หนุ่มสาวถามว่า . . .
ทำไมฉันต้องกลับบ้านแต่หัวค่ำ?
“พ่อแม่กำหนดเวลากลับบ้านในตอนกลางคืนให้พวกเธอไหม?” ตื่นเถิด ถามเยาวชนกลุ่มหนึ่ง. คำตอบแทบจะเป็นเสียงเดียวกันคือ ใช่! อย่างไรก็ตาม คำถามข้อต่อไปก่อให้เกิดคำตอบในหลายรูปแบบ. เราถามว่า, “เธอคิดว่า ควรได้รับอนุญาตให้อยู่นอกบ้านดึกแค่ไหน?”
หญิงสาวที่ชื่อโมนิกาตอบว่า “หนูคิดว่า เราควรทำตามที่พ่อแม่บอกเรา.”a ชายหนุ่มที่ชื่อบิล คัดค้าน. เขาแย้งว่า “ผมคิดว่า พ่อแม่ไม่ควรจะกำหนดเวลากลับของเรา. อันที่จริง ท่านอาจได้รับอนุญาตให้อยู่นอกบ้านจนดึก ตอนที่ท่านเป็นเด็กน่ะ.” สาวรุ่นที่ชื่อแซลลี พยายามเป็นกลางโดยกล่าวว่า: “หนูคิดว่า เราควรกลับเข้าบ้านไม่ว่าเมื่อไรที่พ่อแม่ต้องการ—ตราบใดที่ไม่ใช่ก่อนสองทุ่ม”. และแล้วก็มาถึง เจรี ผู้ซึ่งดูเหมือนมีความรู้สึกฉุนเฉียวกว่าเพื่อน. เขาพูดว่า: “แทนที่จะกำหนดเวลาให้เราเข้าบ้าน ท่านจะให้เราโทรศัพท์ไปบอกว่าเราอยู่ที่ไหนไม่ได้หรือ? ท่านน่าจะเข้าใจพวกเรามากกว่านี้.”
แม้ว่าคุณจะมีความคิดเห็นส่วนตัว อย่างไรก็ตาม มั่นใจได้ว่าพ่อแม่ของคุณคงมีการกำหนดเวลาให้คุณกลับเข้าบ้าน. อาจเป็นกฎตายตัวเช่น: ‘ให้ถึงบ้านก่อนสี่ทุ่มนะ ไม่งั้นจะถูกทำโทษ!’ หรืออาจเป็นไปได้ที่ว่า พ่อแม่ของคุณกำหนดเวลาเป็นกรณี ๆ ไป. เด็กสาวอายุ 16 ปีที่มีการอ้างถึงในนิตยสารทีน กล่าวว่า “หลังจากพิจารณาว่า หนูจะไปกับใครและจะไปไหน ท่านก็จะกำหนดเวลากลับบ้านให้หนู. ทั้งหมดขึ้นอยู่กับว่าหนูจะไปกับใคร และไปที่ไหน.” แม้แต่เยาวชนส่วนน้อยผู้ซึ่งดูเหมือนจะมีอิสระเสรีไม่จำกัดขอบเขต ตามปกติก็ยังต้องแจ้งให้ผู้ปกครองทราบ บ้าง ว่าเขาจะไปไหน และจะกลับเมื่อไร.
ดูเหมือนว่า เยาวชนส่วนใหญ่ไม่รู้สึกยุ่งยากใจเท่าใดนักเนื่องจากการจำกัดสิทธิ์ดังกล่าว. แต่บางคนมองการกำหนดเวลาดังกล่าวว่า เป็นเรื่องใหญ่โตกว่าการเป็นแค่สิ่งไม่สะดวกเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือมองว่าเป็นอุปสรรคต่อแผนการส่วนตัว. หนังสือชื่อ ทีนส์ สปีก เอาท์ โดยเจน รินซ์เลอร์ อ้างถึงคำบ่นของเด็กสาววัย 16 ปีคนหนึ่งว่า “หนูมีความรู้สึกเหมือนเป็นเด็กทารก และหนูมีชีวิตที่ไม่เป็นตัวของตัวเอง.” คนอื่นรังเกียจการกำหนดเวลาเข้าบ้านอย่างหนัก เนื่องจากมันก่อความยุ่งยากลำบากใจในชีวิตของพวกเขา. เด็กสาวคนหนึ่งกล่าวว่า: “ก่อนที่จะออกจากบ้าน หนูต้องบอกแม่ว่าจะไปที่ไหน จะไปกับใคร จะไปอย่างไร และจะกลับอย่างไร.”
กำหนดเวลา—ทัศนะของบิดามารดา
เหตุใดบิดามารดาของคุณจึงไม่อาจอนุญาตให้คุณเข้า และออกจากบ้านตามใจชอบ? เอาล่ะ ขอให้พิจารณา “การกำหนดเวลา” ที่ครั้งหนึ่งพระเจ้าทรงตั้งไว้แก่ชาติยิศราเอล. ในคืนแรกที่มีการฉลองปัศคา ในปี 1513 ก่อนสากลศักราช พระเจ้าทรงตรัสสั่งพวกยิศราเอลว่า: “อย่าให้ผู้หนึ่งผู้ใดออกไปพ้นประตูเรือนของตนจนถึงรุ่งเช้า.” (เอ็กโซโด 12:12, 22) ทั้งนี้จะหมายความว่าพระเจ้าทรงขาดเหตุผลไหม? เปล่าเลย. นี่เป็นการป้องกันพวกเขาไว้จากการถูกสังหารโดยทูตของพระยะโฮวา!
แม้ว่าในทุกวันนี้จะไม่มีความรีบเร่งถึงขนาดนั้นก็ตาม บิดามารดาส่วนใหญ่ก็มีเหตุผลที่ดี ในการพยายามปกป้องเยาวชนของตน. แท้ที่จริง เป็นสิ่งธรรมดาสำหรับบิดามารดาที่จะกังวลเกี่ยวกับลูก ๆ. บิดามารดาของพระเยซู “เป็นทุกข์นัก” เมื่อเขาหาพระองค์ไม่พบ—ทั้ง ๆ ที่พระองค์เป็นกุมารที่สมบูรณ์! (ลูกา 2:41-48) บิดามารดาของคุณทราบว่าคุณห่างไกลจากความสมบูรณ์มากนัก. จึงเป็นสิ่งแน่นอนว่า ท่านจะรู้สึกกังวลในตัวคุณเป็นครั้งคราว แม้ว่าคุณจะไม่ได้เป็นเด็กชอบก่อปัญหา. เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?
ด้วยเหตุที่บิดามารดาของคุณทราบดีว่า “ความปรารถนา ซึ่งมักมีในวัยหนุ่มสาว” นั้นร้อนแรงขนาดไหน. (2 ติโมเธียว 2:22, ล.ม.) ยิ่งกว่านั้น ท่านอาจทราบจากประสบการณ์ส่วนตัวว่า “เด็กที่ถูกปล่อยตามใจจะเป็นเหตุให้มารดาของตนอับอาย.” (สุภาษิต 29:15 ล.ม.) มารดาคนหนึ่งยอมรับว่า: “ดิฉันเคยเป็นเด็กสาวที่ควบคุมไม่อยู่. ดิฉันรู้เลยว่าจะปิดบังอะไรได้บ้างจากผู้ปกครอง.” ดังนั้นเมื่อบิดามารดาของคุณได้ยินได้ฟังเกี่ยวกับความสำส่อนของหนุ่มสาว การใช้แอลกอฮอล์และยาในทางที่ผิด หรืองานสังสรรค์แบบปล่อยตัวเต็มที่ในละแวกบ้าน ท่านคงสรุปว่าเป็นการสมควรแล้วที่จะออกข้อควบคุมบางประการ.
บิดามารดายังอาจห่วงใยอย่างแท้จริงต่อความปลอดภัยของคุณ. คัมภีร์ไบเบิลแจ้งให้เราทราบว่า เมื่อเหล่าบุตรชายของยาโคบชักช้าในการกลับจากอาณาบริเวณเมืองเซเค็ม ยาโคบจึงบอกโยเซฟบุตรชายของตนว่า: “จงไปดูว่าพี่ชายของเจ้า. . . สบายดีอยู่หรือไม่ แล้วจงกลับมาบอกให้พ่อรู้.” (เยเนซิศ 37:13,14) ทั้งนี้ไม่ใช่อาการปารานอยแต่อย่างใด (โรคทางจิตที่ผู้ป่วยระแวงว่าตนจะถูกกลั่นแกล้ง). เนื่องจากเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ เซเค็มจึงเป็นเขตอันตรายที่จะอยู่สำหรับพวกลูกชายของยาโคบ!—เยเนซิศ บทที่ 34.
โลกในทุกวันนี้อันตรายมากยิ่งกว่าในสมัยที่พระคัมภีร์ได้รับการจารึก—หรือแม้แต่สมัยที่บิดามารดาของคุณยังเยาว์วัย. พวกเรามีชีวิตล่วงลึกเข้ามาอยู่ใน “วาระสุดท้าย” ซึ่งเป็นระยะเวลาที่คัมภีร์ไบเบิลได้พยากรณ์ไว้ว่า “จะมีวิกฤตกาลซึ่งยากที่จะรับมือได้.” คำภาษากรีกที่มีการแปลว่า “ยากที่จะรับมือได้” อาจแปลได้อีกว่า “มีภยันตราย” “อันตราย,” “ร้ายแรง” และ “ลำบาก.” (คิงเจมส์เวอร์ชัน, ดูเอย์, อิงลิช รีไวซ์ด เวอร์ชัน, มอฟฟัทท์) หลายคนในทุกวันนี้ “ปราศจากการรู้จักบังคับตน,” หรือไม่ก็ “รุนแรง.” (2 ติโมเธียว 3:1-5; ทูเดย์ส อิงลิช เวอร์ชัน) ด้วยเหตุนี้ อาชญากรรมรุนแรง รวมทั้งการข่มขืนและฆาตกรรม เป็นเรื่องอัปลักษณ์ของชีวิตปัจจุบัน.
บิดามารดาของคุณทราบอีกด้วยว่ายิ่งดึกดื่นเท่าไร โอกาสที่คุณจะเผชิญกับอันตรายก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น. เด็กสาวคนหนึ่งยอมรับกับตื่นเถิด ว่า “สิ่งชั่วร้ายอาจจะเกิดขึ้นตอนดึก ๆ และบิดามารดาของคุณพยายามปกป้องคุณ.” หญิงสาวอีกคนหนึ่งอธิบายว่า: “หลังเที่ยงคืน มีคนขับรถที่เมาสุราเป็นจำนวนมาก ดังนั้น เป็นการดีกว่าหากเราไม่อยู่บนท้องถนนปะปนกับพวกนั้น.”
นอกจากนั้นยังมีอันตรายทางด้านศีลธรรมอีกด้วย. ขณะที่เวลากลางคืนล่วงไป การหักห้ามอารมณ์มักจะน้อยลง และพฤติกรรมที่เอะอะโวยวายจะมีมากขึ้น. ด้วยเหตุผลที่ดี คัมภีร์ไบเบิลจึงเชื่อมโยงพฤติกรรมอันเสื่อมทรามให้เข้ากับเวลาดึก. ที่ยะซายา 5:11 พระเจ้าทรงแถลงว่า “วิบัติ” จะมีแก่คนเหล่านั้นที่ “นั่งเฉื่อยแฉะอยู่จนดึกดื่น จนเขาเมาหยำเปไป.” (เทียบกับ 1 เธซะโลนิเก 5:7.) ด้วยเหตุนี้ บิดามารดาของคุณอาจเกรงว่า ยิ่งคุณเตร็ดเตร่ดึกเท่าไรก็ยิ่งเสี่ยงต่ออันตรายของการที่คุณจะเข้าร่วมในงานเลี้ยงสังสรรค์แบบปล่อยตัวเต็มที่ การเสพสุราเกินควร หรือการผิดศีลธรรมทางเพศ. ดังนั้น เมื่อคุณไม่กลับบ้านตามเวลาที่บิดามารดาเห็นสมควร ท่านก็คงรู้สึกเป็นห่วง. และท่านก็มีสิทธิ์ที่จะได้คำอธิบายจากคุณ.
เด็กสาวคนหนึ่งจำได้ว่า: “ครั้งหนึ่งหนูอยู่ที่บ้านของเพื่อนหญิงจนดึก. คุณแม่ไม่ทราบว่าหนูอยู่ที่ไหน ท่านจึงออกตามหาหนู. ท่านเดินตะโกนเรียกชื่อหนูในละแวกบ้านของเรา!” น่าละอายมิใช่หรือ? แน่นอน. แต่ก็ดังที่มารดาอีกคนหนึ่งอธิบายว่า “ดิฉันคิดว่าคงเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงที่สุด ทุกครั้งที่ [พวกลูกสาวของดิฉัน] กลับบ้านหลังจากที่มืดแล้ว.”
นั่นหมายความว่าพวกท่านใส่ใจดูแล
แต่จะว่าอย่างไร หากว่าการประพฤติแบบเสื่อมทรามนั้นอยู่ห่างไกลจากความคิดของคุณ? จะว่าอย่างไร หากคุณมีความต้องการแค่ที่จะใช้เวลาอยู่กับพวกเพื่อน ๆ ของคุณบ้าง? เป็นที่ยอมรับว่าการที่คุณต้องอยู่บ้านในขณะที่คนอื่น ๆ วัยเดียวกับคุณได้รับอนุญาตให้ออกไปเที่ยวนั้น สามารถก่อให้เกิดความอึดอัดใจไม่น้อย. คุณอาจรู้สึกเขินอายด้วยที่จะต้องอธิบายให้เพื่อน ๆ ทราบว่า คุณไม่อาจไปกับพวกเขาได้เนื่องจากกลับดึกไม่ได้. แต่เมื่อคุณใคร่ครวญดูคำกล่าวของเด็กสาวชื่อเลสลีแล้วละก็จะพบว่ามีความจริงมากทีเดียว. เธอกล่าวว่า: “คุณจะทำอะไรตอนเที่ยงคืน ที่คุณจะทำตอนสองทุ่มไม่ได้?” พูดอีกแง่หนึ่งคือว่า นันทนาการประเภทต่าง ๆ ที่ไม่เสื่อมเสียสามารถเข้าส่วนร่วมได้ในช่วงที่ผู้คนส่วนใหญ่ยังไม่เข้านอนมิใช่หรือ? ดังนั้น ทำไมพาตัวเองไปเสี่ยงกับอันตราย ซึ่งเกิดขึ้นเนื่องจากการเตร็ดเตร่จนดึกดื่นเกินไป?
อีกประเด็นหนึ่งที่น่าใคร่ครวญ: การอยู่นอกบ้านจนดึกดื่นเป็นการใช้เวลาอย่างเหมาะสมไหม? คัมภีร์ไบเบิลสนับสนุนคริสเตียนดังนี้: “เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงระวังให้ดีในการประพฤติ อย่าให้เหมือนคนอปัญญา แต่ให้เหมือนคนมีปัญญา จงซื้อโอกาสมาใช้ เพราะว่าบัดนี้เป็นกาลที่ชั่ว.” (เอเฟโซ 5:15,16) นอกจากนั้น การอดหลับอดนอนจะช่วยส่งเสริมการเรียนของคุณ หรือช่วยคุณทำงานบ้านให้เสร็จไหม? นั่นจะเป็นอุปสรรคต่อความสามารถของคุณในการสำรวมจิตใจ ณ การประชุมฝ่ายคริสเตียนไหม?
สุดท้าย คุณสามารถมองดูการที่บิดามารดากำหนดเวลากลับบ้านให้คุณว่า เป็นการแสดงออกซึ่งความรักของท่าน. ในหนังสือของเขาที่ชื่อ ฮาว ทู เรซ แพเรนตส์ คเลตัน บาร์โบ ผู้เขียนถามว่า “คุณจะคิดอย่างไร ถ้าผมในฐานะผู้ปกครองของคุณบอกกับคุณว่า ‘พ่อไม่สนใจว่าลูกจะใช้ยาเสพย์ติด หรือดื่มสุรา หรือสูบบุหรี่. พ่อไม่สนใจว่าลูกจะขับรถเร็วหรือไม่. พ่อไม่สนใจว่าลูกจะเที่ยวเตร่ดึกดื่นแค่ไหน.’ เท่ากับผมกำลังบอกอะไรกับคุณ? แน่นอน: เท่ากับผมกำลังพูดว่า ‘พ่อไม่รักลูก. พ่อไม่ห่วงใยลูก. ลูกไม่มีความสำคัญสำหรับพ่อ.’” จริงอยู่ ในบางครั้งคุณอาจรู้สึกอิจฉาบ้างต่อเยาวชนที่ได้รับอิสระมากกว่าคุณ. แต่จงจำไว้ว่า: “บุคคลผู้ไม่ยอมใช้ไม้เรียวก็เป็นผู้ที่ชังบุตรของตน แต่บุคคลผู้รักบุตรย่อมเฆี่ยนตีสั่งสอน.”—สุภาษิต 13:24.
ตลอดชีวิตคุณจะต้องเผชิญกับกฎเกณฑ์ และระเบียบข้อบังคับ. ดังนั้น ทำไมจะต่อต้านการกำหนดง่าย ๆ เรื่องเวลากลับบ้าน? เป็นความจริง บางครั้งการกำหนดเวลากลับบ้านอาจไม่สมเหตุสมผล และบทความต่อไปจะช่วยคุณให้รับมือกับสถานการณ์เช่นนั้น. แต่โดยทั่วไปแล้ว เป็นการฉลาดสุขุมที่จะให้ความร่วมมือกับบิดามารดาของคุณ และพยายามเข้าใจความรู้สึกของท่าน. สุภาษิต 28:7 กล่าวว่า: “บุตรที่ประพฤติตามคำสั่งสอนก็เป็นคนมีปัญญา.” อาจเป็นได้ที่ว่า ขณะที่วันเวลาผ่านไป คุณจะมีแง่คิดดั่งหญิงสาวคนหนึ่งที่กล่าวว่า: “ตอนนั้นดิฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมคุณพ่อคุณแม่ถึงได้ปกป้องดิฉันนัก และจะรู้สึกเป็นทุกข์ เมื่อดิฉันกลับบ้านดึก. มาบัดนี้ เมื่อดิฉันเองเป็นแม่ ดิฉันจึงเข้าใจว่าทำไมคุณแม่ถึงได้นั่งรอดิฉัน. เพราะท่านห่วงใยดิฉันนั่นเอง!”
[เชิงอรรถ]
a ทั้งหมดเป็นนามสมมุติ.
[รูปภาพหน้า 19]
หนุ่มสาวมักจะไม่พอใจที่ต้องกลับบ้านแต่หัวค่ำ