ที่ลุ่มชื้นแฉะของโลกทรัพย์ทางนิเวศวิทยากำลังถูกคุกคาม
ชาวอินเดียนแดงเรียกว่าพ่อน้ำ. นักภูมิศาสตร์เรียกว่าแม่น้ำมิสซิสซิปปี. คุณจะเรียกว่าอะไรก็ตาม สิ่งนี้ก็ได้แก้แค้นคนเหล่านั้นที่ฉกชิงเอาพื้นที่ชื้นแฉะของมันไปโดยบีบมันให้แคบแล้วขนาบไว้ด้วยคูและทำนบ. เนื่องจากฝนตกหนักนานหลายสัปดาห์ แม่น้ำจึงเอ่อล้นไหลทะลักผ่านถุงทรายประมาณ 75 ล้านถุงที่มีการวางกั้นไว้ และทำลายทำนบ 800 แห่งใน 1400 แห่งซึ่งพยายามกั้นน้ำอย่างไร้ผล. กระแสน้ำเชี่ยวกรากที่ล้นออกมาพัดกวาดเอาบ้านเรือน, ถนน, สะพาน, และรางรถไฟบางช่วงแล้วทิ้งให้หลายเมืองจมอยู่ใต้น้ำ. เดอะ นิวยอร์ก ไทมส์ ฉบับ 10 สิงหาคม 1993 รายงานว่า “อาจเป็นน้ำท่วมสหรัฐครั้งเลวร้ายที่สุดก็ว่าได้.”
ไทมส์ สรุปความเสียหายบางอย่างดังนี้: ช่วงสองเดือนที่อุทกภัยครั้งใหญ่โหมกระหน่ำในเขตมิดเวสต์ปี 1993 ได้ทิ้งร่องรอยความย่อยยับน่าพรั่นพรึง. มันได้คร่าผู้คนไป 50 ชีวิต ทิ้งให้ 70,000 คนไร้ที่อยู่อาศัย ไหลบ่าท่วมพื้นที่ขนาดสองเท่าของรัฐนิวเจอร์ซี เป็นเหตุให้เกิดการสูญเสียทรัพย์สินและพืชผลทางเกษตรกรรมประมาณสามแสนล้านบาทและกระตุ้นให้เกิดการถกเถียงกันใหม่อีกครั้งเรื่องระบบควบคุมน้ำท่วมแห่งชาติและนโยบายที่เกี่ยวข้อง.
การคงไว้ซึ่งรูปแบบเดิมของระบบควบคุมน้ำท่วมตามธรรมชาติในที่ลุ่มชื้นแฉะริมแนวชายฝั่งมิสซิสซิปปีคงได้รักษาชีวิตของ 50 คนนั้นไว้อีกทั้งเงินสามแสนล้านบาทด้วย. เมื่อไรผู้คนจะเรียนรู้ว่าการร่วมมือกับธรรมชาตินั้นดีกว่าพยายามพิชิตธรรมชาติ? พื้นที่ชื้นแฉะที่อยู่ติดกับแม่น้ำทำหน้าที่เป็นที่ลุ่มน้ำท่วมถึงซึ่งระบายและกักเก็บน้ำส่วนเกินที่เอ่อล้นแม่น้ำเนื่องจากฝนตกหนักเป็นเวลานาน.
แต่การทำหน้าที่เป็นกลไกควบคุมน้ำท่วมตามธรรมชาติ เป็นเพียงหนึ่งในหน้าที่อันมหัศจรรย์หลายอย่างซึ่งทำโดยที่ลุ่มมากกว่า 8,500,000 ตารางกิโลเมตร—ซึ่งถูกคุกคามทำลายทุกวันทั่วโลก.
ที่ลุ่มชื้นแฉะแหล่งเพาะเลี้ยงของโลก
นับจากที่ลุ่มชายเลนน้ำเค็มอันกว้างใหญ่ตามชายฝั่งไปจนถึงห้วยหนองคลองบึงน้ำจืดขนาดเล็กที่อยู่ภายในแผ่นดินอีกทั้งทุ่งหญ้าแพรรีบริเวณขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยแอ่ง ของสหรัฐและแคนาดา สถาปนิกหลักของที่ลุ่มเหล่านี้ทั้งหมดคือน้ำ. ที่ลุ่มชื้นแฉะเป็นพื้นที่ ๆ มีน้ำขังตลอดปีหรือมีน้ำขังเฉพาะช่วงน้ำท่วม. อีกลักษณะหนึ่งคือพื้นที่ชื้นแฉะตามชายฝั่งทะเลหรือบริเวณที่น้ำขึ้นถึง. เนื่องจากที่ลุ่มชื้นแฉะส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ ๆ มีลักษณะเฉพาะคือการเติบโตอย่างหนาแน่นของพืชเช่น หญ้า, หญ้าพง, ต้นกก, ต้นไม้ และไม้พุ่ม—พื้นที่เหล่านี้จึงเกื้อหนุนชีวิตพืช, ปลา, สัตว์ปีก, และสัตว์บกหลายชนิดตลอดทั่วโลก.
นกทะเลและนกน้ำจำนวนหนึ่งสร้างรังในที่ลุ่มชื้นแฉะ. นกเหล่านี้กว่าร้อยชนิดต้องพึ่งพาแหล่งน้ำตื้น ๆ ดังกล่าวขณะอพยพย้ายถิ่นในช่วงฤดูใบไม้ผลิ. ที่ลุ่มชื้นแฉะหลายแห่งเป็นสถานเพาะเลี้ยงประชากรห่านและเป็ดจำนวนมหาศาล—เช่นเป็ดแมลลาร์ด, เป็ดทีล, และเป็ดแคนวาสแบ็ค. พื้นที่เหล่านี้ยังจัดหาอาหารและที่หลบกำบังให้แก่สัตว์ต่าง ๆ อีกด้วยเช่น จระเข้, บีเวอร์, ตัวมัสค์แร็ต, มิงค์, และกวางมูซ. สัตว์อื่น ๆ รวมทั้งหมี, กวาง, และแรคคูนก็ใช้ประโยชน์จากที่ลุ่มชื้นแฉะด้วย. ที่ลุ่มนี้ถูกใช้เป็นบริเวณวางไข่และเลี้ยงตัวอ่อนสำหรับปลาส่วนใหญ่ที่เกื้อหนุนอุตสาหกรรมการค้าปลามูลค่าเจ็ดหมื่นห้าพันล้านบาท. คาดกันว่าปลา 200 ชนิด และสัตว์น้ำประเภทมีเปลือกหุ้มอีกจำนวนมากต้องพึ่งพาที่ลุ่มชื้นแฉะทั้งหรือบางส่วนแห่งวงจรชีวิตของพวกมัน.
นอกจากเป็นแหล่งเพาะเลี้ยงสิ่งมีชีวิตที่เหมาะเป็นพิเศษแล้วที่ลุ่มชื้นแฉะยังมีคุณประโยชน์ทางนิเวศวิทยาอีกหลายประการ. พื้นที่นี้เป็นตัวกรองตามธรรมชาติเพื่อกำจัดของเสียและมลพิษจากแม่น้ำลำธารและทำให้น้ำในชั้นหินอุ้มน้ำบริสุทธิ์. พื้นที่นี้กักเก็บน้ำระหว่างฤดูฝนและฤดูน้ำหลาก หลังจากนั้นก็ปล่อยสู่ลำธาร, แม่น้ำและชั้นหินอุ้มน้ำใต้ดินอย่างช้า ๆ. ที่ลุ่มชื้นแฉะประเภทน้ำขึ้นถึงป้องกันชายฝั่งทะเลไม่ให้คลื่นกัดเซาะ.
เนื่องจากธรรมชาติแท้ ๆ ของที่ลุ่มชื้นแฉะอุดมไปด้วยชีวิตพืช บริเวณนี้จึงปฏิบัติหน้าที่สำคัญและโดดเด่น. ตัวอย่างเช่น ในขบวนการสังเคราะห์แสง มวลพืชสีเขียวดูดซึมคาร์บอนไดออกไซด์จากอากาศและคายออกซิเจนกลับออกมา. สิ่งนี้จำเป็นมากเพื่อค้ำจุนชีวิต. อย่างไรก็ตาม พืชในที่ลุ่มชื้นแฉะโดดเด่นไม่มีใครเหมือนเนื่องจากทำงานอย่างมีประสิทธิภาพเป็นพิเศษในขบวนการนี้.
เป็นเวลานับศตวรรษที่หลายประเทศตระหนักถึงคุณค่าอันนับประมาณมิได้ของการควบคุมดูแลที่ลุ่มชื้นแฉะเพื่อการผลิตอาหาร. ตัวอย่างเช่น จีนและอินเดียนำหน้าทั่วโลกในการผลิตข้าวโดยมีประเทศอื่น ๆ แถบเอเชียตามมาติด ๆ. ข้าวเป็นหนึ่งในบรรดาอาหารจากพืชไร่ที่สำคัญที่สุดของโลกที่ปลูกในท้องนาซึ่งเป็นที่ลุ่มชื้นแฉะ. ประมาณครึ่งหนึ่งของประชากรโลกรับประทานข้าวเป็นอาหารหลัก. ต่อมาสหรัฐและแคนาดาเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของที่ลุ่มชื้นแฉะและหนองน้ำเพื่อใช้ผลิตข้าวและแครนเบอร์รี่.
สัตว์ป่าก็ได้อาหารจากที่ลุ่มชื้นแฉะเช่นกัน. เมล็ดพืชและแมลงที่มีอย่างอุดมบริบูรณ์ไม่เป็นแต่เพียงอาหารสำหรับนก แต่สำหรับปลาและสัตว์น้ำประเภทมีเปลือกหุ้มที่วางไข่และเติบโตจนเต็มวัยในที่ลุ่มชื้นแฉะด้วย. เป็ด ห่านและนกน้ำอื่น ๆ ก็มากินสิ่งมีชีวิตใต้น้ำที่แหวกว่ายอยู่อย่างเนืองแน่นในแหล่งน้ำแห่งชีวิตนี้. ระบบนิเวศวิทยาที่ดำเนินอยู่สร้างความสมดุลในขอบเขตหนึ่งโดยจัดเตรียมสัตว์ปีกหลากหลายชนิดไว้บริการสัตว์สี่เท้าซึ่งท่องเที่ยวเข้าไปในที่ลุ่มชื้นแฉะเพื่อหาอาหาร. ในที่ลุ่มชื้นแฉะมีบางสิ่งเพื่อทุกสิ่ง. บริเวณนี้เป็นแหล่งเพาะเลี้ยงของโลกอย่างแท้จริง.
แข่งกันทำลายที่ลุ่มชื้นแฉะ
ชายผู้ซึ่งต่อมากลายเป็นประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐได้เปิดประตูคลื่นแห่งการทำลายขนานใหญ่ต่อที่ลุ่มชื้นแฉะ เมื่อเขาได้ก่อตั้งบริษัทหนึ่งขึ้นในปี 1763 เพื่อระบายน้ำออกจากพื้นที่ 100,000 ไร่ของบึงดิสมัล—บึงรกชัฏอันเป็นที่พำนักพักพิงของสัตว์ป่า—อยู่ในบริเวณเขตติดต่อระหว่างรัฐเวอร์จิเนียกับนอร์ทคาโรไลนา. จากนั้นเป็นต้นมา ที่ลุ่มชื้นแฉะของอเมริกาถูกมองว่าเป็นตัวก่อความรำคาญ, ตัวปิดกั้นความเจริญก้าวหน้า, แหล่งแห่งโรคภัยไข้เจ็บ, สภาพแวดล้อมที่อันตราย, ต้องปราบและทำลายไม่ว่าจะสูญเสียอะไรก็ตาม. ชาวนาถูกกระตุ้นให้ระบายน้ำออกจากที่ลุ่มชื้นแฉะและใช้เป็นพื้นที่เพาะปลูกและได้รับเงินชดเชยจากการทำเช่นนั้น. ทางหลวงถูกสร้างขึ้นในที่ซึ่งแต่ก่อนเป็นที่ลุ่มชื้นแฉะอันชุกชุมด้วยสิ่งมีชีวิตที่วิจิตรพิสดาร. หลายแห่งกลายเป็นที่สำหรับขยายเมืองออกไปและเป็นศูนย์การค้า หรือถูกใช้เป็นบึงทิ้งขยะได้อย่างสะดวก.
ในช่วงไม่กี่ทศวรรษหลัง ๆ นี้ สหรัฐได้ทำลายที่ลุ่มชื้นแฉะของตนไปในอัตรา 1,250,000 ไร่ต่อปี. ปัจจุบันมีเพียง 225 ล้านไร่เท่านั้นที่เหลืออยู่. เพื่อเป็นตัวอย่าง ลองพิจารณาบริเวณขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยแอ่งในอเมริกาเหนือ. พื้นที่รูปโค้ง 800,000 ตารางกิโลเมตรซึ่งทอดยาวจากอัลเบอร์ตา ประเทศแคนาดา ไปจนถึงไอโอวาในสหรัฐ ที่ลุ่มชื้นแฉะในทุ่งหญ้าแพรรีหลายพันแห่งเคยเป็นแหล่งผสมพันธุ์ของเป็ดนับล้าน ๆ ตัว. พูดกันว่าเมื่อเป็ดเหล่านี้บินขึ้นไปจะทำให้ท้องฟ้ามืดครึ้มราวกับมีเมฆหนาทึบ. ปัจจุบันจำนวนเป็ดเหล่านี้ลดลงอย่างน่าตกใจ.
อย่างไรก็ตาม ปัญหาระยะยาวอยู่ที่ว่า เมื่อที่ลุ่มชื้นแฉะถูกทำลาย แหล่งอาหารก็พลอยสูญสิ้นไปด้วย. เมื่อมีอาหารไม่พอ เป็ดก็วางไข่เพียงไม่กี่ฟอง และอัตราการฟักเป็นตัวได้รับผลกระทบอย่างเห็นได้ชัด. เมื่อที่อยู่ถูกทำลาย เป็ดจำนวนมากขึ้นก็แห่กันไปยังแหล่งอาศัยไม่กี่แห่งที่เหลืออยู่ จึงง่ายต่อการตกเป็นเหยื่อของสุนัขจิ้งจอก, หมาป่าไคโอท, ตัวสกั้งค์, แรคคูน และสัตว์อื่น ๆ ที่กินพวกมันเป็นอาหาร.
ร้อยละ 50 ของที่ลุ่มชื้นแฉะในบริเวณขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยแอ่งของสหรัฐได้สูญหายไป. ในแคนาดาตามมาด้วยอัตราร้อยละ 40 แต่อัตราการถูกคุกคามอย่างรุนแรงกำลังเพิ่มขึ้น. วารสาร สปอร์ตส์ อิลลัสเตรทเตด รายงานว่า บางส่วนของนอร์ทดาโกตา ในสหรัฐแห้งแล้งถึงร้อยละ 90. ชาวนาหลายคนมองข้ามคุณค่าทางนิเวศวิทยาของที่ลุ่มชื้นแฉะโดยมองว่าเป็นพื้นที่ ๆ ไม่เกิดผลและเป็นสิ่งกีดขวางเครื่องมือทำนาของพวกเขา.
อย่างไรก็ตาม เสียงโวยวายจากสาธารณชนเพื่อรักษาที่ลุ่มชื้นแฉะอันเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่ากำลังดังและชัดเจนมากในปัจจุบัน โดยบุคคลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องและองค์การพิทักษ์สัตว์ป่า. “บริเวณที่เต็มไปด้วยแอ่งเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง” เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องคนหนึ่งกล่าว. “ถ้าเราจะรักษาความหวังระยะยาวใด ๆ ไว้ให้พวกเป็ด เราต้องสงวนที่ลุ่มชื้นแฉะไว้.” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งขององค์การอนุรักษ์ธรรมชาติ ดั๊กส์ อันลิมิทเตด กล่าวว่า “นกน้ำเป็นเครื่องวัดสุขภาพทางนิเวศวิทยาของทวีป.” วารสาร ยู. เอส. นิวส์ แอนด์ เวิลด์ รีพอร์ต เพิ่มเติมว่า “จำนวน [เป็ด] ที่ลดลงสะท้อนให้เห็นการประทุษร้ายสิ่งแวดล้อมในหลายด้านแตกต่างกันไป: ฝนกรด ยาฆ่าแมลง แต่ที่มากที่สุดคือการผลาญทำลายที่ลุ่มชื้นแฉะอันหาค่ามิได้นับล้าน ๆ ไร่.”
“ร้อยละ 90 ของที่ลุ่มน้ำเค็มชายฝั่งแคลิฟอร์เนียถูกทำลายไปแล้ว” ดังที่วารสารแคลิฟอร์เนียรายงาน “และพื้นที่อีก 45,000 ไร่หายไปทุกปี. กวางตูเลเหลือรอดอยู่เพียงในไม่กี่แห่งที่กระจัดกระจายกันอยู่. แต่ละปีมีเป็ดและห่านจำนวนน้อยลงที่กลับมายังแหล่งอาศัยช่วงฤดูหนาวซึ่งแหล่งดังกล่าวหดเข้าไปเรื่อย ๆ. สัตว์มากมายหลายชนิดในที่ลุ่มชื้นแฉะใกล้จะสูญพันธุ์”. สัตว์เหล่านี้ซึ่งชีวิตของพวกมันต้องพึ่งอาศัยที่ลุ่มชื้นแฉะของโลกเพื่อการอยู่รอดกำลังร้องขอความช่วยเหลืออย่างเงียบ ๆ.
วิกฤตการณ์น้ำ
สิ่งน่าสยดสยองอย่างหนึ่งได้เกิดขึ้นขณะมนุษย์กำลังทำลายที่ลุ่มชื้นแฉะของโลก. เขาทำให้แหล่งทรัพยากรที่สำคัญและมีค่ามากที่สุดของเขาได้รับผลกระทบ—นั่นคือน้ำ. น้ำจำเป็นยิ่งสำหรับสิ่งมีชีวิตทุกชนิด. นักวิทยาศาสตร์ของโลกหลายคนทำนายว่าสักวันหนึ่งน้ำบริสุทธิ์จะเป็นทรัพยากรที่หายากที่สุดของโลก. การประชุมโลกของสหประชาชาติเรื่องน้ำในปี 1977 แถลงว่า “เราต้องจำกัดการสูญเสียน้ำให้ได้ผล มิฉะนั้นเราจะตายเนื่องจากขาดน้ำเมื่อถึงปี 2000.”
ด้วยคำเตือนอันเป็นลางร้ายเรื่องความเป็นไปได้ที่จะขาดแคลนทรัพยากรอันมีค่านี้ สามัญสำนึกน่าจะกำหนดกฎเกณฑ์วิธีจัดการน้ำของโลกอย่างน่านับถือ. แต่ ในการแข่งขันของมนุษย์เพื่อมุ่งทำลายที่ลุ่มชื้นแฉะเขาได้ทำให้ทรัพยากรที่จำเป็นที่สุดนี้ตกอยู่ในอันตรายร้ายแรง. ที่ลุ่มชื้นแฉะช่วยกลั่นกรองน้ำที่ท่วมขังอยู่—ตามแม่น้ำและลำธาร. ชั้นหินอุ้มน้ำบางแห่งไม่มีการทดแทนด้วยน้ำบริสุทธิ์อีกต่อไป แต่กลับปนเปื้อนด้วยของเสียและมลพิษซึ่งทั้งหมดเป็นผลร้ายต่อมนุษย์. น้ำที่เคยมีอยู่ในที่ลุ่มชื้นแฉะหลายต่อหลายแห่งถูกทำให้แห้งไป เพิ่มปัญหาขาดแคลนน้ำยิ่งขึ้น.
ผู้ที่มีความรับผิดชอบจะได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลืออย่างเร่าร้อนของสิ่งมีชีวิตที่ต้องพึ่งพาที่ลุ่มชื้นแฉะนี้ไหม? จะมีการลงมือปฏิบัติเพื่อช่วยสิ่งมีชีวิตลักษณะนี้ก่อนจะสายเกินไปไหม? หรือมนุษย์จะยังคงหูหนวกต่อเสียงร้องเหล่านี้แล้วหูผึ่งเฉพาะเสียงร่ำร้องของคนละโมบเท่านั้นไหม?
การคุกคามมีอยู่ทั่วโลก
ณ การเปิดโครงการรณรงค์ทั่วโลกเพื่อช่วยชีวิตที่ลุ่มชื้นแฉะ โดยได้รับการสนับสนุนจากสหประชาชาติ มีการอ้างถึงภัยคุกคามต่อระบบนิเวศวิทยาของบึงแพนทานัลในบราซิล. แพนทานัลเป็นหนึ่งในที่ลุ่มชื้นแฉะใหญ่ที่สุดของโลก. วารสารไบโอไซเยนส์กล่าวว่า “แพนทานัลอันเนืองแน่นด้วยสัตว์ป่าแปลกพิสดารหลากหลายชนิดเป็นบริเวณหนึ่งที่ได้รับการคุกคาม. การตัดไม้ทำลายป่า; การขยายพื้นที่เกษตรกรรม; การล่าสัตว์และจับปลาแบบผิดกฎหมาย; และน้ำที่เป็นพิษด้วยยาปราบวัชพืช, และยาฆ่าแมลง, และผลพวงอันเกิดจากการผลิตเชื้อเพลิงแอลกอฮอล์เป็นเหตุให้สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติเสื่อมลง ทำให้หนึ่งในระบบนิเวศวิทยาที่สำคัญที่สุดของบราซิลอยู่ในระหว่างเสี่ยง.”
เดอะ นิวยอร์ก ไทมส์ ก็ได้ชี้ให้เห็นการคุกคามที่มีต่อที่ลุ่มชื้นแฉะตามชายฝั่งเมดิเตอร์เรเนียน. “การสูญเสียที่ลุ่มชื้นแฉะเป็นไปเร็วขึ้นในช่วงสามสิบปีที่ผ่านมา ขณะที่ชายฝั่งเมดิเตอร์เรเนียนกลายมาเป็นที่หมายตามากกว่าแต่ก่อนและชายฝั่งอันยาวเหยียดก็เต็มไปด้วยโรงแรมหรูหราและรีสอร์ต. สหประชาชาติกำลังศึกษาการสูญเสียที่ลุ่มชื้นแฉะในอิตาลี, อียิปต์, ตุรกีและกรีซ.”
วนอุทยานแห่งชาติดอนยาน่าอันเป็นที่ลุ่มชื้นแฉะของสเปนที่น่ามหัศจรรย์ 312,500 ไร่กลายเป็นท่าอากาศยานของนกในฤดูใบไม้ผลิเมื่อนกนับแสนตัวซึ่งบินจากแอฟริกาไปยุโรปแวะร่อนลงที่บึงและป่าไม้ในสวนนั้นเพื่อสร้างรัง ผสมพันธุ์ และหาอาหาร. แต่โรงแรม สนามกอล์ฟ และไร่เกษตรหลายแห่งที่อยู่รายรอบสวนนั้นกำลังดูดน้ำจำนวนมากไปจนความอยู่รอดของวนอุทยานนั้นถูกคุกคาม. ในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา โครงการเหล่านั้นสูบน้ำไปแล้วมากมายจนระดับน้ำลดลง 2-9 เมตรและทะเลสาบหลายแห่งแห้งขอด. ผู้อำนวยการด้านการวิจัยของวนอุทยานกล่าวว่า “ถ้ามีความเจริญใด ๆ เกิดขึ้นที่นี่อีก ดอนยาน่ามีหวังถึงกาลอวสานแน่ ๆ.”
สเตท ออฟ เดอะ เวิลด์ 1992 รายงานว่า “ป่าโกงกาง หนึ่งในสิ่งที่ถูกคุกคามมากที่สุดและเป็นชนิดของที่ลุ่มชื้นแฉะอันมีค่ามากที่สุดประสบความสูญเสียอย่างหนักในเอเชีย, ลาตินอเมริกา, และแอฟริกาตะวันตก. ตัวอย่างเช่น เกือบครึ่งหนึ่งของที่ลุ่มน้ำขังเหล่านี้ซึ่งเป็นสถานคุ้มกำบังในเอกวาดอร์ถูกทำให้โล่งเตียน ส่วนใหญ่เพื่อใช้เป็นบ่อเลี้ยงกุ้งและยังมีแผนการที่จะเปลี่ยนแปลงพื้นที่ส่วนที่เหลืออยู่ในสัดส่วนเท่ากัน. ทั้งอินเดีย ปากีสถานและประเทศไทยได้สูญเสียป่าโกงกางอย่างน้อยสามในสี่ของที่มีอยู่. อินโดนีเซียดูเหมือนตัดสินใจทำเช่นเดียวกัน: ในกะลิมันตันอันเป็นจังหวัดใหญ่ที่สุด ร้อยละ 95 ของป่าโกงกางทั้งหมดถูกตัดจนโล่งเพื่อทำการผลิตเยื่อกระดาษ.”
คุณค่าของป่าโกงกางถูกยกเป็นเรื่องเด่นในหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ของประเทศไทย ฉบับ 25 สิงหาคม 1992: “ป่าโกงกางประกอบด้วยพันธุ์ไม้สามชนิดต่างกันซึ่งเจริญงอกงามในเขตน้ำขึ้นถึงตอนบนตามชายฝั่งเขตร้อนอันเป็นที่ราบลุ่มและกำบังลม. ต้นไม้นั้นได้ [เจริญงอกงาม] ในสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายเนื่องจากน้ำกร่อยและกระแสน้ำขึ้นลงเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา. รากฝอยเปลือยเหนือดินแบบพิเศษที่ปรับตัวได้และรากแก้วที่ใช้กรองน้ำเค็มของมันทำให้เกิดระบบนิเวศวิทยาอันอุดมสมบูรณ์และซับซ้อน. นอกจากป้องกันพื้นที่ตามแนวชายฝั่งอันกว้างใหญ่จากการถูกกัดเซาะแล้ว พวกมันยังจำเป็นต่อการประมงในชายฝั่ง, อุตสาหกรรมสินค้าที่ผลิตจากไม้ และสัตว์ป่า.
“สิ่งมีชีวิตมีอยู่ดาษดื่นในป่าโกงกาง. เราอาจพบนกทะเล, ลิงกินปู, เสือปลา และปลาตีนที่วิ่งแฉลบไปมาข้ามโคลนเลนไปตามรูน้ำขังต่าง ๆ เมื่อกระแสน้ำลง.”
สุดท้ายจะเป็นเช่นไร?
วิกฤตการณ์นี้มีอยู่ทั่วโลก. นิตยสาร อินเตอร์แนชันแนล ไวลด์ไลฟ์ กล่าวว่า “บึง, ตม, หนอง, ป่าชายเลน, ที่ลุ่มน้ำเค็ม, ทุ่งหญ้าแพรรีบริเวณขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยแอ่งและทะเลสาบซึ่งแต่ก่อนเคยครอบคลุมเนื้อที่มากกว่าร้อยละ 6 ของพื้นแผ่นดินบนโลกตกเข้าสู่ปัญหาฉกรรจ์. หลายแห่งถูกระบายเอาน้ำไปเพื่อการเกษตร ถูกทำลายโดยภาวะมลพิษ หรือถูกถมโดยพวกจัดสรรที่ดินซึ่งที่ลุ่มชื้นแฉะของโลกประมาณครึ่งหนึ่งอันตรธานไปแล้ว.”
มนุษย์จะทำสันติกับแผ่นดินโลกไหม? จนบัดนี้สัญญาณที่เห็น ไม่ได้ให้ความหวังเช่นนั้นเลย. กระนั้นบางคนก็ตะเกียกตะกายอย่างไม่หวั่นและอ้างว่าพวกเขาจะทำสำเร็จ. พระยะโฮวาพระผู้สร้างแผ่นดินโลกตรัสว่าพวกเขาจะล้มเหลว. พระองค์สัญญาว่าจะเข้าแทรกแซงและหยุดการประทุษร้ายสิ่งทรงสร้างทางแผ่นดินโลกอันมหัศจรรย์ของพระองค์. พระองค์จะ “ทำลายคนทั้งหลายเหล่านั้นที่ทำร้ายแผ่นดินโลก” และแทนที่จะให้พวกเขา พระองค์จะมอบแผ่นดินโลกให้แก่คนที่จะ “รักษา.” สำหรับผู้หยั่งรู้ค่าเหล่านี้ พระองค์จะประทานแผ่นดินโลกให้เป็นของขวัญ: “ท่านทั้งหลายได้รับพระพรจากพระผู้ซึ่งทรงสร้างฟ้าและแผ่นดินโลก. ฟ้าสวรรค์เป็นฟ้าสวรรค์ของพระยะโฮวา แต่แผ่นดินโลกพระองค์ได้ประทานแก่มนุษย์.”—วิวรณ์ 11:18; เยเนซิศ 2:15; บทเพลงสรรเสริญ 115:15, 16.
[รูปภาพหน้า 15]
ที่ลุ่มชื้นแฉะในสวิตเซอร์แลนด์
[รูปภาพหน้า 17]
ซ้ายสุดและบน: ที่ลุ่มชื้นแฉะในสหรัฐ
[ที่มาของภาพ]
H. Armstrong Roberts
ซ้าย: ป่าโกงกางในประเทศไทย
[ที่มาของภาพ]
By courtesy of the National Research Council of Thailand
เหล่าผู้อาศัยในที่ลุ่มชื้นแฉะ: จระเข้, กบ, แมลงปอ, เต่ากำลัง ขุดหลุมวางไข่