ปัจจัยสำคัญเพื่อการอยู่รอด
ถ้าคุณทราบข่าวว่ามีฆาตกรกำลังป้วนเปี้ยนอยู่แถว ๆ บ้านคุณ คุณจะหามาตรการป้องกันตัวเองและครอบครัวไหม? คุณคงปิดประตูลงกลอนเพื่อฆาตกรจะได้ไม่เข้ามาง่าย ๆ. นอกจากนั้น คุณคงคอยสอดส่องดูคนแปลกหน้าที่น่าสงสัยและแจ้งเจ้าหน้าที่ทันที.
สตรีควรทำน้อยกว่าไหมในเรื่องมะเร็งเต้านม โรคร้ายที่เปรียบเหมือนฆาตกร? มีมาตรการอะไรที่พวกเธอจะทำได้เพื่อปกป้องตนเองและเพิ่มโอกาสอยู่รอด?
การป้องกันและอาหาร
ประมาณกันว่า มะเร็งหนึ่งในสามที่เป็นกันในสหรัฐเกิดขึ้นจากปัจจัยทางโภชนาการ. โภชนาการที่ดีซึ่งช่วยค้ำจุนระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายคุณอาจเป็นด่านป้องกันแนวหน้า. ถึงแม้ว่าเท่าที่ทราบกันไม่มีอาหารอะไรรักษาโรคมะเร็งได้ แต่การรับประทานอาหารบางอย่างและลดอาหารบางอย่างอาจเป็นวิธีป้องกัน. ดร. เลียวนาร์ด โคเฮน แห่งมูลนิธิสุขภาพอเมริกาในเมืองแวลฮาลลา รัฐนิวยอร์ก กล่าวว่า “นิสัยการกินอาหารที่ถูกต้องจะช่วยลดความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งเต้านมได้ถึงห้าสิบเปอร์เซ็นต์.”
อาหารที่มีเส้นใยมาก เช่น ข้าวกล้องที่นำมาทำเป็นขนมปังและอาหารที่ทำด้วยธัญพืช อาจช่วยลดปริมาณของโปรแลคตินและเอสโตรเจน คงเป็นโดยการจับตัวกับฮอร์โมนเหล่านี้และขับออกจากร่างกาย. บทความในวารสารอาหารกับมะเร็ง (ภาษาอังกฤษ) บอกว่า “ผลดังกล่าวนี้อาจช่วยยับยั้งการก่อมะเร็งในขั้นเริ่มต้น.”
การลดอาหารประเภทไขมันอิ่มตัว อาจช่วยลดอัตราเสี่ยงได้. วารสารพรีเวนชันแนะว่า การเปลี่ยนจากนมไขมันเต็มอัตรามาเป็นนมที่สกัดไขมันออกแล้ว, ลดการกินเนย, การกินเนื้อไม่ติดมัน, และเนื้อไก่ที่เอาหนังออก อาจช่วยลดระดับไขมันอิ่มตัวให้น้อยลงสู่ระดับที่ปลอดภัยกว่า.
พืชผักที่มีวิตามิน เอ สูง เช่น แครอท, ฟักทอง, มันเทศ, ผักใบเขียวเข้ม เช่น ผักขมและคะน้าฝรั่งและผักกาดเขียวปลี อาจมีประโยชน์เช่นกัน. เชื่อกันว่า วิตามิน เอ ยับยั้งการก่อตัวของการแบ่งเซลล์แบบผิดปกติที่เป็นสาเหตุของมะเร็ง. และผักต่าง ๆ อย่างเช่น บรอคโคลี, กะหล่ำดาว, กะหล่ำดอก, กะหล่ำปลี, และต้นหอม มีสารเคมีที่กระตุ้นให้เกิดเอนไซม์ที่ช่วยป้องกันมะเร็งได้.
ในหนังสือมะเร็งเต้านม—สิ่งที่ผู้หญิงทุกคนควรจะรู้ (ภาษาอังกฤษ) ดร. พอล โรดริเกวซ กล่าวว่าระบบภูมิคุ้มกันซึ่งสามารถระบุตัวและทำลายเซลล์ผิดปกติอาจได้รับการเสริมให้แข็งแกร่งขึ้นได้โดยอาหาร. เขาแนะนำให้กินอาหารที่มีธาตุเหล็กปริมาณสูง เช่น เนื้อไม่ติดมัน, ผักใบเขียว, สัตว์น้ำเปลือกแข็ง, ผลไม้และผักที่มีวิตามินซีสูง. นิตยสารของสถาบันมะเร็งแห่งชาติ (ภาษาอังกฤษ) รายงานว่า ผลไม้และผักที่มีวิตามินซีสูงจะช่วยลดโอกาสเป็นมะเร็งเต้านมให้น้อยลง. ถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองที่ไม่ได้หมักมีสารจีนิสตีน (genistein) ซึ่งทราบกันว่าสามารถยับยั้งการเติบโตของเนื้องอกในการทดลอง ณ ห้องปฏิบัติการได้ แต่ยังไม่มีหลักฐานแน่นอนว่าจะมีผลเช่นกันในร่างกายมนุษย์.
การตรวจพบแต่เนิ่น ๆ
หนังสือคลินิกรังสีวิทยาแห่งอเมริกาเหนือ กล่าวว่า “การตรวจพบมะเร็งเต้านมในระยะแรก ๆ ยังคงเป็นขั้นตอนสำคัญที่สุดในการเปลี่ยนทิศทางของมะเร็งเต้านม.” เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสามมาตรการที่สำคัญคือ การตรวจเต้านมด้วยตนเองเป็นประจำ, การตรวจประจำปีโดยแพทย์, และการถ่ายเอกซเรย์เต้านม (mammography).
การตรวจเต้านมด้วยตนเองควรจะทำเป็นประจำทุกเดือน เพราะผู้หญิงต้องตื่นตัวต่อการมองหาสิ่งที่น่าสงสัย ที่อาจเห็นได้หรือรู้สึกได้ในเต้านมของเธอ เช่น สิ่งที่แข็งตัวหนาขึ้นหรือเป็นก้อน. ไม่ว่าสิ่งที่พบจะดูเหมือนเล็กน้อยสักเพียงไรก็ตาม เธอควรติดต่อกับแพทย์ทันที. ยิ่งก้อนเนื้อนั้นได้รับการวินิจฉัยเร็วเพียงไร เธอก็ยิ่งสามารถควบคุมอนาคตของตนเองได้เพียงนั้น. รายงานหนึ่งจากประเทศสวีเดนแสดงว่า ถ้ามะเร็งเต้านมที่ยังไม่แพร่กระจายมีขนาด 1.5 เซนติเมตร หรือเล็กกว่าและได้รับการผ่าตัดออก โอกาสจะมีชีวิตยืดยาวไปอีก 12 ปีมีถึง 94 เปอร์เซ็นต์.
ดร. แพทริเซีย เคลลี ให้ความเห็นว่า “ถ้าคุณไม่มีอาการอะไรของมะเร็งเต้านมในช่วง 12 ปีครึ่ง โอกาสที่มันหวนกลับมาอีกแทบไม่มี. . . . และผู้หญิงอาจถูกสอนให้ตรวจพบมะเร็งเต้านมขนาดเล็กกว่าหนึ่งเซนติเมตร โดยเพียงแต่ใช้นิ้วของเธอเท่านั้น.”
มีการแนะให้ตรวจร่างกายโดยแพทย์เฉพาะโรค หรือแพทย์ทั่วไปเป็นประจำทุกปี โดยเฉพาะเมื่อสตรีมีอายุถึง 40 ปี. ถ้าตรวจพบก้อน ควรฟังความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญโรคเต้านมหรือศัลยแพทย์อีกท่านหนึ่ง.
สถาบันมะเร็งแห่งชาติของสหรัฐกล่าวว่า การถ่ายเอกซเรย์เต้านมเป็นประจำเป็นอาวุธที่ดีเพื่อต่อสู้มะเร็งเต้านม. การถ่ายเอกซเรย์แบบนี้สามารถตรวจพบก้อนเนื้อได้สองปีก่อนที่จะรู้สึกโดยการคลำ. มีการแนะนำให้สตรีอายุ 40 ปีขึ้นไปทำการถ่ายเอกซเรย์เต้านม. อย่างไรก็ดี นายแพทย์แดเนียล โคแปนส์ แจ้งให้เราทราบว่า “การตรวจด้วยวิธีนี้ยังไม่สมบูรณ์เสียทีเดียว.” วิธีนี้ยังไม่อาจตรวจมะเร็งเต้านมทั้งหมดได้.
แพทย์หญิงเวนดี โลแกน-ยัง ประจำคลินิกโรคทรวงอกแห่งรัฐนิวยอร์กกล่าวกับตื่นเถิด! ว่า หากสตรีเองหรือแพทย์ของเธอพบว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติ แต่ถ้าการเอกซเรย์เต้านมแสดงผลปกติอาจมีแนวโน้มที่จะเชื่อผลเอกซเรย์ และมองข้ามการตรวจพบโดยวิธีจับคลำ. เธอกล่าวว่านี้เป็น “ข้อผิดพลาดใหญ่ที่สุดที่เราพบกันทุกวันนี้.” เธอแนะนำสตรีให้สงสัยเผื่อไว้บ้างต่อความสามารถตรวจพบมะเร็งเต้านมโดยเครื่องเอกซเรย์ และให้เชื่อผลของการจับคลำก้อนที่เต้านมให้มากด้วย.
ขณะที่การเอกซเรย์เต้านมสามารถตรวจพบก้อนเนื้องอกได้ แต่ไม่อาจวินิจฉัยได้ว่าเป็นเนื้องอกไม่ร้ายหรือเป็นเนื้อร้าย (มะเร็ง). มีทางเดียวที่จะรู้คือ การตรวจชิ้นเนื้อ. ลองพิจารณากรณีของไอรีนซึ่งได้ไปทำการเอกซเรย์เต้านม. ผลการอ่านฟิล์มเอกซเรย์ แพทย์วินิจฉัยว่าก้อนที่เต้านมของเธอเป็นเนื้องอกไม่ร้าย และกล่าวว่า “หมอเชื่อแน่ว่าคุณไม่เป็นมะเร็ง.” ส่วนพยาบาลที่ทำการถ่ายเอกซเรย์ไม่ค่อยสบายใจนัก แต่ไอรีนกล่าวว่า “ฉันคิดว่าในเมื่อหมอแน่ใจ ฉันก็คงเป็นฝ่ายกลัวไปเอง.” ไม่นาน ก้อนนั้นโตขึ้น ดังนั้น ไอรีนจึงไปพบแพทย์อีกคนหนึ่ง. มีการตัดชิ้นเนื้อไปตรวจและพบว่า เธอเป็นมะเร็งชนิดหนึ่ง (inflammatory carcinoma) ที่เติบโตเร็วมาก. เพื่อจะพิสูจน์ว่าเนื้องอกใด ๆ เป็นเนื้อไม่ร้าย (ซึ่งพบ 8 ใน 10 ราย) หรือเป็นมะเร็งจะต้องมีการเจาะตรวจชิ้นเนื้อ. ถ้าก้อนเนื้องอกดูและรู้สึกน่าสงสัยในเชิงแพทย์หรือโตขึ้นเรื่อย ๆ ควรทำการเจาะตรวจชิ้นเนื้อ.
การรักษา
ปัจจุบัน การรักษาพื้นฐานสำหรับมะเร็งเต้านม คือ การผ่าตัด, การฉายแสง, และเคมีบำบัด. ข้อมูลเกี่ยวกับชนิด, ขนาด, และคุณสมบัติของการแพร่กระจายของเนื้องอก คือมีการแพร่ไปยังต่อมน้ำเหลืองหรือไม่ อีกทั้งภาวะการหมดประจำเดือนของคุณ สิ่งเหล่านี้จะช่วยคุณและแพทย์ผู้รักษาตัดสินได้ว่าควรจะรักษาโดยวิธีใด.
การผ่าตัด. เป็นเวลาหลายสิบปีทีเดียวที่การทำผ่าตัดแบบ radical mastectomy โดยตัดเต้านม รวมทั้งกล้ามเนื้อที่อยู่ข้างใต้และต่อมน้ำเหลือง เป็นการผ่าตัดที่นิยมทำกัน. แต่ในระยะหลัง มีการผ่าตัดแบบที่พยายามรักษาเต้านมไว้โดยผ่าออกเฉพาะก้อนเนื้องอกและต่อมน้ำเหลืองตามด้วยการฉายแสง ซึ่งพบว่าอัตรารอดชีวิตมีพอ ๆ กับการผ่าตัดเต้านมออกทั้งหมด. วิธีนี้ทำให้สตรีหลายคนสบายใจขึ้น เมื่อตัดสินใจผ่าตัดเอาเนื้องอกก้อนเล็กออกเท่านั้น ซึ่งเสียโฉมน้อยกว่า. แต่บริติช เจอร์นัล ออฟ เซอเจอรีกล่าวว่า สตรีอายุน้อย ซึ่งมีมะเร็งหลายแห่งในเต้านมเดียวกันหรือมีก้อนมะเร็งโตกว่าสามเซนติเมตรเสี่ยงมากกว่าที่จะกลับเป็นมะเร็งอีก ถ้าใช้วิธีการผ่าตัดแบบพยายามรักษาเต้านมไว้.
วารสารคลีฟแลนด์ คลินิก เจอร์นัล ออฟ เมดิซิน กล่าวถึง ปัจจัยสำคัญของการที่ผู้ป่วยมีชีวิตรอด ไม่กลับเป็นมะเร็งอีก ดังนี้ “การถ่ายเลือดมีผลร้ายต่ออัตราการอยู่รอดและการกลับเป็นอีก. . .หลังการผ่าตัดเอาเต้านมออกแบบไม่ตัดกล้ามเนื้อมัดใหญ่ของหน้าอกออก.” รายงานนี้แสดงว่า อัตราการอยู่รอดถึงห้าปีมีร้อยละ 53 ในกลุ่มที่รับการถ่ายเลือด เมื่อเทียบกับร้อยละ 93 ของกลุ่มที่ไม่รับเลือด.
วารสารแลนเซ็ตรายงานถึงอีกปัจจัยหนึ่งที่เกี่ยวกับการอยู่รอด ซึ่งนายแพทย์ อาร์. เอ. บัดวี กล่าวว่า “เวลาที่เลือกเพื่อทำการผ่าตัด โดยสัมพันธ์กับรอบเดือนของผู้ป่วย มีผลอย่างยิ่งต่อความอยู่รอดระยะยาวของผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่ยังไม่หมดประจำเดือน.” รายงานนี้แสดงว่า สตรีที่รับการผ่าตัดเพื่อเลาะเอาก้อนเนื้องอกออกในระหว่างช่วงของการกระตุ้นของฮอร์โมนเอสโตรเจนจะได้ผลแย่กว่าสตรีที่รับการผ่าตัดในช่วงอื่นของรอบประจำเดือน—ร้อยละ 54 อยู่รอดไปได้ 10 ปี เทียบกับร้อยละ 84 ในกลุ่มหลัง. เชื่อกันว่าเวลาที่เหมาะที่สุดของการผ่าตัดสำหรับสตรีที่ยังไม่หมดประจำเดือน คือ อย่างน้อย 12 วันหลังจากประจำเดือนมาวันสุดท้าย.
การรักษาด้วยวิธีฉายแสง. การฉายแสงจะฆ่าเซลล์มะเร็ง. ในกรณีของการผ่าตัดแบบพยายามรักษาเต้านมไว้นั้น เซลล์มะเร็งเล็ก ๆ อาจรอดจากมีดของศัลยแพทย์ขณะที่เขาพยายามรักษาเต้านมไว้. การรักษาด้วยการฉายแสงจึงอาจทำลายเซลล์มะเร็งที่เหลืออยู่ได้. แต่การฉายแสงก็มีโอกาสเสี่ยงบ้างต่อการกระตุ้นให้เกิดมะเร็งในเต้านมอีกข้างหนึ่ง. นายแพทย์เบเนดิก ฟราสส์ แนะนำให้ลดการถูกรังสีของเต้านมอีกข้างหนึ่ง. เขากล่าวว่า “โดยใช้วิธีง่าย ๆ ก็สามารถลดปริมาณการถูกรังสีของเต้านมอีกข้างหนึ่งได้ ขณะข้างที่เป็นโรคกำลังได้รับการฉายแสง.” เขาแนะให้ใช้แผ่นตะกั่วหนา 2.5 เซนติเมตร บังเต้านมอีกข้างหนึ่งไว้.
การักษาโดยเคมีบำบัด. ถึงแม้จะใช้วิธีการผ่าตัดรักษามะเร็งเต้านม แต่ร้อยละ 25 ถึง 30 ของสตรีที่รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งเต้านมรายใหม่ ๆ จะมีการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งตามที่ต่าง ๆ ซึ่งในตอนแรกเล็กเกินกว่าจะแสดงอาการออกมา. เคมีบำบัดคือการใช้สารเคมีฆ่าเซลล์มะเร็งที่กระจายไปตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย.
เคมีบำบัดมีข้อจำกัดเพราะก้อนมะเร็งประกอบด้วยเซลล์หลายชนิดซึ่งแต่ละชนิดมีความไวต่อยาเป็นแบบเฉพาะของตนเอง. เซลล์บางตัวที่ไม่ถูกฆ่าโดยเคมีบำบัดอาจก่อให้เกิดมะเร็งรุ่นใหม่ที่ดื้อยา. แต่เดอะ แลนเซ็ตฉบับมกราคม 1992 ให้หลักฐานว่า เคมีบำบัดเพิ่มโอกาสที่สตรีจะอยู่รอดต่อไปอีก 10 ปีมากขึ้น 5 ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ ขึ้นอยู่กับอายุของเธอ.
ผลข้างเคียงของเคมีบำบัดอาจรวมถึงการคลื่นไส้, อาเจียน, ผมร่วง, เลือดออก, ผลเสียต่อหัวใจ, กดระบบภูมิคุ้มกัน, เป็นหมัน, และลิวคีเมีย. จอห์น แคนส์ กล่าวไว้ในนิตยสารไซเยนติฟิก อเมริกันว่า “ผลข้างเคียงเหล่านี้อาจดูเป็นอันตรายเล็กน้อยสำหรับผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งชนิดโตเร็วและเป็นมากแล้ว แต่จะกลายเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบสำหรับสตรีที่เป็นมะเร็งเต้านมก้อนเล็ก ๆ [1 เซนติเมตร] และดูเหมือนยังไม่ได้แพร่ไปที่อื่น. โอกาสที่เธอจะเสียชีวิตภายใน 5 ปีเพราะมะเร็งนั้นมีเพียงร้อยละ 10 ถึงแม้เธอจะไม่ได้รับการรักษาอะไรอื่นหลังจากการผ่าตัด.”
การรักษาด้วยฮอร์โมน. การรักษาโดยให้สารต่อต้านเอสโตรเจนจะช่วยระงับผลกระตุ้นของเอสโตรเจนที่ทำให้เซลล์เจริญเติบโต. การลดระดับเอสโตรเจนในสตรีวัยก่อนหมดประจำเดือนทำได้ โดยการผ่าตัดเอารังไข่ออกหรือโดยการใช้ยา เช่น tamoxifen. เดอะ แลนเซ็ตรายงานว่ามีอัตราอยู่รอดถึง 10 ปี สำหรับสตรี 8 ถึง 12 คนใน 100 คน เมื่อทำการรักษาวิธีหนึ่งวิธีใดดังที่กล่าวมาแล้ว.
การติดตามดูแลผู้ป่วยหญิงที่เป็นมะเร็งเต้านมเป็นเรื่องที่ต้องทำตลอดชีวิต. ต้องมีการติดตามดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อว่าถ้าการรักษาแบบหนึ่งไม่ได้ผลและเกิดการกลับเป็นมะเร็งขึ้นอีก ก็อาจใช้การรักษาแบบอื่นเข้าจัดการได้.
การรักษามะเร็งอีกวิธีหนึ่ง ซึ่งใช้วิธีการต่างออกไป เกี่ยวข้องกับกลุ่มอาการที่เรียกว่า เคเค็กเซีย (cache-xia). วารสารแคนเซอร์ รีเสิร์ชอธิบายว่า สองในสามของผู้เสียชีวิตจากมะเร็งทั้งหมดเกิดขึ้นจากเคเค็กเซีย ซึ่งหมายถึงการค่อย ๆ สูญเสียมวลกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อต่าง ๆ. นายแพทย์โจเซฟ โกลด์ แห่งสถาบันวิจัยมะเร็งซีราคิวส์ ในสหรัฐ กล่าวกับตื่นเถิด! ว่า “เราคิดว่าเนื้องอกไม่อาจแพร่ไปทั่วร่างกายได้ นอกจากช่องทางแห่งการเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมีเพื่อให้เกิดเคเค็กเซียจะเปิดออก.” การศึกษาในโรงพยาบาลรายหนึ่งโดยการใช้ไฮดราซีน ซัลเฟต (hydrazine sulfate) แสดงว่าสามารถปิดช่องทางเหล่านี้บางช่องได้. สามารถหยุดยั้งขบวนการเกิดเคเค็กเซียได้ถึงร้อยละ 50 ของผู้ป่วยมะเร็งเต้านมระยะสุดท้าย.
การรักษาทดแทนคือ การรักษาโดยวิธีธรรมชาติ เป็นวิธีที่สตรีบางคนซึ่งเป็นมะเร็งเต้านมเลือกใช้ โดยไม่ต้องผ่าตัดและไม่ใช้สารเคมีที่เป็นพิษ. การรักษามีต่าง ๆ กัน บางวิธีใช้โภชนาการและสมุนไพร เช่น การบำบัดแบบฮอกซี. แต่รายงานการค้นคว้าที่พิมพ์ขึ้นเพื่อนำมาใช้ประเมินผลทางวิชาการยังมีน้อย.
ขณะที่บทความนี้เสนอปัจจัยต่าง ๆ เพื่อการรอดชีวิต แต่ไม่ใช่นโยบายของตื่นเถิด! จะแนะนำการรักษาแบบใดแบบหนึ่ง. เราสนับสนุนทุกคนให้พิจารณาอย่างรอบคอบถึงวิธีต่าง ๆ ในการรักษาโรคนี้.—สุภาษิต 14:15.
ความเครียดและมะเร็งเต้านม
นายแพทย์ เอช. บาลทรุช อธิบายไว้ในนิตยสารแอกตา นิวโรลอจิกาว่า ความเครียดสุดขีดหรือเป็นเวลานานอาจลดตัวป้องกันเนื้องอก ซึ่งมีในระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย. สตรีที่เหนื่อยล้า, มีอาการซึมเศร้า, หรือขาดการเกื้อหนุนทางอารมณ์ อาจเป็นเหตุให้ระบบภูมิคุ้มกันของพวกเธอลดประสิทธิภาพลงถึงร้อยละ 50.
ด้วยเหตุนี้ นายแพทย์เบซิล สตอลล์ จึงเขียนไว้ในหนังสือจิตใจและการพยากรณ์โรคมะเร็ง (ภาษาอังกฤษ) โดยเน้นว่า “ควรใช้ความพยายามทุกอย่างเพื่อลดความบอบช้ำทางร่างกายและจิตใจที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ซึ่งผู้ป่วยโรคมะเร็งได้รับระหว่างและภายหลังการรักษาโรคนี้.” แต่การสนับสนุนแบบไหนที่จำเป็น?
[จุดเด่น/ภาพหน้า 19]
ถึงแม้ว่าเท่าที่ทราบกันไม่มี อาหารอะไรรักษามะเร็งได้ แต่การรับประทานอาหารบางอย่างและลดอาหารบางอย่างอาจเป็นวิธีป้องกัน. ดร. เลียวนาร์ด โคเฮน กล่าวว่า ‘นิสัยการกิน อาหารที่ถูกต้องอาจลดความ เสี่ยงของการเป็นมะเร็งได้ถึง ห้าสิบเปอร์เซ็นต์.’
[จุดเด่น/ภาพหน้า 20]
หนังสือ “คลินิกรังสีวิทยา แห่งอเมริกาเหนือ” กล่าวว่า “การตรวจพบมะเร็งเต้านม ในระยะแรก ๆ ยังคงเป็น ขั้นตอนสำคัญที่สุดในการ เปลี่ยนทิศทางของมะเร็ง เต้านม.” เรื่องนี้เกี่ยวข้อง กับสามมาตรการที่สำคัญคือ การตรวจเต้านมด้วยตนเอง เป็นประจำ, การตรวจประจำปีโดยแพทย์, และการถ่ายเอกซเรย์เต้านม
[จุดเด่นหน้า 22]
สตรีที่เหนื่อยล้า, มีอาการ ซึมเศร้า, หรือขาดการเกื้อหนุนทางอารมณ์ อาจเป็นเหตุให้ ระบบคุ้มกันของพวกเธอลด ประสิทธิภาพลง
[กรอบหน้า 21]
การตรวจด้วยตนเอง—เป็นประจำทุกเดือน
การตรวจเต้านมด้วยตนเองควรกระทำในช่วงสี่ถึงเจ็ดวันหลังประจำเดือนมาวันสุดท้าย. สำหรับผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนแล้ว ให้ตรวจด้วยตนเองในวันเดียวกันของทุกเดือน.
ลักษณะต่าง ๆ ที่ควรสังเกตในวันเดียวกันของทุกเดือน
• ก้อนไม่ว่าขนาดใด (ใหญ่หรือเล็ก) หรือสิ่งที่หนาเป็นไตในเต้านม.
• รอยย่น, รอยบุ๋ม, หรือสีของผิวหนังเต้านมเปลี่ยนไป.
• หัวนมบิดเบี้ยว หรือยุบลง.
• มีผื่นหรือผิวของหัวนมหลุดออก หรือมีของเหลวไหลออกมา.
• ต่อมใต้รักแร้โตขึ้น.
• มีการเปลี่ยนแปลงของไฝหรือมีรอยแตกของเต้านม.
• ขนาดเต้านมที่ไม่เท่ากันอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งผิดไปจากเดิม.
การตรวจด้วยตนเอง
ขณะยืน ยกแขนซ้ายขึ้น. เริ่มต้นจากขอบนอกของเต้านม ใช้แนวราบของนิ้วมือขวากดเป็นวงกลมเล็ก ๆ ค่อย ๆ เลื่อนไปรอบเต้านมและเวียนเข้าสู่หัวนม. ให้ตรวจดูบริเวณระหว่างรักแร้ กับเต้านมด้วย.
นอนราบ เอาหมอนรองข้างใต้ไหล่ซ้าย ยกแขนซ้ายวางไว้เหนือหรือหลังศีรษะ. ต่อจากนั้นให้ใช้วิธีเดียวกับที่อธิบายข้างต้น. กลับข้างทำกับด้านขวา.
บีบหัวนมเบา ๆ ดูว่ามีของเหลวไหลออกมาไหม. ทำซ้ำกับด้านขวา.