเอดส์ไหม? ความรุนแรง และการก่อความเสียหายโดยจงใจซึ่งทำให้พระเอกเป็นผู้ชนะและผู้ร้ายพ่ายแพ้—แต่ทั้งสองฝ่ายมักจะไม่บาดเจ็บอย่างน่าแปลกไหม? ทีวีสร้างโลกซึ่งแสดงให้เห็นว่าการกระทำต่าง ๆ จะปราศจากผลที่ติดตามมาอย่างไร้กังวล. กฎของสติรู้สึกผิดชอบ กฎศีลธรรม และการรู้จักบังคับตัวถูกแทนที่ด้วยกฎของการทำให้เกิดความพึงพอใจในบัดนั้น.
ปรากฏชัดว่าโทรทัศน์มิใช่ “หน้าต่างสู่โลก”—อย่างน้อยก็มิใช่สู่โลกที่แท้จริง. จริงทีเดียว หนังสือออกไม่นานมานี้เกี่ยวกับโทรทัศน์ชื่อว่า ดิ อันรีแอลลิตี อินดัสตรี [อุตสาหกรรมแห่งความไม่จริง] ผู้เขียนอ้างว่าทีวี “ได้กลายเป็นพลังอันทรงอานุภาพที่สุดแขนงหนึ่งในชีวิตของเรา. ผลก็คือทีวีไม่เพียงแต่นิยามว่าความเป็นจริงคืออะไรเท่านั้น แต่ที่สำคัญกว่าและทำให้ไม่สบายใจยิ่งขึ้นคือ ทีวีลบล้างข้อแตกต่างและเส้นแบ่งระหว่างความเป็นจริงและความไม่เป็นจริงออกหมด.”
ถ้อยคำดังกล่าวอาจฟังดูน่าตระหนกแก่ผู้ที่คิดว่าตนไม่สะดุ้งสะเทือนต่ออิทธิพลของโทรทัศน์. บางคนแย้งว่า ‘ฉันไม่เชื่อทุกสิ่งที่เห็น.’ จริงอยู่ เราอาจคอยระวังที่จะไม่หลงเชื่อทีวี. แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าความเป็นคนด่วนสงสัยอาจไม่คุ้มครองเราจากวิถีทางอันแยบยลซึ่งทีวีก่อผลต่ออารมณ์ของเรา. ดังที่นักเขียนคนหนึ่งพูดว่า “เล่ห์เหลี่ยมชั้นยอดอย่างหนึ่งของทีวีก็คือที่จะไม่เผยให้รู้เลยว่ามันมีผลกระทบกลไกทางจิตใจถึงขนาดไหน.”
เครื่องชักจูง
ตามที่กล่าวไว้ในหนังสือ 1990 บริแทนนิกา บุ๊ค ออฟ เดอะ เยียร์ ชาวอเมริกันดูโทรทัศน์เฉลี่ยแล้วเจ็ดชั่วโมงสองนาทีทุกวัน. การประเมินโดยใช้เกณฑ์ที่ต่ำกว่าให้ตัวเลขวันละสองชั่วโมง แต่คิดแล้วก็ยังนานถึงเจ็ดปีในชั่วชีวิตคนเรา! เป็นไปได้อย่างไรว่าการดูทีวีในปริมาณมากมายขนาดนั้นจะไม่ก่อผลกระทบผู้คน?
แทบจะไม่แปลกใจเมื่อเราอ่านพบผู้คนซึ่งมีปัญหาในการแยกความแตกต่างระหว่างทีวีกับความเป็นจริง. การศึกษาซึ่งตีพิมพ์ในนิตยสารของอังกฤษชื่อ มีเดีย คัลเจอร์ แอนด์ โซไซตี พบว่าแท้จริงทีวีชักนำบางคนให้สร้าง “มโนภาพซึ่งแตกต่างจากโลกที่เป็นจริง” กล่อมผู้คนให้คิดว่าความปรารถนาของเขาเกี่ยวกับความเป็นจริงนั้นก็คือความจริงนั่นเอง. การศึกษาอื่น ๆ เช่นที่จัดทำโดยสถาบันสุขภาพจิตแห่งชาติสหรัฐ ดูเหมือนจะสนับสนุนการค้นพบดังกล่าว.
เมื่อทีวีมีอิทธิพลต่อความนึกคิดของคนทั่วไปในเรื่องความเป็นจริง ทีวีจะชักจูงชีวิตและการกระทำของผู้คนไม่ได้เชียวหรือ? ดังที่ ดอนนา แม็คครอแฮน เขียนลงในหนังสือ ไพรม์ ไทม์ เอาเวอร์ ไทม์ ว่า “เมื่อรายการแสดงทางทีวีที่มีคนนิยมสูงสุด ละเมิดสิ่งต้องห้าม หรือขอบเขตทางภาษา เราก็รู้สึกว่ามีอิสระมากขึ้นในการละเมิดสิ่งต้องห้ามเหล่านั้นด้วยตัวของเราเอง. ในทำนองคล้ายคลึงกัน เราก็ได้รับอิทธิพล เมื่อ . . . ความสำส่อนทางเพศเป็นเรื่องปกติ หรือเมื่อชายชาตรีพูดว่าตนใช้ถุงยางอนามัย. ในแต่ละครั้งที่ทีวีปฏิบัติงาน—แบบไม่ก่อปฏิกิริยาทันที—เหมือนกระจกสะท้อนตัวบุคคลซึ่งเราอาจถูกทำให้เชื่อว่านั้นแหละคือตัวเรา และด้วยเหตุนี้เมื่อมองกว้าง ๆ เราก็กลายเป็นคนนั้นไป.”
แน่นอน ยุครุ่งโรจน์ของทีวีก่อความเฟื่องฟูในการผิดศีลธรรมและความรุนแรงเป็นเงาตามตัว. ความประจวบเหมาะหรือ? ยากที่จะพูดเช่นนั้น. การศึกษารายหนึ่งแสดงว่าอาชญากรรมและความรุนแรงในสามประเทศเพิ่งจะเพิ่มขึ้นหลังจากทีวีเริ่มเข้าไปในแต่ละประเทศนั้น. ที่ไหนซึ่งทีวีเข้าไปก่อน อัตราอาชญากรรมก็จะเพิ่มที่นั่นก่อน.
น่าแปลก ที่ไม่ถือว่าทีวีเป็นการหย่อนใจยามว่างอย่างที่หลายคนดูเหมือนจะคิดกัน. การศึกษากับ 1,200 รายในช่วงเวลา 13 ปี พบว่าในเรื่องการใช้เวลายามว่าง การดูทีวีแทบจะไม่ทำให้ผู้คนผ่อนคลายเลย. แทนที่จะเป็นเช่นนั้น กลับทำให้ผู้ดูเชื่องช้า แต่เครียดและไม่สามารถตั้งสมาธิได้. เฉพาะอย่างยิ่ง การดูทีวีนาน ๆ ทำให้คนอารมณ์แย่กว่าเมื่อเทียบกับก่อนดู. ตรงกันข้าม การอ่านทำให้คนผ่อนคลาย มีอารมณ์ดีขึ้น และสำรวมสมาธิได้ดีขึ้น!
แต่ไม่ว่าการอ่านหนังสือจะเสริมสร้างเพียงไรก็ตามทีวีซึ่งเป็นตัวย่องเบาเวลา อาจผลักหนังสือตกอันดับไปได้. เมื่อทีวีเข้ามาในนครนิวยอร์กใหม่ ๆ ไม่นานห้องสมุดสาธารณะได้รายงานว่าการนำหนังสือออกไปอ่านลดลง. แน่ละ ก็มิได้หมายความว่าผู้คนกำลังจะเลิกอ่านหนังสือ. กระนั้น กล่าวกันว่าผู้คนสมัยนี้อ่านไม่ทนเหมือนแต่ก่อน ซึ่งการเอาใจจดจ่อจะอ่อนลงในไม่ช้า ถ้าไม่ถูกกระหน่ำด้วยภาพสีฉูดฉาด. สถิติและการศึกษาอาจะไม่ให้หลักฐานพิสูจน์ข้อสงสัยที่ยังไม่ได้ชี้ชัดเช่นนี้. กระนั้น เราสูญเสียอะไรไปในแง่ของความลึกซึ้งส่วนตัวและวินัย ถ้าเราพึ่งอาศัยการปรนเปรออย่างต่อเนื่องด้วยความบันเทิงจากทีวี ซึ่งแต่ละช่วงแม้จะเพียงแวบเดียว ได้ถูกออกแบบเพื่อจะดึงความสนใจไว้ แม้ว่าจะเพียงระยะสั้นที่สุดก็ตาม?
เด็ก ๆ แห่งเจ้าหีบใบนั้น
อย่างไรก็ดี ในด้านของเด็ก เรื่องโทรทัศน์กลายเป็นปัญหาเร่งด่วนอย่างแท้จริง. โดยทั่วไปแล้ว ไม่ว่าอะไรที่ทีวี อาจทำกับผู้ใหญ่ก็ทำกับเด็กได้—ซ้ำมากกว่าเสียอีก. เด็กมักจะเชื่อโลกเพ้อฝันที่พวกเขาเห็นในทีวีไงล่ะ. หนังสือพิมพ์เยอรมัน ไรนีเซอร์ เมร์กูร์ / กริสต์ อุนด์ เวลต์ กล่าวถึงงานวิจัยที่ทำเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งพบว่าเด็ก ๆ มัก “ไม่สามารถแยกชีวิตจริงออกจากที่พวกเขาเห็นบนจอทีวี. พวกเขาโยกย้ายสิ่งที่เห็นในโลกที่ไม่จริงเข้ามายังโลกที่เป็นความจริง.”
งานศึกษาทางวิทยาศาสตร์กว่า 3,000 ราย และเวลาหลายสิบปีที่ใช้ในการค้นคว้าให้หลักฐานสนับสนุนข้อสรุปว่าความรุนแรงทางทีวีมีผลกระทบในทางลบต่อเด็ก ๆ และวัยรุ่น. องค์การที่มีชื่อเสียง เช่น อเมริกัน อแคเดมิ ออฟ เพดิแอทริคส์, สถาบันสุขภาพจิตแห่งชาติ, และสมาคมแพทย์อเมริกันต่างก็เห็นพ้องกันว่า ความรุนแรงทางโทรทัศน์เป็นเหตุให้เด็กแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวและต่อต้านสังคม.
การศึกษาให้ผลที่ก่อความไม่สบายใจอื่น ๆ อีก. ยกตัวอย่าง โรคอ้วนในวัยเด็กเกี่ยวโยงกับการดูทีวีมากเกินไป. ปรากฏชัดว่ามีเหตุผลสองประการ. (1) การนั่งอยู่เฉย ๆ หน้าทีวีเป็นชั่วโมงเข้ามาแทนช่วงการเล่นที่ออกกำลังกาย. (2) การโฆษณาสินค้าทางทีวียังผลให้ขายอาหารที่มีไขมัน แทบจะไร้คุณค่าทางโภชนาการ ได้อย่างง่ายดาย. การวิจัยอื่น ๆ บ่งชี้ว่าเด็ก ๆ ซึ่งดูทีวีมาก ๆ เรียนหนังสืออ่อนในโรงเรียน. ขณะที่ความเห็นนั้นยังเป็นเรื่องถกเถียงกันอยู่ นิตยสารไทม์ไม่นานมานี้รายงานว่า นักจิตศาสตร์และครูหลายคนตำหนิทีวีเกี่ยวกับการตกต่ำอย่างแพร่หลายในทักษะการอ่านของเด็ก ๆ และการเรียนในโรงเรียน.
อีกครั้ง เวลาเป็นเรื่องสำคัญ. โดยเฉลี่ยเมื่อเด็กอเมริกันจบชั้นมัธยมปลาย เขาได้ใช้เวลาดูโทรทัศน์ 17,000 ชั่วโมงเปรียบเทียบกับ 11,000 ชั่วโมงในโรงเรียน. สำหรับเด็กส่วนมาก ทีวีเป็นกิจกรรมหลักในยามว่าง ถ้าไม่ยึดเป็นกิจกรรมหลักของเขาไปซะเลย. หนังสือ เดอะ เนชันแนล พีทีเอ ทอล์กส์ ทู แพเรนทส์: ฮาว ทู เก็ต เดอะ เบสท์ เอดยูเคชัน ฟอร์ ยัวร์ ไชลด์ ให้ข้อสังเกตว่าครึ่งหนึ่งของเด็กวัยสิบขวบ ใช้เวลาวันละสี่นาทีอ่านหนังสือที่บ้าน แต่ 130 นาทีดูทีวี.
เมื่อประมวลทุกอย่างแล้ว คงมีไม่กี่คนซึ่งจะแย้งอย่างจริงจังว่าทีวีไม่เป็นอันตรายอะไรอย่างแท้จริงต่อทั้งเด็กและผู้ใหญ่. แต่นั่นหมายความกระไร? บิดามารดาควรห้ามดูทีวีที่บ้านไหม? ผู้คนโดยทั่วไปควรป้องกันตัวจากอิทธิพลของทีวีโดยยกไปทิ้งหรือลากไปเก็บไว้ในห้องเก็บของไหม?
[เชิงอรรถ]
a โปรดดู “ข่าว—คุณจะเชื่อถือได้ไหม?” ในตื่นเถิดฉบับประจำวันที่ 8 กันยายน 1990.
[จุดเด่นหน้า 7]
“ทำไมคนขาวชอบแทงกัน ยิงกัน และชกต่อยกัน?”
[รูปภาพหน้า 9]
ปิดทีวี แล้วเปิดหนังสือ