ทัศนะของคัมภีร์ไบเบิล
คุณควรให้สติรู้สึกผิดชอบเป็นเครื่องนำทางไหม
ขณะที่คุณเดินไปตามถนนซึ่งมีผู้คนพลุกพล่าน คุณเดินผ่านผู้หญิงที่แต่งตัวภูมิฐานคนหนึ่งซึ่งทำเงินปึกหนึ่งหล่นโดยไม่รู้ตัว. พอคุณก้มลงเก็บ คุณก็เห็นเธอก้าวเข้าไปในรถเก๋งคันใหญ่อย่างรวดเร็ว. คุณจะทำอย่างไร? ตะโกนเรียกเธอหรือว่ารีบเอาธนบัตรยัดใส่กระเป๋า?
คำตอบขึ้นอยู่กับสติรู้สึกผิดชอบของคุณ. สติรู้สึกผิดชอบจะบอกให้คุณทำอะไร? สำคัญยิ่งกว่านั้น คุณจะไว้ใจสิ่งที่สติรู้สึกผิดชอบบอกคุณได้ไหม? จะปลอดภัยไหมถ้าคุณจะปล่อยให้สติรู้สึกผิดชอบนำทางคุณ?
สติรู้สึกผิดชอบคืออะไร?
กล่าวได้ว่าสติรู้สึกผิดชอบคือความรู้สึกตามธรรมชาติในเรื่องอะไรถูกอะไรผิด, ยุติธรรมและไม่ยุติธรรม, มีศีลธรรมและผิดศีลธรรม. คัมภีร์ไบเบิลอธิบายการปฏิบัติงานของสติรู้สึกผิดชอบไว้ที่พระธรรมโรม 2:14,15 (ล.ม.) ดังนี้: “เพราะว่าเมื่อพวกต่างประเทศซึ่งไม่มีพระบัญญัติก็ได้ประพฤติตามพระบัญญัติโดยธรรมชาติ คนเหล่านั้นแม้ไม่มีพระบัญญัติก็เป็นบัญญัติแก่ตัวเอง. เขาเหล่านั้นเป็นผู้ซึ่งสำแดงการที่กฎหมายเขียนไว้ในหัวใจของเขา ขณะที่สติรู้สึกผิดชอบของเขาเป็นพยานด้วยกันกับเขา และโดยความคิดทั้งหลายของเขาเอง เขาก็ได้รับการกล่าวหา หรือการแก้ตัว.” ดังนั้น สติรู้สึกผิดชอบของคุณถูกออกแบบเพื่อทำให้คุณสามารถประเมินสถานการณ์ต่าง ๆ, ทำการเลือกอย่างถูกต้อง, และพิจารณาตัดสินตัวเองได้จากการเลือกของคุณ. แต่คุณจะวางใจสติรู้สึกผิดชอบของคุณได้ไหม?
คำตอบย่อมมีเงื่อนไข. ถ้าจะว่าไป มีหลักฐานมากพอจะพิสูจน์ว่าสติรู้สึกผิดชอบที่หลงทางอาจนำคนเราไปสู่การประพฤติผิดได้. ข้อเท็จจริงที่ว่าสติรู้สึกผิดชอบของตนยอมต่อความประพฤติบางอย่างนั้นไม่ได้รับประกันว่าพระเจ้าจะไม่ทรงเอาโทษ. ยกตัวอย่าง ก่อนการเข้ามาเป็นคริสเตียน เซาโลแห่งตาระโซนำหน้าในการข่มเหงชนคริสเตียน. ท่านกระทั่งเห็นด้วยและได้ร่วมกระทำผิดด้วยการฆาตกรรมซะเตฟาโนคริสเตียนผู้สละชีวิตเพื่อความเชื่อ. การกระทำทั้งหมดนี้ สติรู้สึกผิดชอบของท่านไม่ได้ตำหนิท่าน.—กิจการ 7:58,59; ฆะลาเตีย 1:13,14; 1ติโมเธียว 1:12-16.
ในประเทศนาซีเยอรมันระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ทหารหลายคนของหน่วยเอสเอสบอกว่าพวกเขาเพียงทำตามคำสั่งเมื่อพวกเขาได้ทรมานและสังหารหลายล้านคนในค่ายกักกันของฮิตเลอร์. สติรู้สึกผิดชอบของพวกเขายอมให้เขาทำเช่นนั้น. แต่การตัดสินของโลก—ไม่ต้องพูดถึงการตัดสินของพระเจ้า—ไม่อภัยโทษสิ่งที่พวกเขาได้กระทำ. สมควรแล้วที่พวกเขาถูกตัดสินว่ามีโทษ.
ทำไมจึงไม่ทำงานอย่างถูกต้อง?
ทำไมบางสิ่งซึ่งพระเจ้าทรงสร้างขึ้นนั้นจึงไม่ทำงานอย่างถูกต้อง? คัมภีร์ไบเบิลให้คำอธิบาย. เพราะเหตุที่มนุษย์ตกเข้าสู่ความบาปโดยการไม่เชื่อฟังของอาดาม จึงมีคำกล่าวว่าบาปจะ “ปกครองเป็นกษัตริย์” บีบบังคับมนุษย์ทำตามความปรารถนาของมัน. (โรม 5:12; 6:12) สติรู้สึกผิดชอบของมนุษย์ซึ่งสมบูรณ์แต่เดิมทีนั้นได้ผิดเพี้ยนไป ตอนนี้พลังกระตุ้นแห่งบาปก็ต่อสู้กับสติรู้สึกผิดชอบ. (โรม 7:18-20) ทั้งนี้จึงทำให้เกิดความขัดแย้งซึ่งเราคุ้นเคยดี: “เหตุฉะนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นกฎธรรมดา คือเมื่อข้าพเจ้าจะกระทำการดี การชั่วก็ยังติดอยู่ในตัวข้าพเจ้า. . . . ข้าพเจ้าเห็นมีกฎธรรมดาอีกอย่างหนึ่งอยู่ในอวัยวะของข้าพเจ้า ซึ่งสู้รบกันกับกฎธรรมดาซึ่งอยู่ในใจข้าพเจ้า และชักนำข้าพเจ้าให้อยู่ใต้บังคับกฎธรรมดาความผิดซึ่งอยู่ในอวัยวะของข้าพเจ้า.”—โรม 7:21-23.
นอกจากความอ่อนแอที่ได้รับเป็นมรดกนี้แล้ว สติรู้สึกผิดชอบของเรายังได้รับผลกระทบจากสิ่งเร้าภายนอกด้วย. ตัวอย่างเช่น ความกดดันจากพวกเดียวกัน อันเห็นได้ชัดว่าได้บิดเบือนหรือระงับสติรู้สึกผิดชอบของทหารเอสเอสแห่งนาซีดังที่กล่าวถึงก่อนหน้านี้. (เทียบสุภาษิต 29:25) นอกจากนี้ การหล่อเลี้ยงจิตใจด้วยสิ่งไม่ดีไม่งามเช่น การผิดศีลธรรมและความรุนแรงจากทีวีและภาพยนตร์และหนังสือต่าง ๆ ก็มีผลกระทบเช่นเดียวกัน. หากเราเปิดรับสิ่งเหล่านั้นเป็นประจำ ในที่สุดสิ่งเหล่านั้นก็จะดูเหมือนไม่เลวร้ายอะไรนัก และสติรู้สึกผิดชอบของเราจะอ่อนแอลง. พูดอีกอย่างหนึ่ง “การคบหาสมาคมที่ไม่ดีย่อมทำให้นิสัยดีเสียไป.”—1 โกรินโธ 15:33.
ถ้าคนเราได้รับการฝึกอบรมให้รู้จักและนับถือกฎหมายของพระเจ้า สติรู้สึกผิดชอบของเขาจะปรากฏชัดว่าเป็นเครื่องนำทางที่วางใจได้ดีกว่าเมื่อยังไม่ได้รับการฝึกอบรมเช่นนั้น. อย่างไรก็ตาม แม้แต่บุคคลที่มีความเข้าใจและหยั่งรู้ค่าอย่างดีต่อแนวทางของพระเจ้าก็ยังอาจพบว่าในบางโอกาส เนื่องจากบาปและความไม่สมบูรณ์ที่ได้รับเป็นมรดก และบางทีแรงชักจูงจากภายนอก สติรู้สึกผิดชอบของเขาก็มิใช่เครื่องนำทางที่วางใจได้.
เราจะทำอะไรได้บ้าง?
จะเปลี่ยนแปลงสติรู้สึกผิดชอบได้ไหม เพื่อจะว่องไวยิ่งขึ้นต่อหลักการอันถูกต้อง? ได้. เปาโลแนะนำคริสเตียนว่า “ด้วยการใช้ [เขาสามารถ] ฝึกฝนความสามารถของตนในการสังเกตเข้าใจว่าอะไรถูกอะไรผิด.” (เฮ็บราย 5:11-14, ล.ม.) การใช้และการฝึกฝนเช่นนั้นรวมถึงการศึกษาพระคัมภีร์และการเอาใจใส่เป็นพิเศษต่อแบบอย่างอันสมบูรณ์พร้อมที่พระเยซูคริสต์ทรงละไว้ให้เรา. (1 เปโตร 2:21, 22) หลังจากนั้น เมื่อเราใช้ความสามารถในการสังเกตเข้าใจของเราตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ สติรู้สึกผิดชอบของเราก็จะชี้นำเราให้ออกไปห่างยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ จากแนวความคิดและการกระทำที่ผิดและจะกระตุ้นเราให้ทำสิ่งที่น่านับถือและถูกต้อง.
กระนั้นก็ตาม เราต้องไม่กลายเป็นคนที่ถือว่าตัวเองชอบธรรมหรือพูดว่า ตราบใดสิ่งนั้น “ไม่รบกวนสติรู้สึกผิดชอบของฉัน” สิ่งนั้นก็ถูกต้อง. การใช้สติรู้สึกผิดชอบอย่างถูกต้องและปลอดภัยโดยมนุษย์ไม่สมบูรณ์อาจยกตัวอย่างให้เห็นได้จากการใช้ความระมัดระวังของผู้ขับขี่ที่ปลอดภัย. เมื่อผู้ขับต้องการจะเปลี่ยนช่องทางเดินรถ โดยนิสัยแล้วเขาจะมองที่กระจกมองหลังก่อน. ถ้าเขาเห็นว่ามีรถ เขาก็รู้ว่าไม่ปลอดภัยที่จะเปลี่ยนไปเข้าอีกช่องทางหนึ่ง. แต่ถึงแม้เขาไม่เห็นอะไร ผู้ขับขี่ที่รอบคอบก็รู้ว่าคงมีจุดบอดบางจุด—คือไม่อาจเห็นทุกสิ่งได้ตลอดเวลาโดยอาศัยแค่กระจกมองหลัง. ฉะนั้น เขาจึงไม่เพียงแต่มองในกระจกเท่านั้น. เขาจะหันไปมองด้วยตนเองเพื่อแน่ใจว่าช่องทางนั้นว่างจริง ๆ ก่อนจะขับเบนไป. เป็นจริงเช่นนั้นกับสติรู้สึกผิดชอบ. หากสติรู้สึกผิดชอบเตือนคุณ จงทำตาม! แต่ถึงแม้สติรู้สึกผิดชอบไม่ส่งเสียงเตือนในตอนแรก จงเป็นเหมือนนักขับขี่ที่สุขุม—ตรวจสอบต่อไปเพื่อทำให้แน่ใจว่าไม่มีอันตราย.
จงตรวจสอบแนวความคิดของคุณเพื่อดูว่าประสานกับแนวความคิดของพระเจ้าหรือเปล่า. จงใช้พระวจนะของพระองค์เป็นเครื่องหยั่งความคิดเพื่อประเมินสติรู้สึกผิดชอบของคุณ. พระธรรมสุภาษิต 3:5,6 กล่าวอย่างสุขุมว่า “จงวางใจในพระยะโฮวาด้วยสุดใจของเจ้า อย่าพึ่งในความเข้าใจของตนเอง จงรับพระองค์ให้เข้าส่วนในทางทั้งหลายของเจ้า และพระองค์จะชี้ทางเดินของเจ้าให้แจ่มแจ้ง.”
ดังนั้น จึงเป็นการฉลาดสุขุมที่จะฟังสติรู้สึกผิดชอบของคุณ. แต่จะฉลาดสุขุมมากขึ้นหากจะเปรียบเทียบทุกสิ่งที่เราทำกับพระทัยประสงค์ของพระเจ้าดังที่ได้เผยให้เห็นในพระวจนะของพระองค์. เฉพาะเมื่อทำเช่นนั้น เราจึงจะกล่าวได้อย่างแน่ใจว่า “เรามั่นใจว่าเรามีสติรู้สึกผิดชอบที่ซื่อสัตย์.”—เฮ็บราย 13:18, (ล.ม.); 2 โกรินโธ 1:12.
[รูปภาพหน้า 24]
“การเปลี่ยนศาสนาของเซนต์พอล”
[ที่มาของภาพ]
Painting by Caravaggio:Scala/Art Resource,N.Y.