สิ่งที่กำหนดสุขภาพของคุณ—สิ่งที่คุณทำได้
ไม่เหมือนข้าวหรือแป้ง สุขภาพดีไม่ใช่สิ่งที่แจกจ่ายกันได้โดยพนักงานสังคมสงเคราะห์. สุขภาพใช่ว่ามีใส่ถุงให้กันได้ เพราะสุขภาพไม่ใช่ผลิตภัณฑ์แต่เป็นสภาพการณ์. องค์การอนามัยโลก (WHO) ให้คำจำกัดความดังนี้: “สุขภาพดี คือสภาพความสุขสบายครบถ้วนทางร่างกาย, จิตใจ, และทางสังคม.” แต่อะไรกำหนดระดับของความสุขสบายนั้น?
อาจสร้างบ้านขนาดพอเหมาะสักหลังโดยใช้แผ่นกระดาน, ตะปู, และสังกะสีลูกฟูก แต่ส่วนต่าง ๆ เหล่านั้นมักมีเสาค้ำยันสี่มุม. ทำนองคล้ายกัน มีสิ่งซึ่งก่อผลกระทบหลายประการที่กำหนดสุขภาพของเรา แต่ทั้งหมดล้วนเกี่ยวพันกับสี่สิ่ง “หลัก” ซึ่งก่อผลกระทบ. สิ่งเหล่านั้นคือ (1) พฤติกรรม, (2) สภาพแวดล้อม, (3) การดูแลทางแพทย์, และ (4) องค์ประกอบทางชีวภาพ. เหมือนที่คุณสามารถเสริมความแข็งแรงให้กับบ้านโดยการเปลี่ยนใช้เสาที่คุณภาพดีกว่า คุณก็สามารถทำให้สุขภาพดีขึ้นได้โดยการปรับปรุงคุณภาพของปัจจัยเหล่านี้ที่ก่อผลกระทบ. ปัญหาก็คือ จะทำเช่นนั้นด้วยโภคทรัพย์ที่มีจำกัดได้อย่างไร?
พฤติกรรมและสุขภาพของคุณ
จากปัจจัยสี่ประการนั้น พฤติกรรมของคุณเป็นสิ่งที่คุณควบคุมได้ดีที่สุด. การปรับปรุงพฤติกรรมสามารถช่วยได้. เป็นความจริงที่ว่าความยากจนจำกัดการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่คุณอาจทำได้ในเรื่องอาหารและนิสัยของคุณ แต่โดยการใช้สิ่งที่พอจะหาได้ ให้เป็นประโยชน์ คุณก็สามารถทำให้มีความแตกต่างได้มาก. ขอสังเกตตัวอย่างต่อไปนี้:
ตามปกติแล้วมารดาย่อมมีทางเลือกระหว่างการเลี้ยงลูกด้วยน้ำนมของตนหรือด้วยนมขวด. กองทุนสงเคราะห์เด็กแห่งสหประชาชาติกล่าวว่า การเลี้ยงลูกด้วยนมมารดาเป็น “ทางเลือกที่เยี่ยมกว่า ทั้งด้านร่างกายและด้านเศรษฐกิจ.” ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า นมมารดาเป็น “อาหารบำรุงสุขภาพชั้นเลิศ” ซึ่งทำให้ทารกได้รับ “โปรตีน, ไขมัน, แล็กโทส, วิตามิน, เกลือแร่, และธาตุปริมาณน้อยต่าง ๆ ในระดับความเข้มข้นพอเหมาะพอดี สำหรับการเจริญเติบโตที่เหมาะสม.” นอกจากนี้ น้ำนมมารดาลำเลียงโปรตีนที่ต่อสู้เชื้อโรค หรือแอนติบอดี จากมารดาสู่ทารก ทำให้ทารกได้เปรียบในการต่อสู้เชื้อโรค.
โดยเฉพาะในประเทศเขตร้อนที่มีสภาพไม่ค่อยถูกสุขลักษณะ การเลี้ยงทารกด้วยนมมารดาดีที่สุด. ไม่เหมือนนมขวด นมมารดาไม่อาจทำให้เจือจางเพื่อประหยัดเงิน อีกทั้งไม่มีการผิดพลาดระหว่างเตรียมนมให้ทารก และนมมารดามีการเสิร์ฟจากภาชนะที่สะอาดเสมอ. เมื่อเทียบกันแล้ว ซีเนอจี จดหมายข่าวจากสมาคมเพื่อสุขภาพนานาชาติแห่งแคนาดาให้ข้อสังเกตว่า “ทารกที่ได้รับการเลี้ยงด้วยนมขวดในชุมชนยากจนมีความเป็นไปได้ที่จะเสียชีวิตเนื่องจากโรคท้องร่วงสูงกว่าประมาณ 15 เท่าและมีความเป็นไปได้ที่จะเสียชีวิตเนื่องจากปอดบวมสูงกว่าสี่เท่าเมื่อเทียบกับทารกที่ได้รับการเลี้ยงด้วยนมมารดาเพียงอย่างเดียว.”
แล้วก็มีข้อดีกว่าในด้านเศรษฐกิจ. ในประเทศกำลังพัฒนา นมผงมีราคาแพง. ตัวอย่างเช่น ในบราซิล การเลี้ยงทารกคนหนึ่งด้วยนมขวดอาจใช้หนึ่งในห้าของรายได้ประจำเดือนของครอบครัวที่ยากจน. เงินที่ประหยัดได้จากการเลี้ยงทารกด้วยนมมารดาแทน อาจทำให้มีอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพมากกว่าสำหรับทั้งครอบครัว—รวมทั้งมารดาด้วย.
ด้วยข้อดีกว่าเหล่านี้ คุณคงคาดว่าการเลี้ยงทารกด้วยนมมารดาจะเป็นที่นิยม. กระนั้น ผู้ทำงานด้านสุขภาพในฟิลิปปินส์รายงานว่า การเลี้ยงทารกด้วยนมมารดาที่นั่น “ล่อแหลมต่อการสาบสูญ” และการค้นคว้ารายหนึ่งในบราซิลแสดงว่า ปัจจัยหลักประการหนึ่งที่เกี่ยวพันกับการเสียชีวิตของทารกเพราะการติดเชื้อในระบบหายใจคือ “การไม่เลี้ยงด้วยนมมารดา.” แต่ทารกของคุณอาจรอดพ้นบั้นปลายเช่นนั้นได้. คุณมีทางเลือก.
กระนั้น บ่อยครั้งความพยายามของมารดาเพื่อป้องกันสุขภาพทารกถูกบั่นทอนเนื่องจากพฤติกรรมที่ไม่ถูกสุขลักษณะของสมาชิกคนอื่นในครอบครัว. ขอยกเอามารดาคนหนึ่งในเนปาลเป็นตัวอย่าง. เธออยู่ในห้องชื้น ๆ กับสามีและบุตรสาวสามขวบ. วารสารแพโนสโคป ชี้แจงว่า ห้องเล็ก ๆ นั้นเต็มไปด้วยควันจากครัวและควันบุหรี่. เด็กทนทุกข์เพราะติดเชื้อในระบบหายใจ. มารดาถอนใจบอกว่า “ฉันไม่สามารถให้สามีเลิกสูบบุหรี่ได้. ตอนนี้ฉันซื้อบุหรี่ให้สามีและซื้อยาให้ลูก.”
น่าเศร้า สภาพอับจนของเธอกำลังกลายเป็นเรื่องธรรมดายิ่งขึ้นขณะที่ผู้คนมากขึ้นเรื่อย ๆ ในประเทศกำลังพัฒนาผลาญเงินรายได้ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งไปโดยเปล่าประโยชน์ด้วยการเริ่มสูบบุหรี่. แท้จริงแล้ว ขณะที่มีหนึ่งคนเลิกสูบบุหรี่ในยุโรปหรือสหรัฐ มีสองคนเริ่มสูบบุหรี่ในลาตินอเมริกาหรือแอฟริกา. หนังสือภาษาดัตช์ชื่อรือเก็น เวลเบสโกด ให้ข้อสังเกตว่า การโฆษณาที่ชักนำให้หลงผิดพึงต้องถูกตำหนิอย่างแรง. คำโฆษณาอย่างเช่น “วาร์ซิตี: เพื่อความรู้สึกปลอดโปร่ง” และ “โกลด์ลีฟ: บุหรี่ชั้นเยี่ยมสำหรับบุคคลชั้นยอด” ทำให้คนยากจนเชื่อมั่นว่าการสูบบุหรี่มีความเกี่ยวโยงกับความก้าวหน้าและความมั่งคั่ง. แต่ความจริงกลับเป็นตรงกันข้าม. บุหรี่ผลาญเงินและทำลายสุขภาพของคุณ.
ขอพิจารณาเรื่องนี้. ทุกครั้งที่คนเราสูบบุหรี่หนึ่งมวน เขาทำให้ช่วงชีวิตของตนตามที่คาดหวังได้ สั้นลงสิบนาที และเพิ่มความเสี่ยงต่อหัวใจวายและเส้นเลือดในสมองแตก อีกทั้งมะเร็งในปอด, ลำคอ, และปาก และโรคอื่น ๆ อีก. วารสารจดหมายเหตุสหประชาชาติ (ภาษาอังกฤษ) บอกว่า “การสูบบุหรี่เป็นสาเหตุใหญ่ที่สุดประการเดียวซึ่งอาจป้องกันได้ของการตายก่อนวัยอันควรและความทุพพลภาพในโลก.” โปรดสังเกต วารสารนี้กล่าวว่า “สาเหตุซึ่งอาจป้องกันได้.” คุณสามารถ เลิกสูบบุหรี่ได้.
แน่ละ ยังมีทางเลือกด้านพฤติกรรมอีกหลายอย่างที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของคุณ. กรอบหน้า 11 ของบทความนี้ให้รายการเรื่องซึ่งคุณจะอ่านได้ในห้องสมุดของหอประชุมแห่งพยานพระยะโฮวา. จริงอยู่ การให้ความรู้แก่ตัวคุณเองต้องใช้ความพยายาม. แต่เจ้าหน้าที่คนหนึ่งขององค์การอนามัยโลกกล่าวว่า “คุณไม่อาจมีสุขภาพดีได้โดยปราศจากการเกี่ยวข้องของผู้มีการศึกษาซึ่งได้รับข้อมูลและการสอนเกี่ยวกับสถานการณ์ด้านสุขภาพของเขา.” ดังนั้น จงทำตามขั้นตอนส่งเสริมสุขภาพซึ่งไม่เสียค่าอะไรเลยนี้: ให้ความรู้แก่ตัวคุณเอง.
สุขภาพและสภาพแวดล้อมในบ้าน
หนังสือคนยากจนเสียชีวิตเมื่อเยาว์วัย (ภาษาอังกฤษ) กล่าวว่า สภาพแวดล้อมซึ่งมีผลกระทบสุขภาพคุณมากที่สุดก็คือ บ้านและละแวกบ้านของคุณ. สภาพแวดล้อมของคุณอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้เพราะน้ำ. การติดเชื้อ, โรคผิวหนัง, ท้องร่วง, อหิวาตกโรค, โรคบิด, ไทฟอยด์, และโรคภัยชนิดอื่น ๆ เป็นผลเนื่องจากน้ำมีไม่เพียงพอและไม่ปลอดภัย.
เมื่อล้างมือ คุณก็แค่เปิดก๊อก จึงอาจเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจว่าผู้คนซึ่งไม่มีน้ำประปาใช้ในบ้านต้องใช้เวลามากแค่ไหนเพื่อจะได้น้ำในแต่ละวัน. บ่อยครั้งที่ผู้คนกว่า 500 คนใช้ก๊อกน้ำอันเดียว. ซึ่งก็จำต้องรอ. แต่สำหรับผู้คนรายได้น้อยทำงานนานหลายชั่วโมง การรอจึง “แย่งเวลาจากที่สามารถใช้เพื่อหารายได้” เป็นข้อสังเกตของหนังสือปัญหาสิ่งแวดล้อมในเมืองต่าง ๆ ของโลกที่สาม. ไม่แปลกที่บ่อยครั้งเพื่อจะประหยัดเวลา ครอบครัวซึ่งมีหกคนจะหิ้วน้ำไปบ้านน้อยกว่า 30 ถังซึ่งเป็นจำนวนที่จำเป็นต้องใช้ในแต่ละวันสำหรับครอบครัวขนาดนั้น. ครั้นแล้วจึงมีน้ำน้อยเกินไปสำหรับล้างอาหาร, จาน, และซักเสื้อผ้า และสำหรับอนามัยส่วนตัว. นั่นทำให้มีสภาพที่ดึงดูดพวกหมัด และแมลงวัน ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพของครอบครัว.
ลองคิดถึงสภาพการณ์นี้. ถ้าคุณต้องขี่จักรยานไปทำงานไกล, คุณจะถือเป็นการสูญเสียไหมที่จะใช้เวลาบ้างในแต่ละสัปดาห์เพื่อหยอดน้ำมันโซ่, ปรับเบรก, หรือเปลี่ยนซี่ลวดล้อ? เปล่าเลย เพราะคุณตระหนักว่าถึงแม้ในตอนนี้คุณจะได้เวลาเพิ่มขึ้นไม่กี่ชั่วโมงโดยละเลยการซ่อมบำรุง ทีหลังคุณอาจเสียเวลาทำงานทั้งวันเมื่อจักรยานของคุณเสีย. ทำนองคล้ายกัน คุณอาจได้เวลาเพิ่มขึ้นบ้างและหาเงินได้อีกเล็กน้อยในแต่ละสัปดาห์ถ้าคุณไม่ขนน้ำมาไว้ให้พอสำหรับรักษาสุขภาพ แต่ภายหลังคุณอาจเสียเวลาหลายวันและเงินจำนวนมากเมื่อสุขภาพคุณทรุดโทรมเพราะขาดการบำรุงรักษา.
การขนน้ำมาไว้ให้เพียงพออาจทำเป็นโครงการของครอบครัวได้. แม้ธรรมเนียมท้องถิ่นอาจกำหนดให้มารดาและเด็ก ๆ ทำหน้าที่เป็นผู้ขนน้ำ แต่บิดาที่เอาใจใส่ก็จะไม่หลีกเลี่ยงการใช้แรงกายของตนเพื่อขนน้ำด้วยตัวเอง.
แต่หลังจากน้ำมาถึงบ้านแล้ว ปัญหาอย่างที่สองก็เกิดขึ้น นั่นคือ จะรักษาน้ำให้สะอาดอย่างไร. ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพแนะนำดังนี้: เก็บน้ำดื่มไว้ต่างหากจากน้ำที่ใช้เพื่อจุดประสงค์อื่น ๆ. ปิดภาชนะบรรจุน้ำไว้เสมอด้วยฝาปิดมิดชิด. ทิ้งน้ำไว้สักระยะหนึ่งเพื่อให้สิ่งเจือปนต่าง ๆ นอนก้น. อย่าให้นิ้วสัมผัสน้ำเมื่อตักขึ้นมา แต่ใช้ถ้วยสะอาดซึ่งมีด้ามจับยาว ๆ. ทำความสะอาดภาชนะบรรจุน้ำเป็นประจำด้วยน้ำยาฟอกขาว และหลังจากนั้นก็ล้างน้ำยานั้นออกด้วยน้ำสะอาด. และน้ำฝนล่ะ? แน่ละ น้ำฝนเป็นสิ่งได้เปล่า (ถ้าฝนตก!) และน้ำฝนก็สะอาดปลอดภัยถ้าไม่มีสิ่งสกปรกไหลตามน้ำฝนลงไปในแท็งก์น้ำและถ้ามีการป้องกันไม่ให้มีแมลงและสัตว์จำพวกหนูและสัตว์อื่น ๆ ลงไปในแท็งก์.
เมื่อคุณสงสัยว่าน้ำจะปลอดภัยหรือไม่ องค์การอนามัยโลกแนะให้คุณใส่สารที่ปล่อยคลอรีนออกมา เช่นโซเดียมไฮโปคลอไรต์หรือแคลเซียมไฮโปคลอไรต์. สารพวกนี้ใช้ได้ผล และราคาถูก. ตัวอย่างเช่น ในเปรู ครอบครัวระดับกลางจ่ายน้อยกว่าห้าสิบบาทต่อปีสำหรับวิธีการนี้.
สุขภาพและการดูแลสุขภาพ
คนยากจนมักรู้จักวิธีดูแลสุขภาพสองแบบเท่านั้นคือ: (1) แบบที่มีให้แต่จ่ายไม่ไหว และ (2) แบบที่จ่ายไหวแต่ไม่มีให้. ดอนนา มาเรีย หนึ่งในบรรดาชาวสลัมของเซาเปาโลเกือบ 650,000 คน ชี้แจงแบบที่หนึ่งดังนี้: “สำหรับพวกเราแล้ว วิธีดูแลสุขภาพอย่างดีเป็นเหมือนสินค้าที่ตั้งแสดงในตู้โชว์ตามศูนย์การค้าหรู ๆ. เราดูได้ แต่ไม่มีทางได้มันมา.” (วารสารวานดาร์) จริง ๆ แล้ว ดอนนา มาเรีย อาศัยในเมืองที่มีโรงพยาบาลซึ่งให้บริการด้านศัลยกรรมเปลี่ยนทางเดินหลอดเลือดหัวใจ, ศัลยกรรมย้ายปะตอนเนื้อเยื่อ, เอกซเรย์คอมพิวเตอร์, และการรักษาด้วยเทคโนโลยีชั้นสูงอื่น ๆ. แต่สำหรับเธอแล้ว ไม่มีเงินพอที่จะจ่ายสำหรับสิ่งเหล่านี้.
หากการดูแลสุขภาพที่แพงจนจ่ายไม่ไหวเป็นเหมือนสินค้าหรูหราตามศูนย์การค้าแล้วละก็ การดูแลสุขภาพที่อาจจ่ายได้ก็ยิ่งเป็นเหมือนสินค้าราคาถูกซึ่งลูกค้าหลายร้อยคนเบียดเสียดแย่งกันซื้อ. รายงานข่าวเมื่อเร็ว ๆ นี้ในประเทศหนึ่งแถบอเมริกาใต้ให้ข้อสังเกตว่า ‘ผู้ป่วยยืนเข้าแถวเป็นเวลาสองวันเพื่อปรึกษาแพทย์. ไม่มีเตียงว่าง. โรงพยาบาลของรัฐขาดเงิน, ยา, และอาหาร. ระบบให้การดูแลสุขภาพป่วยหนักเสียเอง.’
เพื่อบรรเทาอาการป่วยของระบบให้การดูแลสุขภาพสำหรับมวลชน องค์การอนามัยโลกจึงค่อย ๆ เปลี่ยนงานของระบบนี้จากการควบคุมโรคไปเป็นการส่งเสริมสุขภาพโดยให้ความรู้แก่ผู้คนในด้านการป้องกันและควบคุมโรค. จดหมายเหตุสหประชาชาติ (ภาษาอังกฤษ) แจ้งว่า โครงการต่าง ๆ ซึ่งส่งเสริมการดูแลสุขภาพขั้นพื้นฐาน เช่น อาหารที่ถูกหลักโภชนาการ, น้ำที่ปลอดภัย, และสุขอนามัยขั้นพื้นฐาน ยังผลให้มี “การปรับปรุงอย่างมากในด้านสุขภาพทั่วโลก.” โครงการเหล่านี้มีประโยชน์แก่คุณไหม? หนึ่งในโครงการเหล่านี้อาจมีก็ได้. โครงการไหนล่ะ? นั่นคืออีพีไอ (โครงการขยายภูมิคุ้มกันโรค).
รายงานเกี่ยวกับอีพีไอให้ข้อสังเกตว่า “เจ้าหน้าที่ฉีดวัคซีนเป็นผู้เยี่ยมที่คุ้นตาที่สุดตามบ้านและชนบทแทนบุรุษไปรษณีย์ไปแล้ว.” ระหว่างทศวรรษที่แล้ว มีการฉีดวัคซีนตั้งแต่อะเมซอนจดหิมาลัย และพอถึงปี 1990 องค์การอนามัยโลกรายงานว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของทารกในโลกได้รับการปลูกเชื้อต้านทานโรคร้ายที่ทำให้ถึงตายหกชนิด.a ทุกปีอีพีไอช่วยชีวิตเด็กมากกว่าสามล้านคน. อีก 450,000 คนซึ่งอาจทุพพลภาพเพราะโรคก็สามารถเดิน, วิ่ง, และเล่นได้. ดังนั้น เพื่อป้องกันโรค บิดามารดาหลายคนจึงตัดสินใจเองว่าจะให้ลูก ๆ ได้รับการปลูกเชื้อ.
บางครั้งคุณไม่อาจป้องกันความเจ็บป่วยได้ แต่กระนั้นคุณอาจควบคุมมันได้. วารสารสุขภาพโลก กล่าวว่า “มีการประมาณกันว่า เกินกว่าครึ่งของการดูแลสุขภาพทั้งหมดเป็นการดูแลด้วยตนเองหรือการดูแลโดยครอบครัว.” รูปแบบหนึ่งของการดูแลด้วยตนเองเช่นนั้นคือ ส่วนผสมง่าย ๆ ราคาไม่แพงจากเกลือ, น้ำตาล, และน้ำสะอาดที่เรียกว่า สารละลายทดแทนที่ให้ทางปาก (ORS).
ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพหลายคนถือว่าการบำบัดด้วยการทดแทนน้ำหรือสารแก่ร่างกายโดยให้ทางปาก ซึ่งรวมถึงการใช้โออาร์เอส เป็นการรักษาที่ได้ผลที่สุดสำหรับภาวะสูญเสียน้ำหรือสารเนื่องจากท้องร่วง. หากมีการใช้ทั่วโลกเพื่อควบคุมโรคท้องร่วงถึง 1,500 ล้านรายซึ่งเกิดขึ้นทุกปีในประเทศกำลังพัฒนา เกลือแร่โออาร์เอสห่อเล็ก ๆ ราคาแค่ 2.50 บาทอาจช่วยชีวิตเด็ก ๆ หลายคนในจำนวน 3.2 ล้านคนซึ่งเสียชีวิตเนื่องจากโรคท้องร่วงในแต่ละปี.
โออาร์เอสช่วยได้ แต่จดหมายข่าวขององค์การอนามัยโลกฉบับหนึ่งชื่อการควบคุมยาสำคัญ ๆ (ภาษาอังกฤษ) กล่าวว่า การใช้ยาต้านท้องร่วงในบางประเทศยังคง “มีอยู่ทั่วไปมากกว่าการใช้โออาร์เอสเสียอีก.” ยกตัวอย่าง ในประเทศกำลังพัฒนาบางประเทศ มีการใช้ยาเพื่อรักษาอาการท้องร่วงบ่อยกว่าใช้โออาร์เอสถึงสามเท่า. จดหมายข่าวดังกล่าวให้ข้อสังเกตว่า “การใช้ยาที่ไม่จำเป็นเช่นนี้สิ้นเปลืองอย่างยิ่ง.” ครอบครัวที่ยากจนอาจถึงกับต้องขายอาหารไปเพื่อจุดประสงค์นี้. ยิ่งกว่านั้น จดหมายข่าวนี้เตือนว่า ยาแก้ท้องร่วงไม่มีข้อพิสูจน์ถึงคุณค่าที่ใช้ได้ผลจริง และบางชนิดเป็นอันตราย. “แพทย์ไม่ควรเขียนใบสั่งยาเหล่านั้น . . . และครอบครัวทั้งหลายก็ไม่ควรซื้อยาเหล่านั้น.”
แทนที่จะแนะให้ใช้ยา องค์การอนามัยโลกให้หลักปฏิบัติสำหรับรักษาอาการท้องร่วงดังต่อไปนี้: (1) ป้องกันภาวะขาดน้ำโดยให้เด็กดื่มของเหลวมากขึ้น เช่น น้ำข้าวหรือน้ำชา. (2) หากเด็กยังขาดน้ำ ให้ไปพบพนักงานอนามัยเพื่อวินิจฉัย และรักษาเด็กด้วยโออาร์เอส. (3) ให้อาหารเด็กตามปกติในช่วงระหว่างและภายหลังเป็นท้องร่วง. (4) ถ้าเด็กมีอาการสูญเสียน้ำอย่างรุนแรง เขาควรได้รับการให้น้ำทดแทนทางเส้นเลือด.b
หากคุณไม่สามารถหาโออาร์เอสสำเร็จรูปได้ จงทำตามวิธีง่าย ๆ นี้อย่างระมัดระวัง: ผสมเกลือปรุงอาหารหนึ่งช้อนชา, น้ำตาลแปดช้อนชา, และน้ำสะอาดหนึ่งลิตร (ถ้วยละ 200 ซีซี 5 ถ้วย). ให้ดื่มหนึ่งถ้วยเต็มหลังจากท้องร่วงแต่ละครั้ง ให้ครึ่งถ้วยสำหรับเด็กเล็ก. สำหรับคำแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้ โปรดดูที่กรอบหน้า 10.
แต่จะว่าอย่างไรในเรื่องปัจจัยประการที่สี่ องค์ประกอบทางชีวภาพของเรา? อาจก่อผลกระทบต่อปัจจัยนี้ได้อย่างไร? บทความต่อไปจะพิจารณาคำถามนี้.
[เชิงอรรถ]
a โรคอันตรายหกชนิดนั้นคือ คอตีบ, หัด, โปลิโอ, บาดทะยัก, วัณโรค, และไอกรน. องค์การอนามัยโลกแนะว่า โรคตับอักเสบบีซึ่งปัจจุบันคร่าชีวิตผู้คนมากกว่าโรคเอดส์ ควรรวมอยู่ในโครงการให้ภูมิคุ้มกันโรคด้วย.
b หยิกหนังท้องเด็กแล้วปล่อย. ถ้าผิวหนังคืนตัวเป็นปกติช้ากว่าสองวินาที แสดงว่าเด็กอาจสูญเสียน้ำอย่างรุนแรง.
[กรอบหน้า 8, 9]
การดูแลสุขภาพขั้นพื้นฐาน—ทำกันอย่างไร?
เพื่อจะได้คำตอบสำหรับคำถามนี้ ตื่นเถิด! ได้คุยกับนายแพทย์มิเชล โอแคร์รัล ตัวแทนขององค์การอนามัยโลกในแอฟริกาใต้. ต่อไปนี้เป็นถ้อยคำของเขาบางตอน.
‘เราได้สืบทอดระบบดูแลสุขภาพซึ่งอาศัยการแพทย์เป็นหลัก. หากคุณป่วย คุณไปหาหมอ. แกล้งลืมข้อเท็จจริงที่ว่า คุณได้ดื่มวิสกี้ไปสองขวด. ลืมไปว่าคุณไม่เคยออกกำลัง. คุณไปหาหมอแล้วบอกว่า “หมอครับ รักษาผมหน่อย.” แล้วหมอก็ให้คุณกินยาบ้าง, ฉีดยาให้คุณบ้าง, ผ่าตัดเอาอะไรออกบ้าง, หรือไม่ก็ใส่อะไรเข้าไปแทนบ้าง. นี่ผมพูดไม่ค่อยสุภาพเท่าไร อย่างที่คุณคงเข้าใจ ก็แค่จะให้คุณเข้าใจเท่านั้น แต่วิธีการทางแพทย์แบบนี้มีแพร่หลายมาก. เราได้ถืออย่างผิด ๆ ว่าปัญหาสังคมเป็นปัญหาทางแพทย์. การฆ่าตัวตาย, ทุโภชนาการ, และการใช้ยาเสพย์ติด ได้กลายเป็นปัญหาทางแพทย์. แต่ไม่ใช่. สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่แม้แต่ปัญหาสุขภาพ แต่เป็นปัญหาสังคมพร้อมกับผลสืบเนื่องทางสุขภาพและทางการแพทย์.
‘แล้วในช่วง 20 ปีหลังนี้ ผู้คนจึงกล่าวว่า “เฮ้ หยุดคิดดูอีกทีสิ. เรากำลังทำอะไร ๆ ไม่ถูกทาง. เราต้องกำหนดความหมายของสุขภาพเสียใหม่.” หลักการบางอย่างที่แฝงอยู่เบื้องหลังการดูแลสุขภาพขั้นพื้นฐานได้มีการพัฒนาขึ้นมา เช่น:
‘ในระยะยาว การป้องกันโรคเป็นการคำนึงถึงผู้อื่นมากขึ้นและประหยัดค่าใช้จ่ายมากกว่าการรักษาโรค. ยกตัวอย่าง นับเป็นการขัดกับหลักการนี้ถ้าจะสร้างสถานพยาบาลเพื่อดำเนินการศัลยกรรมที่เกี่ยวกับการผ่าเข้าไปในห้องของหัวใจในเมื่อคุณไม่ทำอะไรเลยเกี่ยวกับสาเหตุต่าง ๆ. นั่นไม่หมายความว่าคุณไม่รักษาโรคถ้ามันเกิดขึ้น. คุณรักษาแน่. ถ้าคุณเห็นว่ามีหลุมบนถนนซึ่งเป็นเหตุให้เกิดอุบัติเหตุทุกวัน คุณคงจะรักษาเพื่อนมนุษย์ที่น่าสงสารซึ่งตกลงไปและขาหัก แต่สิ่งที่น่าจะทำซึ่งเป็นการคำนึงถึงผู้อื่นและประหยัดค่าใช้จ่ายมากกว่าคือ: กลบหลุมนั้นเสีย.
‘หลักการอีกข้อหนึ่งคือการใช้ทรัพยากรด้านอนามัยอย่างได้ผลคุ้มค่า. เป็นการขัดกับหลักการข้อนี้ถ้าจะส่งคนหนึ่งไปยังคลินิกเพราะปัญหาซึ่งสามารถจัดการได้ที่บ้าน. หรือส่งคนหนึ่งไปโรงพยาบาลชั้นเยี่ยมเพื่อจัดการปัญหาที่สามารถรับการแก้ไขได้ที่คลินิก. หรือจะส่งแพทย์ซึ่งได้รับการฝึกอบรมเป็นเวลาสิบปีในมหาวิทยาลัยออกไปฉีดวัคซีน ขณะที่คนอื่นซึ่งได้รับการฝึกหกเดือนสามารถทำงานเดียวกันนั้นได้. เมื่อมีความจำเป็นจะให้แพทย์คนนั้นปฏิบัติงานที่เขาได้รับการฝึกอบรมมา เขาควรอยู่พร้อมจะทำ. นี่คือสิ่งที่การดูแลสุขภาพขั้นพื้นฐานกำลังบอกเรา คือ: ให้ความรู้แก่ประชาชน, ป้องกันโรค, และใช้ทรัพยากรด้านอนามัยอย่างฉลาดสุขุม.’
[กรอบหน้า 10]
โออาร์เอสอีกชนิดหนึ่งสำหรับอหิวาต์
บัดนี้องค์การอนามัยโลกเสนอแนะให้ใช้ โออาร์เอสที่มีข้าวเป็นส่วนผสมหลักแทนโออาร์เอสมาตรฐานที่มีกลูโคสเป็นส่วนผสมหลัก เพื่อรักษาผู้ป่วยอหิวาต์. การศึกษาเผยให้เห็นว่า ผู้ป่วยอหิวาต์ที่รักษาด้วย โออาร์เอสซึ่งมีข้าวเป็นส่วนผสมหลัก ถ่ายอุจจาระน้อยกว่า 33 เปอร์เซ็นต์และระยะท้องร่วงสั้นกว่าผู้ป่วยอหิวาต์ที่ได้รับโออาร์เอสมาตรฐาน. โออาร์เอสหนึ่งลิตรที่มีข้าวเป็นส่วนผสมหลักทำจากการใช้ข้าวสุกบด ละเอียด 50-80 กรัมแทนน้ำตาล 20 กรัม.—การควบคุมยาสำคัญ ๆ.
[รูปภาพหน้า 11]
การอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ . . .
พฤติกรรม: “สุขภาพที่ดี—คุณจะทำอะไรได้บ้าง?” (ตื่นเถิด! ฉบับ 8 ธันวาคม 1989) “บุหรี่และสุขภาพของคุณ—เกี่ยวข้องกันจริง ๆ ไหม?” (ตื่นเถิด! ฉบับ 8 กรกฎาคม 1989) “การช่วยเด็กให้รอดชีวิต!” (ตื่นเถิด! ฉบับ 8 พฤศจิกายน 1988) “แอลกอฮอล์มีผลต่อร่างกาย ของท่านอย่างไร?” —ตื่นเถิด! ฉบับ 8 กันยายน 1980.
สภาพแวดล้อม: “การรับมือกับสิ่งท้าทายด้านความสะอาด” (ตื่นเถิด! ฉบับ 8 พฤศจิกายน 1988) “รักษาตัวให้สะอาด รักษาสุขภาพให้ดี!”—ตื่นเถิด! ฉบับ 8 กุมภาพันธ์ 1979.
การดูแลสุขภาพ: “มาตรการช่วยชีวิตอื่น ๆ” (ตื่นเถิด! ฉบับ 8 พฤศจิกายน 1988) “น้ำรสเค็มช่วยชีวิตได้!”—ตื่นเถิด! ฉบับ 8 ตุลาคม 1985.
[รูปภาพหน้า 7]
การเก็บน้ำไว้ใช้ต้องทำงานหนักและรอ
[ที่มาของภาพ]
Mark Peters/Sipa Press
[รูปภาพหน้า 9]
น้ำสะอาดมากพอ—สิ่งจำเป็นสำหรับสุขภาพที่ดี
[ที่มาของภาพ]
Mark Peters/Sipa Press