หนุ่มสาวถามว่า . . .
ฉันจะมีความกล้าเพื่อทำให้ต่างออกไปได้อย่างไร?
“บางครั้งความกดดันจากคนรุ่นเดียวกันเป็นเหตุให้ผมทำในสิ่งที่รู้สึกว่าผิด แต่ถ้าไม่ทำก็จะต่างจากคนอื่นมากไป. ผมเลยต้อง ยอมทำตาม.”—จอห์น.
“ความกดดันจากคนรุ่นเดียวกันได้รุกล้ำเข้ามาในชีวิตของเราทุกด้าน.” นักเขียน เลซเลย์ เจน นอนคิน พูดเช่นนั้น. คนรุ่นเดียวกันพยายามกำหนดวิธีที่คุณแต่งตัว. พวกเขาวางกฎเกี่ยวกับวิธีที่คุณเดิน, พูด, และไว้ทรงผม. ไม่ยอมให้มีปัจเจกภาพ. ต้องคล้อยตาม—หรือไม่ก็ถูกปฏิเสธ!
อย่างไรก็ตาม หนุ่มสาวคริสเตียนไม่ตกเป็นทาสของการคล้อยตาม. โดยปฏิบัติตามกฎซึ่งพระเยซูได้วางไว้ที่โยฮัน 15:19 พวกเขาจึง “มิได้อยู่ฝ่ายโลก” แห่งคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า.a ถึงกระนั้น เป็นสิ่งท้าทายที่อยู่ในโลกแต่ไม่ได้เป็นส่วนของโลก. เหมือนกับการพายเรือในทะเลคลั่ง. คุณอยู่ในน้ำและถูกล้อมรอบด้วยน้ำ แต่ที่จะมีชีวิตรอดคุณต้องออกความพยายามให้มากเท่าที่เป็นไปได้เพื่อมิให้น้ำเข้าเรือ! ในทำนองเดียวกัน เยาวชนท่ามกลางพยานพระยะโฮวาพยายามไม่ให้สิ่งเลวร้ายของโลกแทรกซึมเข้ามาในชีวิตของพวกเขา.
แต่เรื่องนี้ไม่ง่ายเสมอไป. ขอพิจารณาชายหนุ่มพยานฯ คนหนึ่งในประเทศญี่ปุ่น ชื่อเออิชิโร. ท่ามกลางเยาวชนเช่นเดียวกับผู้ใหญ่ ความกดดันที่ให้คล้อยตามรุนแรงมากในประเทศนั้น เออิชิโรจำได้ว่า “ที่โรงเรียน สติรู้สึกผิดชอบทำให้ผมไม่สามารถเข้าส่วนร่วมในพิธีเกี่ยวกับสัญลักษณ์และเพลงประจำชาติ. นอกจากนี้ ผมไม่อาจเรียนศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัว เพราะสิ่งดังกล่าวขัดแย้งกับหลักการในคัมภีร์ไบเบิล.” (ดูเอ็กโซโด 20:4, 5 และลูกา 4:8; ยะซายา 2:4 และลูกา 10:27.) สิ่งนี้ทำให้เออิชิโรตกเป็นเป้าสายตา—บางครั้งถึงกับอึดอัดใจด้วยซ้ำ—ท่ามกลางคนรุ่นเดียวกัน.
หนุ่มสาวพยานฯ ทั่วโลกเผชิญสถานการณ์อย่างเดียวกัน. ชายหนุ่มคริสเตียนคนหนึ่งพูดว่า “วันนักขัตฤกษ์เป็นเรื่องที่ลำบากที่สุด. เด็กนักเรียนทุกคนจะถามว่า ‘ทำไมไม่เข้าร่วมการฉลอง?’” สำหรับหญิงสาววัยรุ่นคนหนึ่ง ปัญหาที่ยากที่สุดคือ “ควรออกนอกบ้านกับเพื่อนชายหรือไม่.” คริสเตียนวัยรุ่นอีกคนหนึ่งบ่นเกี่ยวกับความกดดันในการเข้าสังคม. เขาพูดว่า “ผู้คนถามคุณตลอดเวลา ‘คุณไม่ไปงานเลี้ยงหรือ?’” หนุ่มสาวพยานฯ คนอื่น ๆ ถูกหัวเราะเยาะที่ไม่หนีเรียน หรือไม่ทุจริตในการสอบ. ดังนั้น เห็นได้ไม่ยากว่าการที่จะต่างออกไปต้องมีความกล้าอย่างแท้จริง และไม่ใช่หนุ่มสาวทุกคนคิดว่าตนเองมี.
หญิงสาวคนหนึ่งเขียนมาว่า “ฉันดำเนินชีวิตสองแบบ—แบบหนึ่งที่โรงเรียนและแบบหนึ่งที่บ้าน. ที่โรงเรียนฉันคลุกคลีกับหนุ่มสาวทั่วไป. แต่หนุ่มสาวเหล่านี้ใช้คำด่าเกือบทุกครั้งที่เปิดปากพูด และฉันกำลังจะเป็นเหมือนพวกเขา. ฉันจะทำอย่างไรดี?” คำตอบที่ชัดเจนก็คือ: “พยายามให้มีความกล้าที่จะต่างออกไป! แต่โดยวิธีใด?
แหล่งแห่งความกล้าที่แท้จริง
ความกล้าเป็นพลังทางจิตใจหรือศีลธรรมที่จะต้านทานสิ่งอันตราย, ความกลัว, หรือความยากลำบาก. ไม่ใช่ทุกคนมีความกล้า กระนั้นก็เป็นสิ่งที่หามาได้. อัครสาวกเปาโลอธิบายว่า “พระเจ้าไม่ได้ทรงประทานให้เรามีใจสะดุ้งกลัว แต่ทรงประทานให้เรามีใจประกอบด้วยฤทธิ์และด้วยความรักและด้วยกิริยาเสงี่ยมเจียมตัว.” (2 ติโมเธียว 1:7) ใช่แล้ว พระเจ้าสามารถประทานกำลังซึ่งจะช่วยคุณกล้าเผชิญหน้ากับคนรุ่นเดียวกันได้.—ฟิลิปปอย 4:13.
แต่คุณจะได้พลังนี้มาอย่างไร? วิธีหนึ่งที่ง่าย ๆ คือขอพลัง. พระเยซูทรงสัญญาไว้ที่โยฮัน 16:24 ว่า “จงขอและจะได้.” โดยเฉพาะเมื่อคุณกำลังเผชิญกับการล่อใจที่ให้อะลุ้มอล่วย อย่าลืมที่จะอธิษฐาน. หญิงสาวคริสเตียนคนหนึ่งพูดว่า “ฉันอธิษฐานถึงพระยะโฮวาเพื่อได้รับพลังควบคุมจิตใจและหัวใจ.”
หนุ่มสาวที่มีความกล้าในสมัยโบราณ
การอ่านและคิดรำพึงเรื่องราวในคัมภีร์ไบเบิลซึ่งพูดถึงผู้รับใช้ที่กล้าหาญเป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยคุณพัฒนาความกล้า. ตัวอย่างเช่น คุณอายไหมที่จะให้คนอื่นรู้ว่าคุณเป็นพยานพระยะโฮวาคนหนึ่ง? ถ้าเป็นเช่นนั้นจงศึกษาเรื่องราวที่ 2 กษัตริย์ 5:1-5. เป็นเรื่องราวของเด็กหญิงยิศราเอลคนหนึ่งที่ถูกลักพาตัวไปซึ่งกล้าพูดถึงความเชื่อของเธอต่อหน้าคนอื่น ๆ. อีกเรื่องหนึ่งที่น่าตื่นเต้นได้รับการบันทึกที่กิจการ 4:20. ที่นั่นพวกอัครสาวกมีใจกล้าบอกกับคนที่ต่อต้านว่า “ข้าพเจ้าจะไม่พูดตามที่ได้เห็นและได้ยินนั้นก็หามิได้.” การศึกษาเรื่องราวเหล่านี้อาจกระตุ้นให้แสดงความกล้าอย่างเดียวกันในการพูด.
อีกเรื่องหนึ่งที่น่าตื่นเต้นคือเรื่องของดานิเอลและเพื่อนสามคนชื่อ ซัดรัค, เมเซ็ค และอะเบ็ดนะโค. พวกเขาอยู่ในกลุ่มชายหนุ่มชาวยิวชั้นยอดซึ่งถูกจับและพาตัวไปที่บาบูโลน. กษัตริย์บาบูโลนตั้งพระทัยที่จะฝึกชายหนุ่มเหล่านี้สำหรับตำแหน่งทางการปกครอง ที่มีความรับผิดชอบ. เพื่อจะให้พวกเขาเข้ามาใช้ชีวิตแบบชาวบาบูโลน ชื่อยิวของชายหนุ่มเหล่านี้จึงถูกเปลี่ยนใหม่และได้รับการสอนภาษาและวิถีชีวิตแบบบาบูโลน. นอกจากนี้ ผู้จับกุมพยายามให้พวกเขาเลิกกิจปฏิบัติแบบยิวโดยเลี้ยงดูพวกเขาด้วย “อาหารเครื่องเสวย [ของกษัตริย์].”—ดานิเอล 1:7, 8.
ตามความคิดของชาวบาบูโลน สิ่งเหล่านี้เป็นอาหารโอชะของนักรับประทาน. แต่สำหรับชาวยิวที่เกรงกลัวพระเจ้า อาหารของชาวบาบูโลนเป็นที่น่าสะอิดสะเอียนทางศาสนา. กระนั้น ปรากฏว่าเชลยหนุ่มส่วนใหญ่ยอมจำนนต่อการล่อใจ—ทั้งหมดยกเว้นดานิเอลและเพื่อนของท่าน. ลองนึกภาพความกดดันที่พวกเขาอาจได้รับจากชาวยิวรุ่นเดียวกัน! ชายหนุ่มเหล่านี้มีปฏิกิริยาอย่างไรต่อความกดดันเช่นนั้น? จงอ่านเรื่องราวที่เสริมสร้างความเชื่อให้เข้มแข็งในดานิเอลบท 1 ด้วยตัวคุณเอง. บางทีเรื่องนี้จะช่วยคุณให้มีความกล้าที่จะปฏิเสธยาเสพย์ติดหรือแอลกอฮอล์หากมีใครเสนอให้คุณ!
“จงกล้าหาญ”
เพียงแต่อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับความกล้ายังไม่พอ. เพื่อพัฒนาความกล้าที่จะช่วยคุณรับมือกับความกดดันจากคนรุ่นเดียวกัน ทุกวันคุณต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของเปาโลที่ได้ให้ไว้กับชายและหญิงในประชาคมโกรินโธ: “จงตั้งมั่นคงในความเชื่อ; จงกล้าหาญและเข้มแข็ง.” 1 โกรินโธ 16:13, เดอะ เจเรูซาเลมไบเบิล.
ยกตัวอย่าง เมื่อคุณอยู่ไกลสายตาพ่อแม่และสมาชิกในประชาคมคริสเตียน คุณเปลี่ยนแบบเสื้อผ้า และทรงผมเพื่อให้เข้ากับหนุ่มสาวของโลกไหม? หรือคุณยึดมั่นกับมาตรฐานฝ่ายคริสเตียนโดยไม่อะลุ้มอล่วย? หญิงสาวคริสเตียนที่มีความกล้าคนหนึ่งพูดว่า “ฉันไม่ติดตามแบบใหม่ ๆ ทุกอย่างที่ออกมา.”
อีกคำถามหนึ่ง: คุณกล้าพอที่จะให้เพื่อนนักเรียนรู้ว่าคุณเป็นพยานพระยะโฮวาคนหนึ่งไหม? ถ้าทางโรงเรียนอนุญาต คุณนำคัมภีร์ไบเบิลและสรรพหนังสือเกี่ยวกับพระคัมภีร์ติดตัวไปด้วยไหม? ถ้าในชั้นเรียนมีประเด็นเกี่ยวกับวิวัฒนาการ, พิธีเกี่ยวกับการรักชาติ, หรือการเติมเลือดเกิดขึ้น คุณได้ ‘โต้ตอบต่อหน้าทุกคนซึ่งเรียกเหตุผลจากคุณสำหรับความหวังของคุณไหม?’” (1 เปโตร 3:15, ล.ม.) หรือคุณเพียงแต่นั่งเงียบด้วยความกังวล? พระเยซูคริสต์ได้ตรัสว่า ‘ถ้าผู้ใดมีความอายเพราะเราและถ้อยคำของเรา เราก็จะมีความอายเพราะผู้นั้น.’—มาระโก 8:38.
แทนที่จะอาย คริสเตียนที่มีความกล้า อวด เรื่องความหวังที่มีพื้นฐานตามหลักพระคัมภีร์ของพวกเขา! (เปรียบเทียบเฮ็บราย 3:6.) เออิชิโร ชายหนุ่มชาวญี่ปุ่นที่ได้กล่าวถึงตอนต้น เรียนรู้ที่จะทำเช่นนั้น. เขาถูกถามบ่อย ๆ ถึงสาเหตุที่ไม่เข้าส่วนในพิธีเกี่ยวกับการรักชาติหรือศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัว. เขาเสียเปรียบไหมที่ต่างออกไป? “ไม่.” เขาบอกว่า “ผมมองเรื่องทั้งหมดเหล่านี้ว่าเป็นการท้าทาย. คุณคงเข้าใจ ผมต้องเตรียมคำตอบเพื่อปกป้องการกระทำของผมและต้องไว้วางใจในความช่วยเหลือจากพระยะโฮวา. ดังนั้น ในระยะยาวการเสียเปรียบก็จะกลายเป็นการได้เปรียบ.”
เช่นกันจงเรียนรู้ที่จะพูดอย่างกล้าหาญเมื่อคุณเผชิญการล่อใจ. สุภาษิต 1:10-15 กล่าวว่า “ศิษย์ของเราเอ๋ย, ถ้าแม้คนพาลชักชวนเจ้า, เจ้าอย่าได้ยอมตาม. ถ้าเขากล่าวว่า ‘มาไปกับเราเถอะ . . . ’ ศิษย์ของเราเอ๋ย เจ้าอย่าดำเนินในทางนั้นกับเขา. จงยั้งเท้าของเจ้าอย่าย่างเข้าไปในทางของเขา.” แน่นอน นี่ไม่ได้หมายความว่าต้องเทศนาสั่งสอน. ในหนังสือของเธอชื่อวิธีที่จะพูดปฏิเสธและรักษาเพื่อนไว้ได้ (ภาษาอังกฤษ) ที่ปรึกษา ชารอน สก็อตต์ ให้ข้อสังเกตว่าบางครั้งคุณอาจเดินเลี่ยงไปก็เท่านั้น, บอกปัดการเชื้อเชิญ—หรือเพียงแค่เมินเฉย. แต่บางครั้ง คุณอาจแทบไม่มีทางเลือกแต่ต้องพูดออกมาและให้คนอื่นรู้ว่า ทำไม คุณไม่สามารถมีส่วนร่วมกับพวกเขา. ที่ปรึกษาสก็อตต์แนะนำว่าคุณต้องเด็ดเดี่ยว: “อย่าทำเป็นอ้ำอึ้ง . . . สบตาตลอดเวลา. . . . พูดด้วยน้ำเสียงที่มั่นคงและหนักแน่น.”
คุณอาจจะถูกล้อเลียนหรือเยาะเย้ยเรื่องจุดยืนของคุณต่อไป. กระนั้น มีหลายคนชมเชยคุณแม้จะฝืนใจก็ตาม. ไมค์ วัยรุ่นอีกคนหนึ่ง พูดว่า “เพื่อน ๆ หลายคนรู้ว่า ผมเป็นพยานฯ, และพวกเขานับถือผม. ถ้าพวกเขากำลังจะพูดคุยกันถึงเรื่องสกปรกหยาบโลน พวกเขาจะบอกว่า ‘ไมค์ พวกเรากำลังจะคุยกันแล้วนะ เอาละ ถ้าคุณต้องการจะไป ก็ไปเถอะ.’” ไม่ใช่หนุ่มสาวทุกคนจะให้ความนับถือคุณเช่นนั้น. แต่แน่นอนพระเจ้าทรงพอพระทัยในแนวทางปฏิบัติของคุณ. (1 เปโตร 4:3-6) ด้วยเหตุนี้หญิงสาวคริสเตียนคนหนึ่งพูดว่า “อย่ากังวลในสิ่งที่คนอื่นคิดเกี่ยวกับตัวคุณ!” ทัศนะของพระเจ้า เป็นสิ่งที่สำคัญ. และพระองค์จะอวยพระพรคุณเพราะคุณกล้าที่จะต่างออกไป.
[เชิงอรรถ]
a โปรดดูบทความเรื่อง “ทำไมฉันจึงต้องต่างออกไป?” ในฉบับวันที่ 8 มิถุนายน 1992.
[รูปภาพหน้า 16]
เมื่อถึงโอกาสที่จะอธิบายความเชื่อของคุณ คุณพูดออกมาไหม?