การช่วยเหลือผู้ติดโรคเอดส์
“เอดส์ก่อเหตุ นักเทศน์ถูกเบือน” เป็นหัวข่าวของบทความหนึ่งในหนังสือพิมพ์ เดอะ นิวยอร์ก ไทมส์. หนังสือพิมพ์นี้เล่าเรื่องของนักเทศน์คนหนึ่งในนิกายแบพติสต์ ซึ่งมีภรรยาและลูกชายสองคนติดไวรัสเอดส์จากการถ่ายเลือดให้เธอในปี 1982 (ลูกติดเชื้อตอนอยู่ในครรภ์). ต่อมา เขาและครอบครัวถูกกีดขวางไม่ให้เข้าโบสถ์หลายแห่งของแบพติสต์เพราะโรคนี้. ด้วยความผิดหวัง เขาเลิกพยายามที่จะไปโบสถ์ และลาออกจากการเป็นนักเทศน์ของแบพติสต์.
ความข้องขัดใจของชายคนนี้ในเรื่องที่โบสถ์ของเขาไม่ช่วยอะไรเลยจึงก่อให้เกิดคำถามหลายประการ: พระเจ้าทรงใฝ่พระทัยคนเจ็บป่วยไหม รวมทั้งผู้ที่เป็นโรคเอดส์? จะช่วยพวกเขาได้อย่างไร? มีข้อพึงระวังอะไรที่จำเป็นต้องปฏิบัติเมื่อให้การปลอบประโลมแบบคริสเตียนแก่ผู้เป็นโรคเอดส์?
ความรักของพระเจ้าต่อผู้ที่เจ็บป่วย
คัมภีร์ไบเบิลแสดงให้เห็นว่า พระเจ้าองค์ทรงฤทธานุภาพทุกประการแสดงความร่วมรู้สึกอย่างลึกซึ้งต่อผู้ที่รับความเจ็บปวด. เมื่ออยู่บนแผ่นดินโลก พระเยซูก็แสดงความสงสารจากใจจริงเช่นเดียวกันต่อผู้ที่เจ็บป่วย. และพระเจ้าทรงให้ฤทธิ์อำนาจแก่พระองค์เพื่อรักษาประชาชนให้หายจากความเจ็บป่วยทุกชนิด ดังที่คัมภีร์ไบเบิลเล่าว่า “ประชาชนเป็นอันมากมาเฝ้าพระองค์ พาคนง่อย, คนตาบอด, คนใบ้, คนเขยก, และคนเจ็บอื่น ๆ หลายคนมาวางใกล้พระบาทของพระเยซู, แล้วพระองค์ทรงรักษาเขาให้หาย.”—มัดธาย 15:30.
แน่นอน ทุกวันนี้พระเจ้าไม่ได้ให้ฤทธิ์อำนาจแก่ผู้ใดบนแผ่นดินโลกเพื่อรักษาผู้คนด้วยการอัศจรรย์ ดังที่พระเยซูทรงกระทำ. แต่คำพยากรณ์ในคัมภีร์ไบเบิลแสดงว่า อีกไม่นาน ในโลกใหม่ของพระเจ้า “จะไม่มีใครที่อาศัยอยู่ที่นั่นพูดว่า, ‘ข้าพเจ้าป่วยอยู่.’” (ยะซายา 33:24) คัมภีร์ไบเบิลสัญญาว่า “พระเจ้าจะทรงเช็ดน้ำตาทุก ๆ หยดจากตาของเขา ความตายจะไม่มีต่อไป การคร่ำครวญและร้องไห้และการเจ็บปวดอย่างหนึ่งอย่างใดจะไม่มีอีกเลย.” (วิวรณ์ 21:4) โดยความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ พระองค์ได้จัดเตรียมวิธีบำบัดรักษาถาวรสำหรับความเจ็บป่วยทุกอย่าง รวมทั้งโรคเอดส์ด้วย.
บทเพลงสรรเสริญ 22:24 กล่าวถึงพระเจ้าว่า “พระองค์ไม่ได้ทรงประมาทหรือเบื่อหน่ายความยากแค้นแห่งผู้ต้องทุกข์ยากนั้น; และไม่ได้ซ่อนพระพักตร์จากเขา; แต่เมื่อเขาร้องทูลต่อพระองค์ ๆ ได้ทรงสดับฟัง.” ความรักของพระเจ้ามีแก่คนเหล่านั้นที่ขอความช่วยเหลือจากพระองค์ด้วยความจริงใจ.
ใครบ้างที่ติดไวรัสเอดส์?
ส่วนใหญ่แล้ว เอดส์เป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับรูปแบบชีวิต. เมื่อมองย้อนหลัง ผู้คนจำนวนมากที่ติดโรคนี้เห็นพ้องกับบทเพลงสรรเสริญ 107:17 (ฉบับแปลใหม่) ซึ่งกล่าวว่า “บ้างก็เป็นคนโง่เพราะทางบาปของเขา และเพราะความผิดบาปของเขา เขาต้องทนความทุกข์ยาก.”
เมื่อคนเราละทิ้งมาตรฐานของคัมภีร์ไบเบิลและมีความสัมพันธ์ทางเพศนอกเหนือจากการจัดเตรียมของพระเจ้าเรื่องการสมรส ความเสี่ยงในการติดเอดส์หรือแพร่เชื้อให้ผู้อื่นนั้นจึงกลายเป็นจริงขึ้นมา. อีกทั้ง เมื่อปัจเจกบุคคลใช้เข็มฉีดยาเสพย์ติดร่วมกัน พวกเขาอาจติดเอดส์และแพร่เชื้อไวรัสให้ผู้อื่นได้. นอกจากนี้ ผู้คนจำนวนมากติดเอดส์โดยรับการถ่ายเลือดจากผู้บริจาคที่ติดเชื้อ.
อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องเศร้าที่ผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่จำนวนมากจนน่าตกใจกำลังติดไวรัสเอดส์ และในหลายวิธีด้วยกัน. ยกตัวอย่าง คู่สมรสที่ซื่อสัตย์หลายคน ซึ่งไม่ใช่ความผิดของตนเอง กำลังติดเอดส์โดยการมีเพศสัมพันธ์กับคู่สมรสที่ติดเชื้อ. และเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบางพื้นที่ ทารกในอัตราที่น่าตกใจกำลังได้รับไวรัสเอดส์จากแม่ที่ติดเชื้อ ทำให้ทารกแรกเกิดที่ติดเอดส์เป็นหนึ่งในเหยื่อที่น่าสังเวชที่สุด. อนึ่ง บุคลากรทางการแพทย์และบุคคลอื่น ๆ ติดโรคนี้เนื่องจากความพลั้งเผลอเมื่อจับต้องเลือดที่มีเชื้อ.
ไม่ว่าจะติดเอดส์โดยวิธีใด พระคัมภีร์แสดงอย่างชัดเจนว่า พระเจ้าไม่ใช่ต้นเหตุของการแพร่โรคที่ทำให้ถึงตายนี้. แม้ว่าปัจจุบัน คนส่วนใหญ่ที่ติดโรคนี้เป็นผู้นำเอดส์มาสู่ตัวเขาเอง และแพร่เชื้อไปยังคนอื่นโดยการประพฤติที่ไม่ลงรอยกับมาตรฐานของคัมภีร์ไบเบิล แต่อัตราส่วนกำลังเปลี่ยนไป ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าเหยื่อที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ อย่างเช่น ทารกและสามีหรือภรรยาที่ซื่อสัตย์ มีจำนวนมากขึ้น.
องค์การอนามัยโลกกล่าวว่า ผู้หญิงทั่วโลกเวลานี้กำลังติดเชื้อไวรัสเอดส์มากพอ ๆ กับผู้ชาย และเมื่อถึงปี 2000 ผู้ที่ติดเชื้อรายใหม่ส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิง. ผู้ทำงานด้านสาธารณสุขในแอฟริกากล่าวว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของผู้ป่วยโรคเอดส์ที่นั่น “ได้รับเชื้อโดยการมีเพศสัมพันธ์ฉันชายหญิง และรายอื่น ๆ ที่เหลือเกือบทั้งหมดได้รับเชื้อโดยการส่งผ่านจากแม่สู่ลูกในระหว่างตั้งครรภ์หรือคลอด.”
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าพระเจ้าทรงต่อต้านการฝ่าฝืนบัญญัติใด ๆ ของพระองค์ รวมทั้งการละเมิดต่าง ๆ ซึ่งก่อให้เกิดความทุกข์ทรมานเช่นนั้น แต่พระองค์รวดเร็วในการยื่นพระหัตถ์อันเปี่ยมด้วยความเมตตาต่อทุกคนที่เป็นโรคนี้. แม้แต่ผู้ที่ติดโรคเอดส์เนื่องจากการประพฤติผิดก็สามารถได้รับความเมตตาจากพระเจ้า โดยสำนึกผิดและหยุดกระทำสิ่งชั่ว.—ยะซายา 1:18; 1 โกรินโธ 6:9-11.
สิ่งที่ทราบกันในปัจจุบัน
โรคเอดส์เป็นปัญหาทางสุขภาพที่เกิดทั่วโลก. แม้นักวิทยาศาสตร์ให้การรับรองว่า “HIV ไม่ใช่ไวรัสที่ติดต่อได้ง่าย ๆ” แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นการปลอบใจเท่าใดนักสำหรับคนนับล้านที่ได้รับเชื้อนี้เข้าไปแล้วและคนอีกนับไม่ถ้วนซึ่งจะได้รับเชื้อนี้ในปีต่อ ๆ ไป. ข้อเท็จจริงก็คือ โรคนี้กำลังแพร่ระบาดไปทั่วแผ่นดินโลก.
เมื่อสรุปวิธีปกติของการแพร่เชื้อ เอกสารของทางการฉบับหนึ่งกล่าวว่า “การติดเชื้อ HIV เกือบทุกรายเป็นไปโดยทางเพศสัมพันธ์ หรือการรับเลือดที่ติดเชื้อ.” รายงานหนึ่ง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงข้อสรุปของคนส่วนใหญ่ในวงการแพทย์กล่าวว่า “ที่จะติดเชื้อได้ จะต้องมีการปล่อยของเหลว (แทบทุกครั้งเป็นเลือดหรือน้ำอสุจิ) จากร่างกายของผู้ติดเชื้อเข้าไปในร่างกายของผู้ที่ไม่ติดเชื้อ.”
อย่างไรก็ตาม วลีที่ว่า “เกือบทุกราย” และ “แทบทุกครั้ง” แสดงว่าเป็นไปได้ที่อาจมีข้อยกเว้น. ดังนั้น แม้ผู้ที่อยู่ในวงการแพทย์ทราบว่าส่วนใหญ่แล้วเชื้อเอดส์ติดต่อโดยวิธีใด แต่มีน้อยรายจริง ๆ ที่วิธีติดเชื้อไวรัสอาจไม่เป็นที่รู้กัน. ดังนั้น อาจยังจำเป็นต้องระมัดระวัง.
คุณจะมีปฏิกิริยาอย่างไร?
ประมาณ 12 ถึง 14 ล้านคนทั่วโลกติดไวรัสเอดส์แล้ว. และมีการกะประมาณว่า พอถึงปี 2,000 จะมีผู้ติดเชื้อเพิ่มอีกหลายล้านคน. ฉะนั้น คุณอาจจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับผู้ที่เป็นโรคนี้แล้วหรืออาจเกี่ยวข้องในไม่ช้า. ยกตัวอย่าง ในเมืองใหญ่ การติดต่อสัมผัสแบบปกติกับคนเช่นว่าเกิดขึ้นได้ทุกวันในสถานที่ทำงาน, ภัตตาคาร, โรงภาพยนตร์, สนามกีฬา, รถประจำทาง, รถไฟใต้ดิน, เครื่องบิน, และรถไฟ รวมทั้งการติดต่อสัมผัสแบบอื่น ๆ ในที่สาธารณะด้วย.
ดังนั้น นับวันคริสเตียนอาจพบและเกิดแรงกระตุ้นที่จะช่วยผู้เป็นโรคเอดส์ ซึ่งอยากศึกษาคัมภีร์ไบเบิล, เข้าร่วมประชุมคริสเตียน, และก้าวหน้าสู่การอุทิศตัวแด่พระเจ้า. คริสเตียนควรตอบสนองอย่างไรต่อความต้องการดังกล่าวของผู้เป็นโรคเอดส์? มีข้อพึงระวังใด ๆ ไหม ซึ่งจะนำไปใช้ได้เพื่อประโยชน์ของผู้ที่เป็นโรคนี้และผู้ที่อยู่ในประชาคมคริสเตียน?
จากความเห็นโดยทั่วไปในปัจจุบัน การติดต่อสัมผัสแบบปกติธรรมดาไม่ทำให้ติดโรคเอดส์. ดังนั้น จึงดูเหมือนไม่มีเหตุผลที่จะต้องกลัวจนเกินไปในการอยู่ใกล้ผู้ติดเอดส์. และเนื่องจากผู้เป็นโรคเอดส์มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอมาก เราจึงควรระมัดระวังที่จะไม่ให้เขาติดเชื้อไวรัสธรรมดา ๆ ซึ่งอาจมีอยู่ในตัวเรา. โรคภัยไข้เจ็บธรรมดา ๆ เช่นว่าอาจก่อผลเสียหายร้ายแรงต่อร่างกายของเขา.
เนื่องจากเอดส์เป็นโรคประเภทคุกคามถึงชีวิต จึงนับว่าสุขุมที่จะจดจำข้อพึงระวังซึ่งมีเหตุผลบางประการเมื่อเชิญผู้เป็นโรคเอดส์มาในการคบหาส่วนตัวหรือที่ประชาคมคริสเตียน. ก่อนอื่น แม้ว่าไม่มีการประกาศจากเวที แต่เราคงจะแจ้งให้ผู้ปกครองคนหนึ่งในประชาคมทราบถึงสถานการณ์นั้น เพื่อเขาจะได้เตรียมพร้อมในการให้คำตอบที่แสดงความกรุณาและเหมาะสมแก่ผู้ซึ่งอาจสอบถามเกี่ยวกับเรื่องนั้น.
เนื่องจากไวรัสนี้สามารถแพร่ไปโดยอาศัยเลือดของผู้ที่ติดเชื้อ จึงเป็นการเหมาะสมที่ประชาคมจะปฏิบัติตามสิ่งที่เรียกว่าข้อพึงระวังสากลเมื่อทำความสะอาดห้องน้ำและสิ่งหกเลอะ โดยเฉพาะเมื่อมีเลือดปนอยู่ด้วย. “ข้อพึงระวังสากล” เป็นคำที่ใช้กันในวงการแพทย์ ที่อธิบายถึงหลักปฏิบัติซึ่งมีการถือว่าเลือดของใครก็ตามอาจมีการปนเปื้อนและมีอันตรายแฝงอยู่ และฉะนั้น ต้องจัดการด้วยวิธีเฉพาะ. เนื่องจากหอประชุมเป็นสถานที่สาธารณะ จึงนับว่าสุขุมที่จะมีอุปกรณ์ทำความสะอาดไว้พร้อม รวมทั้งถุงมือยางหรือไวนิลกล่องหนึ่ง เพื่อใช้ในการดูแลทำความสะอาดอย่างเหมาะสมในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด. โดยทั่วไป มีการแนะนำให้ใช้น้ำยาฟอกขาว (โคลรอกซ์) ผสมน้ำด้วยอัตราส่วน 1:10 ในการทำความสะอาดสิ่งหกเลอะที่มีเลือด.
ในการติดต่อเกี่ยวข้องกับผู้อื่น รวมทั้งผู้ติดเอดส์ คริสเตียนได้รับการสอนให้ติดตามแบบอย่างของพระเยซู. ความเห็นอกเห็นใจที่พระองค์ทรงมีต่อผู้ซึ่งเจ็บป่วยแต่ปรารถนาจากใจจริงที่จะทำให้พระเจ้าพอพระทัยนั้น ควรที่เราจะเลียนแบบ. (เทียบกับมัดธาย 9:35-38; มาระโก 1:40, 41.) อย่างไรก็ตาม เนื่องจากยังไม่มีวิธีรักษาโรคเอดส์ในเวลานี้ จึงเหมาะสมที่คริสเตียนจะระมัดระวังตามสมควร เมื่อเขาให้การช่วยเหลือด้วยความเห็นอกเห็นใจแก่ผู้ที่เป็นโรคนี้.—สุภาษิต 14:15.
ผู้เป็นโรคเอดส์ก็ช่วยได้
ผู้เป็นโรคเอดส์ที่รอบคอบตระหนักว่า ผู้อื่นมีความรู้สึกไวเกี่ยวกับโรคนี้. ฉะนั้น โดยคำนึงถึงความรู้สึกของผู้ที่ต้องการให้ความช่วยเหลือ คงเป็นการดีกว่าสำหรับผู้ติดเอดส์ที่จะไม่เป็นฝ่ายแสดงความรักใคร่ต่อหน้าคนอื่นเช่นการกอดและจุมพิต. แม้จะเป็นไปได้น้อยหรือไม่มีทางเป็นไปได้ที่อากัปกิริยาเหล่านี้จะทำให้ติดโรค แต่การระงับกิริยาดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ผู้ติดเอดส์มีความเห็นอกเห็นใจคนอื่น ซึ่งโดยวิธีนี้ เขาจะได้รับความเห็นอกเห็นใจในทำนองเดียวกันเป็นการตอบแทน.a
โดยรู้ว่าหลายคนกลัวสิ่งที่ตนไม่คุ้นเคย ผู้เป็นโรคเอดส์จึงไม่ควรด่วนขุ่นเคืองใจหากเขาไม่ได้รับเชิญให้ไปที่บ้านส่วนตัวทันที หรือหากดูเหมือนว่าบิดามารดาห้ามปรามเด็กไม่ให้เข้าใกล้เขา. และถ้ามีกลุ่มการศึกษาหนังสือปกแข็งประจำประชาคมที่หอประชุมของพยานพระยะโฮวา อาจเป็นการสุขุมสำหรับผู้ติดเอดส์จะเลือกเข้าร่วมที่นั่น ดีกว่าที่บ้านส่วนตัว นอกเสียจากว่าเขาได้พูดคุยถึงสภาพการณ์นั้นกับเจ้าของบ้านแล้ว.
อนึ่ง ผู้เป็นพาหะของโรคเอดส์ควรคำนึงถึงผู้อื่นด้วย เป็นต้นว่า เมื่อไอมีเสมหะและเป็นที่ทราบกันว่าตนเป็นวัณโรค. เขาคงต้องใช้ข้อแนะแนวของอนามัยชุมชนเกี่ยวกับสภาพการณ์นั้น ในเรื่องการแยกอยู่ต่างหาก.
อีกสภาพการณ์หนึ่งซึ่งผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่อาจติดเชื้อได้ก็โดยการสมรสกับผู้ที่มีไวรัสเอดส์อยู่ในร่างกายโดยไม่รู้ตัว. อาจต้องระวังเป็นพิเศษในสภาพการณ์เหล่านี้ หากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดหรือทั้งสองฝ่ายที่มุ่งหมายจะสมรสกันเคยสำส่อนทางเพศหรือเคยใช้เข็มฉีดยาเสพย์ติดก่อนจะมีความรู้ถ่องแท้เกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้า. เนื่องจากผู้ติดเชื้อ HIV ซึ่งไม่ปรากฏอาการ (กล่าวคือ ยังไม่มีอาการภายนอกแสดงให้เห็น) มีจำนวนมากขึ้น จึงมิใช่ไม่เหมาะสมที่ปัจเจกบุคคลหรือบิดามารดาที่มีความเป็นห่วงจะขอให้ผู้ที่คาดหวังจะสมรสกันตรวจเลือดหาเชื้อเอดส์ก่อนมีการหมั้นหรือสมรส. เนื่องจากโรคนี้ก่อความเสียหายร้ายแรงถึงชีวิตได้ ผู้ที่หมายมั่นจะสมรสกันจึงไม่ควรขุ่นเคืองใจหากมีการขอให้ทำเช่นนั้น.
หากผลการตรวจปรากฏเป็นบวก คงไม่เหมาะที่ฝ่ายติดเชื้อจะบีบบังคับผู้ที่ตนมุ่งหมายจะสมรสด้วยให้อยู่ในการติดต่อฝากรักหรือยังคงหมั้นกันต่อไป หากบัดนี้บุคคลนั้นต้องการเลิกความสัมพันธ์. และคงเป็นการสุขุมสำหรับใครก็ตามที่เคยใช้ชีวิตแบบที่มีความเสี่ยงสูง คือมีความสำส่อนทางเพศหรือฉีดยาเสพย์ติดเข้าเส้นเลือด เลือกที่จะไปตรวจเลือดด้วยความสมัครใจก่อนมีการติดต่อฝากรัก. โดยวิธีนี้ จะหลีกเลี่ยงความรู้สึกที่เจ็บปวดได้.
ดังนั้น ในฐานะคริสเตียน เราต้องการปฏิบัติด้วยความเห็นอกเห็นใจและไม่หลบเลี่ยงผู้เป็นโรคเอดส์ แต่เรายอมรับว่า ความรู้สึกของปัจเจกบุคคลอาจแตกต่างกันไปในเรื่องที่ไวต่อปฏิกิริยานี้. (ฆะลาเตีย 6:5) ในเมื่อยังไม่รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับโรคเอดส์ ดังนั้น จึงอาจมีหลายคนลังเลใจเมื่อต้องจัดการกับประเด็นที่เกี่ยวข้อง. ทัศนะที่สมดุลในเรื่องนี้ก็คือ ให้ต้อนรับผู้เป็นโรคเอดส์เข้าสู่ประชาคมคริสเตียนต่อไป อีกทั้งแสดงความรักและความอบอุ่นต่อพวกเขา ในขณะเดียวกันก็ให้ระมัดระวังอย่างสมเหตุสมผลเพื่อปกป้องตนเองและครอบครัวจากโรคนี้.
[กรอบหน้า 27]
ดิฉันสงสารเธอ
วันหนึ่ง ขณะกำลังอยู่ในงานเผยแพร่ตามถนน ดิฉันเข้าไปหาหญิงสาวคนหนึ่งอายุประมาณ 20 ปี. นัยน์ตากลมโตสีน้ำตาลของเธอดูเศร้าหมองเหลือเกิน. โดยพยายามจะเริ่มการสนทนาเกี่ยวกับราชอาณาจักรของพระเจ้า ดิฉันยื่นแผ่นพับที่มีอยู่ในมือให้เธอเลือกแผ่นหนึ่ง. โดยไม่รีรอ เธอเลือกคำปลอบประโลมสำหรับผู้ท้อแท้. เธอมองแผ่นพับนั้น แล้วมองดิฉัน และพูดด้วยน้ำเสียงที่หมดอาลัยว่า “พี่สาวของฉันเพิ่งตายด้วยโรคเอดส์.” ก่อนที่ดิฉันจะพูดปลอบใจเธอจบประโยค เธอก็บอกว่า “ฉันกำลังจะตายด้วยโรคเอดส์เหมือนกัน และฉันมีลูกเล็ก ๆ สองคน.”
ดิฉันสงสารเธอ และอ่านจากคัมภีร์ไบเบิลให้เธอฟังถึงอนาคตที่พระเจ้าทรงสัญญากับมนุษยชาติ. เธอพูดโพล่งออกมาว่า “เรื่องอะไรพระเจ้าจะมาสนใจฉันในตอนนี้ในเมื่อฉันไม่เคยสนใจพระองค์เลย?” ดิฉันบอกเธอว่า จากการศึกษาคัมภีร์ไบเบิล เธอจะได้เข้าใจว่าพระเจ้าต้อนรับทุกคนที่สำนึกผิดและเข้ามาวางใจในพระองค์และเครื่องบูชาไถ่ของพระบุตรของพระเจ้าด้วยความจริงใจ. เธอตอบว่า “ฉันรู้ว่าคุณเป็นใคร. คุณมาจากหอประชุมที่อยู่บนถนนสายนี้—แต่คนในหอประชุมของคุณจะต้อนรับคนอย่างฉัน หรือ?” ดิฉันรับรองกับเธอว่า เธอจะได้รับการต้อนรับ.
ในที่สุด เมื่อเธอเดินต่อไป โดยกำหนังสือคัมภีร์ไบเบิล—พระวจนะของพระเจ้าหรือของมนุษย์? และแผ่นพับไว้ ดิฉันคิดในใจ ‘หวังว่าเธอจะพบคำปลอบประโลมซึ่งพระเจ้าเท่านั้นสามารถให้ได้.’
[เชิงอรรถ]
a ผู้ที่ทราบว่าตนเป็นโรคเอดส์ควรทำอย่างไรเมื่อต้องการเป็นพยานพระยะโฮวาและรับบัพติสมา? โดยคำนึงถึงความรู้สึกของผู้อื่น อาจเป็นการสุขุมสำหรับเขาที่จะขอรับบัพติสมาเป็นส่วนตัว แม้จะไม่มีหลักฐานบ่งชี้ว่าโรคเอดส์เคยแพร่เชื้อในสระว่ายน้ำ. ถึงแม้คริสเตียนเป็นจำนวนมากในศตวรรษแรกรับบัพติสมา ณ การชุมนุมใหญ่ แต่ก็มีคนอื่น ๆ รับบัพติสมาในสถานที่เฉพาะเนื่องจากสภาพการณ์ที่แตกต่างออกไป. (กิจการ 2:38-41; 8:34-38; 9:17, 18) ทางเลือกอีกอย่างหนึ่งก็คือให้ผู้ประสงค์จะรับบัพติสมาซึ่งเป็นโรคเอดส์รับบัพติสมาเป็นคนสุดท้าย.