การตกงานอะไรคือทางแก้?
“สถานการณ์กำลังย่ำแย่. ธุรกิจหลายแห่งกำลังล้มละลาย แต่ยังไม่ยอมรับกัน”—ยู. เอส. ไฟแนนเซียร์.
หลายคนได้ประสบกับความเป็นจริงอันแสนทารุณแห่งคำทำนายที่น่ากลัวนั้น ซึ่งกล่าวไว้ในตอนปลายแห่งปี 1990. ในบางบริษัท คนงานที่ “ยังอยู่” สงสัยว่าพวกเขาจะเป็นคนต่อไปที่ถูกปลดออกหรือไม่.
คุณจะทำอะไรถ้าวันนี้คุณตกงาน? การเตรียมตัวไว้เป็นทางแห่งสติปัญญา. การสูญเสียงานอาชีพนำมาซึ่งผลกระทบทางการเงินรวมทั้งทางอารมณ์ด้วย. เพราะฉะนั้น มากกว่าการสูญเสียรายได้ธรรมดา ๆ เท่านั้นที่เกี่ยวข้องอยู่. ต่อไปนี้ เป็นแนวทางบางประการซึ่งช่วยหลายคนให้รักษาเสถียรภาพทางการเงินและทางอารมณ์เมื่อเผชิญกับการตกงาน.
1. อย่าตกใจกลัว
เมื่อโดมินิกตกงาน เขาต้องคืนบ้านให้กับธนาคาร และย้ายครอบครัวของเขาไปอยู่กับมารดา. คำแนะนำของเขาคือให้สงบอารมณ์ไว้ ไม่ว่าสถานการณ์จะหนักแค่ไหน. “มีงานหรือไม่มีงาน คุณจะไม่เหี่ยวแห้งและแตกฉานซ่านเซ็น” เขากล่าว “ผมต้องเรียนรู้อย่างแท้จริงว่าพวกเราจะไม่ตาย.” แทนที่จะทับถมจิตใจด้วยเรื่องอันไม่เป็นมงคลต่าง ๆ ควรทำใจสงบหาทางแก้ที่บังเกิดผล.
2. คิดในแง่บวก
จิมและดอนนาทำงานไม่เต็มเวลาสี่แห่งด้วยกัน. กระนั้น เขาทั้งสองหาเงินได้น้อยกว่าที่จิมหาได้คนเดียวเมื่อทำงานเต็มเวลาก่อนหน้านี้. ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น เขายอมรับว่าเป็นเสมือนประสบการณ์ที่ใช้สั่งสอนลูก ๆ ห้าคนของเขา. ดอนนากล่าวว่า “ตอนที่ไม่มีปัญหาพวกเขาเคยอยู่ในฐานะที่ดีกว่าทางวัตถุ. แต่พวกเขาก็ไม่ได้ประสบกับอุปสรรคต่าง ๆ ซึ่งสอนวิธีดำเนินชีวิตให้กับคนเรา.”
3. เปิดใจรับงานชนิดใหม่
แม้แต่ผู้ทำงานที่ใช้มันสมองก็อาจเลือกที่จะเปลี่ยนอาชีพและเริ่มต้นกับงานใหม่. ลอราผู้ซึ่งถูกปลดออกจากงานบริหารกล่าวว่า “ผู้คนจะไม่มองหาทางเลือกอื่น จนกว่าพวกเขาถูกบังคับ.” เธอชี้ว่า “ในทศวรรษปี 1990 ผู้คนต้องเรียนรู้ที่จะเป็นคนยืดหยุ่นมากขึ้น.” การพยายามที่จะได้งานแบบเดิมที่คุณเคยชิน—หรือรายได้เท่าเดิม—อาจบั่นทอนโอกาสที่คุณจะได้งานทำ. เรื่องนี้อาจอธิบายได้ อย่างน้อยก็บางส่วนว่าทำไมผู้ทำงานที่ใช้มันสมองจึงใช้เวลานานกว่าที่จะได้งานทำเมื่อเทียบกับคนที่ใช้แรงงาน. ดังนั้น จงเปิดใจของคุณออกให้กับโอกาสที่จะได้งานชนิดใหม่. หลายคนประสบผลสำเร็จในการเสนอบริการบางอย่างให้กับผู้อื่น เช่น การทำความสะอาดบ้าน.
4. ดำเนินชีวิตสมกับรายได้ของคุณ—ไม่ใช่ของคนอื่น
สิ่งที่ถูกใช้เป็นเครื่องมืออันทรงพลังในการโฆษณาคือการสร้าง “ความต้องการ” ขึ้นซึ่งไม่เคยมีมาก่อน. หลายครั้งมีการทำให้คุณรู้สึกว่าทุกคน (ยกเว้นคุณ) รับรู้และตอบรับสิ่งนั้นแล้ว. ‘นี้เป็นแบบที่ทุกคนกำลังสวมใส่ [ยกเว้นคุณ].’ ‘ภาพยนตร์ที่ทุกคนกล่าวขวัญถึง [ดังนั้น ทำไมคุณยังไม่ไปชม].’ ‘รถยนต์ซึ่งทุกคนกำลังขับ [แล้วคุณล่ะจะซื้อเมื่อไร?].’
การชักชวนคล้าย ๆ กันนี้อาจกระทบวิธีที่คุณคิดและใช้จ่ายเงิน เพื่อนของเราคนหนึ่งไปท่องเที่ยวที่ใช้เงินมาก. ทันทีทันใด คุณก็ต้องการพักร้อน. เพื่อนอีกคนหนึ่งซื้อรถยนต์คันใหม่. ในทันใดนั้นรถยนต์ของคุณก็ดูเหมือนว่าเก่าไป ไม่เหมาะสม. การอิจฉาสิ่งที่ผู้อื่นกำลังทำจะทำให้คุณใช้จ่ายเงินที่คุณไม่มี ซื้อสิ่งของซึ่งไม่จำเป็นแก่คุณอย่างแท้จริง. จงหลีกเลี่ยงการเปรียบเทียบแบบที่ทำให้ตัวเองย่อยยับเช่นนั้น.
จิม คนงานที่ถูกเลิกจ้างดังที่กล่าวถึงข้างต้น ให้ข้อสังเกตว่า “คนเหล่านั้นรู้สึกว่าทนไม่ไหวเมื่อไม่สามารถคงไว้ซึ่งรูปแบบชีวิตที่เขาคิดว่าเขาต้องการ. คุณต้องคิดถึงเพียงแค่อาหารและที่อาศัย. นอกนั้นถือว่าไม่อยู่ในประเด็นจริง ๆ.” ดังที่คัมภีร์ไบเบิลแนะนำไว้ที่ 1 ติโมเธียว 6:8 ‘จงอิ่มใจด้วยเครื่องอุปโภคและบริโภค.’
5. ระวังในเรื่องเครดิต
บัตรเครดิตอาจมีคุณค่า แต่อาจเป็นภาระหนี้สินใหญ่ที่สุดของคุณได้ด้วย. บางคนใช้บัตรเครดิตเสมือนไม้เท้าคือจะยืนไม่ได้ถ้าปราศจากมัน พวกเขาใช้บัตรเครดิตเพื่อจัดการกับคำถามที่ว่า ‘ผมสามารถซื้อได้ไหม?’ บัตรกลายมาเป็นยาแก้ปวดชั่วคราวซึ่งยอมให้คุณใช้จ่ายโดยไม่คิดคำนึง หรือรู้สึกถึงผลกระทบของการสูญเสียเงิน.
ไม่กี่ปีมานี้ ความคลั่งไคล้บัตรเครดิตได้แพร่กระจายไปในหลายประเทศ. ผลลัพธ์เป็นเช่นไร? พนักงานขายเครื่องคอมพิวเตอร์คนหนึ่งจากเกาหลีผู้ซึ่งซื้อรถใหม่ด้วยบัตรเครดิตสรุปเรื่องดังนี้ “เมื่อถึงเวลาต้องชำระบัญชีเครดิตของผม ผมรู้สึกทุกทีว่าแย่มาก ๆ. เหมือนกับว่า ผมให้เงินเขาไปเฉย ๆ.” ในญี่ปุ่นเกือบครึ่งหนึ่งของคนที่วิ่งหาคำแนะนำด้านการเงินมีอายุระหว่าง 20 ถึง 29 ปี. บัตรเครดิต 140 ล้านใบในประเทศนั้นต้องรับผิดชอบต่อหนี้สินกองโตของคนหนุ่มสาว.
ดังนั้น จงใช้บัตรเครดิตอย่างระมัดระวัง. ใช้มัน แต่อย่าให้มันใช้คุณ.อย่ายอมให้บัตรนี้ทำให้คุณตาบอดต่อสถานะทางการเงินที่แท้จริงของคุณ. สิ่งนี้จะมีแต่เพิ่มความกดดันแห่งการตกงาน.
6. รักษาความเป็นปึกแผ่นในครอบครัว
จากการสำรวจผู้คน 86,000 คน มากกว่าหนึ่งในสามกล่าวว่า เงินเป็นปัญหาหมายเลขหนึ่งในชีวิตสมรสของเขา. การศึกษาอีกรายหนึ่งพบว่า เงินเป็นสาเหตุให้เกิดการทะเลาะกันมากที่สุด. เกรซ ไวน์สไตน์ ที่ปรึกษาทางการเงินกล่าวว่า “ทัศนะที่แตกต่างกันในเรื่องเงินอาจทำให้สัมพันธภาพตึงเครียด.”
แม้แต่คู่ที่ดูเหมือนเข้ากันได้ดีก็อาจมีทัศนะที่แตกต่างกันในเรื่องเงินและวิธีใช้เงิน. คนหนึ่งอาจเป็นคนประหยัดอย่างเหลือเกิน ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นคนใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย.
ถ้าไม่ปรึกษากัน ปัญหาเรื่องเงินอาจพอกพูนขึ้นจนก่อให้เกิดการทุ่มเถียงในครอบครัว. “ที่ไหนไร้การปรึกษาความมุ่งหมายย่อมไม่เป็นที่จุใจ” เป็นคำกล่าวของคัมภีร์ไบเบิลที่สุภาษิต 15:22. และในขณะปรึกษากันเรื่องการเงิน จงพยายามเข้าใจและรับฟังทัศนะของคู่สมรสของท่าน.
7. รักษาไว้ซึ่งการนับถือตนเอง
เกรซ ไวน์สไตน์ ให้ข้อสังเกตว่า “สำหรับบุรุษหรือสตรีผู้ซึ่งไม่มีรายได้ จะมีปัญหาทางอารมณ์เพราะสถานะที่ด้อยลงและความสามารถจะทำอะไร ๆ ตามใจชอบลดน้อยลง ทั้งสองสิ่งนี้เป็นเหตุให้เกิดการสูญเสียความนับถือตนเอง.”
อย่าด่วนสรุปว่าคุณตกงานเพราะว่าคุณไม่มีคุณค่าที่จะเป็นคนงาน. ราณีวัย 29 ปีถูกปลดออกจากงานเพียงแค่สามสัปดาห์หลังจากได้รับการเลื่อนตำแหน่งสู่ขั้นสูงที่สุดเท่าที่เป็นได้ในการปรับประจำปี. ขณะที่การเป็นคนงานซื่อสัตย์และไว้ใจได้อาจทำให้คนนั้นไม่ตกงาน แต่ไม่ใช่ทุกกรณีไป. ดังนั้น ไม่จำเป็นต้องนำเอาการตกงานมาดูถูกตนว่าไร้คุณค่า. คนงานที่มีค่าวางใจได้อาจได้รับผลกระทบเช่นกัน.
8. ตั้งงบประมาณ
หลายคนผวาความคิดในเรื่องงบประมาณ. พวกเขารู้สึกว่าเท่ากับการตั้งขอบเขต เป็นอะไรบางอย่างที่จะจำกัดพวกเขาไว้จากการจับจ่ายสิ่งของที่เขาต้องการ. ไม่เป็นเช่นนั้น งบประมาณเป็นเครื่องมือช่วยคุณให้บรรลุเป้าหมายไม่ใช่การจำกัดคุณ. เป็นแค่ระบบควบคุม เป็นแผนการอย่างละเอียดเพื่อบอกคุณว่าเงินของคุณจะไปที่ไหน และจะทำอย่างไรให้มันไปในที่ ๆ คุณต้องการ.
น่าแปลกใจ หลายคนไม่สำนึกเลยว่าเงินของเขากำลังจ่ายสำหรับอะไร. แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขาตกเป็นเหยื่อแห่งการซื้อแบบไม่ยั้งคิดและแล้วมาครวญครางว่า “เงินไปไหนหมด?” ความจำเป็นที่จะหลีกเลี่ยงการใช้จ่ายเช่นนั้นเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งโดยเฉพาะเมื่ออยู่ในช่วงความยุ่งยากทางการเงิน คัมภีร์ไบเบิลกล่าวไว้อย่างชาญฉลาดในสุภาษิต 21:5 “วางแผนอย่างระมัดระวัง และคุณจะมีอุดม, ถ้าคุณรีบด่วนทำ คุณไม่มีวันจะมีพอเลย.”—ทูเดย์ส อิงลิช เวอร์ชัน.
ที่จะติดตามคำแนะนำนี้ ต้องทำบันทึกเก็บไว้. จดทุกสิ่งที่คุณใช้จ่ายตลอดเดือน แยกประเภทค่าใช้จ่ายของคุณ. จดบันทึกว่ามีรายได้เข้ามามากเท่าไรด้วย. ถ้าคุณพบว่ามีรายจ่ายมากกว่ารายรับ จงดูที่ค่าใช้จ่ายของคุณเพื่อหาสาเหตุของปัญหานั้น. เมื่อคุณรู้ว่าคุณใช้จ่ายอะไรและที่ไหน คุณก็สามารถควบคุมการเงินของคุณ.
ควรทำให้งบประมาณของคุณปรับได้ง่าย. ในช่วงสองสามเดือนแรก อาจพบข้อผิดพลาดและรายจ่ายบางอย่างอาจถูกมองข้าม. ทำการเปลี่ยนแปลงและแก้ไขจนกระทั่งงบประมาณของคุณเหมาะกับความต้องการ. งบประมาณที่ดีจะเป็นทาสรับใช้คุณไม่ใช่เจ้านาย.a
คำแนะนำข้างต้นอาจช่วยคนเราให้ผ่านช่วงแห่งการว่างงาน. แต่เพื่อใช้การได้ จุดเหล่านี้ต้องสมดุลกับการตีราคาอย่างเหมาะสมแห่งความสำคัญแท้จริงของเงิน. ที่จริงแล้ว เงินจำเป็นแค่ไหน? มีอะไรไหมที่ควรจะมาก่อนเงิน กระทั่งเมื่อคนนั้นตกงาน? เราจะตรวจสอบคำถามเหล่านี้ในบทความถัดไป.
[เชิงอรรถ]
a สำหรับคำแนะนำเพิ่มเติมในการตั้งงบประมาณ โปรดดูตื่นเถิด 22 เมษายน 1985 หน้า 24-27 (ภาษาอังกฤษ).
[กรอบหน้า 11]
การจัดเตรียมงบประมาณ:
1. คำนวณดูว่าเงินสดที่จะได้รับมีมากเท่าใด.
2. จดบันทึกเก็บไว้ตลอดเดือนเพื่อรู้ว่าคุณกำลังจ่ายเงินไปที่ไหนบ้าง.
3. เตรียมงบประมาณขึ้นมาในตอนแรกสัก 2 อย่าง. ตัดสินใจว่าแต่ละอย่างจะต้องใช้เงินมากเท่าไร.
4. ทำการปรับเปลี่ยนงบประมาณของคุณตามความจำเป็น.
[รูปภาพหน้า 10]
คู่สมรสควรติดต่อสนทนากัน เพื่อว่าปัญหาเรื่องเงินจะไม่กลายเป็นการทุ่มเถียงกันในครอบครัว.