บ้านแสนสุขที่ซึ่งสองรวมเป็นหนึ่งเดียว
ถ้าคุณจะสร้างบ้านให้แข็งแรง, ปลอดภัย, และมีความสุขสบาย คุณจะใช้วัสดุอะไร? ไม้? อิฐ? หิน? นี่คือคำแนะนำของพระธรรมสุภาษิตในคัมภีร์ไบเบิล: “เรือนนั้นเขาสร้างกันด้วยปัญญาและสถาปนามันไว้ด้วยความเข้าใจ โดยความรู้บรรดาห้องก็เต็มไปด้วยความมั่งคั่ง ล้วนประเสริฐและเพลิดเพลินทั้งสิ้น.” (สุภาษิต 24:3, 4, ฉบับแปลใหม่) ถูกแล้ว ต้องอาศัยสติปัญญา, การสังเกตเข้าใจ, และความรู้เพื่อจะสร้างบ้านที่มีความสุข.
ใครทำการก่อสร้าง? “สตรีที่มีปัญญาทุกคนย่อมก่อสร้างบ้านเรือนของตนขึ้น; แต่ผู้ที่โฉดเขลาย่อมรื้อบ้านลงด้วยมือตนเอง.” (สุภาษิต 14:1) เป็นความจริงเช่นกันกับผู้ชายที่มีปัญญาซึ่งเห็นว่า การทำให้สายสมรสของเขามั่นคงและมีความสุขหรืออ่อนแอและเดือดร้อนนั้นอยู่ในกำมือของเขา. ปัจจัยอะไรที่ก่อผลต่างออกไป? น่าสนใจเพียงไรที่ข้อเสนอแนะของผู้ให้คำปรึกษาด้านการสมรสในปัจจุบันบางคนคล้ายกันมากทีเดียวกับสติปัญญาที่ไม่ล้าสมัยแห่งพระวจนะของพระเจ้า ซึ่งบันทึกไว้หลายพันปีมาแล้ว.
การฟัง: คู่มือการสมรสเล่มหนึ่งบอกว่า “การฟังจริง ๆ เป็นอภินันทนาการชิ้นใหญ่ที่สุดที่คุณจะให้กับผู้อื่นได้ และสำคัญยิ่งในการเสริมสร้างและธำรงไว้ซึ่งสัมพันธภาพอันใกล้ชิดสนิทสนม.” พระธรรมสุภาษิตบอกว่า “หูของคนที่มีปัญญาก็แสวงหาความรู้.” (สุภาษิต 18:15) เนื่องจากการเปิดหูไม่ปรากฏแก่สายตาเหมือนการเปิดตาหรือเปิดปาก คุณจะแสดงให้คู่สมรสของคุณเห็นได้อย่างไรว่าคุณกำลังฟังอย่างแท้จริง? วิธีหนึ่งคือโดยสะท้อนสิ่งที่ได้ฟัง หรือการฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ.—ดูกรอบหน้า 11.
การเปิดเผยและความใกล้ชิดสนิทสนม: หนังสือชื่อตัวต่อตัว—การเข้าใจสัมพันธภาพส่วนบุคคล (ภาษาอังกฤษ) ให้ความเห็นว่า “วัฒนธรรมของเราต่อต้านการเปิดเผย. เราถูกสอนตั้งแต่เล็ก ๆ ให้สนใจเฉพาะเรื่องของตัวเอง—เก็บเรื่องเงิน, แนวความคิด, ความรู้สึก, . . . สิ่งใดก็ตามที่เป็นเรื่องส่วนตัวไว้เป็นความลับ. การเรียนรู้ดังกล่าวไม่หายไปง่าย ๆ แม้เมื่อเรา ‘ตกอยู่ในห้วงรัก.’ ความใกล้ชิดสนิทสนมไม่อาจพัฒนาขึ้นได้ เว้นแต่ว่าต้องออกแรงพยายามอย่างต่อเนื่องเพื่อเป็นคนเปิดเผย.” พระธรรมสุภาษิตให้ข้อสังเกตว่า “แผนการล้มเหลวเมื่อไม่มีการพูดคุยกันเฉพาะผู้เกี่ยวข้อง” “แต่ปัญญาอยู่กับคนที่ปรึกษาหารือกัน.”—สุภาษิต 13:10; 15:22, ล.ม.
ความภักดีและความไว้วางใจ: สามีและภรรยาให้คำปฏิญาณจำเพาะพระเจ้าว่าจะภักดีต่อกัน. เมื่อคู่สมรสไว้วางใจว่า แต่ละฝ่ายภักดีต่ออีกฝ่ายหนึ่ง ความรักก็จะไม่ถูกขัดขวางโดยความสงสัย, การมีทิฐิ, น้ำใจแห่งการชิงดี, ครุ่นคิดแต่สิ่งที่ตนมีสิทธิจะได้.
การแบ่งปัน: สัมพันธภาพจะลึกซึ้งขึ้นเมื่อมีประสบการณ์ร่วมกัน. เมื่อเวลาผ่านไป คู่สมรสสามารถถักทอลวดลายประวัติชีวิตคู่อันล้ำค่า ซึ่งแต่ละคนเฝ้าทะนุถนอม. การคิดที่จะฉีกขาดเครื่องผูกพันแห่งมิตรภาพนั้นนับเป็นสิ่งเหลือคิด. “มิตรสหายที่สนิทยิ่งกว่าพี่น้องก็มี.”—สุภาษิต 18:24.
ความกรุณาและความอ่อนละมุน: การปฏิบัติด้วยความกรุณาลดการบาดหมางในชีวิต และทำให้ทิฐิเจือจาง. แบบฉบับแห่งความกรุณา ถ้าฝังรากลึกก็จะคงอยู่ไม่สั่นคลอน แม้อารมณ์จะพลุ่งพล่านระหว่างที่ไม่ลงรอยกัน ฉะนั้น ความเสียหายจึงมีน้อย. ความอ่อนละมุนก่อให้เกิดบรรยากาศอบอุ่น ที่ซึ่งความรักสามารถเติบโตได้. แม้ว่าความสุภาพนุ่มนวลอาจยากที่จะแสดงออก โดยเฉพาะสำหรับผู้ชาย คัมภีร์ไบเบิลแนะนำว่า “สิ่งที่น่าปรารถนาในตัวมนุษย์คือความจงรักภักดี [ความรักกรุณา, ล.ม.].” (สุภาษิต 19:22, ฉบับแปลใหม่) ส่วนภรรยาที่ดีนั้น “ลิ้นของนางพูดเป็นคำเตือนสติด้วยความปราณี [ความรักกรุณา, ล.ม.].”—สุภาษิต 31:26.
ความถ่อมใจ: ยาแก้พิษสำหรับทิฐิ ความถ่อมใจทำให้พร้อมทันทีที่จะกล่าวคำขอโทษ และแสดงความขอบคุณอยู่เนือง ๆ. จะว่าอย่างไรถ้าคุณไม่มีความผิดสำหรับความขุ่นเคืองที่กล่าวออกมา? ทำไมไม่พูดอย่างสุภาพว่า “ผม (ฉัน) เสียใจที่คุณอารมณ์เสียขนาดนี้”? แสดงความห่วงใยต่อความรู้สึกไวของคู่สมรส แล้วร่วมกันหาวิธีแก้ความผิดนั้น. “ที่จะรักษาตนให้พ้นการวิวาทก็เป็นเกียรติ.”—สุภาษิต 20:3, ฉบับแปลใหม่.
ความนับถือ: “คำที่สำคัญในการยอมรับความแตกต่างของแต่ละฝ่าย และร่วมกันแก้ไขคือความนับถือ. สิ่งซึ่งสำคัญต่อคู่สมรสฝ่ายหนึ่งอาจจะไม่สำคัญถึงขนาดนั้นต่ออีกฝ่ายหนึ่ง. กระนั้น แต่ละฝ่ายก็สามารถแสดงความนับถือต่อทัศนะของฝ่ายตรงข้ามได้เสมอไป.” (รักษาครอบครัวของคุณไว้เมื่อโลกกำลังแตกแยก [ภาษาอังกฤษ]) “ความเย่อหยิ่งจองหองนำไปถึงการแก่งแย่งกันเท่านั้น; แต่ปัญญานั้นอยู่กับคนว่านอนสอนง่าย [ปรึกษาหารือกัน, ล.ม.].”—สุภาษิต 13:10.
อารมณ์ขัน: เมฆอันมืดครึ้มที่สุดแห่งวิกฤตการณ์อาจจะมลายไปเมื่อหัวเราะร่วมกัน. อารมณ์ขันจะลอยเป็นระลอกคลื่นไปตามเครื่องผูกพันแห่งความรัก และผ่อนคลายความตึงเครียดซึ่งมักจะทำให้ความคิดไม่แจ่มใส. “ใจที่ชื่นบานทำให้ดวงหน้าสดใส.”—สุภาษิต 15:13.
การให้: มองหาสิ่งต่าง ๆ ที่คุณเห็นคุณค่าในตัวคู่สมรส และให้คำชมเชยอย่างใจกว้าง. สิ่งน่าปรารถนาเหล่านี้อาจนำมาซึ่งการตอบรับจากหัวใจมากกว่าเนคไทผ้าไหมหรือช่อดอกไม้. แน่ละ คุณยังคงซื้อหรือทำสิ่งน่ารักให้กันและกันได้. แต่หนังสือชื่อทักษะชีวิตสำหรับเด็กโต (ภาษาอังกฤษ) บอกว่า “ของกำนัลชิ้นใหญ่ที่สุดซึ่งคุณสามารถให้ได้นั้นไม่อาจเอาใส่กล่องได้. นั่นคือการแสดงความรักและหยั่งรู้คุณค่า, การหนุนกำลังใจ, และความช่วยเหลือของคุณ.” “คำพูดที่เหมาะกับกาลเทศะเปรียบเหมือนผลแอปเปิลทำด้วยทองคำใส่ไว้ในกระเช้าเงิน.”—สุภาษิต 25:11.
ถ้าคุณลักษณะเหล่านี้อาจเปรียบเป็นอิฐก่อสร้างสายสมรส แล้วการสื่อความก็จะเป็นปูนฉาบที่ขาดไม่ได้เพื่อเชื่อมอิฐเข้าด้วยกัน. ดังนั้น คู่สมรสจะทำอะไรได้เมื่อความขัดแย้งเกิดขึ้น? หนังสือการได้รับความรักที่คุณต้องการ (ภาษาอังกฤษ) บอกว่า “แทนที่จะมองทัศนะอันต่างออกไปของคู่สมรสเสมือนเป็นแหล่งแห่งความขัดแย้ง, . . . ให้มองดูสิ่งนั้นว่าเป็นแหล่งของความรู้. . . . รายละเอียดของชีวิตแต่ละวันจะกลายเป็นเหมืองทองแห่งข้อมูล.”
เช่นนั้นแล้ว จงมองความขัดแย้งใด ๆ ที่เกิดขึ้น มิใช่เสมือนเป็นการยั่วยุให้ห้ำหั่นกัน แต่เป็นโอกาสอันมีค่าเพื่อได้ความหยั่งเห็นเข้าใจในผู้ที่คุณรักนี้. ต่างคนต่างยอมรับข้อท้าทายด้วยกันในการแก้ไขความขัดแย้งและลอยลำนาวาเข้าเทียบท่าอันสงบราบรื่นแห่งความสามัคคีปรองดอง โดยวิธีนี้ จึงเสริมความผูกพันให้เหนียวแน่น เพิ่มความลึกซึ้งให้ความรักซึ่งรวมคุณสองคนเป็นหนึ่งเดียว.
พระเจ้ายะโฮวาทรงเห็นความงดงามล้ำเลิศในเรื่องการร่วมมือกันและใส่สิ่งนั้นไว้ในการทรงสร้างของพระองค์—ในวัฏจักรการให้และการรับออกซิเจนของบรรดาต้นไม้และสัตว์, การโคจรของเทห์ฟากฟ้า, ความเกี่ยวพันแบบพึ่งพาอาศัยกันระหว่างแมลงและดอกไม้. เช่นเดียวกัน ในสัมพันธ์สมรส อาจมีวงจรอันอบอุ่นซึ่งในวงจรนี้สามีทำให้ภรรยาของตนมั่นใจในความรักและความไว้วางใจทั้งโดยคำพูดและการกระทำ และภรรยาผู้มีความรักก็ติดตามการนำของเขาด้วยความพอใจ. ด้วยเหตุนี้ สองคนจึงกลายเป็นหนึ่งเดียวจริง ๆ นำมาซึ่งความยินดีสู่กันและกัน และสู่ผู้ให้กำเนิดการสมรสคือพระเจ้ายะโฮวา.
[กรอบหน้า 11]
“จงเอาใจใส่ว่าท่านทั้งหลายฟังอย่างไร”—ลูกา 8:18, ล.ม.
การฟังอย่างตั้งใจเป็นวิธีหนึ่งที่รับประกันได้ว่า ผู้พูดและผู้ฟังจะเข้าใจกันและกันอย่างแท้จริง. บางครั้งเรียกการฟังแบบนี้ว่าการสะท้อนกลับ เนื่องจากผู้ฟังพยายามจะสะท้อนคำพูดที่เขาได้ยินและความหมายที่เขามองออก. ต่อไปนี้เป็นขั้นตอนพื้นฐาน:
1. เอาใจใส่อย่างรอบคอบ ฟังสาระสำคัญ.
2. ฟังความรู้สึกที่อยู่เบื้องหลังคำพูด.
3. ทวนสิ่งที่คุณได้ยินกับผู้พูด. อย่าตัดสิน, วิพากษ์วิจารณ์, หรือคัดค้าน. เพียงให้ผู้พูดรู้ว่าคุณได้รับข้อมูลถูกต้อง. ยอมรับความรู้สึก.
4. ผู้พูดอาจจะยืนยันหรือแก้ไขสิ่งที่คุณพูดและบางทีอาจจะขยายความเพิ่มเติม.
5. ถ้าความเข้าใจของคุณไม่ถ่องแท้ จงพยายามอีก.
การตั้งใจฟังได้ผลโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ลดความรุนแรงของคำวิพากษ์วิจารณ์. ยอมรับข้อเท็จจริงที่ว่าคำวิพากษ์วิจารณ์มักอาศัยความจริงบางประการ. อาจจะพูดออกมาในลักษณะที่ทำให้เจ็บปวดก็ได้ แต่แทนที่จะปกป้องตัวเองโดยโยนความเจ็บปวดกลับไปยังผู้วิจารณ์ ทำไมไม่ใช้วิธีฟังอย่างตั้งใจเพื่อลดความตึงเครียดของสถานการณ์? จงยอมรับว่าคุณเข้าใจในความรู้สึกฉุนเฉียวใด ๆ ก็ตามซึ่งคุณอาจเป็นต้นเหตุ และมองหาวิธีที่อาจแก้ไขเรื่องราวได้.
[กรอบหน้า 12]
“ถ้าแม้ว่าผู้ใดมีเรื่องราวต่อกัน”—โกโลซาย 3:13
เมื่อคุณมีข้อบ่นว่า คุณจะพูดอย่างไรโดยไม่เกิดการปะทะกัน? ก่อนอื่น จงเชื่อว่าคู่สมรสของคุณมีเจตนาดี. คุณอาจรู้สึกว่า เขาหรือเธอไม่เกรงใจผู้อื่น, ไม่คิดถึงผู้อื่น, อวดดี, ขาดดุลยพินิจ—แต่โดยเนื้อแท้แล้ว คงไม่ได้มุ่งหมายจะก่อความเสียหาย. จงพูดด้วยความรู้สึกที่สงบโดยไม่กล่าวหา: “เมื่อคุณทำอย่างนี้ ผมก็เลยรู้สึก . . . ” นี่ไม่ใช่การเติมเชื้อเพลิงให้ทุ่มเถียง. เพียงแต่บอกว่า คุณรู้สึกอย่างไรและอย่ากล่าวหาคู่สมรส. เนื่องจากบุคคลนั้นอาจไม่มีเจตนาจะทำให้คุณหัวเสียเลย ปฏิกิริยาตอบโต้ของเขาจึงอาจเป็นไปในทางปฏิเสธหรือยกเหตุผลสนับสนุนตนเอง. แต่ จงเพ่งอยู่กับปัญหา และพร้อมจะเสนอแนะวิธีแก้ไข.
[รูปภาพหน้า 10]
การฟังจริง ๆ เป็นอภินันทนาการชิ้นใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งที่คุณจะให้กับผู้อื่นได้