การช่วยคนเหล่านั้นที่มีความผิดปกติเกี่ยวกับการกิน
ครอบครัวหลายล้านทั่วโลกต้องรับมือกับสมาชิกครอบครัวที่มีปัญหาจากความผิดปกติของการกิน. ความรู้สึกหิวผิดปกติทำให้กินอย่างไม่ยั้งแล้วตั้งใจอาเจียนออกมา (บูลิเมีย-bulimia), การปฏิเสธหรือไม่สามารถกินอาหารเนื่องจากสาเหตุทางอารมณ์ (อะนอเร็คเซีย เนอร์โวซา-anorexia nervosa) และการกินอย่างควบคุมไม่ได้เมื่อมีอารมณ์โกรธหรือขัดเคืองใจ (compulsive overeating) กลายมาเป็นโรคที่แพร่หลายในบางแห่ง.
ความผิดปกติต่าง ๆ เหล่านี้มักจะเป็นปัญหาของพวกผู้หญิง. เกิดได้กับผู้หญิงทุกวัย ทั้งที่เป็นโสดและมีครอบครัวแล้ว. มีได้ตั้งแต่ก่อนวัยรุ่น, วัยรุ่น, ผู้หญิงที่แก่กว่ารวมทั้งคุณยายคุณย่าก็ประสบความทุกข์นี้ด้วย.a เนื่องจากร้อยละเก้าสิบของผู้ที่มีความผิดปกตินี้เป็นสตรี เราจึงเลือกสรรพนามที่ใช้กับสตรีเมื่อกล่าวถึงผู้ที่มีปัญหานี้.
ถ้าใครสักคนที่คุณรักมีความผิดปกติเรื่องการกิน คุณคงอยากช่วยเธอ. แต่การเพียงแค่ขอร้องให้ผู้ที่เป็นบูลิเบียหยุดพฤติกรรมการกินอย่างไม่ยั้งแล้วอาเจียน ก็เหมือนกับการบอกผู้ที่เป็นปอดบวมให้หยุดไอ. ก่อนที่คุณจะสามารถช่วยคนที่มีปัญหาเรื่องการกินได้ คุณต้องทราบและให้ความสนใจต่อความผิดปกติอย่างรุนแรงทางอารมณ์ซึ่งมักเป็นต้นเหตุของปัญหานี้. ดังนั้น การมีทักษะ—ไม่ใช่เพียงแต่ความตั้งใจดีเท่านั้น—เป็นสิ่งสำคัญ. บางครั้งปัญหาที่ซ่อนอยู่อาจเนื่องมาจากการถูกรังแกทางเพศในอดีต. ถ้าเป็นกรณีดังกล่าว ผู้ป่วยอาจต้องได้รับการช่วยเหลือพิเศษจากผู้ให้คำปรึกษาที่เชี่ยวชาญ.b
การเข้าถึงปัญหา
ไม่ใช่ง่ายเสมอไปที่จะทราบว่าลูกของคุณ, คู่ชีวิต, หรือเพื่อนของคุณมีปัญหาเกี่ยวกับการกิน. ทั้งนี้เนื่องจากคนที่มีอาการเหล่านั้นอาจปกปิดไว้. (กรุณาดูในกรอบ.) กระนั้น ความผิดปกติของการกินมักจะไม่หายไปเอง. ยิ่งมีการพูดคุยและให้ความช่วยเหลือได้เร็วเท่าไร โอกาสหายก็ยิ่งมีมาก.
อย่างไรก็ดี ก่อนจะพูดคุยกับผู้ที่สงสัยว่าจะเป็นโรคนี้ ควรวางแผนอย่างรอบคอบ ว่าจะพูดอะไรและควรจะพูดเมื่อไร. เวลานั้นคุณควรจะมีจิตใจสงบและไม่ควรจะมีอะไรมาขัดจังหวะ. การพูดจาที่ไม่ถูกต้อง—เช่นการข่มขู่อย่างรุนแรง—มักจะเป็นผลเสียต่อการติดต่อสนทนาและอาจทำให้ทุกสิ่งเลวร้ายลง.
เมื่อคุณสนทนากับคนที่คุณสงสัยว่าจะมีความผิดปกตินี้ อย่าพูดแบบตำหนิ แต่จงพูดอย่างชัดเจน. เช่นคุณอาจพูดว่า ‘เธอผอมลงเยอะทีเดียวนะ. เสื้อผ้าดูหลวมโพรก. มีสาเหตุอะไรไหม?’ หรือ ‘ฉันได้ยินเสียงเธออาเจียนในห้องน้ำ. ฉันรู้ว่าเธออาจไม่อยากบอก แต่ฉันอยากช่วยเธอนะ. เราจะคุยกันอย่างเปิดอกได้ไหม?’ ถึงแม้ว่าบุคคลนั้นอาจแสดงอาการโกรธหรือปฏิเสธ แต่การพูดด้วยใจเย็น ๆ อาจชักจูงให้เธอพูดปัญหาออกมาได้. (สุภาษิต 16:21) เป้าหมายที่เป็นประโยชน์แท้จริงของการพูดคุยครั้งแรกนั้นคือ การได้สนทนากันอย่างจริงใจไม่ปิดบัง.
ภาวะผิดปกติของการกินมักจะเกิดขึ้นเมื่อสมาชิกในครอบครัวพากันเพ่งเล็งมากเกินควรในเรื่องของขนาดรูปร่าง หรือเมื่อเด็ก ๆ ได้รับคำชมเฉพาะในเรื่องการปรากฏตัวหรือความสำเร็จของตนเป็นส่วนใหญ่. ดังนั้น ในครอบครัวของคนที่มีความผิดปกติในการกิน สมาชิกคนอื่น ๆ อาจต้องทำการประเมินทัศนะและเป้าหมายหลักของพวกเขาใหม่. การแก้ไขปัญหาของผู้ป่วยนั้นอาจหมายถึงการเปลี่ยนแปลงในส่วนของสมาชิกครอบครัวด้วย. ที่จริงแล้ว ความพยายามของพวกเขามักจะเป็นหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญที่สุดของการฟื้นตัวของผู้ป่วย.
หลีกเลี่ยงการประจันหน้า
บิดามารดาที่เดือดดาลในครอบครัวหนึ่งถึงกับพยายามยัดเยียดอาหารเข้าปากของบุตรสาวที่ไม่ยอมกินอาหาร แต่เธอขัดขืนและรู้สึกพอใจที่เธอสามารถต้านทานความพยายามของบิดามารดาได้. ดังนั้น ควรยอมรับว่าคุณไม่อาจใช้กำลังบังคับใครให้รับประทานอาหาร หรือไม่อาจหยุดการกินอย่างไม่ยั้งของใครได้. ยิ่งคุณพยายามบังคับผู้ป่วยมากเท่าใด การต่อสู้ก็จะยิ่งยืดเยื้อมากเท่านั้น.
โจผู้มีลูกสาวชื่อลีซึ่งเกือบเสียชีวิตเพราะอะนอเร็คเซีย เขายอมรับว่า “สภาพการณ์จะเลวลงทุกครั้งที่ผมเอาเรื่องการกินของเธอขึ้นมาพูด. ผมต้องหยุดพูดเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการกินอย่างสิ้นเชิง.” แอนภรรยาของโจอธิบายถึงสิ่งที่ได้ช่วยลูกสาวว่า “เราช่วยเธอให้รู้สึกว่าเธอสามารถเป็นตัวของตัวเองได้โดยไม่ต้องหันไปใช้วิธีที่อันตรายอย่างนั้น. วิธีนี้ได้ช่วยชีวิตเธอไว้.” อย่างฉลาดจงลดความสำคัญของประเด็นเรื่องการกิน. จงช่วยให้ผู้ป่วยเข้าใจว่าเมื่อเธอยอมรับประทานอาหาร เธอกำลังทำเพื่อตัวเองไม่ใช่เพื่อเอาใจคุณ.
ช่วยสร้างความมั่นใจ
ส่วนใหญ่ของผู้ที่มีความผิดปกติเรื่องการกินเป็นพวกที่มีทัศนะว่าทุกอย่างต้องดีพร้อม. หลายคนมีประสบการณ์น้อยในเรื่องความล้มเหลว. บางครั้งบิดามารดา—ด้วยความหวังดี—อาจมีส่วนทำให้เกิดปัญหานี้. โดยวิธีใด? โดยการเป็นคนปกป้องลูกมากจนเกินไป พยายามกันลูกไว้จากอุปสรรคทุกอย่าง.
ดังนั้นบิดามารดาจึงควรช่วยบุตรของตนให้ตระหนักว่าความผิดพลาดเป็นส่วนของชีวิต และไม่ได้เป็นเครื่องชี้บอกถึงคุณค่าของตัวเธอ. พระธรรมสุภาษิต 24:16 กล่าวว่า “ด้วยแม้ว่าคนชอบธรรมล้มลงถึงเจ็ดหน เขา (หรือเธอ) คงลุกขึ้นได้อีก.” ลูก ๆ คงจะไม่ถึงกับชอกช้ำเมื่อเผชิญความยากลำบากถ้าเธอได้รับการสอนว่าความพ่ายแพ้เป็นเรื่องปกติ มีเพียงชั่วคราว และสามารถเอาชนะได้.
นอกจากนั้นบิดามารดายังจะต้องยอมรับและตระหนักถึงความพิเศษเฉพาะตัวของลูกแต่ละคนด้วย. ขณะที่บิดามารดาคริสเตียนบากบั่นที่จะฝึกสอนลูกด้วยการ “ปรับความคิดจิตใจ (ตามหลักการ) ของพระยะโฮวา” พวกเขาควรยอมให้ลูกมีความเป็นตัวของตัวเองด้วย. (เอเฟโซ 6:4, ล.ม.) อย่าพยายามบีบบังคับให้ลูกเข้ากับแบบที่สร้างไว้ในใจของคุณ. เพื่อจะเอาชนะปัญหาความผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับการกิน ลูกของคุณจะต้องรู้สึกว่าความเป็นตัวของเธอเองได้รับการยอมรับและทะนุถนอมไว้.
จงพัฒนาการติดต่อสื่อความที่ดี
ในหลายครอบครัวที่บุตรหรือคู่ชีวิตมีความผิดปกติในเรื่องการกิน มักพบความบกพร่องของการติดต่อสื่อความภายในครอบครัว. พวกที่มีความผิดปกติแบบนี้มักจะมีความยากลำบากในการแสดงความรู้สึกที่แท้จริงออกมา โดยเฉพาะเมื่อความรู้สึกนั้นไม่ตรงกับของบิดามารดาหรือของคู่ชีวิต. จะเป็นเช่นนั้นเฉพาะอย่างยิ่งในครอบครัวที่ดูเหมือนมีกฎว่า ‘ถ้าเธอไม่มีเรื่องดีที่จะพูด ก็ไม่ต้องพูดอะไร.’ ดังนั้น ผู้ที่ประสบปัญหาจะหันไปหาอาหารเพื่อที่จะลบลืมความขัดเคืองใจ.
ตัวอย่างเช่น แมทธิวไม่สามารถช่วยภรรยาให้เอาชนะการกินแบบควบคุมไม่ได้. เขาโอดครวญว่า “เมื่อไรก็ตามที่เธอรู้สึกขัดใจ เธอจะร้องไห้แล้วก็กิน. เธอไม่เคย . . . บอกผมเลยว่าขัดใจเรื่องอะไรจริง ๆ.” ที่ปรึกษาคนหนึ่งได้แนะนำให้ทั้งสองจัดเวลาไว้เฉพาะอาทิตย์ละหนึ่งชั่วโมงเพื่อพูดกันเป็นส่วนตัว และให้แต่ละคนผลัดกันเผยข้อขัดข้องใจโดยอีกคนหนึ่งไม่ขัดจังหวะ. แมทธิวกล่าวว่า “วิธีนี้ทำให้ผมตาสว่างขึ้น. ผมไม่เคยทราบเลยว่าโมนิคาจะมีเรื่องไม่สบายใจมากมายหลายเรื่องถึงขนาดนี้ และผมช่างเป็นคนเข้าข้างตัวเองมากเพียงไร. ผมคิดเอาว่าผมเป็นผู้ฟังที่ดีแล้ว แต่ที่จริงไม่ใช่.”
ดังนั้น เพื่อช่วยคู่ชีวิตหรือลูกของคุณ จงพร้อมที่จะรับฟังความรู้สึกในแง่ลบหรือความไม่พอใจต่าง ๆ ของเธอ. พระคัมภีร์บอกเราว่าสมควรที่จะฟัง “คำร้องทุกข์ของคนจน” (สุภาษิต 21:13) โจและแอนต้องเรียนรู้บทเรียนนี้.
โจเล่าเกี่ยวกับบุตรสาวที่ป่วยเป็นอะนอเร็คเซียว่า “ผมจะต้องไม่ด่วนสรุปเรื่องโดยไม่รู้ข้อเท็จจริงและแสดงความขัดใจเมื่อลีมีความเห็นไม่ตรงกับผม.” แอนผู้ภรรยากล่าวว่า “จงฟังสิ่งที่ลูกอยากจะพูด. อย่าพยายามบังคับให้ลูกพูดสิ่งที่เราอยากฟัง. จงรับฟังความรู้สึกที่แท้จริงของเธอ.”
แอนยกตัวอย่างให้ฟังว่า “แต่ก่อนนี้ เมื่อลีมาบอกว่ามีคนทำให้เธอไม่สบายใจ ฉันจะบอกเธอว่าเขาคงไม่ได้ตั้งใจทำอย่างนั้นหรอก. แต่นั่นจะทำให้เธอยิ่งไม่สบายใจหนักขึ้นไปอีก. เดี๋ยวนี้ถ้าเธอมาบ่นกับฉันอย่างนั้น ฉันจะบอกว่า ‘ฉันรู้ว่าเธอต้องรู้สึกเจ็บปวด. ฉันเข้าใจว่าทำไมสิ่งนั้นทำให้เธอรู้สึกแย่มากทีเดียว.’ ดิฉันจะพยายามที่จะแสดงความร่วมรู้สึกกับเธอแทนที่จะเปลี่ยนทัศนะของเธอในขณะนั้น.” ดังนั้น จงตั้งใจฟังอย่างจริงจัง และอย่าสรุปเอาเองว่าคุณรู้ความตั้งใจและความรู้สึกของอีกฝ่ายหนึ่งแล้ว.
เมื่อมีการสื่อความกันอย่างเปิดอก เราสามารถรับความปลอบประโลมในช่วงที่มีความทุกข์ร้อนใจ และคงไม่ต้องหันเข้าหานิสัยการกินอย่างที่เป็นอันตราย. ดอว์นอธิบายถึงเหตุที่เธอไม่เคยกลับไปมีนิสัยการกินแบบบูลิเมียว่า “เมื่อฉันรู้สึกไม่สบายใจ ฉันสามารถพูดกับสามีได้เสมอเพราะเขาจะเข้าใจและปลอบโยนฉันได้จริง ๆ.”
จงแสดงความรักแบบที่เสียสละตัวเอง
บิดาที่โศกเศร้าคนหนึ่งซึ่งลูกสาวที่เป็นบูลิเมียเสียชีวิตไปเพราะหัวใจวายได้ให้คำแนะนำอย่างนี้ “จงรักลูกให้มากกว่าที่คุณคิดว่าน่าจะพออยู่แล้ว.” ถูกแล้ว จงอยู่พร้อมที่จะแสดงออกซึ่งความรักอย่างไม่อั้น. ช่วยลูกหรือภรรยาให้เข้าใจว่าความรักที่คุณมีต่อเขาไม่ได้ขึ้นอยู่กับรูปร่างหน้าตาหรือความสามารถของเขา. แต่การที่จะรักใครสักคนที่ตกเป็นเหยื่อของความผิดปกติของการกินก็ไม่ใช่เป็นเรื่องง่าย. ดังนั้น ปัจจัยสำคัญคือความรักอย่างที่เสียสละตัวเอง ซึ่งคัมภีร์ไบเบิลพรรณนาว่ามีความกรุณา, อดทนนาน, และให้อภัย. ทั้งนี้เป็นความเต็มใจที่จะจัดให้ผลประโยชน์ของคนอื่นมาก่อนของตัวเอง.—1 โกรินโธ 13:4-8.
เมื่อสามีภรรยาคู่หนึ่งทราบว่าบุตรสาวเป็นโรคบูลิเมีย พวกเขารู้สึกสับสนจนทำอะไรไม่ถูก. คุณพ่อคนนี้ให้ข้อสังเกตว่า “ผมรู้สึกว่าถ้ายังไม่แน่ใจว่าจะทำอะไร ให้ทำแต่สิ่งที่เป็นความกรุณา. ผมตระหนักว่าเธอเป็นเด็กที่มีค่ายิ่งซึ่งกำลังมีปัญหาส่วนตัวอย่างหนัก. สิ่งที่เป็นความกรุณาคือการปลอบประโลมให้ความมั่นใจและสนับสนุนทางด้านจิตใจแก่เธอ.”
บิดาคนนี้ถามบุตรสาวว่า “จะเป็นอะไรไหมถ้าแม่และพ่อจะถามเธอเป็นครั้งคราวว่าเธอจัดการกับปัญหานี้ไปถึงไหนแล้ว?” เธอแสดงความหยั่งรู้ค่าต่อความห่วงใยด้วยความกรุณาเช่นนี้ และดังนั้น บิดามารดาจึงได้ไถ่ถามเป็นครั้งคราว.
คุณพ่อได้อธิบายต่อไปว่า “มีบางช่วงที่เธอจะปลอดอาการไปหลายวัน แล้วต่อมาก็หลายสัปดาห์ และแล้วก็หลายเดือน ก่อนที่เธอจะกลับมามีอาการอีก. แต่เมื่อเธอยอมรับว่าเธอพลั้งอีกแล้ว เราจะพยายามปลอบโยนและไม่แสดงอาการผิดหวังให้เธอเห็น.” คุณแม่เพิ่มเติมว่า “เราได้พูดคุยกันมาก. ฉันจะบอกเธอว่าความก้าวหน้าของเธอเป็นที่ประจักษ์แจ้ง. ฉันบอกว่า ‘อย่าเพิ่งยอมแพ้นะลูก. คราวนี้ลูกแข็งใจได้ตั้งสองอาทิตย์เชียวนะ. ลองดูซิว่าจากนี้ลูกจะทำได้ไกลแค่ไหน.’”
คุณพ่อได้ตั้งข้อสังเกตว่า “เหตุหนึ่งที่เราไม่ทันได้สังเกตเห็นนิสัยการกินผิดปกติของลูกสาวเรา เพราะเราไม่ค่อยได้รับประทานอาหารเย็นด้วยกัน. ดังนั้น ผมจึงเปลี่ยนตารางการทำงานเพื่อสามารถอยู่รับประทานอาหารเย็นร่วมกับครอบครัวได้.” โดยการปรับเปลี่ยนเพื่อรับประทานอาหารร่วมกัน รวมทั้งการแสดงความอดทนและการเอาใจใส่ด้วยความรัก ได้ช่วยลูกสาวของเขาให้ฟื้นตัวได้อย่างสมบูรณ์.
ในขณะที่บากบั่นเพื่อทำสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับคนป่วย เป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องมีวินัยที่จำเป็นควบคู่ไปด้วย ซึ่งเป็นการสำแดงความรักอย่างหนึ่ง. (สุภาษิต 13:24) อย่าพยายามปกป้องคนป่วยไว้จากผลกระทบต่าง ๆ ที่สืบเนื่องมาจากการกระทำของเธอเอง. การให้เธอออกเงินซื้ออาหารมาแทนอาหารที่เธอกินแล้วอาเจียน หรือให้เธอทำความสะอาดห้องน้ำที่เธอทำเลอะเทอะเนื่องจากการอาเจียนที่เธอทำให้เกิดขึ้นเอง อาจสอนให้เธอทราบว่าเธอต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เธอทำ. โดยการยืนกรานให้เธอใช้ชีวิตตามกฎระเบียบอันมีเหตุผลของครอบครัว คุณก็แสดงความมั่นใจออกมาว่าเธอสามารถจัดการชีวิตตัวเองได้อย่างสมควร. วิธีนี้อาจช่วยเกื้อหนุนความรู้สึกนับถือตัวเอง ซึ่งมักขาดไปในคนที่มีนิสัยผิดปกติในการกิน.
เนื่องจากความวุ่นวายในใจ ผู้ป่วยอาจพูดด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว. ถ้าเธอทำอย่างนั้น จงพยายามมองลึกกว่าคำพูดที่อาจโพล่งออกมาในตอนนั้น. พยายามเข้าใจและหาวิธีจัดการกับแหล่งที่มาของ “ความร้อนใจ” เหล่านั้น. (โยบ 6:2, 3, ฉบับแปลใหม่) นับเป็นการท้าทายพิเศษทีเดียวสำหรับโจและแอนเมื่อลูกสาวที่เป็นอะบอเร็คเซียกลายเป็นคนที่ต่อต้านขัดขืนและพูดด่าทอ.
แอนกล่าวว่า “เราตั้งหน้าแสดงความรักต่อเธอแทนที่จะไล่เธอออกไปจากบ้าน.” สามีของเธอเสริมว่า “เราพยายามแสวงหาความช่วยเหลือให้เธอ และคอยบอกเธอเสมอว่าเราห่วงเธอมากเพียงไร.” ผลเป็นอย่างไร? ในที่สุดเธอก็มาเข้าใจว่าพ่อแม่รักเธอมากเหลือเกิน และเธอเริ่มเปิดใจพูดจากับพวกเขา.
เมื่อผู้ป่วยเป็นลูก ความเครียดที่มีต่อพ่อแม่ โดยเฉพาะกับแม่ จะมีสูงยิ่ง. ดังนั้น สามีจึงต้องให้การหนุนใจแก่ภรรยา ซึ่งสิ่งนี้นับว่าสำคัญมาก. อย่าให้ความเจ็บป่วยของลูกทำให้ชีวิตสมรสต้องพังทลายลง. จงยอมรับขีดจำกัดของคุณ.
ในบางกรณีคุณอาจต้องแสวงความช่วยเหลือจากภายนอกครอบครัว. จงประเมินทุกสิ่งที่เกี่ยวข้อง และตัดสินใจว่าความช่วยเหลือแบบไหนดีที่สุด. คุณต้องยืนกรานหนักแน่นถ้าคนป่วยลังเลใจไม่ยอมรับการรักษา. ทำให้เธอรู้ว่าคุณจะลงมือปกป้องชีวิตเธอถ้าจำเป็น แต่จงหลีกเลี่ยงการพูดในสิ่งที่คุณไม่สามารถทำได้.
บางขณะคุณอาจรู้สึกว่าทำอะไรไม่ได้อีกแล้วและดูหมดหวัง แต่อย่าลืมทูลอธิษฐานฝากปัญหาต่าง ๆ ไว้กับพระเจ้าแห่งความรัก. พระองค์ทรงช่วยได้! โจยอมรับว่า “เราทราบดีว่าเรื่องนี้เกินความสามารถที่เราจะรับมือได้เอง. สิ่งสำคัญที่เราได้เรียนรู้คือการฝากความวางใจทั้งหมดไว้กับพระยะโฮวาพระเจ้า. พระองค์ไม่เคยทำให้เราผิดหวังเลย.”
[เชิงอรรถ]
a โปรดดูบทความ “ใครบ้างเกิดความผิดปกติเกี่ยวกับการกิน?” ใน อะเวค! ฉบับวันที่ 22 ธันวาคม 1990.
b โปรดดู “การสงเคราะห์ผู้ที่ถูกญาติใกล้ชิดข่มขืน” ในวารสารที่ออกควบคู่กันคือ หอสังเกตการณ์ ฉบับ 15 เมษายน 1984
[กรอบหน้า 17]
อาการบางอย่างที่แสดงว่ามีความผิดปกติในการกิน
▪ จำกัดการกินอาหาร เช่นโดยการลดอาหารลงมากหรืออดอาหาร
▪ น้ำหนักลดลงมากหรือขึ้น ๆ ลง ๆ
▪ กรรมวิธีพิสดารในการกิน เช่นการหั่นอาหารเป็นชิ้นเล็ก ๆ
▪ ความกลัวว่าจะอ้วนขึ้น ทั้ง ๆ ที่มีน้ำหนักน้อย
▪ ใจจดจ่อและพูดแต่เรื่องอาหารและ/หรือเรื่องน้ำหนัก มักประกอบกับตารางออกกำลังกายที่โหมรุนแรง
▪ ประจำเดือนหยุดไป
▪ การแยกตัวจากคนอื่น มีทีท่าปกปิดอะไรบางอย่าง โดยเฉพาะใช้เวลามากในห้องน้ำ
▪ อารมณ์เปลี่ยนแปลงไป เช่นมีอาการซึมเศร้าและฉุนเฉียวง่าย
▪ กินมากเกินไปเมื่อโกรธ, เมื่อประหม่า, หรือเมื่อตื่นเต้น
▪ ใช้ยาอย่างไม่ถูกต้องเช่น ยาขับปัสสาวะ หรือยาถ่าย
[รูปภาพหน้า 19]
การฟังอย่างมีความร่วมรู้สึกเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง