ซาราเยโวจากปี 1914 ถึง 1994
โดยผู้สื่อข่าว ตื่นเถิด! ในประเทศสวีเดน
เวลาผ่านไปแปดสิบปีแล้วนับตั้งแต่การลั่นกระสุนแห่งความหายนะ เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 1914 ในซาราเยโว. การลั่นกระสุนปลงพระชนม์อาร์ชดยุก ฟรานซิส เฟอร์ดินันด์ และพระชายาอาร์ชดัชเช็ช โซฟี และแล้วความเป็นปรปักษ์ระหว่างออสเตรีย-ฮังการีกับเซอร์เบียจึงบานปลายเป็นสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง. ในจำนวนชายหนุ่ม 65 ล้านคนซึ่งถูกส่งสู่สมรภูมินั้น ประมาณ 9 ล้านคนไม่กลับมาอีกเลย. ยอดผู้เสียชีวิตรวมทั้งฝ่ายพลเรือนด้วยมี 21 ล้านคน. บางคนยังคงพูดถึงการ อุบัติของสงครามในเดือนสิงหาคม 1914 นั้นว่าเป็นเวลาที่ “โลกได้บ้าคลั่งไป.”
อีกครั้งหนึ่งเสียงปืนได้ก้องกังวานไปทั่วซาราเยโว. และไม่เฉพาะที่ซาราเยโว แต่ในหลายแห่งของหกสาธารณรัฐแห่งอดีตสหพันธรัฐยูโกสลาเวียด้วย.a หนังสือชื่อ Jugoslavien–Ett land i upplösning (ยูโกสลาเวีย—ดินแดนที่แตกสลาย) บอกว่า “นั่นคือสงครามกลางเมืองซึ่งเพื่อนบ้านรบกับเพื่อนบ้าน. การผูกพยาบาทที่มีมานานและเจตคติซึ่งหวาดระแวงกันได้ขยายไปสู่การเกลียดชัง. ความเกลียดชังนี้นำไปสู่การสู้รบ และการสู้รบก็นำไปสู่การผลาญชีวิตและพินาศกรรมมากขึ้น. เปรียบเหมือนวงจรอุบาทว์ หรือน่าจะเหมาะกว่า วัฏฏะแห่งความเกลียดชัง, การระแวงสงสัย, และการฆ่าฟันกันที่ขยายตัวขึ้นเรื่อย ๆ.”
ตอนที่การสู้รบปะทุขึ้นในยูโกสลาเวียเมื่อเดือนมิถุนายน 1991 ไม่แปลกที่หลายคนนึกถึงการลั่นกระสุนในซาราเยโวเมื่อเดือนมิถุนายน 1914. ความขัดแย้งครั้งใหม่นี้จะนำไปสู่ผลที่เป็นความหายนะอย่างเดียวกันไหม? สันติภาพในยุโรปจะถูกคุกคามไหม? โครงการ “ล้างเผ่าพันธุ์” (การสังหารอย่างจงใจและการขับไล่กลุ่มเชื้อชาติ, กลุ่มการเมือง, หรือกลุ่มวัฒนธรรม) อาจแพร่หลายไปยังส่วนอื่น ๆ ของโลกได้ไหม? มีการใช้ความกดดันจากนานาชาติเพื่อพยายามยุติการสู้รบ. แต่จริง ๆ แล้ว อะไรอยู่เบื้องหลังความวุ่นวายในอดีตยูโกสลาเวีย? เหตุการณ์เมื่อไม่นานมานี้ในซาราเยโวมีอะไรไหมที่เกี่ยวข้องกับการลอบสังหารในปี 1914?
ยูโกสลาเวียและสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
ความขัดแย้งไม่ใช่เรื่องใหม่. ณ ตอนเริ่มศตวรรษนี้ทีเดียว คาบสมุทรบอลข่านได้รับการกล่าวขวัญว่าเป็น “ภูมิภาคปั่นป่วนของยุโรป.” หนังสือ ยูโกสลาเวีย—ดินแดนที่แตกสลาย บอกว่า “เป็นเรื่องของการแตกสลายของสหภาพซึ่งความตึงเครียดค่อย ๆ เขม็งเกลียวมาเป็นเวลานาน. ตามข้อเท็จจริง ความขัดแย้งมีอยู่แล้วเมื่ออาณาจักรเซอร์เบีย, โครเอเชียและสโลวีเนีย [ชื่อสมัยก่อนของยูโกสลาเวีย] ถือกำเนิดขึ้นตอนสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง.” ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์บางอย่างจะช่วยเราให้เห็นว่าความขัดแย้งในปัจจุบันเข้าไปเกี่ยวข้องกับสงครามโลกครั้งที่หนึ่งอย่างไร.
ประวัติศาสตร์บอกเราว่า ในช่วงที่มีการลอบปลงพระชนม์ฟรานซิส เฟอร์ดินันด์เมื่อปี 1914 ประเทศของชาวสลาฟตอนใต้ประกอบด้วย สโลวีเนีย, โครเอเชีย, และบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา เป็นมณฑลในจักรภพออสเตรีย-ฮังการี. อีกด้านหนึ่ง เซอร์เบียเป็นอาณาจักรเอกราช และเป็นเช่นนั้นตั้งแต่ปี 1878 โดยการสนับสนุนอย่างแข็งแรงจากรัสเซีย. อย่างไรก็ดี ชาวเซิร์บหลายคนอาศัยอยู่ในมณฑลที่ครอบครองโดยออสเตรีย-ฮังการี และฉะนั้น เซอร์เบียต้องการให้ออสเตรีย-ฮังการีคืนดินแดนที่ยึดครองไว้ทั้งหมดบนคาบสมุทรบอลข่าน. ถึงแม้ว่าความขัดแย้งมีอยู่ระหว่างโครเอเชียและเซอร์เบีย แต่ทั้งสองมีความปรารถนาอย่างเดียวกันคือ: สลัดตัวเองให้พ้นจากนายต่างชาติที่น่ารังเกียจ. พวกหัวชาตินิยมใฝ่ฝันจะรวมสลาฟตอนใต้ทั้งมวลให้เป็นอาณาจักรเดียว. พวกเซิร์บเป็นกำลังผลักดันที่แข็งแรงที่สุดในการก่อตั้งรัฐอิสระเช่นนั้น.
ในตอนนั้น จักรพรรดิผู้ครองราชย์คือ ฟรานซิส โจเซฟ มีอายุ 84 ปี. ไม่ช้า อาร์ชดยุก ฟรานซิส เฟอร์ดินันด์ ก็จะก้าวเป็นจักรพรรดิองค์ใหม่. พวกหัวชาตินิยมชาวเซิร์บเห็นว่า ฟรานซิส เฟอร์ดินันด์ เป็นอุปสรรคต่อการทำให้ความฝันที่จะตั้งอาณาจักรแห่งชาวสลาฟตอนใต้เป็นความจริง.
นักศึกษาหนุ่ม ๆ บางคนในเซอร์เบียถูกครอบงำด้วยความคิดเรื่องรัฐอิสระของชาวสลาฟตอนใต้และเต็มใจพลีชีพเพื่อเจตนารมณ์นี้. เด็กหนุ่มหลายคนถูกเลือกให้ดำเนินการลอบปลงพระชนม์ท่านอาร์ชดยุก. พวกเขาได้รับอาวุธและได้รับการฝึกโดยกลุ่มชาตินิยมลับชาวเซิร์บเรียกกันว่ามือพระกาฬ. สองคนในกลุ่มคนหนุ่มนี้พยายามลอบปลงพระชนม์ คนหนึ่งทำได้สำเร็จ. ชื่อของเขาคือ กาฟริโล ปรินซิพ อายุ 19 ปี.
การลอบปลงพระชนม์นี้ทำให้เป้าประสงค์ของผู้คิดร้ายถึงที่สำเร็จ. พอสงครามโลกครั้งที่หนึ่งยุติ การปกครองระบอบราชาธิปไตยของออสเตรีย-ฮังการีก็สลายตัว และเซอร์เบียสามารถเป็นผู้นำในการผนึกชาวสลาฟให้เป็นอาณาจักร. ในปี 1918 อาณาจักรนี้ได้รับชื่อว่าอาณาจักรของชาวเซิร์บ, โครแอ็ท, และสโลเวน. ชื่อถูกเปลี่ยนเป็นยูโกสลาเวียในปี 1929. อย่างไรก็ดี เมื่อกลุ่มที่แตกต่างกันนี้ไม่จำเป็นต้องผนึกกำลังร่วมต่อสู้ออสเตรีย-ฮังการีอีกต่อไป ก็ปรากฏชัดว่ามีความแตกต่างหลายอย่างในกลุ่มเหล่านั้นเอง. มีประชากรเกือบ 20 กลุ่มแตกต่างกัน มีภาษาทางการสี่ภาษาและภาษารองลงมาอีกหลายภาษา มีตัวอักษรสองชนิดต่างกัน (โรมันและซีริลลิค), และมีสามศาสนาใหญ่ ๆ—คาทอลิก, มุสลิม, และเซิร์บออร์โทด็อกซ์. ศาสนายังคงเป็นปัจจัยใหญ่ที่สร้างความแตกแยก. พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ มีปัจจัยก่อความแตกแยกหลายประการซึ่งยั่งยืนมานานมากในรัฐใหม่นี้.
ยูโกสลาเวียและสงครามโลกครั้งที่สอง
ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง เยอรมนีบุกยูโกสลาเวีย และจากหนังสือ เดอะ ยูโกสลาฟ เอาชวิทซ์ แอนด์ เดอะ วาติกัน “ประชาชนกว่า 200,000 คนส่วนใหญ่เป็นชาวเซิร์บออร์โทด็อกซ์ ถูกสังหารอย่างเป็นระบบ” โดยชาวโครแอ็ทคาทอลิกซึ่งร่วมมือกับนาซี. อย่างไรก็ดี โยซิพ ติโต ชาวโครแอ็ท พร้อมด้วยพลพรรคกู้ชาติฝ่ายคอมมิวนิสต์และด้วยการร่วมมือกับอังกฤษและอเมริกา สามารถผลักดันพวกเยอรมันให้ถอยทัพกลับได้. ครั้นสงครามสงบ เขาโดดเด่นในฐานะผู้นำประเทศโดยปราศจากข้อสงสัยใด ๆ และดำเนินการปกครองด้วยความเข้มงวดเฉียบขาด. เขาเป็นคนไม่ขึ้นกับใคร. แม้กระทั่งสตาลินก็ไม่สามารถบังคับเขาให้นำยูโกสลาเวียเข้าร่วมแถวขบวนกับกลุ่มประเทศคอมมิวนิสต์อื่น ๆ ได้.
หลายคนจากอดีตยูโกสลาเวียได้กล่าวว่า ‘ถ้าติโตไม่ได้ปกครองประเทศ สหภาพนี้คงแตกเป็นเสี่ยง ๆ ไปตั้งนานแล้ว. เขาผู้เดียวเท่านั้นที่มีพลังเจตจำนง และมีอำนาจที่จำเป็นเพื่อผนึกสหภาพให้เป็นปึกแผ่น.’ ทั้งนี้ปรากฏว่าเป็นความจริง. หลังจากการเสียชีวิตของติโตในปี 1980 ความขัดแย้งก็ปะทุขึ้นมาอีก และโหมแรงขึ้น ๆ จนกระทั่งสงครามกลางเมืองระเบิดในปี 1991.
ลูกกระสุนที่เปลี่ยนโลก
ในหนังสือของเขาชื่อ ฟ้าลั่นยามสนธยา—เวียนนา 1913/1914 เฟรดเดอริก มอร์ตัน ผู้ประพันธ์เขียนถึงการสังหารฟรานซิส เฟอร์ดินันด์ไว้ดังนี้: “ลูกกระสุนที่ทะลวงเข้าต้นคอของเขา เป็นกระสุนสัญญาณนัดแรกที่เบิกโรงสู่การสังหารที่ก่อความเสียหายร้ายแรงที่สุดเท่าที่มนุษยชาติได้รู้จักกันจนถึงเวลานั้น. มันก่อพลังผลักดันสู่สงครามโลกครั้งที่สอง. . . . เส้นด้ายหลายเส้นที่ถักทอเป็นฉากเหตุการณ์รอบตัวเรานี้ ถูกปั่นเป็นด้ายครั้งแรกแถบลุ่มน้ำดานูบในช่วงเวลาปีครึ่งก่อนการจ่อปืนพกกระบอกนั้นที่ศีรษะของอาร์ชดยุก.”—เราทำให้เป็นตัวเอน.
เหตุการณ์เมื่อไม่นานมานี้ในอดีตยูโกสลาเวียมิใช่เป็น “เส้นด้ายที่ถักทอเป็นฉากเหตุการณ์รอบตัวเรา” เพียงอย่างเดียวซึ่งอาจย้อนรอยไปถึงปี 1914. นักประวัติศาสตร์ เอดมัน เทย์เลอร์ ได้แสดงความเห็นบางอย่างซึ่งนักประวัติศาสตร์หลายคนเห็นพ้องด้วยดังนี้: “การเกิดสงครามโลกครั้งที่หนึ่งได้นำ ‘ยุคลำบาก’ แห่งศตวรรษที่ยี่สิบเข้ามา . . . ไม่ว่าโดยตรงหรือโดยทางอ้อมความปั่นป่วนทั้งมวลแห่งครึ่งศตวรรษที่ผ่านมามีจุดกำเนิดมาจากเหตุการณ์ปี 1914.”
ได้มีความเพียรพยายามที่จะอธิบายว่าเหตุใดการลั่นกระสุนในซาราเยโวจึงยังผลร้ายแรงเช่นนั้น. เป็นไปได้อย่างไรที่การลั่นกระสุนสองนัดโดย “เด็กนักเรียน” ทำให้ทั้งโลกลุกเป็นไฟและนำมาซึ่งยุคแห่งความรุนแรง, ความสับสน, และความไม่สมหวัง ซึ่งได้ดำเนินเรื่อยมาตราบจนทุกวันนี้?
ความเพียรพยายามจะอธิบายปี 1914
ในหนังสือของเขาชื่อ ฟ้าลั่นยามสนธยา—เวียนนา ปี 1913/1914, ผู้ประพันธ์พยายามอธิบายสาเหตุของสงครามโดยชี้ไปยังสิ่งที่เขาเรียกว่า “อำนาจใหม่” ซึ่งมีอิทธิพลต่อนานาชาติในปี 1914. เขาบอกว่า “อำนาจ” นี้ แท้จริงเป็นปัจจัยต่าง ๆ ที่ปฏิบัติงานร่วมกัน. เสียงร่ำร้องของผู้รักความสงบซึ่งมีไม่มากเท่าไรนักถูกกลบด้วยเสียงร่ำร้องให้ทำสงครามซึ่งดังขึ้นอย่างไม่ขาดสาย. การระดมพลของชาติหนึ่งเร่งให้ชาติอื่น ๆ ทั้งหมดระดมพลไปด้วย. อำนาจบังคับบัญชาถูกถ่ายทอดจากชนชั้นปกครองไปยังบรรดาแม่ทัพนายกอง. อนึ่ง หลายคนยังมองดูสงครามว่าเป็นโอกาสอันน่ายินดีที่จะประสบ “การผจญภัยระดับชาติครั้งยิ่งใหญ่” และโดยวิธีนั้น จะได้หนีจากความจำเจน่าเบื่อของชีวิตประจำวัน. เจ้าหน้าที่ผู้หนึ่งเขียนในภายหลังว่า “ผู้คนปรารถนาพายุฝนฟ้าคะนอง เพื่อบรรเทาความร้อนอบอ้าวของฤดูร้อนฉันใด คนรุ่นปี 1914 ก็เชื่อในความบรรเทาที่สงครามอาจนำมาให้ฉันนั้น.” เฮอร์มันน์ เฮสเซ นักประพันธ์ชาวเยอรมันบอกว่าจะก่อประโยชน์ต่อผู้คนมากมายที่จะถูกเขย่าออกจาก “สันติภาพอันจำเจน่าเบื่อแห่งทุนนิยม.” โธมัส แมน นักประพันธ์ผู้ได้รับรางวัลโนเบลเอ่ยถึงสงครามว่าเป็น “การชำระให้บริสุทธิ์, การปลดปล่อย, ความหวังอันยิ่งใหญ่.” แม้กระทั่ง วินสตัน เชอร์ชิลล์ ซึ่งอยู่ในภาวะมัวเมาด้วยความคิดเรื่องสงครามก็เขียนว่า “การเตรียมทำสงครามมีเสน่ห์ดึงดูดอย่างน่าตกใจสำหรับผม. ผมอธิษฐานขออภัยจากพระเจ้าสำหรับอารมณ์คึกคะนองอันน่าขนลุกเช่นนี้.”
เป็นเพราะ “อำนาจใหม่” นี้เอง ที่ทำให้มีการแสดงฉากอันคึกคักทั่วยุโรปขณะที่ทหารเดินทัพสู่สงคราม. ช่อไม้สีเขียวติดไว้ที่หมวกพวกเขา, พวงมาลัยกุหลาบคล้องรอบปืนใหญ่, วงดุริยางค์บรรเลงเพลง, เหล่าแม่บ้านโบกผ้าเช็ดหน้าจากหน้าต่าง, และพวกเด็ก ๆ ก็เริงร่าวิ่งไปกับแถวทหาร. ดูประหนึ่งว่าผู้คนกำลังเฉลิมฉลองและไชโยโห่ร้องการมาถึงของสงคราม. สงครามโลกแปลงโฉมเป็นงานรื่นเริง.
นี้คือข้อสรุปจากสิ่งที่เฟรดเดอริก มอร์ตัน ซึ่งอ้างถึงก่อนหน้านี้ เรียกว่า “อำนาจใหม่” ซึ่งมุ่งจะช่วยเราเข้าใจสาเหตุของสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง. แต่ “อำนาจ” นี้มาจากไหน? บาร์บารา ทัคแมน นักประวัติศาสตร์ได้เขียนไว้ว่าสังคมอุตสาหกรรมได้ให้อำนาจใหม่และความกดดันใหม่แก่มนุษยชาติ. ที่จริง “สังคม . . . กำลัง . . . อัดแน่นด้วยความตึงเครียดชนิดใหม่และพลังงานที่สะสมไว้.” สเตฟาน ซวิค คนหนุ่มชั้นปัญญาชนจากเวียนนาในสมัยนั้นเขียนว่า “ผมไม่อาจอธิบายได้เป็นอย่างอื่นนอกจากโดยพลังที่สะสมไว้นี้ ผลอันเป็นโศกนาฏกรรมจากพลังผลักดันภายในซึ่งได้สะสมไว้ในช่วงสี่สิบปีแห่งสันติภาพและบัดนี้เสาะหาทางระบายออกด้วยความรุนแรง.” สำนวนที่ว่า “ผมไม่อาจอธิบายได้เป็นอย่างอื่น” ชี้ว่าตัวเขาเองรู้สึกว่ายากที่จะอธิบาย. มอร์ตันได้เขียนไว้ในคำนำหนังสือของเขาชื่อ ฟ้าสั่นยามสนธยา ว่า “ทำไมสิ่งดังกล่าวเกิดในตอนนั้น และตรงนั้นพอดี? และเป็นไปอย่างไร? . . . มีรูปแบบที่ทำให้เข้าใจความสับสนนั้นไหม?”
ถูกแล้ว หลายคนซึ่งพยายามจะอธิบายปี 1914 รู้สึกว่าเหตุผลลึก ๆ นั้นเข้าใจได้ยากจริง ๆ. ทำไมสงครามไม่จำกัดอยู่เฉพาะฝ่ายที่เกี่ยวข้องโดยตรง? ทำไมจึงบานปลายเป็นสงครามโลก? ทำไมจึงยืดเยื้อและยังความพินาศย่อยยับ? อะไรคืออำนาจประหลาดนี้ซึ่งกุมมนุษยชาติในฤดูใบไม้ร่วงปี 1914. บทความถัดไปจะพิจารณาคำตอบตามหลักคัมภีร์ไบเบิลสำหรับปัญหาเหล่านี้.”
[เชิงอรรถ]
a ยูโกสลาเวียมีความหมายว่า “ดินแดนแห่งชาวสลาฟตอนใต้.” สาธารณรัฐนี้ประกอบด้วยบอสเนีย, และเฮอร์เซโกวีนา, โครเอเชีย, มาซิโดเนีย, มอนเตเนโกร, เซอร์เบีย, และสโลวีเนีย.
[จุดเด่นหน้า 6]
“ผู้คนปรารถนาพายุฝนฟ้าคะนอง เพื่อบรรเทาความร้อนอบอ้าวของฤดูร้อนฉันใด คน รุ่นปี 1914 ก็เชื่อในความบรรเทาที่สงครามอาจ นำมาให้ฉันนั้น.”—เอิร์นสต์ ยู. คอร์มอนซ์ นักการทูตออสเตรีย
[กรอบ/ภาพหน้า 6]
1914
คัมภีร์ไบเบิลพยากรณ์ถึงพิบัติภัยต่าง ๆ ซึ่งเกิดขึ้นแล้วตั้งแต่ปี 1914
“และม้าอีกตัวหนึ่งออกมา เป็นม้าสีเพลิง; และผู้ที่นั่งบนม้านั้นได้รับ อนุญาตให้นำสันติสุขไปจากแผ่นดินโลกเพื่อพวกเขาจะฆ่าฟันกัน; และผู้นี้ได้รับ ดาบเล่มใหญ่. และเมื่อพระองค์ทรงแกะดวงตราที่สาม ข้าพเจ้าได้ยินสิ่งมีชีวิตตนที่สาม กล่าวว่า “มาเถิด!” และข้าพเจ้าได้เห็น และนี่แน่ะ! ม้าดำตัวหนึ่ง; และผู้ที่นั่งบนม้านั้น มีตราชูอยู่ในมือ. และข้าพเจ้าได้ยินเสียงประหนึ่งในท่ามกลางสิ่งมีชีวิตทั้งสี่นั้น กล่าวว่า “ข้าวสาลีลิตรละหนึ่งเดนาริอัน และข้าวบาร์เลย์สามลิตรหนึ่งเดนาริอัน; และอย่าทำความเสียหายแก่น้ำมันมะกอกและเหล้าองุ่น.” และเมื่อพระองค์ ทรงแกะดวงตราที่สี่ ข้าพเจ้าได้ยินเสียงสิ่งมีชีวิตตนที่สี่กล่าวว่า “มาเถิด!” และข้าพเจ้าได้เห็น และ นี่แน่ะ! ม้าสีซีดตัวหนึ่ง; และผู้ที่นั่งบนม้านั้นมีชื่อว่า ความตาย. และฮาเดสก็ตามมาติด ๆ. และพวกเขาได้รับอำนาจเหนือแผ่นดินโลก หนึ่งในสี่ส่วน เพื่อจะฆ่าด้วยดาบยาวและด้วยการขาดแคลนอาหาร และด้วยโรคร้ายที่ทำให้ถึงตายและด้วยสัตว์ร้ายต่าง ๆ แห่งแผ่นดินโลก.” วิวรณ์ 6:4-8 (ล.ม.) (ดูลูกา 21:10-24; 2 ติโมเธียว 3:1-5 ด้วย.)
“มหาสงครามระหว่างปี 1914-1918 เป็นเสมือนแถบไหม้บนแผ่นดินโลกซึ่งแยก สมัยนั้นจากสมัยของเรา. ในการล้างผลาญชีวิตผู้คนมากมายเหลือเกินซึ่งคนเหล่านั้นคงจะปฏิบัติงานได้หลายปีหลังจากนั้น, ในการทำลายความศรัทธา, การเปลี่ยนความคิด, และทิ้งรอยแผลที่รักษาไม่หายแห่งความไม่สมหวัง ได้ก่อให้เกิดช่องว่างมหึมา ทั้งทางกายและจิตใจระหว่างสองยุคนั้น.”—อารัมภบทของหนังสือป้อมปราการแห่งความภาคภูมิ โดยบาร์บารา ดับเบิลยู. ทัคแมน.
“สี่ปีที่ตามมา [หลังจากปี 1914] เป็นดังที่เกรแฮม วอลลาส เขียนไว้คือ ‘สี่ปี แห่งความพยายามอันดุเดือดและอาจหาญที่สุดเท่าที่เผ่าพันธุ์มนุษย์เคยทำมา.’ เมื่อความ พยายามนั้นผ่านพ้นไป ความใฝ่ฝันและความกระตือรือร้นเท่าที่มีจนถึงปี 1914 ก็ค่อย ๆ จมสู่ก้นทะเลแห่งความผิดหวังครั้งใหญ่. สิ่งที่มนุษย์ได้รับเป็นส่วนใหญ่สำหรับราคา ที่จ่ายไปก็คือ ความสำนึกอันเจ็บปวดในข้อจำกัดของตัวเอง.”—คำลงท้ายจากหนังสือเล่มเดียวกัน.
[ที่มาของภาพ]
The Bettmann Archive
The Trustees of the lmperial War Museum, London
National Archives of Canada, P.A. 40136 “‘ปัญหาอาชญากรรมเด็กและเยาวชนเป็นเรื่องใหญ่จริง ๆ’ ผู้พิพากษาได้กล่าว. ‘มโหฬาร. ท่วมท้น. คุณเห็นความล้มเหลวของโรงเรียนต่าง ๆ. คุณเห็นความล้มเหลวของบิดามารดา. คุณเห็นความรุนแรงบนท้องถนน. คุณเห็นปืน. คุณเห็นยาเสพย์ติด. เด็ก ๆ ถูกปล้นเอาความเป็นเด็กไป. พวกเขาไม่กล้าไปโรงเรียนแล้วถูกยิง. พวกเขาวิตกเรื่องความอยู่รอดวันต่อวัน. . . . พวกเขาวิตกเรื่องการรักษาตัวให้มีชีวิตจนถึงสิ้นวัน. นั่นไม่ควรเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณากันในวัยเด็ก.’”—ความเห็นของผู้พิพากษาเลซี่ ประจำศาลคดีเด็กและเยาวชน เมืองดีทรอยต์ รัฐมิชิแกนลงไว้ในหนังสือพิมพ์ เดอะ นิวยอร์ก ไทมส์ ฉบับ 16 พฤษภาคม 1994
[แผนที่หน้า 7]
(รายละเอียดดูจากวารสาร)
ยุโรปในตอนนั้น—สิงหาคม 1914
1. บริเตนใหญ่และไอร์แลนด์ 2. ฝรั่งเศส 3. สเปน 4. จักรวรรดิเยอรมัน 5. สวิตเซอร์แลนด์ 6. อิตาลี 7. รัสเซีย 8. ออสเตรีย—ฮังการี 9. โรมาเนีย 10. บัลแกเรีย 11. เซอร์เบีย 12. มอนเตเนโกร 13. แอลเบเนีย 14. กรีซ
[รูปภาพหน้า 5]
กาฟริโล ปรินซิพ
[รูปภาพหน้า 6]
ทหารเยอรมันได้รับดอกไม้ขณะเคลื่อนพลสู่สงคราม
[ที่มาของภาพ]
The Bettmann Archive
[ที่มาของภาพหน้า 3]
Culver Pictures