การเพ่งดูโลก
โรคติดเชื้อหวนกลับ
“อันตรายจากโรคติดเชื้อยังไม่ได้หมดไป. อันตรายมีแต่จะมากขึ้น” เป็นคำกล่าวของ โรเบิร์ต ชอป ประจำมหาวิทยาลัยเยล ในรายงานที่ออกโดยสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติของสหรัฐ. “ถ้าเราไม่เตรียมพร้อมอีกครั้งเพื่อควบคุมเหตุการณ์ เราอาจต้องเผชิญวิกฤตการณ์ใหม่ที่คล้ายกันกับโรคระบาดใหญ่ HIV หรือโรคไข้หวัดใหญ่ที่ระบาดในช่วงปี 1918-1919.” โรคสี่ชนิดได้ “ปรากฏตัวโดยดูเหมือนว่าไม่มีแหล่งที่มา ก่อให้เกิดความทุกข์และความตายเป็นอันมาก” เป็นคำกล่าวเสริมจาก โจชัว เลเดอร์เบิร์ก ประธานร่วมกับ ชอป ในคณะกรรมการซึ่งเตรียมรายงานนั้น. โรคดังกล่าวคือวัณโรคชนิดดื้อยา, เอดส์, โรคไลม์ (Lyme), และโรคชนิดใหม่ที่อันตรายถึงตายซึ่งเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย (streptococcal infection). แม้ว่ามีการคิดค้นยาและยาปฏิชีวนะหลายอย่างในช่วงสามสิบปีที่ผ่านมา แต่จุลินทรีย์ก็ได้พัฒนาความดื้อยาเหล่านั้นในหลายหลากวิธี. ตัวอย่างเช่น แบคทีเรียสามารถสับเปลี่ยนธาตุพันธุกรรม รวมทั้งหน่วยถ่ายพันธุ์สำหรับต่อต้านยาปฏิชีวนะ. ยังผลให้โรงพยาบาล, สถานรับเลี้ยงเด็กกลางวัน, และที่อาศัยสำหรับคนไร้บ้านได้กลายเป็นแหล่งเพาะโรคติดเชื้อที่ดื้อยา. และการเดินทางระหว่างประเทศที่ทวีมากขึ้นได้กระจาย “เชื้อโรคซุปเปอร์” เหล่านี้ไปทั่วโลก. แบรี่ บลูม ประจำวิทยาลัยแพทยศาสตร์ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ แห่งนิวยอร์กกล่าวว่า “เมื่อพูดถึงโรคติดเชื้อ ไม่มีสถานที่ใดไกลพอที่เราจะหนีพ้น หรือไม่มีคนใดที่เราจะไม่เกี่ยวข้องด้วย.”
อาชญากรรมรุนแรงของแคนาดา
“คิดว่าแคนาดาเป็นสถานที่สงบไหม? จงคิดอีกที” เป็นคำกล่าวของ เดอะ โตรอนโต สตาร์. “แคนาดามาเป็นอันดับสองของอัตราอาชญากรรมรุนแรงในโลกตะวันตก” รองจากสหรัฐ. การศึกษาค้นคว้าระหว่างชาติรายหนึ่งแสดงให้เห็นว่า อัตราอาชญากรรมของแคนาดาสูงกว่ายุโรปตะวันตกสองถึงสามเท่า ซึ่งยุโรปตะวันตกสูงกว่าญี่ปุ่นสามเท่า. ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมานี้ ได้พบว่าอาชญากรรมในแคนาดาทวีเป็นสองเท่าและกระทั่งสามเท่า โดยในเมืองแวนคูเวอร์, เอ็ดมันตัน, และออตตาวามีอัตราอาชญากรรมสูงสุด. รองลงมาคือ ลอนดอน, ออนตาริโอ และติดตามด้วยโตรอนโตและมอนทรีออล. เออร์วิน วอลเลอร์ นักอาชญาวิทยาประจำมหาวิทยาลัยออตตาวา กล่าวว่าอาชญากรรมรุนแรงอาจเลวร้ายยิ่งขึ้นหากไม่มีการทำอะไรลงไปเพื่อเข้าถึงต้นตอของปัญหา เช่น ความยากจน, ที่อยู่อาศัย, การทอดทิ้งไม่ดูแล, การว่างงาน, และการใช้สารเสพย์ติด.
ดนตรีเลี้ยงปศุสัตว์
ผู้เลี้ยงวัวนมในญี่ปุ่นได้พยายามหาวิธีที่มีประสิทธิภาพมากกว่าและสิ้นเปลืองเวลาน้อยกว่าในการรวบรวมวัวที่หากินกระจัดกระจายตามเนินเขา ที่ซึ่งทัศนวิสัยมีจำกัด. เขาจึงได้ทำการทดลองเพื่อดูว่าจะต้อนวัวด้วยดนตรีได้หรือไม่. เป็นเวลา 13 วันเขาเปิดเพลงญี่ปุ่น ฮารึ โน โอกาวา (ลำธารในฤดูใบไม้ผลิ) ให้วัว 16 ตัวฟัง ครั้งละสามนาที วันละสองถึงสี่ครั้ง. ทันทีหลังจากนั้น เขาให้อาหารที่วัวโปรด. หลังจากหยุดไปในฤดูหนาว ซึ่งเป็นช่วงที่วัวออกลูก วัวสิบตัวที่ผ่าน “การฝึก” ถูกปล่อยไปกินหญ้าพร้อมด้วยลูกวัวเก้าตัวของมัน. มีการเปิดเพลงแบบเดิมอีก. “ภายในสองนาทีฝูงวัวทั้งหมดก็มาถึง รวมกันเข้ามาโดยดนตรีที่มันไม่ได้ยินเป็นเวลาประมาณสามเดือน” ตามรายงานใน อาซาฮี อีฟนิง นิวส์.
ความลับทางการแพทย์ที่เก็บ รักษาไว้อย่างดี
ความลับที่เก็บรักษาไว้อย่างดีที่สุดเรื่องหนึ่งของวงการแพทย์แห่งเดนมาร์ก ได้รับการเปิดเผยโดยศาสตราจารย์ มาร์กาเรตา มิกเกลเซน ซึ่งเป็นที่ปรึกษาคนหนึ่ง. เธอได้เปิดเผยว่าบุคลากรทางการแพทย์ที่ตรวจคนไข้เกี่ยวกับโรคทางกรรมพันธุ์ ตรวจพบเป็นประจำว่าผู้ชายที่มีการระบุว่าเป็นบิดาของเด็กไม่อาจเป็นบิดาทางชีววิทยาได้เพราะความไม่สอดคล้องต้องกันของโครโมโซม. ตามเรื่องในหนังสือพิมพ์ ซืดดอยเช ไซตุง ระหว่าง 5 ถึง 8เปอร์เซ็นต์ของผู้ที่เป็นบิดาในเดนมาร์กไม่ได้เป็นบิดาทางชีววิทยาของลูกของตน. ทั้งนี้หมายความว่าอย่างน้อย 3,000 รายในการเกิด 60,000 รายมาจากความไม่ซื่อสัตย์. แต่จะไม่บอกชายเหล่านั้นเกี่ยวกับการค้นพบ ทั้งนี้กลัวว่าครอบครัวจะแตกแยก.
การกุศลเพื่อใคร?
เกิดอะไรขึ้นกับเงินที่องค์การกุศลต่าง ๆ เก็บเข้ามาแต่ละปี? จำนวนไม่น้อยที่ตกอยู่กับผู้ดำเนินงานขององค์การเหล่านั้น. ตามรายงานของการสำรวจรายหนึ่งพบว่า กว่าหนึ่งในสามขององค์การกุศลที่ใหญ่ที่สุด 100 องค์การในสหรัฐ ผู้อำนวยการใหญ่ของแต่ละองค์การกอบโกยมากกว่า 5,000,000 บาทเป็นเงินเดือนและผลประโยชน์ต่าง ๆ เมื่อปีที่แล้ว. นั่นคือรายงานของ อินเตอร์แนชันแนล เฮรัลด์ ทริบูน. มีผู้อำนวยการสามคนในจำนวนนั้นที่รับเงินมากกว่า 12,500,000 บาท. สิ่งที่กระตุ้นให้มีการสำรวจคราวนี้คือการไล่ประธานขององค์การกุศลแห่งหนึ่งออก ซึ่งถูกกล่าวหาว่าบริหารผิดพลาดเรื่องการเงินและใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่าย. เขามีรายได้ปีละ 9,750,000 บาท. คนที่มาดำเนินงานแทนมีรายได้ “แค่” 4,875,000 บาทต่อปี.