การเฟื่องฟูและตกต่ำของโลกแห่งการค้า
ตอนที่ 3 การค้าที่ละโมบเผยโฉมหน้าอันแท้จริง
ในช่วงอรุณรุ่งแห่ง ศตวรรษที่ 16 การค้าของยุโรปทางภาคเหนือถูกครอบงำโดยสันนิบาตฮันเซียติก ซึ่งก็คือสมาคมพ่อค้าแห่งเมืองต่าง ๆ ทางภาคเหนือของเยอรมนี ส่วนทางภาคตะวันตกก็โดยอังกฤษกับเนเธอร์แลนด์ และทางภาคใต้โดยเวนิส.
เวนิสผูกขาดการค้าเครื่องเทศมาเป็นเวลาหลายศตวรรษ. ข้อตกลงต่าง ๆ ที่ได้ทำกับอาหรับ และภายหลังทำกับตุรกีออตโตมันนั้นได้ปิดเส้นทางการค้าทางตะวันออกอย่างเป็นผลสำเร็จแก่ผู้ที่คิดจะเป็นคู่แข่ง. หากผู้อื่นต้องการจะท้าทายการผูกขาดนี้ เขาก็ต้องหาเส้นทางใหม่ไปสู่ตะวันออกไกล. การเสาะแสวงจึงได้เริ่มขึ้น. ผลลัพธ์อย่างหนึ่งของการเสาะแสวงนี้คือการค้นพบและพิชิตอเมริกา.
ระหว่างทศวรรษปี 1490 สันตะปาปาได้มอบอำนาจดำเนินการของตนแก่โปรตุเกสและสเปนเพื่อการรณรงค์พิชิตโลกที่ยังไม่เป็นที่รู้จักกันในเวลานั้น. แต่ไม่ใช่เพียงแรงแห่งการชวนให้เข้าศาสนาเท่านั้นที่กระตุ้นสองมหาอำนาจชาวคาทอลิกเหล่านี้. ศาสตราจารย์ เชพาร์ด คลัฟ ให้ความเห็นว่า: “ทันทีที่มีการจับจองสิทธิ์สำหรับดินแดนของโลกที่ได้ค้นพบใหม่ พวกที่อ้างสิทธิ์นั้นก็ตะลีตะลานเข้าไปอย่างบ้าคลั่งเพื่อจะได้ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากดินแดนที่เขาพบนั้นเท่าที่จะทำได้.” เขากล่าวเพิ่มเติมว่า: “มีความละโมบอย่างผิดปกติในความรีบเร่งซึ่งพวกผู้บุกเบิกคาดหมายจะได้ความมั่งคั่ง. นี่คือคำวิจารณ์ที่น่าสนใจทั้งต่อเจตนาที่อยู่เบื้องหลังการสำรวจและต่อการแพร่แนวความคิดในโลกตะวันตก.” ความโลภอยากได้ทองคำและการได้ผู้คนมาเข้ารีตเป็นสิ่งกระตุ้นพวกผู้พิชิตอาณานิคมชาวสเปนในการปล้นสะดมโลกใหม่นั้น.
ในระหว่างนั้น เนเธอร์แลนด์ก็กำลังเติบโตขึ้นสู่การมีอำนาจครอบงำด้านพาณิชย์ เป็นแนวโน้มที่ไม่มียักษ์ใหญ่ทางการค้าอื่นใดอาจยับยั้งไว้ได้เลย. ที่จริง ในระหว่างช่วงศตวรรษที่ 17 ปรากฏชัดว่ามีแต่อังกฤษเท่านั้นที่เข้มแข็งพอจะท้าทายพวกดัตช์ได้. การแข่งขันทางเศรษฐกิจเข้มข้นขึ้น. ภายใน 30 ปี ในปี 1618 อังกฤษได้ขยายกองเรือเป็นสองเท่า; กลางศตวรรษที่ 17 กองเรือพาณิชย์ของดัตช์มีขนาดใหญ่เป็นสี่เท่าของกองเรือรบอิตาลี, โปรตุเกส, และสเปนรวมกัน.
ดังนั้น ศูนย์กลางการพาณิชย์ของยุโรปได้ย้ายจากเมดิเตอร์เรเนียนมาที่ชายฝั่งแอตแลนติก. โดยเรียกเหตุการณ์ดังกล่าวว่า “การปฏิวัติทางพาณิชย์” และ “หนึ่งในการเปลี่ยนขนานใหญ่ของประวัติศาสตร์” คลัฟบอกว่าสิ่งนี้ได้ก่อให้เกิด “ฐานะดีทางเศรษฐกิจซึ่งทำให้การเป็นผู้นำทางการเมืองและวัฒนธรรมของยุโรปตะวันตกมีทางเป็นไปได้ในอารยธรรมตะวันตก.”
จักรวรรดิที่ก่อขึ้นไม่เพียงแต่ด้วยน้ำตาลและเครื่องเทศ
ในปี 1602 ชาวดัตช์ได้รวมบริษัทการค้าจำนวนหนึ่งเข้าด้วยกันซึ่งดำเนินการโดยพวกพ่อค้าดัตช์และตั้งเป็นบริษัทดัตช์ อีสต์ อินเดียขึ้นมา. ในทศวรรษต่าง ๆ ที่ตามมา นอกจากมีความสำเร็จทางการค้าถึงระดับหนึ่งในญี่ปุ่นและชวาแล้ว บริษัทนี้ยังได้ขับไล่ชาวโปรตุเกสออกจากที่ซึ่งในปัจจุบันนี้คือมาเลเซียตะวันตก, ศรีลังกา, และโมลุกกะ (หมู่เกาะเครื่องเทศ) อีกด้วย. “เช่นเดียวกับพวกโปรตุเกสและสเปน” คลัฟกล่าว “[พวกดัตช์] ต้องการรักษาผลประโยชน์เกี่ยวกับการค้าทางตะวันออกไว้สำหรับเฉพาะตนเอง.” และไม่น่าแปลก! การค้ามีกำไรมากจนในศตวรรษที่ 17 เนเธอร์แลนด์ได้กลายเป็นประเทศที่มีรายได้เฉลี่ยของประชากรมากที่สุดในยุโรปตะวันตก. กรุงอัมสเตอร์ดัมก็กลายเป็นศูนย์กลางการเงินและการค้าของโลกตะวันตก.—ดูกรอบหน้า 31.
เดนมาร์กและฝรั่งเศสได้ตั้งบริษัทคล้ายกันขึ้นมา. แต่บริษัทแรก และเป็นบริษัทที่มีอิทธิพลมากที่สุดในภายหลัง ถูกตั้งขึ้นในปี 1600 คือ บริษัท อิงลิช อีสต์ อินเดีย. บริษัทนี้ได้เข้าแทนที่พวกฝรั่งเศสและโปรตุเกสในอินเดีย. ต่อมาอังกฤษก็ได้มาซึ่งฐานะทางการค้าสูงสุดในจีนอีกด้วย.
ระหว่างนั้น ในซีกโลกตะวันตก บริษัท ดัตช์ เวสต์ อินเดีย ก็กำลังดำเนินธุรกิจค้าน้ำตาล, ยาสูบ, และหนังสัตว์. และอังกฤษ หลังจากได้รวมเอาบริษัท ฮัดสันส์ เบย์ ในแคนาดาเข้าไว้ด้วยในปี 1670 แล้ว ก็ง่วนอยู่กับการพยายามหาเส้นทางตะวันตกเฉียงเหนือออกสู่แปซิฟิก เนื่องจากทำการค้าขายกับดินแดนแถบอ่าวฮัดสัน.
ปีเตอร์ นิวแมน นักหนังสือพิมพ์ กล่าวว่าการต่อสู้ระหว่างบริษัท ฮัดสันส์ เบย์ กับบริษัทคู่แข่งแห่งหนึ่งคือบริษัท นอร์ท เวสต์ “เป็นการแข่งขันทางธุรกิจเพื่อแย่งตลาดและการค้าหนังสัตว์ แต่การแข่งขันนั้นได้กลับกลายเป็นการแสวงหาอำนาจและดินแดนอย่างรวดเร็ว. . . . ทั้งสองฝ่ายต่างคิดบัญชีกันด้วยเลือด.” ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อที่แท้จริงก็คือชาวอินเดียนแดงซึ่งทั้งสองบริษัททำการค้าด้วย. “สุราได้กลายเป็นเงินตราของการค้าหนังสัตว์” เขากล่าว และเสริมดังนี้ “การค้าด้วยสุราได้ทำให้ครอบครัวเสื่อมทรามและทำลายวัฒนธรรมของชาวอินเดียนแดง.”a
โดยวิธีนี้ สองจักรวรรดิอันทรงอิทธิพลและอำนาจจึงเกิดขึ้นมา ทั้งสองถูกก่อขึ้นไม่เพียงแต่บนน้ำตาลและเครื่องเทศเท่านั้น—แต่บนเลือดด้วย! การค้าที่ละโมบกำลังเผยโฉมหน้าอันแท้จริงออกมา. ดังหนังสือเดอะ โคลัมเบีย ฮิสตอรี ออฟ เดอะ เวิลด์ กล่าวว่า: “พวกดัตช์และอังกฤษล่องเรือไปตามมหาสมุทรของโลกในฐานะตัวแทนของวิสาหกิจการพาณิชย์ . . . สำหรับบริษัทเหล่านี้ การหากำไรเป็นเจตนาที่อยู่เหนือสิ่งอื่นใด.”—ตัวเอนเป็นของเรา.
ผลกำไรบนความเสียหายของผู้อื่น
ตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 จนถึงศตวรรษที่ 18 ระบบเศรษฐกิจซึ่งรู้จักกันว่าเป็นลัทธิพาณิชย์นิยมมีผลกระทบแนวคิดของชาวยุโรปอย่างมาก. เดอะ นิว เอ็นไซโคลพีเดีย บริแทนนิกา อธิบายว่า: “[ลัทธิพาณิชย์นิยม] ยืนยันว่าการได้มาซึ่งความมั่งคั่ง โดยเฉพาะความมั่งคั่งในรูปของทองคำ เป็นสิ่งสำคัญสูงสุดสำหรับนโยบายแห่งชาติ. . . . ฉะนั้น นโยบายการค้าขายที่ถูกครอบงำโดยปรัชญาของลัทธิพาณิชย์นิยมนั้นเป็นแบบง่าย ๆ: ส่งเสริมการส่งออก, ขัดขวางการนำเข้า, และรับส่วนที่เกินดุลจากการส่งออกนั้นเป็นทองคำ.”
การปฏิบัติตามนโยบายนี้มักก่อผลเป็นความอยุติธรรมอันน่าเศร้า. ประเทศอาณานิคมถูกขูดรีดขณะที่ทองเป็นตัน ๆ ถูกยึดไปเพื่อประโยชน์ของประเทศแม่. พูดง่าย ๆ ลัทธิพาณิชย์นิยมสะท้อนถึงทัศนะละโมบ เห็นแก่ตัว ซึ่งโลกแห่งการค้าได้ส่งเสริมมาแต่แรกเริ่มเลยทีเดียว เป็นน้ำใจที่ยังคงมีอยู่จนบัดนี้.
ลัทธิพาณิชย์นิยมก็มีผู้วิพากษ์วิจารณ์คนหนึ่งที่ไม่น้อยหน้าใครคือ อะดัม สมิท ชาวสก๊อต. สมิทซึ่งเป็นนักปรัชญาทางสังคมและนักเศรษฐศาสตร์การเมืองที่มีชื่อได้จัดพิมพ์งานค้นคว้าทางเศรษฐศาสตร์ในปี 1776 มีชื่อว่า การสืบค้นลักษณะและสาเหตุความมั่งคั่งของชาติต่าง ๆ (ภาษาอังกฤษ) แม้ว่าเขาต่อต้านลัทธิพาณิชย์นิยม สมิทก็ไม่ได้กล่าวต่อต้านการแสวงหาผลกำไรที่ถูกกระตุ้นด้วยความเห็นแก่ตัว. ในทางตรงกันข้าม เขาแย้งว่าคนเราถูกชักนำโดย “มือที่มองไม่เห็น” ซึ่งกระตุ้นเขาให้เข้าร่วมในการแข่งขันทางเศรษฐกิจซึ่งมุ่งติดตามความเห็นแก่ตัวของปัจเจกบุคคล แต่เขาแย้งว่าความเห็นแก่ตัวอย่างเดียวกันนั้นอาจเป็นประโยชน์ต่อวงสังคมส่วนรวมได้.
สมิทสนับสนุนทฤษฎีเลเซ–เฟอร์ (ภาษาฝรั่งเศส “ปล่อยให้ทำ”) ซึ่งเป็นแนวความคิดที่ว่ารัฐบาลควรเข้าแทรกแซงให้น้อยที่สุดเท่าที่เป็นได้ในเรื่องเศรษฐกิจของปัจเจกบุคคล. ด้วยเหตุนั้นเขาจึงกล่าวอย่างชัดแจ้งถึงแนวความคิดของระบบทุนนิยมแห่งพวกชนชั้น.
ระบบทุนนิยม ระบบที่แพร่หลายที่สุดในปัจจุบัน และดังที่บางคนอ้างว่าเป็นระบบเศรษฐกิจที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด มีลักษณะเฉพาะโดยการมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินส่วนตัว พร้อมด้วยการค้าอย่างเสรีระหว่างบุคคลหรือบริษัทซึ่งแข่งขันกับบริษัทอื่นเพื่อผลกำไร. ประวัติศาสตร์ปัจจุบันของระบบทุนนิยมเริ่มขึ้นในศตวรรษที่ 16 ตามเมืองต่าง ๆ ในภาคกลางและภาคเหนือของอิตาลี แต่บ่อเกิดของระบบนี้ย้อนไปไกลกว่านั้นมากทีเดียว. ศาสตราจารย์ประวัติศาสตร์กิตติมศักดิ์ อีไลอัส เจ. บิคเกอร์แมน อธิบายว่า “การใช้คำทางเศรษฐกิจของคำภาษาอังกฤษ ‘capital’ ที่มาจากคำภาษาลาติน ‘caput’ ซึ่งหมายความว่า ‘หัว’ นั้น ย้อนหลังไปถึงคำภาษาบาบูโลนซึ่งก็มีความหมายเช่นเดียวกันว่า ‘หัว’ และมีความสำคัญอย่างเดียวกันทางเศรษฐกิจ.”
การค้าเผยให้เห็นโฉมหน้าอันแท้จริงในการแสวงหาประโยชน์ส่วนบุคคลหรือของชาติ. ตัวอย่างเช่น การค้าไม่เคยถดถอยเลยจากการปิดบังความจริง. หนังสือ เดอะ คอลลินส์ แอตลาส ออฟ เวิลด์ ฮิสตอรี กล่าวว่า: “นักทำแผนที่ก็เคยเป็นผู้ลงมือเอง และบางครั้งก็ถูกควบคุมให้ทำโดยไม่สมัครใจ ในกลอุบายต่าง ๆ ทางการค้า. การค้นพบเผยถึงแหล่งทรัพย์สินที่หาค่ามิได้. จะอนุญาตให้นักทำแผนที่เปิดเผยข้อมูลนี้แก่โลกได้ไหม? แทนที่จะเป็นเช่นนั้นเขาจะต้องปิดบังเรื่องนี้ไว้จากพวกผู้แข่งขันทางการค้ามิใช่หรือ? . . . ในศตวรรษที่ 17 บริษัทดัตช์ อีสต์ อินเดีย ไม่ได้พิมพ์เอกสารซึ่งอาจให้ข้อมูลแก่บรรดาคู่แข่งเลย.
การค้าทำอะไรที่เลวร้ายกว่านั้นอีก. ตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 ถึงศตวรรษที่ 19 มีการทำธุรกิจด้วยการขายชาวแอฟริกาประมาณสิบล้านคนไปเป็นทาส ซึ่งมีหลายพันคนตายในการขนส่งไปยังอเมริกา. หนังสือรูตส์ โดย อเลกซ์ แฮลีย์ และภาพยนตร์โทรทัศน์ที่สร้างจากเรื่องนี้เมื่อปี 1977 ได้พรรณนาภาพที่ชัดเจนของโศกนาฏกรรมอันน่าเกลียดนี้.
ก้อนอิฐ—จะนำไปใช้อย่างไร?
นับแต่ตอนเริ่มต้นประวัติศาสตร์มนุษยชาติ มนุษย์ไม่สมบูรณ์ได้เรียนรู้โดยการทดลองและความผิดพลาด. ไม่ใช่โดยการเปิดเผยจากพระเจ้า แต่โดยการค้นคว้าอย่างไม่ย่อท้อ หรือบางทีก็โดยบังเอิญ พวกเขาได้ค้นพบความจริงพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งถูกนำไปใช้โดยสิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ. ในปี 1750 ขณะที่อังกฤษเริ่มเปลี่ยนจากระบบเศรษฐกิจทางการเกษตรมาเป็นระบบเศรษฐกิจที่ถูกควบคุมโดยอุตสาหกรรมและการใช้เครื่องจักร บางอย่างของบรรดาสิ่งประดิษฐ์เหล่านี้—เปรียบเสมือนก้อนอิฐ—มีไว้ให้ใช้ในการก่อสร้างโลกใหม่.
กังหันลม ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในอิหร่านและอัฟกานิสถานมาตั้งแต่ศตวรรษที่หกหรือที่เจ็ดสากลศักราชนั้น ได้เตรียมทางไว้สำหรับการค้นพบและพัฒนาแหล่งพลังงานอย่างอื่น ๆ. แต่การค้าที่ละโมบจะเต็มใจละทิ้งผลกำไรอันล้นเหลือไปละหรือ เพื่อรับประกันที่จะทำให้แหล่งพลังงานนั้นปลอดภัย, ปราศจากมลภาวะ, และเป็นที่วางใจได้? หรือจะฉกฉวยประโยชน์จากวิกฤตการณ์ด้านพลังงาน—อาจถึงขนาดสร้างวิกฤตการณ์เหล่านั้นขึ้น—เพื่อประโยชน์ส่วนตน?
ดินปืน ซึ่งมีการประดิษฐ์คิดค้นขึ้นในประเทศจีนในศตวรรษที่ 10 นั้น เป็นสิ่งที่อำนวยประโยชน์ในการทำเหมืองแร่และงานก่อสร้าง. แต่การค้าที่ละโมบจะมีความกล้าหาญทางศีลธรรมไหมที่จะยับยั้งการนำมันไปใช้สร้างอาวุธเพื่อทำให้พวกนักค้าอาวุธมีความมั่งคั่งซึ่งแลกมาด้วยชีวิตมนุษย์?
เหล็กหล่อ อาจเป็นได้ว่ามีใช้ในประเทศจีนมาแล้วตั้งแต่ศตวรรษที่หกแห่งสากลศักราช เป็นสิ่งบ่งชี้ล่วงหน้าถึงเหล็กกล้าซึ่งโลกสมัยใหม่จะถูกก่อขึ้นบนสิ่งนี้. แต่การค้าที่ละโมบจะเต็มใจลดผลกำไรของตนไหมเพื่อจะป้องกันมลภาวะ, อุบัติเหตุ, และความแออัดซึ่งยุคอุตสาหกรรมจะนำมา?
เวลาเท่านั้นจะบอกให้ทราบ. จะอย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้และอิฐก้อนอื่น ๆ ก็มีการระบุไว้ว่าจะช่วยนำมาซึ่งการปฏิวัติโลก คงนำไปสู่อะไรบางอย่างที่โลกไม่เคยประสบมาก่อน. เชิญอ่านเรื่อง “การปฏิวัติอุตสาหกรรม—นำไปสู่อะไร?” ในฉบับหน้าของเรา.
[เชิงอรรถ]
a ผู้ที่ตกเป็นเหยื่ออีกพวกหนึ่งของการค้าที่ละโมบในโลกใหม่คือฝูงกระทิง 60 ล้านตัวในอเมริกาเหนือ ซึ่งที่จริงแล้ว ถูกล้างผลาญจนหมด เพียงเพื่อจะได้หนังและลิ้นของมัน.
[กรอบหน้า 31]
ธุรกิจการธนาคาร
ก่อนสากลศักราช: วิหารของชาวบาบูโลนและชาวกรีกโบราณเก็บเงินเหรียญของผู้ฝากไว้ เพื่อดูแลรักษาให้ปลอดภัย เนื่องจากไม่ใช่ทุกคนจะต้องการใช้เงินในเวลาเดียวกัน คนอื่น ๆ จึงอาจยืมเงินเหรียญบางส่วนไปใช้ได้.
ยุคกลาง: การธนาคารสมัยใหม่เริ่มขึ้น พัฒนาโดยพ่อค้าชาวอิตาลีซึ่งใช้พวกนักบวชที่เดินทาง เป็นตัวแทนส่งหนังสือรับรองสินเชื่อจากประเทศหนึ่งไปยังอีกประเทศหนึ่ง; ในอังกฤษ พ่อค้าทองได้เริ่มให้ยืมเงินที่มีผู้ฝากไว้เพื่อเก็บรักษา โดยคิดดอกเบี้ย.
ปี 1408: สถาบันหนึ่งซึ่งบางคนเรียกว่าเป็นสัญญาณของการเกิดธนาคารสมัยปัจจุบัน ได้ก่อตั้งขึ้นในเมืองเจนัว อิตาลี ติดตามด้วยสถาบันต่าง ๆ ที่คล้ายคลึงกันในเวนิส (1587) และในอัมสเตอร์ดัม (1609). นักประวัติศาสตร์คนหนึ่งกล่าวว่า “การให้บริการอย่างมีประสิทธิภาพโดยธนาคารแห่งอัมสเตอร์ดัมมีส่วนช่วยในการทำให้อัมสเตอร์ดัมเป็นศูนย์กลางการเงินของโลก.”
ปี 1661: ธนาคารแห่งสต็อกโฮล์ม ซึ่งแยกออกมาจากธนาคารแห่งอัมสเตอร์ดัม เริ่มออกตั๋วสัญญาใช้เงิน (ธนาคารสัญญาจะจ่ายเงินแก่ผู้ถือ) กิจปฏิบัติที่ชาวอังกฤษได้ทำให้สมบูรณ์แบบในเวลาต่อมา.
ปี 1670: สำนักหักบัญชีแห่งแรก เปิดขึ้นในลอนดอน เป็นสถาบันการเงินสำหรับดำเนินการชำระบัญชีหนี้สินระหว่างกัน การกำเนิดของเช็คสมัยใหม่ ในปีเดียวกัน ก็เปิดโอกาสให้ลูกค้าของธนาคารโอนใบรับเงินฝากไปยังธนาคารอื่นได้หรือโอนยอดเจ้าหนี้ให้แก่บุคคลอื่นได้.
ปี 1694: การก่อตั้งธนาคารแห่งประเทศอังกฤษ ซึ่งกลายเป็นธนาคารที่ออกธนบัตรชั้นนำแห่งหนึ่ง (ผู้สร้างเงินกระดาษ).
ปี 1944: การกำเนิดของธนาคารระหว่างประเทศเพื่อการบูรณะและพัฒนา เรียกกันอีกอย่างว่าธนาคารโลก องค์กรพิเศษซึ่งสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสหประชาชาติและตั้งขึ้นเพื่อให้ความช่วยเหลือด้านการเงินแก่ประเทศสมาชิกเพื่อโครงการบูรณะและพัฒนา.
ปี 1946: กองทุนการเงินระหว่างประเทศถูกตั้งขึ้นเพื่อ “ส่งเสริมการร่วมมือด้านการเงิน, เสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยน, การขยายการค้า; รับมือกับปัญหาดุลชำระเงินขาด.”—เดอะ คอนไซส์ โคลัมเบีย เอ็นไซโคลพีเดีย.
ปี 1989: แผนเดลอร์เสนอให้องค์การตลาดร่วมยุโรปนำอัตราแลกเปลี่ยนร่วมกันมาใช้และตั้งธนาคารกลางของยุโรปขึ้นในระหว่างทศวรรษปี 1990.
ปี 1991: การเปิดธนาคารแห่งยุโรปเพื่อการบูรณะและพัฒนา องค์กรซึ่งตั้งขึ้นในปี 1990 โดยกว่า 40 ประเทศ เพื่อจัดให้มีการช่วยเหลือด้านการเงินในการฟื้นฟูภาวะเศรษฐกิจตกต่ำของยุโรปตะวันออก.
[รูปภาพหน้า 29]
ชาวอินเดียนแดงซึ่งมักรับการจ่ายด้วยสุราตกเป็นเหยื่อของการค้ากับคนผิวขาว
[ที่มาของภาพ]
Harper’ s Encyclopædia of United States History