จะดูแลรักษาผู้ป่วยที่รอความตายอยู่นั้นอย่างไร?
เมื่อไม่นานมานี้ วิธีการที่ผู้คนรับมือกับความตายและภาวะเข้าสู่ความตายได้เปลี่ยนแปลงไปในหลายส่วนของโลก.
เมื่อก่อน แพทย์ยอมรับว่าความตายเป็นจุดจบที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในการบำบัดรักษาคนไข้บางคน—เป็นการตายอย่างสงบ และมักจะจัดการได้ที่บ้าน.
มาเร็ว ๆ นี้ ด้วยการเน้นหนักทางเทคโนโลยีและการรักษา การแพทย์ได้ถือว่าความตายคือความล้มเหลวหรือความพ่ายแพ้. ฉะนั้นจุดหมายประการสำคัญของการปฏิบัติทางแพทย์คือป้องกันความตายไม่ว่าจะเสียค่าใช้จ่ายเท่าไร. พร้อมกับการเปลี่ยนนี้ มีการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อรักษาผู้คนให้มีชีวิตยืนยาวกว่าที่เคยเป็นไปได้.
เทคโนโลยีทางการแพทย์ได้นำความก้าวหน้าอย่างที่ปฏิเสธไม่ได้มาสู่หลายประเทศ กระนั้น ก็ก่อให้เกิดความฉงนใจในประเด็นสำคัญบางประการ. แพทย์คนหนึ่งให้ความเห็นว่า “แพทย์ส่วนใหญ่สูญเสียคุณลักษณะอย่างหนึ่งอันมีค่าไปแล้วซึ่งเคยเป็นส่วนที่อยู่คู่วิชาแพทย์มา นั่นคือมนุษยธรรม. เครื่องอุปกรณ์, ประสิทธิภาพและความแม่นยำได้ขจัดความอบอุ่น, ความเมตตาสงสาร, ความเห็นอกเห็นใจ, และความห่วงใยต่อตัวบุคคลออกไปจากหัวใจ. บัดนี้ การแพทย์คือวิทยาศาสตร์ที่เย็นชา เสน่ห์ของการแพทย์หมดไปจากยุคนี้เสียแล้ว. มนุษย์ผู้ย่างเข้าสู่ความตายแทบไม่ได้รับความอบอุ่นใจเลยจากหมอเครื่องจักร.”
นั่นเป็นเพียงความเห็นของคน ๆ หนึ่ง แน่ละไม่ใช่การกล่าวหาของคนทั่ว ๆ ไปต่ออาชีพแพทย์. กระนั้น คุณอาจเคยเห็นผู้คนจำนวนมากเกิดความกลัวต่อการรักษาให้มีชีวิตอยู่โดยอาศัยเครื่องจักร.
ทัศนะอีกอย่างหนึ่งเริ่มได้ยินได้ฟังกันในลักษณะค่อยเป็นค่อยไป. นั่นคือในบางกรณีควรปล่อยให้คนจบชีวิตไปตามธรรมชาติ อย่างมีเกียรติ และโดยไม่ต้องแทรกแซงด้วยเทคโนโลยีที่ไร้ความปรานี. การสำรวจความคิดเห็นโดยวารสารไทม์เมื่อเร็ว ๆ นี้เผยให้เห็นว่ากว่าร้อยละ 75 ของผู้ที่มีการสำรวจ รู้สึกว่าควรอนุญาตให้เลิกการเยียวยารักษาที่ค้ำจุนชีวิตคนไข้ซึ่งไม่มีทางรอด. การวิจัยได้ลงความเห็นดังนี้ “เมื่อยอมรับในสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว [ผู้คน] ต้องการจะตายอย่างมีเกียรติ มิใช่โดยถูกผูกระโยงระยางกับอุปกรณ์ในห้องไอซียูคล้ายกับแบบตัวอย่างใต้ฝาครอบกระจกในห้องปฏิบัติการ.” คุณเห็นด้วยไหม? ที่ว่ามานี้เมื่อเทียบกับทัศนะของคุณในเรื่องนี้แล้วเป็นอย่างไร?
ข้อเสนอวิธีแก้ปัญหา
มีความแตกต่างกันมากในวิธีจัดการเรื่องความตายและภาวะเข้าสู่ความตาย ขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมหรือภูมิหลังทางสังคมของคน ๆ นั้น. กระนั้น ผู้คนในหลายประเทศแสดงความสนใจมากขึ้นกับปัญหาของผู้ป่วยซึ่งสิ้นหวังว่าจะหายเป็นปกติ. เมื่อไม่กี่ปีมานี้ นักจริยศาสตร์, แพทย์, และสาธารณชนทั่วไปได้ส่งเสริมความเพียรพยายามเพื่อปรับปรุงการเอาใจใส่ผู้ที่สิ้นหวังเหล่านี้.
มาตรการหนึ่งในหลายอย่างที่มีการพิจารณากันเพื่อจัดการประเด็นนี้ซึ่งใช้กันทั่วไปในโรงพยาบาลบางแห่งคือนโยบายที่ว่า “อย่าแก้ไขให้ฟื้น.” คุณทราบไหมว่ามีอะไรเกี่ยวข้องบ้าง? หลังจากหารือกันในเรื่องนี้อย่างกว้างขวางกับครอบครัวคนไข้ และน่าจะหารือกับคนไข้ด้วย มีการวางแผนการเฉพาะกรณีขึ้นมา และได้เขียนลงไว้ในบันทึกข้อมูลทางการแพทย์ของคนไข้. สิ่งนี้เพ่งประเด็นไปยังข้อจำกัดในความเพียรพยายามที่จะให้คนไข้คืนจากการหมดสติ หรือการช่วยให้ฟื้น ในคนไข้ที่ป่วยแบบหมดหวังจะรักษาให้หายได้ ถ้าสภาพการณ์ของเธอหรือเขาทรุดลง.
แทบทุกคนยอมรับว่าข้อพิจารณาประการสำคัญในการตัดสินใจที่ยากลำบากเช่นนั้นควรจะเป็นว่า “คนไข้ต้องการให้ทำอย่างไร?” กระนั้น สิ่งที่ทำให้ปัญหาเป็นเรื่องหนักหน่วง มักจะเป็นว่าคนไข้ไม่รู้สึกตัวหรือมิฉะนั้นไม่สามารถจะตัดสินใจได้ด้วยตัวเองอย่างที่เข้าใจสถานการณ์ได้. จึงเกิดมีเอกสารซึ่งอาจจะเรียกว่าพินัยกรรมเรื่องชีวิต. เอกสารนี้เปิดโอกาสให้บุคคลระบุล่วงหน้าว่าเขาปรารถนาการรักษาแบบไหนในช่วงสุดท้ายของชีวิต. ยกตัวอย่าง พินัยกรรมในลักษณะนั้นอาจจะมีข้อความทำนองนี้:
“ถ้าข้าพเจ้าอยู่ในสภาพที่บำบัดไม่หายหรือที่หวนกลับไม่ได้ ซึ่งจะทำให้เสียชีวิตเมื่อเทียบแล้วภายในเวลาไม่นาน เป็นความปรารถนาของข้าพเจ้าไม่ให้ยืดชีวิตให้ยาวออกไปด้วยกรรมวิธีหล่อเลี้ยงชีวิต. ถ้าสภาพของข้าพเจ้าถึงวาระสุดท้ายและข้าพเจ้าไม่สามารถจะมีส่วนในการตัดสินใจด้านการรักษาทางแพทย์ ข้าพเจ้าแนะนำให้แพทย์ผู้รักษาระงับหรือถอดถอนวิธีดำเนินการซึ่งเพียงแต่ยืดขั้นตอนในการเสียชีวิตให้ช้าลง และไม่ใช่สิ่งจำเป็นต่อความประโลมใจหรือให้พ้นจากความเจ็บปวด.” เอกสารเช่นนั้นอาจถึงกับระบุวิธีการบำบัดรักษาที่บุคคลผู้นั้นต้องการหรือไม่ต้องการใช้ในสถานการณ์วาระสุดท้ายของตน.
ถึงแม้ว่า พินัยกรรมเรื่องชีวิตเช่นนั้นไม่มีข้อผูกพันทางกฎหมายภายใต้ทุกสภาพการณ์ก็เป็นที่ยอมรับในหลายแห่ง. ประมาณกันว่าห้าล้านคนในสหรัฐได้เขียนพินัยกรรมเรื่องชีวิตทางการแพทย์. เจ้าหน้าที่บ้านเมืองหลายฝ่ายถือว่าพินัยกรรมแบบนี้เป็นวิธีดีที่สุดเท่าที่มีเพื่อทำให้แน่ใจว่าความประสงค์ของบุคคลได้รับความนับถือและปฏิบัติตาม.
การบำบัดหรือการดูแลชนิดไหน?
เรื่องการดูแลผู้ป่วยซึ่งหมดหนทางรักษาในทางปฏิบัติล่ะจะว่าอย่างไร? บางทีวิธีการที่ค้นคิดขึ้นมาใหม่ซึ่งเกิดประโยชน์ที่สุดคือแนวความคิดที่เรียกว่า “ฮอสพีส” ซึ่งเป็นที่ยอมรับยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ ทั่วโลก. แต่ “ฮอสพีส” คืออะไร?
แทนที่จะหมายถึงสถานที่หรืออาคาร ฮอสพีสในแง่นี้ แท้จริงหมายถึงปรัชญาหรือโปรแกรมดูแลผู้ป่วยที่หมดหนทางรักษา. มีรกรากมาจากคำภาษาฝรั่งเศสในสมัยกลางสำหรับสถานที่พักผ่อนของผู้จารึกแสวงบุญ. ฮอสพีสเน้นถึงการทำงานทั้งทีม (แพทย์ พยาบาล และอาสาสมัคร) ซึ่งทำให้แน่ใจว่าคนไข้ที่หมดหนทางรักษานั้นได้รับการดูแลให้รู้สึกสบายและแทบจะไม่รู้สึกเจ็บปวด น่าจะอยู่ในบ้านของผู้ป่วยเอง.
แม้ว่าฮอสพีสบางแห่งตั้งอยู่ภายในโรงพยาบาล แต่หลายแห่งเป็นเอกเทศ. ส่วนใหญ่จะอาศัยบุคลากรของชุมชน เช่น พยาบาลผู้มาเยี่ยม นักโภชนาการ ตัวแทนศาสนา และผู้ชำนาญในการรักษาด้วยการนวดกระดูกสันหลัง. แทนที่จะใช้มาตรการทางแพทย์เป็นแหล่งช่วยเหลือที่เด่น การรักษาแบบฮอสพีสเน้นความเมตตาสงสารเป็นเรื่องเด่นในการช่วยเหลือ. แทนที่จะเป็นการบำบัดโรคของคนไข้อย่างทุ่มเท กลับเน้นการบำบัดความไม่สะดวกสบายของคนไข้อย่างทุ่มเท. แพทย์ผู้หนึ่งพูดไว้อย่างนี้ “ฮอสพีสมิใช่ว่าดูแลรักษาหย่อนลงหรือไม่รักษาเลยหรือรักษาแบบไร้คุณค่า. นี่คือวิธีการรักษาที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง.”
คุณมีปฏิกิริยาอย่างไรต่อแนวความคิดนี้? วิธีนี้ดูเป็นแบบที่คุณรู้สึกว่าควรนำมาหารือกันกับคนที่คุณรักซึ่งอาจจะรับการวินิจฉัยโรคว่าอยู่ในสภาพหมดหนทางรักษาให้หาย และอาจหารือกับแพทย์ผู้เกี่ยวข้องไหม?
แม้ว่า การดูแลแบบฮอสพีสอาจจะไม่มีอยู่ในท้องถิ่นคุณขณะนี้ก็อาจจะมีขึ้นในวันหน้า ขณะที่การเคลื่อนไหวด้านฮอสพีสกำลังเบ่งบานขึ้นทั่วโลก. แต่เดิมถือกันว่าเป็นความเพียรพยายามนอกระบบ การดูแลแบบฮอสพีสค่อย ๆ เข้ามาสู่กระแสแห่งความนิยมในวงการแพทย์ และบัดนี้ถือว่าเป็นทางเลือกที่ยอมรับได้สำหรับผู้ป่วยที่หมดหนทางรักษาให้หาย. ในด้านกลวิธีของมัน โดยเฉพาะการใช้ยาแก้ปวดอย่างถูกวิธี ฮอสพีสได้มีส่วนช่วยในความก้าวหน้าอย่างเด่นชัดทางด้านการดูแลรักษาสุขภาพ.
ดร. กลอเรีย เวิร์ธ เขียนจดหมายไปยังวารสาร นิว อิงก์แลนด์ เจอร์นัล ออฟ เมดิซิน เล่าถึงการเสียชีวิตของน้องสาวของเธอในฮอสพีสว่า “ไม่มีสักครั้งที่น้องสาวดิฉันถูกบังคับให้รับยา อาหาร หรือของเหลวใด ๆ. เธอมีอิสระจะกิน ดื่ม . . . หรือกินยาตามที่ต้องการ . . . แต่ข้อดีที่สุดของฮอสพีสคือว่าความทรงจำของเราต่อความตายของเวอร์จิเนียมีความสบายใจและสุขใจอย่างไม่เคยมีมาก่อน. มีสักกี่ครั้งที่จะเอ่ยเช่นนี้ได้หลังจากความตายในห้องไอซียู?”
[จุดเด่นหน้า 5]
“บัดนี้ การแพทย์คือ วิทยาศาสตร์ที่เย็นชา เสน่ห์ของ การแพทย์หมดไปจากยุคนี้เสียแล้ว. มนุษย์ผู้ย่างเข้าสู่ความตายแทบไม่ได้รับความอบอุ่นใจเลยจากหมอเครื่องจักร”
[จุดเด่นหน้า 6]
ฮอสพีสเน้นการบำบัดความไม่สะดวกสบายของคนไข้อย่างทุ่มเท แทนที่จะเป็นการ บำบัดโรคอย่างทุ่มเท