การรับมือกับภาวะหมดระดู
ภาวะหมดระดูเป็น “ประสบการณ์เฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใคร” และเป็น “การเริ่มต้นบทใหม่และมีอิสระในชีวิตของคุณ” กล่าวโดยสตรีผู้แต่งหนังสือ ภาวะหมดระดูตามธรรมชาติ—ข้อชี้แนะครบถ้วนเพื่อแก้ความเข้าใจผิดอย่างมหันต์เรื่องการเปลี่ยนวัยของผู้หญิง (ภาษาอังกฤษ). ผลการวิจัยแสดงว่า ยิ่งคุณมีความรู้สึกที่ดีต่อตัวเองและชีวิตของคุณ—ความนับถือตัวเองและเอกลักษณ์ของคุณ—ช่วงการเปลี่ยนวัยของคุณก็ยิ่งง่ายขึ้น.
จริง ระหว่างช่วงนี้ชีวิตผู้หญิงบางคนจะลำบากกว่าคนอื่น ๆ. หากคุณกำลังประสบความยุ่งยากขณะนี้ ก็ไม่หมายความว่าคุณมีปัญหาเกี่ยวกับความนับถือตัวเองหรือกำลังจะเสียจริต, หรือไร้คุณสมบัติสตรี, ขาดเชาวน์ปัญญา, หรือหมดความสนใจในกามคุณ. แต่โดยทั่วไปปัญหาดังกล่าวเป็นเรื่องทางชีววิทยา.
“แม้แต่ผู้หญิงซึ่งทนรับทุกข์สาหัสด้วยอาการต่าง ๆ ของภาวะหมดระดูก็บอกว่าพวกตนได้โผล่ขึ้นสู่อีกสภาพหนึ่ง พร้อมกับจุดมุ่งหมายใหม่และเต็มไปด้วยพลัง” นิวส์วีก รายงาน. สตรีวัย 42 ปีพูดว่า “ดิฉันรอคอยเวลาอันสงบรื่นรมย์ เมื่อนั้นดิฉันจะไม่มีอาการต่าง ๆ ที่คอยรบกวนใจให้สับสนอีกต่อไป.”
เมื่อผู้หญิงจัดการกับปัญหาได้ดีกว่า
การที่ผู้หญิงสูงอายุจะรับมือกับภาวะหมดระดูได้ดีแค่ไหนนั้น ปัจจัยสำคัญอยู่ที่ว่าพวกเธอถูกมองอย่างไร. ในภูมิภาคหลายแห่งที่มีการหยั่งรู้ค่าวุฒิภาวะ, สติปัญญา, และประสบการณ์, ระหว่างภาวะหมดระดูแทบจะไม่มีการเจ็บป่วยทางร่างกายและทางอารมณ์เลย.
ยกตัวอย่าง สารานุกรมว่าด้วยสุขภาพและการรักษาตามธรรมชาติของผู้หญิง (ภาษาอังกฤษ) รายงานว่าเผ่าต่าง ๆ ในแอฟริกา “ซึ่งมีการต้อนรับภาวะหมดระดูประหนึ่งการมาเยือนที่น่ายินดีในชีวิต และที่ซึ่งผู้หญิงวัยหมดระดูได้รับความนับถือเนื่องจากมีประสบการณ์และสติปัญญา พวกผู้หญิงแทบจะไม่บ่นพร่ำเรื่องอาการต่าง ๆ เกี่ยวกับภาวะหมดระดู.” หนังสือ เหตุการณ์ที่ผ่านไปอย่างเงียบ ๆ—ภาวะหมดระดู พูดในทำนองเดียวกันว่า “ผู้หญิงอินเดียวรรณกษัตริย์ไม่โอดครวญเรื่องความซึมเศร้าหรืออาการทางจิต” ในช่วงของภาวะหมดระดู.
ที่ญี่ปุ่นก็เช่นกัน ที่ซึ่งพวกผู้หญิงสูงอายุได้รับความนับถืออย่างสูง การรักษาอาการระหว่างภาวะหมดระดูด้วยฮอร์โมน แทบไม่เป็นที่รู้จักกัน. นอกจากนั้น ผู้หญิงทางแถบเอเชียเห็นได้ชัดว่ามีอาการระหว่างภาวะหมดระดูน้อยกว่าหรือไม่รุนแรงเท่าที่พบในวัฒนธรรมตะวันตก. ดูเหมือนอาหารการกินของพวกเขาเป็นปัจจัยเอื้ออำนวยให้เป็นเช่นนี้.
ผู้หญิงเผ่ามายาจริง ๆ แล้วเฝ้ารอภาวะหมดระดู ตามการวิจัยของนักมนุษยวิทยาคนหนึ่ง. ภาวะหมดระดูสำหรับชาวเผ่าดังกล่าวหมายถึงการปลดเปลื้องจากภาระคลอดลูกคนแล้วคนเล่าไม่จบสิ้น. ไม่แคลงใจเลยที่ว่าภาวะหมดระดูทำให้พวกเธอมีโอกาสแสวงหาสิ่งน่าสนใจอื่น ๆ ในชีวิตได้เช่นกัน.
ในเวลาเดียวกัน ความวิตกกลัวซึ่งเกี่ยวพันกับภาวะหมดระดูก็ไม่ควรละเลยเหมือนกับว่าไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญ. ในวัฒนธรรมซึ่งเน้นค่านิยมเรื่องความสาวและรูปร่างท่าทางที่กระฉับกระเฉงเปล่งปลั่ง พวกผู้หญิงที่ยังไม่ผ่านภาวะหมดระดูจึงมักจะกลัวเรื่องนี้. สำหรับบุคคลดังกล่าวอาจทำอะไรได้เพื่อบรรเทาความยุ่งยากที่มาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลง?
สิ่งที่ผู้หญิงต้องการ
เจนีน โอไลรี ค็อบบ์ ผู้ประพันธ์และผู้ริเริ่มค้นคว้าเกี่ยวกับภาวะหมดระดูชี้แจงดังนี้: “สิ่งที่ผู้หญิงมากมายต้องการคือคำพิสูจน์ยืนยันบางอย่างสำหรับความรู้สึกที่พวกเธอกำลังประสบ—ที่ว่าไม่ใช่เกิดเฉพาะพวกเธอเท่านั้น.”
ความเข้าใจและทัศนะที่แจ่มใสเป็นสิ่งสำคัญ. มารดาวัย 51 ปีคนหนึ่งกำลังผ่านภาวะหมดระดู พูดว่า “ด้วยความสัตย์ ดิฉันเชื่อว่าทัศนะโดยทั่วไปเกี่ยวกับชีวิตของคุณจะชี้นำวิธีให้คุณผ่านภาวะหมดระดู. . . . ดิฉันรู้ว่าต้องแก่กันทั้งนั้น. ไม่ว่าเราชอบหรือไม่ชอบก็ตาม มันก็จะเกิดขึ้นจนได้. . . . ดิฉันเข้าใจแล้วว่า [ภาวะหมดระดู] ไม่ใช่โรค. นี่คือชีวิตของดิฉัน.”
ฉะนั้น ขณะที่ขั้นตอนใหม่แห่งชีวิตคืบคลานเข้ามา จงจัดเวลาไว้สำหรับการใคร่ครวญอย่างลึกซึ้งในเรื่องใหม่ ๆ, สิ่งน่าสนใจต่าง ๆ ที่ท้าทาย. ที่ไม่ควรละเลยคือผลกระทบต่อร่างกายอันสืบเนื่องจากภาวะหมดระดู. บรรดาแพทย์และผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายต่างก็แนะนำให้ปฏิบัติตามหลักโดยทั่วไปเกี่ยวด้วยสุขภาพที่ดี เพื่อเป็นการเตรียมตัวสำหรับการเปลี่ยนวัย อาทิ อาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย, การพักผ่อนให้เพียงพอ, และการออกกำลังกายแต่พอควร.
อาหารและการออกกำลัง
ความจำเป็นด้านสารอาหาร (ได้แก่โปรตีน, คาร์โบไฮเดรต, ไขมัน, วิตามิน, เกลือแร่) ไม่ได้ลดน้อยลงขณะผู้หญิงมีอายุมากขึ้น ทว่า ความจำเป็นด้านแคลอรีมีน้อยลง. เพราะฉะนั้น จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะรับประทานอาหารประเภทอุดมด้วยคุณค่า และพึงหลีกเลี่ยงอาหารหวาน, มีไขมันมาก ซึ่งเป็น “แคลอรีที่ไม่ให้คุณค่าทางโภชนาการ.”
การออกกำลังกายเป็นประจำเสริมความสามารถในการรับมือกับความเครียดและความซึมเศร้า. การออกกำลังเพิ่มพลังงานและช่วยไม่ให้น้ำหนักตัวเพิ่ม. ขบวนการเผาผลาญอาหารที่ระดับมูลฐานจะค่อย ๆ ลดลงตามวัย และจะเพิ่มขึ้นได้ก็เฉพาะแต่มีการออกกำลังกายเท่านั้น มิฉะนั้นแล้ว น้ำหนักตัวก็มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นทีละน้อย.
เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้หญิงที่จะทราบว่า การออกกำลังกายประกอบกับการเสริมด้วยแคลเซียมสามารถชะลอการเกิดภาวะกระดูกพรุน ซึ่งหมายถึงสภาพกระดูกที่เป็นรูพรุนและเปราะบาง. หนังสือ ผู้หญิงสูงวัย กล่าวว่า “การเต้นแอโรบิกในห้องออกกำลังกาย, การเดิน, การวิ่ง, การปั่นจักรยาน, และกีฬาประเภทที่เพิ่มปริมาณออกซิเจนในร่างกาย รวมทั้งการออกกำลังกายด้วยการยกน้ำหนัก อย่างถูกวิธี” เชื่อกันว่าดีเป็นพิเศษ. น่าสนใจ ไม่พบเห็นภาวะกระดูกพรุนในชุมชนห่างไกลบางแห่ง ซึ่งผู้คนยังคงใช้แรงกายแม้ล่วงเข้าวัยชรามากแล้ว. พวกผู้หญิงที่อาศัยตามแถบถิ่นดังกล่าว โดยปกติอายุยืนถึง 80 กว่าหรือ 90 กว่าปี. อย่างไรก็ตาม ก่อนจะดำเนินการใด ๆ เกี่ยวกับการออกกำลังกาย คงจะดีหากคุณปรึกษาแพทย์ก่อน.
วิธีจัดการกับอาการร้อนวูบวาบ
อาการร้อนวูบวาบเป็นสิ่งก่อความรำคาญสำหรับผู้หญิงส่วนใหญ่. กระนั้นสำหรับบางคน อาการเช่นนี้เป็นปัญหาจริง ๆ เพราะว่าเกิดขึ้นถี่มาก หรือรบกวนการนอนหลับบ่อย ๆ. อาจทำอะไรได้บ้าง?
ประการแรก อย่าตกใจ. ยิ่งวิตกกังวลกับสถานการณ์มากก็ยิ่งจะทำให้เรื่องเลวร้ายลง. การออกกำลังกายอย่างแข็งขันเป็นประจำมีประโยชน์ เพราะจะช่วยร่างกายเรียนรู้วิธีจัดการกับความร้อนที่เกินความจำเป็นและทำให้เย็นเร็วขึ้น. นอกจากนั้น ลองใช้วิธีง่าย ๆ เช่นดื่มน้ำเย็นสักแก้วหนึ่ง หรือเอามือของคุณแช่ในน้ำเย็น.
นอกจากนั้น ทำให้เป็นนิสัยที่จะใส่เสื้อผ้าหลวม ๆ หลายชั้น เผื่อจะถอดออกหรือใส่เพิ่มได้ง่าย ๆ. ผ้าฝ้ายหรือผ้าลินินช่วยให้เหงื่อระเหยเร็วกว่าเสื้อผ้าที่ทำจากใยสังเคราะห์. ตอนกลางคืน ลองใช้วิธีแก้ปัญหาโดยเตรียมผ้าห่มไว้หลายผืน ซึ่งอาจนำมาห่มเพิ่มหรือเลิกออกเมื่อไรก็ได้ตามต้องการ. วางชุดนอนสำหรับเปลี่ยนไว้ใกล้มือ.
พยายามวิเคราะห์หาสิ่งที่ดูเหมือนเร่งอาการร้อนวูบวาบ. การดื่มของมึนเมา, กาเฟอีน, น้ำตาล, และอาหารเผ็ดหรืออาหารรสจัดอาจเป็นสาเหตุได้ เช่นเดียวกับการสูบบุหรี่. การจดบันทึกประจำวันว่าคุณมีอาการร้อนวูบวาบเมื่อไรและตรงไหนอาจทำให้คุณระบุอาหารและกิจกรรมต่าง ๆ ที่ช่วยเร่งอาการดังกล่าว. แล้วจงหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้.
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านยาบำรุงได้แนะนำวิธีบำบัดหลากหลายเพื่อลดอาการร้อนวูบวาบ เช่นการให้วิตามินอี, น้ำมันดอกพริมโรส, และสมุนไพรโสมสกัด, ด็องเกว, และแบล็คโคฮอส. แพทย์บางคนจ่ายยา เบลเลอกัลและโคลนิดิน (ยาลดความดันโลหิต) เพื่อบรรเทาอาการ แต่เอสโตรเจนชนิดเม็ดหรือชนิดแผ่นแปะผิวหนัง กล่าวกันว่าได้ผลดีที่สุด.a
ช่องคลอดแห้งอาจแก้ได้โดยการใช้น้ำมันพืชหรือน้ำมันผลไม้, น้ำมันวิตามินอี, และเยลหล่อลื่น. หากใช้สิ่งเหล่านี้แล้วยังไม่ได้ผล ครีมเอสโตรเจนจะช่วยให้ผนังช่องคลอดหนาและลื่น. ก่อนเริ่มมาตรการรักษาใด ๆ ทางที่ดีควรปรึกษาแพทย์เสียก่อน.
จะว่าอย่างไรเกี่ยวกับความเครียด?
ขณะที่ผู้หญิงต้องรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางฮอร์โมนและทางร่างกายซึ่งมาพร้อมกับภาวะหมดระดู เธอยังต้องเผชิญอยู่บ่อย ๆ กับเรื่องเครียดอื่น ๆ ซึ่งหลายเรื่องได้กล่าวไปแล้วในบทความก่อนหน้านี้. อีกด้านหนึ่ง สิ่งดีหลายอย่าง เช่น การได้หลาน หรือการมุ่งทำกิจกรรมใหม่ ๆ หลังจากลูก ๆ ออกจากบ้านไปอยู่ที่อื่นก็สามารถลบล้างความเครียดในแง่ลบได้.
ในหนังสือของเธอชื่อ ภาวะหมดระดูตามธรรมชาติ ซูซาน เพอร์รี และแพทย์หญิงแคเทอรีน เอ. โอแฮนลัน เสนอข้อแนะที่ใช้ได้บางอย่างเพื่อจัดการกับความเครียดได้ดีขึ้น. ผู้แต่งหนังสือสองคนนี้ชี้ไปถึงความจำเป็นที่ต้องระบุที่มาของความเครียด ครั้นแล้วก็หยุดพักเป็นครั้งคราว. ทั้งนี้อาจหมายถึงการรับเอาความช่วยเหลือเรื่องการเอาใจใส่ดูแลสมาชิกครอบครัวซึ่งป่วยเรื้อรัง. ทั้งสองสนับสนุนให้ “รู้กำลังของตัวเอง. พยายามหลีกเลี่ยงกำหนดการที่แน่นเกินไป . . . ฟังสัญญาณเตือนของร่างกาย.” เธอเสริมอีกว่า “การบริการคนอื่น . . . อาจเป็นตัวช่วยลดความเครียดได้อย่างวิเศษ. . . . ออกกำลังกายสม่ำเสมอ. . . . แสวงความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางถ้าสุดวิสัยที่จะควบคุมความเครียดในชีวิตของคุณ.”
สมาชิกครอบครัวสามารถช่วยได้
ผู้หญิงที่กำลังอยู่ในภาวะหมดระดูต้องการความเข้าใจทางอารมณ์และการเกื้อหนุนที่ใช้ได้ผล. เมื่อพรรณนาสิ่งที่เธอมักจะทำขณะถูกรุมล้อมด้วยความกระวนกระวาย, ผู้เป็นภรรยาคนหนึ่งพูดว่า “ฉันจะคุยเรื่องนี้กับสามี และหลังจากเขารับฟังอย่างเห็นอกเห็นใจแล้ว ฉันจึงเห็นว่าปัญหาต่าง ๆ ไม่ใหญ่โตเท่ากับสภาพความกระวนกระวายใจที่ฉันนึกภาพเอาเอง.”
อนึ่ง สามีที่มีความรู้สึกไวยอมรับว่าภรรยาของตนย่อมไม่สามารถทำได้มากเหมือนเดิม ขณะกำลังผ่านภาวะหมดระดู. ดังนั้น เขาจะตื่นตัวริเริ่มช่วยงานต่าง ๆ ภายในครอบครัว อาจเป็นงานซักรีด, จ่ายตลาด, และอื่น ๆ. ด้วยความเห็นอกเห็นใจ เขาจะใส่ใจต่อความจำเป็นของภรรยามากกว่าของตัวเอง. (ฟิลิปปอย 2:4) เขาอาจจะชวนไปรับประทานอาหารนอกบ้านเป็นครั้งคราว หรือโดยอีกวิธีหนึ่งสอดแทรกเรื่องน่าอภิรมย์เข้าไปในกิจวัตรประจำวัน. ในขอบเขตที่เป็นไปได้ สามีจะหลีกเลี่ยงการทำให้ขัดเคืองใจ และสนับสนุนความพยายามของภรรยาที่จะรักษานิสัยการกินเพื่อสุขภาพ.
ที่สำคัญยิ่ง สามีควรสนองความต้องการของภรรยาที่ปรารถนาจะได้รับการยืนยันเสมอในความรักอย่างต่อเนื่องที่ตนมีต่อเธอ. เขาควรหยั่งเห็นและควรระลึกว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลากระเซ้าภรรยาด้วยเรื่องส่วนตัว. สามีที่ปฏิบัติต่อภรรยาในวิถีทางแห่งความรักก็ทำตามคำแนะนำของคัมภีร์ไบเบิลที่ว่า ‘จงอยู่กับเธอตามความรู้ ให้เกียรติเธอในฐานะที่เป็นเพศหญิง.’—1 เปโตร 3:7.
ในทำนองคล้ายกัน บุตรควรบากบั่นแท้จริงที่จะเข้าใจสาเหตุการแปรปรวนทางอารมณ์ของมารดา. บุตรจำต้องรับรู้ความต้องการของมารดาที่อยากอยู่เงียบ ๆ เป็นส่วนตัว. การแสดงออกซึ่งความรู้สึกที่ไวต่ออารมณ์ของมารดาเช่นนี้เป็นการสื่อความยืนยันว่าพวกตนห่วงใยมารดาอย่างแท้จริง. ในทางตรงกันข้าม การพูดตลกล้อเลียนลักษณะท่าทางของเธอซึ่งไม่อาจคาดล่วงหน้าได้มีแต่จะซ้ำเติมให้สภาพการณ์เลวร้ายยิ่งขึ้น. ถามคำถามที่เหมาะสมเพื่อจะได้ความเข้าใจดีขึ้นว่าอะไรเป็นอะไร และช่วยทำงานบ้านโดยไม่ต้องมีใครขอร้อง. สิ่งเหล่านี้เป็นแนวทางเพียงไม่กี่อย่างซึ่งพอจะเกื้อหนุนมารดาได้ระหว่างช่วงนี้ของชีวิตท่าน.
ชีวิตหลังภาวะหมดระดู
เมื่อช่วงนี้ในชีวิตของผู้หญิงจบลง บ่อยครั้งมีเวลาหลายปีรออยู่ข้างหน้า. ความรอบรู้และประสบการณ์ซึ่งเธอได้มานั้นประมาณค่ามิได้. การศึกษาค้นคว้าของนักประพันธ์ เกล ซีอี เกี่ยวกับ “ผู้ใหญ่ชาวอเมริกันหกหมื่นคนพบว่าผู้หญิงวัยห้าสิบเศษ ๆ ด้วยการสังเกตตัวเอง พวกเธอมีความรู้สึกที่ดีเกี่ยวกับสวัสดิภาพของตัวเองยิ่งกว่าช่วงใด ๆ ก่อนหน้านี้.”
ถูกแล้ว ผู้หญิงหลายคนที่เคยผ่านช่วงการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ต่างก็เกิดพลังใจใหม่อีกครั้งหนึ่ง. ความคิดสร้างสรรค์ของพวกเธอกลับมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีก. พวกเธอดำเนินชีวิตต่อไปอย่างกระฉับกระเฉง นำตัวเองเข้าร่วมกิจกรรมที่เป็นประโยชน์. สตรีผู้หนึ่งซึ่งผ่านภาวะหมดระดูมาแล้ว พูดดังนี้ “ดิฉันคิดตรึกตรองเสมอ. ดิฉันมักจะมองหาอะไรใหม่ ๆ และเรียนรู้อยู่ตลอด.” เธอเสริมว่า “ดิฉันอาจเชื่องช้าลงบ้าง แต่ไม่ได้คิดว่าชีวิตจบลงแค่นี้. ดิฉันเฝ้าปรารถนาจะอยู่อีกหลายปี.”
ที่สำคัญ เมื่อมีการสัมภาษณ์พวกผู้หญิง ซีอีได้พบว่าเหล่าคน “ผู้ซึ่งรู้สึกภูมิใจในสถานภาพและความนับถือตัวเองหลังภาวะหมดระดู ล้วนเป็นผู้ที่แสดงบทบาทในงานซึ่ง เชาวน์ปัญญา, วิจารณญาณ, ความคิดสร้างสรรค์, หรือพลังทางธรรมะได้รับการตีค่าในอันดับแรก ๆ.” มีผู้หญิงดังกล่าวจำนวนมากที่เป็นสุขด้วยการทุ่มเทกำลังขยายความรู้และความเข้าใจของเขาด้านคัมภีร์ไบเบิล และกำลังสั่งสอนผู้อื่นให้รู้ค่านิยมที่คุ้มค่าของคัมภีร์ไบเบิล.—บทเพลงสรรเสริญ 68:11.
นอกจากจะคงไว้ซึ่งชีวทัศน์ในแง่บวกและประกอบการงานที่มีความหมายแล้ว เป็นการสุขุมที่ผู้หญิงทุกวัยจะเตือนตัวเองให้ตระหนักว่าพระผู้สร้างองค์เปี่ยมด้วยความรักทรงทราบความรู้สึกของเราและทรงเอาพระทัยใส่พวกเราอย่างแท้จริง. (1 เปโตร 5:7) อันที่จริง พระเจ้ายะโฮวาได้ทรงเตรียมการไว้เพื่อในที่สุดคนทั้งปวงที่รับใช้พระองค์จะชื่นชมกับชีวิตในโลกใหม่ที่ชอบธรรม ซึ่งความเจ็บป่วย, ความทุกข์ทรมาน, หรือกระทั่งความตายจะไม่มีอีกต่อไป.—2 เปโตร 3:13; วิวรณ์ 21:3, 4.
เพราะฉะนั้น พวกคุณที่กำลังผ่านภาวะหมดระดู โปรดจำไว้ว่านั่นเป็นขั้นตอนหนึ่งของชีวิต. มันจะผ่านไป โดยยังมีอีกหลายปีซึ่งจะเป็นบำเหน็จอันอุดม หากใช้ชีวิตให้เป็นประโยชน์ ด้วยการรับใช้พระผู้ทรงสร้างตัวเราองค์เปี่ยมด้วยความรัก.
[เชิงอรรถ]
a ตื่นเถิด! ไม่แนะนำการรักษาทางแพทย์อย่างหนึ่งอย่างใดโดยเฉพาะ.
[กรอบหน้า 22]
การบำบัดโดยใช้เอสโตรเจนทดแทนเป็นอย่างไร?
เอสโตรเจนอาจจะช่วยป้องกันโรคหัวใจและโรคกระดูกพรุน อันเป็นสาเหตุสำคัญสองประการที่ทำให้ผู้หญิงวัยหลังภาวะหมดระดูเจ็บป่วย. ขณะที่ระดับเอสโตรเจนลดต่ำ การเป็นโรคดังกล่าวจะเริ่ม และภายหลังห้าถึงสิบปีจะสำแดงอาการชัด. เพื่อป้องกันโรคนี้ มีการแนะนำให้รักษาโดยทดแทนด้วยเอสโตรเจนหรือฮอร์โมน (เอสโตรเจนและโพรเจสเตอรอน).
การทดแทนเอสโตรเจนจะลดอัตราความเสื่อมของกระดูกและป้องกันการจู่โจมของโรคหัวใจ. การเสริมโพรเจสเตอรอนเข้าไปในมาตรการทดแทนฮอร์โมนจะลดอัตราการเกิดโรคมะเร็งเต้านมและมะเร็งมดลูก แต่จะทำลายฤทธิ์ในเชิงป้องกันของเอสโตรเจนต่อโรคหัวใจ.
การตัดสินใจจะใช้หรือไม่ใช้การบำบัดด้วยวิธีทดแทนฮอร์โมนนั้นต้องขึ้นอยู่กับการประเมินสภาพการณ์, สุขภาพ, และประวัติครอบครัวของผู้หญิงแต่ละคน.b
[เชิงอรรถ]
b โปรดดูอะเวก! ฉบับ 22 กันยายน 1991 หน้า 14-16.
[กรอบหน้า 23]
อาหารจำพวกไหนดีที่สุด?
ข้อเสนอแนะต่อไปนี้ตัดตอนมาจากหนังสือ ภาวะหมดระดูตามธรรมชาติ—ข้อชี้แนะครบถ้วนเพื่อแก้ความเข้าใจผิดอย่างมหันต์เรื่องการเปลี่ยนวัยของผู้หญิง, เขียนโดยซูซาน เพอร์รี และแพทย์หญิง แคเทอรีน เอ. โอแฮนลัน.
โปรตีน
• ลดการรับประทานอาหารประเภทโปรตีนให้เหลือไม่เกิน 15 เปอร์เซ็นต์ของแคลอรีทั้งหมดที่คุณรับเข้าไป.
• รับประทานผักมากขึ้นเพื่อจะได้โปรตีนจากผักและลดโปรตีนจากเนื้อ.
คาร์โบไฮเดรต
• รับประทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตรวมให้มากขึ้น เช่น ข้าวกล้อง, ขนมปังและอาหารจำพวกแป้ง, ถั่ว, เมล็ดในของผลไม้เปลือกแข็ง, ข้าว, ผัก, และผลไม้ต่าง ๆ.
• ลดน้ำตาลและเพลาอาหารที่ใส่น้ำตาลในปริมาณมาก.
• รับประทานอาหารที่มีกากใยมากขึ้น.
ไขมัน
• ลดการรับประทานไขมันโดยรวม ให้เหลือไม่เกิน 20 ถึง 30 เปอร์เซ็นต์ของการบริโภคแคลอรีทั้งหมด.
• ขณะลดการรับประทานไขมันโดยรวมให้เพิ่มอัตราส่วนของ ‘ไขมันที่เป็นประโยชน์’ (ไขมันไม่อิ่มตัว) แทน ‘ไขมันที่ให้โทษ’ (ไขมันอิ่มตัว).
น้ำ
• ดื่มน้ำหกถึงแปดแก้ว ๆ ละประมาณ 1 ส่วน 4 ลิตรทุกวัน.
วิตามินและเกลือแร่
• รับประทานพืชผักและผลไม้หลากหลายชนิดแต่ละวัน.
• นม, ผลิตภัณฑ์จากนม, ผักบรอคโคลิ, และผักใบเขียวเป็นแหล่งที่อุดมด้วยแคลเซียม.
[รูปภาพหน้า 24]
สิ่งซึ่งสมาชิกครอบครัวสามารถช่วยได้: ให้ความรักใคร่, ช่วยงานบ้าน, เป็นผู้ฟังที่เอาใจใส่, ทำบางอย่างต่างไปจากกิจวัตรประจำ