มารยาทถูกปฏิเสธโดย “ศีลธรรมแบบใหม่” หรือ?
‘วิบัติแก่คนที่เห็นชั่วเป็นดี, มืดเป็นสว่าง, และขมเป็นหวาน.’—ยะซายา 5:20.
ศตวรรษที่ 20 นี้ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างกว้างขวางในเรื่องกิริยามารยาทและศีลธรรม. ในช่วงหลายทศวรรษหลังสงครามโลกสองครั้ง ระบบค่านิยมเดิมค่อย ๆ ถูกมองว่าล้าสมัย. สภาพการณ์ที่เปลี่ยนแปลง และทฤษฎีใหม่ ๆ ว่าด้วยพฤติกรรมของมนุษย์และวิทยาศาสตร์ทำให้หลายคนมั่นใจว่า ค่านิยมเก่าใช้ไม่ได้อีกต่อไป. มารยาทซึ่งแต่ก่อนเคยได้รับการยกย่องอย่างสูงได้ถูกสลัดทิ้งเสมือนสัมภาระส่วนเกิน. แนวแนะจากคัมภีร์ไบเบิลซึ่งครั้งหนึ่งเคยได้รับความนับถือ กลับถูกปฏิเสธว่าล้าสมัย. แนวดังกล่าวมีข้อจำกัดมากเกินไปสำหรับสังคมที่ได้รับเสรีภาพไร้ขีดจำกัดของปัจเจกบุคคลล้ำยุคแห่งศตวรรษที่ 20 นี้.
ปีที่เห็นจุดหักเหนี้ในประวัติศาสตร์ของมนุษย์คือปี 1914. ข้อเขียนของนักประวัติศาสตร์เกี่ยวกับปีนั้นและสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เต็มไปด้วยข้อสังเกตซึ่งเผยให้เห็นว่าปี 1914 เป็นปีที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง เป็นหลักเขตอย่างแท้จริงที่แบ่งแยกศักราชในประวัติศาสตร์มนุษย์ออกจากกัน. ทศวรรษปี 1920 อันรุ่งเรืองเฟื่องฟูตามหลังสงครามมาติด ๆ และผู้คนพยายามหาสิ่งชดเชยความสนุกสนานที่ขาดหายไประหว่างปีเหล่านั้นที่เกิดสงคราม. ค่านิยมเก่า ๆ และขีดจำกัดทางศีลธรรมที่ไม่สะดวกถูกปัดทิ้งไป เพื่อแผ้วถางหนทางสำหรับความสนุกเพลิดเพลินอย่างสุดเหวี่ยง. ศีลธรรมแบบใหม่ ซึ่งหมกมุ่นอยู่กับการติดตามเรื่องทางโลกีย์ ได้ตั้งขึ้นอย่างไม่เป็นทางการ—โดยพื้นฐานแล้วก็คือแนวทางที่ว่าอะไร ๆ ก็ทำได้ทั้งนั้น. แนวของศีลธรรมแบบใหม่นี้ได้พาเอาการเปลี่ยนแปลงทางมารยาทตามมาด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น.
นักประวัติศาสตร์ เฟรเดอริก ลูอิส แอลเล็น ให้ความเห็นในเรื่องนี้ว่า “ผลอีกประการหนึ่งของการปฏิวัตินี้คือ มารยาทไม่เพียงแตกต่างออกไปเท่านั้น แต่—ช่วงไม่กี่ปี—ไร้มารยาทไปเลย. . . . ในช่วงทศวรรษนี้ พนักงานต้อนรับหญิง . . . พบว่าแขกไม่แยแสที่จะโอภาปราศรัยกับตนทั้งตอนมาถึงและตอนจากไป; การเข้าร่วมงานเต้นรำโดยไม่ได้รับเชิญกลายเป็นกิจปฏิบัติที่ยอมรับกัน, ผู้คนมาร่วมงานเลี้ยงอาหารเย็น ‘สายเป็นแฟชั่น,’ ทิ้งก้นบุหรี่อย่างสะเพร่าเรี่ยราด, ดีดขี้บุหรี่กระจายเกลื่อนพรม ทั้งหมดทำโดยไม่ขออภัย. สลักประตูที่คอยยับยั้งแต่เดิมหลุดออก และไม่มีการทำขึ้นใหม่ ผู้คนที่กักขฬะเยี่ยงหมูก็ออกมาเพ่นพ่านทำอะไร ๆ ตามใจชอบ. สักวันหนึ่ง บางทีระยะสิบปีภายหลังสงครามนี้อาจเป็นที่รู้จักกันอย่างเหมาะเจาะว่า ทศวรรษแห่งมารยาททราม. . . . ถ้าทศวรรษนั้นมารยาทเลว ความสุขก็พลอยเหือดหายไปด้วย. ระเบียบเดิมลอยลับไปพร้อมด้วยค่านิยมซึ่งเคยให้คุณค่าและความหมายต่อชีวิต และค่านิยมที่ทดแทนกันได้ก็ใช่ว่าจะหาพบง่าย ๆ.”
ค่านิยมทดแทนซึ่งช่วยกอบกู้คุณค่าและความหมายให้กับชีวิตนั้นหาไม่พบเลย. สิ่งเหล่านั้นไม่ได้รับการแสวงหา. ความตื่นเต้นของรูปแบบชีวิตที่ทำอะไรก็ได้แห่งทศวรรษปี 1920 อันรุ่งเรืองเฟื่องฟู ปลดเปลื้องผู้คนจากข้อจำกัดทางศีลธรรมซึ่งพวกเขาต้องการอยู่ทีเดียว. พวกเขามิใช่ว่าโยนหลักศีลธรรมทิ้งไป พวกเขาเพียงแต่ปรับปรุงเสียใหม่ ทำให้หย่อนลงสักหน่อย. ต่อมาก็เรียกว่าศีลธรรมแบบใหม่. ตามหลักนี้ แต่ละคนทำสิ่งที่ถูกต้องในสายตาของตนเอง. เขาเป็นหมายเลขหนึ่ง. เขาทำตามใจชอบ. เขาดำเนินโดยเอกเทศ.
หรืออย่างน้อยเขาก็คิดเช่นนั้น. แท้จริง สามพันปีมาแล้วกษัตริย์ซะโลโมผู้ชาญฉลาดกล่าวว่า “ภายใต้ดวงอาทิตย์หามีสิ่งใดที่นับว่าเป็นสิ่งใหม่ไม่.” (ท่านผู้ประกาศ 1:9) แม้แต่ก่อนหน้านั้น ระหว่างยุคผู้วินิจฉัย ชนยิศราเอลมีเสรีภาพพอสมควร ในเรื่องที่ว่าเขาจะเชื่อฟังกฎหมายของพระเจ้าหรือไม่: “ขณะนั้นพวกยิศราเอลไม่มีกษัตริย์ ต่างคนต่างก็ทำตามลำพังใจตนเอง.” (ผู้วินิจฉัย 21:25) แต่ปรากฏว่าคนส่วนใหญ่ไม่เต็มใจจะเชื่อฟังพระบัญญัติ. โดยการหว่านอย่างนี้ ชนยิศราเอลได้เก็บเกี่ยวความหายนะระดับชาติหลายร้อยปีติดต่อกัน. ในทำนองคล้ายคลึงกัน ชาติต่าง ๆ ในปัจจุบัน ได้เก็บเกี่ยวความเจ็บปวดและความทุกข์ระทมมาหลายศตวรรษ—และยังจะเลวร้ายกว่านี้อีก.
ยังมีอีกคำหนึ่งที่ระบุศีลธรรมแบบใหม่ชนิดเจาะจงยิ่งขึ้น นั่นคือ “สัมพัทธนิยม.” พจนานุกรม เว็บสเตอร์ส ไนนท์ นิว คอลลิจิเอต ได้นิยามคำนี้ไว้ว่า “ทัศนะที่ว่าความจริงทางจริยธรรมขึ้นอยู่กับปัจเจกบุคคลและกลุ่มที่ถือปฏิบัติสิ่งนั้นอยู่.” พูดย่อ ๆ เหล่าผู้สนับสนุนสัมพัทธนิยมยืนกรานว่า สิ่งใดที่เป็นประโยชน์สำหรับพวกเขาก็คือจริยธรรมสำหรับพวกเขา. นักเขียนผู้หนึ่งขยายความคำสัมพัทธนิยมเมื่อเขาบอกว่า “สัมพัทธนิยมซึ่งซุ่มคอยทีอยู่ใต้ผิวมานานแล้ว ได้โผล่ขึ้นมาฐานะเป็นปรัชญา ‘ทศวรรษฉันก่อน’ แห่งช่วงปี 1970-80 ที่แพร่หลายออกไป ปรัชญานี้ยังคงครอบงำกลุ่มยัปปี้นิยม (ชนชั้นกลางวัยหนุ่มสาวซึ่งมีรายได้มากและใช้อย่างฟุ่มเฟือย) แห่งทศวรรษปี 1980. เราอาจยังคงยอมรับด้วยปากต่อค่านิยมที่สืบทอดกันมา แต่ในทางปฏิบัติแล้ว ความถูกต้องก็คืออะไรก็ตามที่ก่อประโยชน์ต่อฉัน.”
และนั่นรวมทั้งเรื่องมารยาท—‘ถ้ามันทำให้ฉันพอใจ ฉันก็จะทำ, ถ้าไม่ ฉันก็จะไม่ทำ. คงไม่เหมาะสำหรับผม ถึงแม้คุณจะถือว่านั้นมีมารยาทกว่า. มันจะทำลายความเป็นปัจเจกบุคคลอันรุนแรงของผมเสีย, ทำให้ผมดูอ่อนแอ, ทำให้ผมดูไม่มีน้ำยา.’ ดูเหมือนว่า สำหรับคนเช่นนั้น สิ่งนี้เกี่ยวข้องมิใช่แค่การแสดงความหยาบคายเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงความดีงามประจำวันเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่ยุ่งยาก เช่น ‘โปรด, ผมเสียใจ, ขอโทษ, ขอบคุณ, ขอผมเปิดประตูให้คุณนะ, นั่งที่ของผมก็ได้, ขอผมถือกระเป๋าให้นะ.’ สำนวนคำพูดแบบนี้และอื่น ๆ เปรียบเสมือนน้ำมันหล่อลื่นอ่อน ๆ ซึ่งทำให้สัมพันธภาพของมนุษย์ราบรื่นและสุขสดชื่น. พวกฉันก่อนจะโต้แย้งว่า ‘แต่การแสดงมารยาทต่อผู้อื่นจะก่อผลกระทบในทางลบต่อการดำรงชีวิตให้สมกับภาพลักษณ์และการแสดงภาพลักษณ์ว่าผมเป็นหมายเลขหนึ่ง.’
เจมส์ คิว. วิลสัน นักสังคมวิทยาเชื่อว่า ความขัดแย้งและการประพฤติผิดทางอาญาที่เพิ่มขึ้นนั้นสืบเนื่องมาจากการพังทลายของสิ่งที่ปัจจุบัน “มีการพาดพิงถึงอย่างเย้ยหยันว่า ‘ค่านิยมของชนชั้นกลาง’” และรายงานมีต่อไปว่า “การสูญสลายของค่านิยมเหล่านี้—และการเพิ่มขึ้นของสัมพัทธนิยมทางศีลธรรม—ปรากฏว่าสัมพันธ์กับอัตราอาชญากรรมที่สูงขึ้น.” มันสัมพันธ์อย่างแน่ชัดกับแนวโน้มสมัยใหม่ที่ปฏิเสธความยับยั้งชั่งใจใด ๆ ในการแสดงออก ไม่ว่าจะทำด้วยมารยาททรามแค่ไหนหรือสร้างความขุ่นเคืองเพียงใด. ทั้งนี้เป็นดังที่ จาเร็ด เทย์เลอร์ นักสังคมวิทยาอีกผู้หนึ่งกล่าวว่า “สังคมของเราได้เคลื่อนที่อย่างต่อเนื่องจากการรู้จักบังคับตัวไปสู่การแสดงออก และผู้คนมากมายได้ขว้างทิ้งค่านิยมที่ล้าสมัยฐานะเป็นตัวยับยั้ง.”
การถือปฏิบัติหลักสัมพัทธนิยมทำให้คุณเป็นผู้ตัดสินความประพฤติส่วนตัวของคุณเอง บอกปัดการวินิจฉัยของคนอื่น ๆ รวมทั้งของพระเจ้า. คุณกำลังตัดสินเอาเองว่าอะไรถูกและอะไรผิดสำหรับตน เหมือนกับที่มนุษย์คู่แรกได้กระทำในสวนเอเดนเมื่อเขาทั้งสองปฏิเสธพระบัญชาของพระเจ้าและตัดสินเอาเองว่าอะไรถูกและอะไรผิด. งูได้ล่อลวงฮาวาให้คิดว่าถ้าเธอไม่เชื่อฟังพระเจ้าและกินผลไม้ที่ต้องห้ามเข้าไป แล้วผลก็จะเป็นอย่างที่มันพูดกับเธอว่า “ตาของเจ้าจะสว่างขึ้นในวันนั้น; แล้วเจ้าจะเป็นเหมือนพระ, จะรู้จักความดีและชั่ว.” (เยเนซิศ 3:5, 6) การตัดสินใจของอาดามและฮาวากินผลไม้นั้นเป็นความหายนะสำหรับเขา และนำความวิบัติมาสู่บุตรหลาน.
หลังจากสรุปอย่างยืดยาวเรื่องการคอรัปชั่นที่พบท่ามกลางนักการเมือง, นักธุรกิจ, นักกีฬา, นักวิทยาศาสตร์, ผู้ชนะรางวัลโนเบล, และนักเทศน์แล้ว นักสังเกตการณ์โลกผู้หนึ่งกล่าวในสุนทรพจน์ต่อหน้าวิทยาลัยธุรกิจฮาร์วาร์ดว่า “ผมเชื่อว่าในประเทศของเราปัจจุบันนี้พวกเรากำลังประสบสิ่งซึ่งผมเลือกที่จะเรียกว่าวิกฤติลักษณภาพ อันเป็นการสูญเสียสิ่งซึ่งตามธรรมเนียมแห่งอารยธรรมตะวันตกเคยมองว่า เป็นการยับยั้งใจภายในและคุณความดีภายในอันป้องกันมิให้เราสนองสัญชาตญาณด้านที่ต่ำทรามของเราเอง.” เขาพูดถึง “ถ้อยคำซึ่งแทบจะไม่คุ้นหูกันเลยถ้าเอ่ยในสภาพแวดล้อมเหล่านี้ เช่น ความองอาจ, เกียรติยศ, หน้าที่, ความรับผิดชอบ, ความเห็นอกเห็นใจ, มารยาท—คำพูดซึ่งแทบจะเก็บเข้ากรุไปแล้ว.”
ในแวดวงมหาวิทยาลัยช่วงทศวรรษปี 1960 ประเด็นบางเรื่องได้ปะทุขึ้น. หลายคนอ้างว่า ‘ไม่มีพระเจ้า, พระเจ้าสิ้นพระชนม์แล้ว, ไม่มีอะไรเลย, ไม่มีค่านิยมที่ดีเลิศ, ชีวิตไร้ความหมายอย่างสิ้นเชิง, คุณจะเอาชนะความว่างเปล่าของชีวิตได้ก็โดยยึดหลักปัจเจกนิยมอันเก่งกล้าเท่านั้น.’ พวกฮิปปี้ติดตามหลักนี้และมุ่งเอาชนะความว่างเปล่าของชีวิตโดย ‘สูดโคเคน, สูบกัญชา, มั่วเพศ, และแสวงหาความสุขสงบส่วนตัว.’ ซึ่งพวกเขาไม่เคยหาพบ.
ครั้นแล้ว ก็มีการเดินขบวนประท้วงเกิดขึ้นในทศวรรษปี 1960. ไม่ใช่เป็นเพียงความนิยมคลั่งไคล้ชั่วประเดี๋ยวประด๋าว นั่นมีการรับไว้เป็นแนวโน้มเด่นแห่งวัฒนธรรมอเมริกัน และนำไปสู่ยุคฉันก่อนแห่งทศวรรษปี 1970. ดังนั้น เราจึงเข้าสู่ทศวรรษซึ่ง ทอม วูลฟ์ นักวิพากษ์สังคมเรียกว่า “ทศวรรษฉันก่อน.” นั่นได้นำไปสู่ทศวรรษปี 1980 ซึ่งบางคนเรียกอย่างถากถางว่า “ยุคทองแห่งความละโมบ.”
เท่าที่เอ่ยมาเกี่ยวข้องอย่างไรกับมารยาท? ก็เป็นเรื่องการเอาตัวคุณมาก่อน และถ้าคุณให้ตัวเองมาก่อน คุณก็ไม่อาจยอมคนอื่นง่าย ๆ, ไม่อาจให้ผู้อื่นมาก่อน, ไม่อาจแสดงมารยาทที่ดีต่อคนอื่น ๆ. โดยเอาตัวคุณมาก่อน แท้ที่จริงคุณอาจลุ่มหลงอยู่ในรูปของการนมัสการตัวเอง บูชาตัวฉัน. คัมภีร์ไบเบิลพรรณนาคนที่ทำเช่นนั้นว่าอย่างไร? พรรณนาว่าเป็น “คนโลภ, ที่เป็นคนไหว้รูปเคารพ” เป็นการแสดง “ความโลภซึ่งเป็นการไหว้รูปเคารพ.” (เอเฟโซ 5:5; โกโลซาย 3:5) คนอย่างว่าแท้จริงปรนนิบัติผู้ใด? “พระของเขาก็คือกระเพาะของเขาเอง.” (ฟิลิปปอย 3:19) รูปแบบชีวิตที่เลวทรามต่ำช้าซึ่งหลายคนได้เลือกเอาฐานะเป็นทางที่ชอบด้วยศีลธรรมสำหรับเขา และผลของรูปแบบชีวิตเหล่านั้นซึ่งเป็นความหายนะและนำไปถึงความตาย มีแต่จะพิสูจน์ความจริงของพระธรรมยิระมะยา 10:23 ที่ว่า “โอ้พระยะโฮวา, ข้าพเจ้ารู้อยู่ว่าทางที่มนุษย์จะไปนั้นไม่ได้อยู่ในตัวของตัว, ไม่ใช่ที่มนุษย์ซึ่งดำเนินนั้นจะได้กำหนดก้าวของตัวได้.”
คัมภีร์ไบเบิลเห็นล่วงหน้าถึงสิ่งนี้ทั้งหมด และทำนายสิ่งนั้นว่าเป็นลักษณะเด่นที่เตือนถึง “สมัยสุดท้าย” ตามที่บันทึกไว้ใน 2 ติโมเธียว 3:1-5 ดังนี้: “ท่านจงรู้ข้อความนี้, คือว่าในคราวที่สุดนั้นจะบังเกิดกลียุค. เหตุว่าคนจะเป็นคนรักตัวเอง, เป็นคนเห็นแก่เงิน, เป็นคนอวดตัว, เป็นคนจองหอง, เป็นคนหลู่เกียรติยศของพระเจ้า, เป็นคนไม่เชื่อฟังคำบิดามารดา, เป็นคนอกตัญญู, เป็นคนพาล, เป็นคนไม่รักซึ่งกันและกัน, เป็นคนไม่ยอมเป็นไมตรีกับใคร, เป็นคนหาความใส่เขา, เป็นคนไม่มีสติรั้งใจ, เป็นคนดุร้าย, เป็นคนชังคนดี, เป็นคนทรยศ, เป็นคนหัวดื้อ, เป็นคนหัวสูง, เป็นคนรักการสนุกสนานมากกว่ารักพระเจ้า เขามีสภาพธรรมภายนอก, แต่ฤทธิ์ของธรรมนั้นเขาปฏิเสธเสีย คนอย่างนี้ท่านจงผินหน้าหนีจากเขาเสียด้วย.”
เราได้ลอยไปไกลจากที่เคยได้รับการสร้างให้เป็น—ในภาพลักษณ์ของพระเจ้าและความคล้ายคลึงพระองค์. คุณลักษณะที่แฝงอยู่คือความรัก, สติปัญญา, ความยุติธรรม, และอำนาจ ยังคงอยู่ภายในตัวเราแต่ได้ขาดความสมดุลและผิดเพี้ยนไป. ขั้นแรกบนหนทางแห่งการหันกลับ ได้รับการเผยให้ทราบในประโยคสุดท้ายของข้อพระคัมภีร์ซึ่งยกมากล่าวก่อนหน้านี้ “จงผินหน้าหนีจากเขา.” จงแสวงหาสิ่งแวดล้อมใหม่ ที่ซึ่งจะเปลี่ยนแม้กระทั่งความรู้สึกภายใน. ความรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อเป้าหมายนี้คือถ้อยคำอันหลักแหลมซึ่งเขียนไว้หลายปีมาแล้วในเดอะ เลดีส์ โฮม เจอร์นัล โดยโดโรที ทอมป์สัน. ข้อความของเธอเริ่มด้วยถ้อยแถลงที่ว่า เพื่อเอาชนะทุรกรรมเยาว์วัย (การทำผิดของเด็ก) จำเป็นต้องให้การศึกษาด้านอารมณ์แก่เยาวชนแทนที่จะเป็นภูมิปัญญาโดยบอกดังนี้:
“การกระทำและทัศนคติของเขาตอนเป็นเด็ก โดยมากจะเป็นตัวกำหนดการกระทำและทัศนคติเมื่อเป็นผู้ใหญ่. แต่สิ่งเหล่านี้มิใช่ได้รับการดลใจจากสมอง แต่จากความรู้สึกของเขา. เขากลายเป็นอย่างที่ตัวเขาได้รับการสนับสนุนและฝึกอบรมให้รัก, ชื่นชม, นมัสการ, ทะนุถนอม, และเสียสละ. . . . ทั้งหมดนี้ มารยาทมีบทบาทสำคัญ เพราะมารยาทที่ดีนั้นก็คือการคำนึงถึงผู้อื่นนั่นเอง. . . . ความรู้สึกภายในสะท้อนให้เห็นโดยพฤติกรรมที่แสดงออกภายนอก แต่พฤติกรรมภายนอกนั้นก็มีส่วนช่วยเพาะเลี้ยงความรู้สึกภายใน. ยากที่จะเกิดความรู้สึกก้าวร้าวขณะที่ปฏิบัติด้วยการคำนึงถึงผู้อื่น. ตอนแรก ๆ มารยาทที่ดีอาจอยู่แค่ผิว แต่โดยปกติไม่ยับยั้งอยู่แค่นั้นหรอก.”
เธอยังสังเกตอีกว่า ความดีและความเลว “มิได้ถูกปรับโดยสมอง แต่โดยความรู้สึก” ยกเว้นเพียงน้อยรายเท่านั้น และว่า “การกลายเป็นอาชญากรมิใช่เพราะผนังหลอดเลือดกระด้าง แต่เพราะหัวใจกระด้าง.” เธอเน้นว่า อารมณ์ควบคุมความประพฤติของเราบ่อยครั้งกว่าจิตใจ และวิธีที่เราได้รับการฝึกอบรม วิธีที่เราปฏิบัติตน กระทั่งถูกบีบบังคับในตอนแรก มีอิทธิพลต่อความรู้สึกภายในและเปลี่ยนสภาพหัวใจ.
อย่างไรก็ตาม คัมภีร์ไบเบิลนับว่าเป็นเลิศในการให้สูตรซึ่งได้รับการดลบันดาล เพื่อเปลี่ยนแปลงบุคคลที่อยู่ภายในแห่งหัวใจ.
ประการแรก เอเฟโซ 4:22-24 กล่าวว่า “ให้ท่านทั้งหลายทอดทิ้งมนุษย์เก่าเสีย, ซึ่งทำให้เน่าเสียไปตามความปรารถนาอันเป็นที่ล่อลวง และให้วิญญาณจิตต์ของท่านทั้งหลายตั้งขึ้นใหม่, และให้ท่านสวมมนุษย์ใหม่ซึ่งทรงสร้างขึ้นใหม่ตามแบบอย่างพระเจ้าในความชอบธรรมและความบริสุทธิ์แห่งความจริง.”
ประการที่สอง โกโลซาย 3:9, 10, 12-14 กล่าวว่า “ถอดทิ้งมนุษย์เก่ากับการทั้งหลายของมนุษย์นั้นเสียแล้ว, และได้สวมมนุษย์ใหม่, ที่กำลังทรงสร้างขึ้นใหม่ในความรู้ตามแบบพระฉายของพระองค์ผู้ได้ทรงสร้างขึ้นนั้น. เหตุฉะนั้นจงสวมใจเมตตา, ใจปรานี, ใจถ่อม, ใจอ่อนสุภาพ, ใจอดทนไว้นาน, เหมือนดังพวกที่พระเจ้าทรงเลือกไว้, เป็นพวกที่บริสุทธิ์และเป็นพวกที่ทรงรัก. จงผ่อนหนักผ่อนเบาซึ่งกันและกัน, และถ้าแม้ว่าผู้ใดมีเรื่องราวต่อกัน, ก็จงยกโทษให้กันและกัน. พระคริสต์ได้ทรงโปรดยกโทษของท่านทั้งหลายอย่างไร, ท่านจงกระทำอย่างนั้นเหมือนกัน. แล้วจงสวมความรักทับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด, เพราะความรักย่อมผูกพันสิ่งเหล่านี้ไว้ให้ถึงซึ่งความสำเร็จ.”
นักประวัติศาสตร์ วิลล์ ดูแรนต์ กล่าวว่า “ประเด็นอันยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งสมัยของเรา มิใช่ลัทธิคอมมิวนิสต์ปะทะลัทธิปัจเจกนิยม, มิใช่ยุโรปปะทะอเมริกา, มิใช่แม้กระทั่งตะวันออกปะทะตะวันตก ประเด็นนั้นคือมนุษย์จะดำรงชีวิตโดยปราศจากพระเจ้าได้ไหม.”
เพื่อดำรงชีวิตอย่างประสบผลสำเร็จ เราต้องเอาใจใส่คำแนะนำของพระองค์ที่ว่า “ศิษย์ของเราเอ๋ย, อย่าลืมโอวาทของเรา; แต่จงให้ใจของเจ้ารักษาบัญญัติทั้งหลายของเรา: เพราะว่าบัญญัตินั้นจะเพิ่มวันและปีเดือนทั้งหลายแห่งชีวิตของเจ้า, กับสันติสุขให้แก่เจ้า. อย่าให้ความกรุณาและความจริงละจากตัวเจ้าไป: จงผูกความกรุณาและความจริงไว้รอบคอของเจ้า; จงจารึกไว้ที่ดวงใจของเจ้า; ดังนั้นแหละเจ้าจะได้พบการสงเคราะห์และชื่อเสียงดีเฉพาะพระเนตรพระเจ้าและต่อตามนุษย์. จงวางใจในพระยะโฮวาด้วยสุดใจของเจ้า, อย่าพึ่งในความเข้าใจของตนเอง: จงรับพระองค์ให้เข้าส่วนในทางทั้งหลายของเจ้า, และพระองค์จะชี้ทางเดินของเจ้าให้แจ่มแจ้ง.”—สุภาษิต 3:1-6.
ว่ากันตามจริงแล้ว มารยาทที่ดีงามอันเปี่ยมด้วยความกรุณาและคำนึงถึงผู้อื่นซึ่งเรียนรู้กันมาจากการดำรงชีวิตหลายศตวรรษมิใช่สัมภาระส่วนเกิน และการชี้นำทางของคัมภีร์ไบเบิลสำหรับการดำรงชีวิตก็มิได้ล้าสมัยเลย แต่จะปรากฏว่าเป็นเพื่อความรอดชั่วนิรันดรของมนุษยชาติ. ถ้าปราศจากพระยะโฮวา พวกเขาก็ไม่อาจดำรงชีวิตต่อไปได้ เพราะ ‘น้ำพุแห่งชีวิตดำรงอยู่กับพระยะโฮวา.’—บทเพลงสรรเสริญ 36:9.
[จุดเด่นหน้า 11]
วิธีที่เราปฏิบัติตน กระทั่ง ถูกบีบบังคับในตอนแรก มีอิทธิพลต่อความรู้สึกภายใน และเปลี่ยนสภาพหัวใจ
[กรอบหน้า 10]
มารยาทอันไม่มีที่ติในการรับประทานอาหารซึ่งผู้คนน่าจะเลียนแบบ
นกซีดาร์ แวกซ์วิงส์ สวยงาม, มีมารยาท, ชอบอยู่กันเป็นฝูง, กินอาหารด้วยกันที่พุ่มไม้ใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยลูกไม้สุกเล็ก ๆ. นกเหล่านี้จะยืนเรียงเป็นแถวที่กิ่งไม้หนึ่ง นกกินลูกไม้นี้ แต่ก็ไม่ตะกรุมตะกรามเลย. จากจะงอยปากต่อจะงอยปาก มันส่งลูกไม้ไป ๆ มา ๆ ให้กัน จนกระทั่งในที่สุดตัวหนึ่งก็กินเข้าไปอย่างเรียบร้อยมีมารยาท. นกเหล่านี้ไม่เคยลืมลูก ๆ โดยไม่เหน็ดเหนื่อยมันจะนำอาหาร ลูกไม้แล้วลูกไม้เล่า จนทุกปากที่รอคอยอิ่มหนำ.
[ที่มาของภาพหน้า 10]
H. Armstrong Roberts
[รูปภาพหน้า 8]
บางคนบอกว่า ‘เอาคัมภีร์ไบเบิล และค่านิยมทางศีลธรรมทิ้งไปซะ’
[รูปภาพหน้า 9]
“พระเจ้าสิ้นพระชนม์แล้ว”
“ชีวิตไม่มีความหมาย!”
“สูบกัญชา, สูดโคเคน”
[ที่มาของภาพหน้า 7]
Left: Life; Right: Grandville