ฝึกเพื่อฆ่า ปัจจุบันผมเสนอชีวิตให้
“พวกผู้ก่อการร้ายกำลังยึดตัวประกันไว้ในบ้านหลังหนึ่งทางตอนเหนือของอิสราเอล.”
ผมอยู่ในระหว่างลาพักสุดสัปดาห์จากกองทัพอิสราเอล และกำลังพักแรมอยู่ใกล้ ๆ ทะเลแกลิลีเมื่อผมฟังข่าวนั้นจากวิทยุ. ผมเข้าใจเป็นอย่างดีว่าถ้อยคำดังกล่าวบอกนัยถึงอะไร. ผมเป็นนายทหารประจำหน่วยเฉพาะกิจซึ่งได้รับการฝึกอย่างมืออาชีพเพื่อจัดการกับกลยุทธ์ก่อการร้าย. ผมยังทราบอีกด้วยว่าผมคงต้องอยู่ในกลุ่มผู้ซึ่งจะจู่โจมเข้าไป, สังหารพวกก่อการร้าย, และปล่อยตัวประกัน. โดยไม่ชักช้า ผมกระโดดขึ้นรถยนต์ส่วนตัวและขับตะบึงไปอย่างรวดเร็วเท่าที่จะทำได้ยังสถานที่เกิดเหตุ.
เนื่องจากนายทหารในกองทัพอิสราเอลเข้าไปยังบริเวณเกิดเหตุเป็นพวกแรกเสมอ ผมจึงรู้ว่าตัวเองจะต้องอยู่ในพวกแรกนั้นที่จะเผชิญหน้ากับผู้ก่อการร้าย แต่ความคิดว่าอาจจะถูกฆ่าหรือได้รับบาดเจ็บไม่ได้หน่วงเหนี่ยวผมไว้. ผมมาถึงที่เกิดเหตุเพียงไม่กี่นาทีหลังจากเพื่อน ๆ ในหน่วยของเราปฏิบัติภารกิจเรียบร้อยแล้ว โดยสังหารผู้ก่อการร้ายห้าคนและปล่อยตัวประกันออกมาได้. ผมผิดหวังมากที่พลาดภารกิจชิ้นนี้.
ทำไมผมจึงรู้สึกอย่างนั้น? เพราะผมมีหัวชาตินิยมรุนแรงมาก และผมต้องการแสดงความรักชาติของตัวเองออกมา. แต่ผมได้เข้ามาพัวพันอยู่ในหน่วยงานพิเศษต่อต้านผู้ก่อการร้ายได้อย่างไร?
ผมเกิดที่เมืองไทเบริแอส ในอิสราเอล ปี 1958 และเติบโตขึ้นในครอบครัวที่มีหัวชาตินิยมรุนแรง. ผมเชื่อว่าประเทศของผมเป็นฝ่ายถูกเสมอ. ดังนั้น เมื่อผมเข้าร่วมในกองทัพปี 1977 ผมจึงอาสาประจำการในหน่วยทหารที่ชำนาญการต่อสู้มากที่สุดในกองทัพอิสราเอล. จากผู้สมัคร มีอัตราส่วนน้อยมากที่ถูกรับเข้าสู่หลักสูตรการฝึกที่แสนสาหัส. ไม่ใช่ทุกคนจบหลักสูตร ในจำนวนนี้มีเพียงไม่กี่คนได้รับเลือกเป็นนายทหาร. ผมเป็นหนึ่งในพวกนั้น.
ความสำเร็จของผมเป็นการสะท้อนให้เห็นอย่างแท้จริงว่าผมเป็นคนรักชาติ. ผมมีเหตุผลอันดีที่จะภูมิใจในตัวเอง. เพราะว่า ผมเป็นนายทหารประจำหน่วยรบพิเศษทำสิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปแทบจะไม่มีโอกาสได้เห็น แม้กระทั่งในภาพยนตร์. อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จ, ชื่อเสียง, และการเก็บความลับก็ควบคู่ไปกับความว่างเปล่าฝ่ายวิญญาณซึ่งเพิ่มขึ้นจนกระทั่งผมเริ่มตระหนักว่าชีวิตต้องมีความหมายมากกว่านี้. ดังนั้น หลังจากยุ่งยากลำบากใจมากว่าสี่ปี ผมก็ออกจากทหารเพื่อท่องเที่ยวเปิดหูเปิดตาดูโลก.
เหตุผลที่ผมจากอิสราเอล
การเดินทางรอบโลกของผมมาถึงจุดสิ้นสุดเมื่ออยู่ในประเทศไทย ผมพบกับกุลา ซึ่งได้มาเป็นภรรยาของผม ตอนนั้นเธอกำลังศึกษาอยู่คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพฯ. ทั้งผมและเธอต่างก็ไม่เคยมีแผนจะแต่งงานกัน แต่ความรักของเรามีพลังมากกว่าที่คิด. ดังนั้นกุลยาได้เลิกเรียนกลางคัน ส่วนผมก็ยุติการเดินทางรอบโลก และเราตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตร่วมกัน. ที่ไหน? แน่นอน ในอิสราเอล. ผมพูดกับเธอว่า “ผมต้องช่วยปกป้องประเทศของผม.”
ในอิสราเอลผู้ชายยิวจะแต่งงานได้เฉพาะกับคนยิวเท่านั้น ดังนั้น ผมรู้ดีว่ากุลยาซึ่งในตอนนั้นเป็นชาวพุทธ จะต้องเปลี่ยนมานับถือศาสนายิว ซึ่งเธอก็เห็นด้วยที่จะทำเช่นนั้น. แต่พวกยิวที่เคร่งศาสนาซึ่งดูแลรับผิดชอบเรื่องการเปลี่ยนดังกล่าว ไม่ต้องการเธอ. ที่ใดก็ตามซึ่งเราหันไปขอความช่วยเหลือในเรื่องนี้ต่างก็ตอบรับในแง่ลบอย่างเดียวกันว่า “คนอย่างคุณน่าจะหาผู้หญิงยิวที่น่ารักเป็นภรรยาและไม่ควรแต่งงานกับหญิงต่างศาสนาคนนี้.” กุลยาไม่เพียงเป็นคนต่างศาสนาเท่านั้นแต่ยังต่างเชื้อชาติอีกด้วย.
หลังจากพยายามอยู่หกเดือน ในที่สุดเราก็ถูกเชิญตัวไปยังศาลศาสนาเพื่อตอบข้อซักถามจากรับบี (อาจารย์) สามคนซึ่งจะตัดสินว่ากุลยาจะเปลี่ยนศาสนาได้หรือไม่. ที่นั่น ผมถูกว่ากล่าวเพราะอยากแต่งงานกับคนต่างศาสนา. พวกเขาบอกผมให้ส่งเธอกลับบ้านเกิด. แล้วรับบีคนหนึ่งก็เสนอแนะว่า “ทำไมไม่เอาเธอเป็นทาสของคุณล่ะ!” พวกเขาปฏิเสธการขอร้องของเรา.
ผมเหลืออดแล้ว. ขณะที่พวกเขายังพูดกันอยู่ ผมก็จูงมือกุลยาออกไปจากห้องตัดสินความ พร้อมกับประกาศว่ากุลยาจะไม่มีวันนับถือศาสนายิวแม้จะได้รับอนุญาต และผมก็ไม่ปรารถนาจะนับถือศาสนายิวอีกต่อไป. ‘ศาสนาที่ปฏิบัติกับผู้คนด้วยวิธีนี้ไม่มีคุณค่าอะไรเลย!’ ผมคิดในใจ. พอผมได้แสดงความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ ก็มีการพยายามอย่างหนักที่จะแยกเราจากกัน. แม้แต่คุณพ่อคุณแม่ที่รักของผมก็ยังเข้ามาผสมโรงในเรื่องนี้โดยแสดงความรู้สึกทางศาสนาและความกดดันอย่างรุนแรงโถมทับใส่เราเพื่อให้พรากจากกัน.
ระหว่างนั้นสงครามในเลบานอนระหว่างกองกำลังของอิสราเอลกับพวกก่อการร้ายในปาเลสไตน์ได้เริ่มขึ้น. แน่นอน ผมถูกเรียกให้ไปร่วมรบด้วย และขณะที่อยู่ลึกเข้าไปในเขตของศัตรูซึ่งเป็นการเสี่ยงชีวิตเพื่อประเทศของผมนั้น หนังสือเดินทางของกุลยาถูกยึดและเธอถูกขอร้องให้ออกจากประเทศ. ทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามที่จะให้เราแยกจากกัน. ในตอนนั้นที่ผมรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ความรักที่ผมมีต่อประเทศของผมก็สูญสลายสิ้น. เป็นครั้งแรกที่ผมเริ่มตระหนักถึงสิ่งที่ลัทธิชาตินิยมหมายถึงอย่างแท้จริง. ผมเต็มใจทำเพื่อประเทศของผมอย่างมาก และบัดนี้ผมไม่ได้รับอนุญาตแม้แต่จะแต่งงานกับผู้หญิงที่ผมรัก! ผมรู้สึกช้ำใจมาก และรู้สึกว่าถูกทรยศ. ตราบใดที่ผมเกี่ยวข้องอยู่ การไล่กุลยาก็เท่ากับว่าไล่ผม. ด้วยเหตุนี้ การต่อสู้เพื่อกุลยาจะพำนักต่อไปได้ที่จริงก็เป็นการต่อสู้เพื่อสิทธิของผมที่จะอยู่ในอิสราเอล เป็นสิ่งที่ผมไม่อยากจะทำเลย.
เราไม่มีทางเลือกนอกจากบินไปแต่งงานต่างประเทศแล้วกลับมาที่อิสราเอลจัดเตรียมสิ่งต่าง ๆ เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจากประเทศนี้ไป. เราออกจากอิสราเอลเมื่อเดือนพฤศจิกายน 1983 แต่ก็ได้ทำความเข้าใจกับคุณพ่อคุณแม่ของผมก่อนแล้ว. ผมเคยเห็นเสมอมาว่าความหน้าซื่อใจคดในศาสนาเป็นสาเหตุใหญ่ของปัญหาประเทศเรา แต่ผมก็ไม่เคยเหินห่างจากศาสนามากอย่างที่ผมเป็นในตอนนั้น.
การพบความจริงเกี่ยวกับมาซีฮา
เราประหลาดใจมากที่รู้ว่ากฎหมายเกี่ยวกับคนเข้าเมืองข้อหนึ่งทำให้เป็นไปไม่ได้สำหรับเราที่จะอยู่ในประเทศของภรรยา. เราต้องมองหาประเทศที่สามเพื่อจะอยู่อาศัย! ลูกชายคนแรกของเราเกิดในออสเตรเลีย แต่เราก็ไม่สามารถอยู่ที่นั่นเช่นกัน. เราย้ายต่อไปเรื่อย ๆ จากประเทศหนึ่งไปอีกประเทศหนึ่ง. สองปีผ่านไป และทีละเล็กทีละน้อยเราเริ่มหมดหวังที่จะพบสถานที่ซึ่งสามารถอาศัยอย่างถาวร. ในเดือนตุลาคม 1985 เรามาถึงนิวซีแลนด์. ‘ก็เป็นอีกประเทศหนึ่งที่จะพำนักชั่วคราว’ เราคิดขณะที่กำลังโบกรถขออาศัยขึ้นเหนือพร้อมด้วยลูกชายอายุ 11 เดือนของเรา. แต่เราคิดผิดถนัด!
เย็นวันหนึ่งคู่สมรสที่ใจดีเชิญเราไปรับประทานอาหาร. หลังจากได้ยินเรื่องราวของเรา ผู้เป็นภรรยาเสนอที่จะช่วยเรายื่นคำร้องขออยู่ถาวรในนิวซีแลนด์. วันรุ่งขึ้น ก่อนจะลาจากกันนั่นเอง เธอยื่นหนังสือเล็ก ๆ เล่มหนึ่งให้ผมมีชื่อว่า เดอะ นิว เทสทาเมนต์ (พระคัมภีร์ภาคภาษากรีก). “อ่านดูนะคะ” เธอบอก. “ผู้เขียนทั้งหมดเป็นชาวยิว.” ผมเอาหนังสือใส่กระเป๋าและสัญญาว่าจะอ่าน. ผมไม่รู้ว่าหนังสือเล่มนั้นมีข้อความอย่างไร—พวกยิวปกติไม่อ่านหนังสือของคริสเตียน. จากนั้นเราซื้อรถยนต์เก่าคันหนึ่งและย้ายลงใต้ต่อไป โดยทำรถยนต์ให้เป็นบ้านของเรา.
ณ การจอดรถครั้งหนึ่ง ผมนึกถึงคำสัญญาของผม. ผมจึงดึงหนังสือนั้นออกมาและเริ่มอ่าน. ผมพบว่าตนเองกำลังเรียนรู้เกี่ยวกับบุรุษผู้หนึ่งซึ่งความเชื่อของชาวยิวสอนผมให้รังเกียจ แม้กระทั่งเหยียดหยามชิงชังด้วยซ้ำ. ผมแปลกใจที่อ่านว่าพระเยซูได้ใช้ชีวิตส่วนใหญ่ของพระองค์ในที่ซึ่งผมก็ได้ใช้ชีวิตส่วนใหญ่ของผม รอบ ๆ ทะเลแกลิลี. ผมแปลกใจยิ่งขึ้นเมื่อเห็นสิ่งที่พระองค์ได้ตรัส. ผมไม่เคยได้ยินใครตรัสสนทนาเหมือนพระองค์เลย.
ผมพยายามจะจับผิดบุรุษผู้นั้น แต่ไม่สามารถทำได้. แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ผมกลับชอบสิ่งที่พระองค์สอนทีเดียว และยิ่งผมอ่านเรื่องราวของพระองค์มากเท่าไรผมก็ยิ่งสงสัยมากขึ้นเท่านั้นว่าทำไมพวกยิวโกหกผมมาตลอดในเรื่องของพระองค์. ผมเริ่มเห็นแล้วว่า ถึงแม้ผมไม่เคยเป็นคนเคร่งศาสนา แต่ผมก็เคยถูกศาสนาล้างสมองพอ ๆ กับที่ผมเคยถูกลัทธิชาตินิยมล้างมาแล้ว. ผมประหลาดใจ ‘ทำไมพวกยิวถึงได้เกลียดพระองค์มากจริง ๆ?’
คำถามของผมได้รับคำตอบบางส่วนเมื่อผมอ่านพระธรรมมัดธายบท 23. ผมรู้สึกตื่นเต้นมากขณะที่อ่านว่าพระเยซูได้เปิดโปงความหน้าซื่อใจคดและความประพฤติชั่วร้ายของพวกหัวหน้าศาสนายิวในสมัยของพระองค์อย่างกล้าหาญ. ‘ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง’ ผมคิด. ‘บรรดาคำตรัสของพระเยซูตรงนี้แหละใช้ได้อย่างเหมาะเจาะกับผู้นำศาสนายิวในทุกวันนี้. ผมเคยเห็นและประสบด้วยตัวเอง!’ ผมอดไม่ได้ที่จะมีความรู้สึกนับถืออย่างสุดซึ้งต่อบุรุษผู้นี้ซึ่งพูดความจริงอย่างไม่หวั่นกลัว. ผมไม่ได้มองหาอีกศาสนาหนึ่ง แต่ผมก็ไม่อาจทำเมินเฉยต่อพลังแห่งคำสอนของพระเยซู.
ได้ยินพระนามยะโฮวา
ผมได้อ่านพระคัมภีร์ภาคภาษากรีกจบไปประมาณครึ่งเล่มเมื่อเรามาถึงมิลฟอร์ด ซาวนด์ ในบริเวณอ่าวลึกแคบ (Fiordland) ของเกาะใต้แห่งนิวซีแลนด์. เราจอดรถข้าง ๆ รถอีกคันหนึ่งซึ่งมีหญิงชาวเอเชียนั่งอยู่ใกล้ ๆ. ภรรยาผมเริ่มคุยกับเธอ. เมื่อสามีเธอซึ่งเป็นชาวอังกฤษมาถึง เราก็เล่าเรื่องของเราให้พวกเขาฟังสั้น ๆ. แล้วผู้เป็นสามีก็บอกเราต่อไปว่าในอนาคตอันใกล้นี้ พระเจ้าจะทำลายรัฐบาลต่าง ๆ ที่ปกครองอยู่ในขณะนี้และจะมีรัฐบาลของพระองค์ปกครองโลกที่ชอบธรรม. แม้จะฟังดูดีสำหรับผม แต่ผมคิดว่า ‘ชายผู้นี้กำลังเพ้อฝัน.’
ชายคนดังกล่าวพูดต่อไป โดยบอกเราเกี่ยวกับความหน้าซื่อใจคดทางศาสนาและคำสอนเท็จของนิกายต่าง ๆ แห่งคริสต์ศาสนจักร. แล้วภรรยาของเขาก็พูดว่า “เราเป็นพยานพระยะโฮวา.” ผมก็คิดขึ้นมาในทันใดว่า ‘ทำไมพวกนอกศาสนานี้ถึงได้มาเกี่ยวข้องกับพระเจ้าของพวกยิว? และกับพระนามยะโฮวา!’ ผมรู้จักพระนามนั้น แต่เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินคนพูดออกมา. พวกยิวไม่ได้รับอนุญาตให้ออกเสียงพระนามนั้น. คู่สมรสนี้ให้ที่อยู่ของเขาพร้อมด้วยหนังสือบางเล่มเกี่ยวกับพระคัมภีร์ และเราก็จากกัน. เราไม่รู้เลยว่าการได้พบกับสองคนนี้จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเรา.
พบความจริง
สองสัปดาห์ต่อมาเราก็ไปอยู่เมืองไครสต์เชิช. เราถูกจัดให้พักอาศัยและช่วยทำงานในฟาร์มเลี้ยงแกะซึ่งสมาชิกคริสตจักรเพ็นเตคอสเป็นเจ้าของ. ที่ฟาร์ม ผมได้อ่านพระคัมภีร์ภาคภาษากรีกจบเล่ม และเริ่มอ่านอีกรอบหนึ่ง. ผมสังเกตว่า การดำรงอยู่ของพระเจ้าเป็นที่ประจักษ์ชัดเพียงไรสำหรับพระเยซู. เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมสงสัยว่า ‘พระเจ้าดำรงอยู่จริงไหม?’ ผมเริ่มค้นหาคำตอบ. ผมสามารถหาพระคัมภีร์ครบชุดได้เล่มหนึ่งในภาษาของผมเอง คือภาษาฮีบรู และเริ่มอ่านไปเรื่อย ๆ เพื่อจะพบเรื่องราวมากขึ้นเกี่ยวกับพระยะโฮวา ผู้ซึ่งอ้างว่าเป็นพระเจ้าองค์ทรงฤทธานุภาพทุกประการ.
ผมกับภรรยาตระหนักอย่างรวดเร็วว่า คำสอนต่าง ๆ ที่เรารู้จากเจ้าของฟาร์มไม่สอดคล้องกับสิ่งที่เราอ่านในคัมภีร์ไบเบิลของเรา. ทั้งความประพฤติของเขาก็ไม่สอดคล้องด้วย. ที่จริง มีช่วงหนึ่งเราไม่สบายใจมากจากวิธีที่เราได้รับการปฏิบัติที่ฟาร์มจนผมเขียนจดหมายเล่าเรื่องนี้ส่งไปถึงสุภาพสตรีที่เคยให้พระคัมภีร์ภาคภาษากรีกกับเรา. “จนกระทั่งบัดนี้ ผมเชื่อว่าพระเจ้าได้แสดงให้เราเห็นว่า ‘องค์การคริสเตียน’ ไหนเป็นของปลอม และพระเจ้าจะแสดงให้เราเห็นองค์การคริสเตียนแท้คราวนี้แหละ หากพระองค์อยู่กับองค์การนั้นจริง ๆ.” ผมเขียนถึงเธอโดยไม่รู้ว่าตัวเองเข้าใจถูกต้องแล้ว. ในตอนนั้นเองที่ผมนึกถึงสิ่งที่พยานฯ สองคนเคยบอกเราเกี่ยวกับความหน้าซื่อใจคดของคริสตจักรต่าง ๆ. เราตัดสินใจพบกับพวกพยานฯ อีกครั้งหนึ่ง.
สองสามวันต่อมา สองคนนั้นได้จัดให้พยานพระยะโฮวาอีกสองคน ซึ่งอยู่ใกล้เคียง มาเยี่ยมเรา. เขาเชิญเราไปรับประทานอาหารเย็น. เราหาเหตุผลเรื่องคัมภีร์ไบเบิลที่บ้านของเขา และเราชอบสิ่งที่ได้ยิน. วันรุ่งขึ้นเราได้รับเชิญอีกและมีการหาเหตุผลยาวนานอีกครั้งหนึ่ง. สิ่งที่เขาแสดงให้เราเห็นจากคัมภีร์ไบเบิลนั้นมีความหมายมากจริง ๆ จนทั้งผมและภรรยารู้สึกว่าได้ค้นพบบางสิ่งบางอย่างที่วิเศษมหัศจรรย์ ใช่แล้ว ความจริง!
ในคืนนั้นเราแทบนอนไม่หลับ. เราทราบว่าชีวิตคงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป. ผมเริ่มอ่านหนังสือท่านจะมีชีวิตอยู่ได้ตลอดไปในอุทยานบนแผ่นดินโลก ซึ่งจัดพิมพ์โดยพวกพยานฯ และขณะที่ผมกำลังอ่านหนังสือเล่มนี้ ผมรู้สึกราวกับว่าเคยตาบอดแต่บัดนี้มองเห็นได้อีก! ผมสามารถเข้าใจจุดมุ่งหมายของชีวิต, เหตุผลที่มนุษย์อยู่บนโลก, สาเหตุที่เราตาย, ทำไมพระเจ้ายอมให้มีความทุกข์มากมาย, และโดยวิธีใดที่เหตุการณ์ต่าง ๆ ของโลกทำให้คำพยากรณ์ในคัมภีร์ไบเบิลสำเร็จสมจริง. ผมขอยืมหนังสือจากพยานพระยะโฮวามากเท่าที่จะมากได้และใช้เวลาหลายชั่วโมงอ่านหนังสือเหล่านั้น. ผมสามารถมองเห็นอย่างง่ายดายถึงความเท็จของหลักคำสอนเรื่องตรีเอกานุภาพ, ไฟนรก, และจิตวิญญาณอมตะ. ผมชอบวิธีที่สรรพหนังสือดังกล่าวนำมาใช้หาเหตุผลในคัมภีร์ไบเบิล ซึ่งเป็นไปตามหลักตรรกศาสตร์และเต็มไปด้วยพลัง.
การเปรียบเทียบคัมภีร์ไบเบิลฉบับต่าง ๆ และการเปรียบเทียบผู้เชื่อถือ
เจ้าของฟาร์มพยายามทำให้เราท้อใจจากการศึกษากับพยานพระยะโฮวา. “พวกเขามีคัมภีร์ไบเบิลต่างออกไป เป็นฉบับที่แปลไม่ถูก” พวกเขาได้บอกเรา. “เอาละ ผมจะต้องตรวจสอบดู” ผมพูด. ผมขอยืมคัมภีร์ไบเบิลฉบับแปลต่าง ๆ สองสามเล่มจากเจ้าของฟาร์มและได้รับพระคัมภีร์ฉบับแปลโลกใหม่ด้วย และเปรียบเทียบคัมภีร์เหล่านั้นกับคัมภีร์ไบเบิลภาษาฮีบรู. ผมตื่นเต้นที่พบว่าฉบับแปลโลกใหม่แปลถูกต้องและจริงใจที่สุด. ความมั่นใจของผมในสรรพหนังสือของสมาคม ว็อชเทาเวอร์ ไบเบิล แอนด์ แทร็กต์ เพิ่มพูนขึ้น.
ครั้งแรกที่เราเข้าร่วมการประชุม ณ หอประชุมราชอาณาจักร เราไม่ได้เข้าใจทุกสิ่งซึ่งมีการพิจารณาที่นั่น แต่ก็ไม่ยากที่จะเข้าใจในความรักอันยอดเยี่ยมซึ่งประชาคมได้แสดงกับเรา. เรารู้สึกประทับใจที่พระนามยะโฮวาได้รับการกล่าวถึงบ่อยมาก. “พระยะโฮวา, พระยะโฮวา” ผมเอ่ยพระนามนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีกระหว่างทางขากลับจากการประชุม. ผมพูดกับภรรยาว่า “เดี๋ยวนี้ ไม่ใช่แค่ ‘พระเจ้า’ เท่านั้น แต่เป็น ‘พระเจ้ายะโฮวา.’”
ในที่สุด เราได้ย้ายไปที่เมืองไครสต์เชิชเพื่อคบหาสมาคมมากขึ้นกับพยานพระยะโฮวา และเพื่อเข้าร่วมการประชุมทุกนัด. หนังสือชีวิต—เกิดขึ้นมาอย่างไร? โดยวิวัฒนาการหรือมีผู้สร้าง? ทำให้ผมไม่มีข้อสงสัยเลยว่าพระเจ้าดำรงอยู่จริงและพระองค์เป็นพระผู้สร้าง.
เราพบพี่น้องชาวปาเลสไตน์
หลังจากติดต่อกับสำนักงานสาขาของพยานพระยะโฮวาในอิสราเอล ผมก็ได้รับจดหมายบางฉบับจากพยานฯ ที่นั่น. ฉบับหนึ่งในจดหมายเหล่านั้นมาจากชาวปาเลสไตน์ที่อาศัยอยู่ในเขตเวสต์ แบงก์ และคำขึ้นต้นจดหมายของเธอคือ: “รามีพี่น้องของฉัน.” ผมคิดว่าเป็นเรื่องเหลือเชื่อ เพราะชาวปาเลสไตน์เป็นศัตรูของผม และตอนนี้คนหนึ่งในพวกเขาเรียกผมว่า “พี่น้องของฉัน.” ผมเริ่มหยั่งรู้ค่าความรักและเอกภาพที่โดดเด่นไม่เหมือนใครซึ่งมีอยู่ท่ามกลางพยานพระยะโฮวาทั่วโลก. ผมได้อ่านว่าระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง พยานพระยะโฮวาในเยอรมนีถูกจับไปไว้ในค่ายกักกัน, ถูกทารุณ, และถูกประหารชีวิต เพราะพวกเขาจะไม่ต่อสู้พี่น้องฝ่ายวิญญาณของตนในประเทศอื่น ๆ. ถูกแล้ว นี่คือสิ่งที่ผมคาดหมายจากสาวกแท้ของพระเยซู.—โยฮัน 13:34, 35; 1 โยฮัน 3:16.
เราก้าวหน้าต่อ ๆ ไปในการศึกษา. ในระหว่างนั้น ด้วยความกรุณากองตรวจคนเข้าเมืองของนิวซีแลนด์ได้อนุญาตให้เราอยู่ที่นั่นอย่างถาวร ซึ่งเพิ่มความยินดีให้กับเราเหลือเกิน. ตอนนี้เราสามารถตั้งรกรากและนมัสการพระยะโฮวาในประเทศที่สวยที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง.
คุณพ่อคุณแม่ของผมพบความจริง
แน่นอน ทันทีที่เราได้เรียนรู้ความจริงอันน่ามหัศจรรย์เหล่านี้ในคัมภีร์ไบเบิล ผมก็เริ่มเขียนจดหมายเล่าเรื่องนี้ให้คุณพ่อคุณแม่ทราบ. ท่านเคยแสดงความปรารถนาจะมาเยี่ยมเราอยู่ก่อนแล้ว. เพื่อสร้างความคาดหมายมากขึ้น ผมเขียนว่า “ผมได้พบบางสิ่งที่มีค่ามากกว่าเงินจำนวนใด ๆ.” ท่านมาถึงนิวซีแลนด์ใกล้จะสิ้นปี 1987 และเกือบจะทันทีเราเริ่มพูดคุยเกี่ยวกับความจริงในคัมภีร์ไบเบิล. คุณพ่อคิดว่าผมเป็นบ้าเพราะความเชื่อในพระเยซู และท่านพยายามอย่างหนักเพื่อพิสูจน์ว่าความเชื่อของผมผิด. เรามีข้อโต้แย้งกันเกือบทุกวัน. อย่างไรก็ตาม ต่อมาข้อโต้แย้งเหล่านั้นกลับกลายเป็นการหาเหตุผล และการหาเหตุผลก็กลายเป็นการศึกษาคัมภีร์ไบเบิล. ด้วยความรักแท้ที่ท่านได้รับจากพวกพยานฯ คุณพ่อคุณแม่ของผมได้มองเห็นความมีเหตุมีผลและความงดงามของความจริง.
ช่างน่ายินดีจริง ๆ ที่ผมได้เห็นคุณพ่อคุณแม่หลุดพ้นจากการเป็นทาสของศาสนาเท็จ และต่อมาจากลัทธิชาตินิยมด้วย! หลังจากการเยี่ยมสี่เดือน ท่านก็กลับไปบ้านเกิดแถบทะเลแกลิลีพร้อมด้วยความจริง. ที่นั่นท่านศึกษาต่อไปกับพยานฯ สองคนจากประชาคมที่ใกล้ที่สุด ซึ่งอยู่ห่างออกไป 65 กิโลเมตร. ไม่ช้า ท่านก็เริ่มบอกคนอื่น ๆ เกี่ยวกับพระยะโฮวาและพระวจนะของพระองค์. ไม่กี่วันก่อนสงครามอ่าวเปอร์เซียเปิดฉาก ท่านได้แสดงสัญลักษณ์การอุทิศตัวแด่พระยะโฮวา.
ในระหว่างนั้น ผมกับภรรยาก็ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวพยานพระยะโฮวาทั่วโลกเมื่อเราแสดงสัญลักษณ์การอุทิศตัวแด่พระเจ้ายะโฮวาอย่างเปิดเผยในเดือนมิถุนายน 1988. ผมแน่ใจว่า มีวิธีเดียวเท่านั้นสำหรับผมที่จะรับใช้พระยะโฮวาและนั่นคือ โดยการเป็นผู้รับใช้เต็มเวลา ดังนั้นผมจึงฉวยเอาโอกาสแรกทันทีเพื่อเข้าสู่งานรับใช้เต็มเวลา. ผมจะไม่มีวันลืมว่า สิ่งที่ผมได้เต็มใจทำเพื่อประเทศของตัวเองนั้นมีมากเพียงไร กระทั่งเสี่ยงชีวิตด้วยซ้ำ. มากยิ่งกว่านั้นสักเท่าใดที่ผมควรเต็มใจทำเช่นกันเพื่อพระเจ้ายะโฮวา ผู้ซึ่งผมทราบว่าจะไม่มีวันทำให้ผมผิดหวัง!—เฮ็บราย 6:10.
เราขอบพระคุณพระยะโฮวาสำหรับความหวังอันเหลือเชื่อที่พระองค์ประทานให้ ความหวังที่ว่าในไม่ช้าดาวเคราะห์โลกดวงนี้จะเป็นบ้านที่สวยงามสำหรับคนที่รักความชอบธรรมอย่างแท้จริง—บ้านที่จะปลอดจากลัทธิชาตินิยมและศาสนาเท็จ และฉะนั้น จะปลอดจากสงคราม, การทนทุกข์, และความอยุติธรรม. (บทเพลงสรรเสริญ 46:8, 9)—เล่าโดยรามี โอเวด.
[แผนที่หน้า 21]
(รายละเอียดดูจากวารสาร)
เลบานอน
ซีเรีย
อิสราเอล
ไทเบริแอส
เขตยึดครอง
เจริโค
เยรูซาเลม
ฉนวนกาซา
จอร์แดน
[รูปภาพหน้า 22]
รามี โอเวด กับครอบครัวของเขาในปัจจุบัน