การสนทนาเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง
การกิน, การนอน, การทำงาน เหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็นพื้นฐานของมนุษย์. กระนั้น มีความจำเป็นอีกอย่างหนึ่งที่เรียกร้องการตอบสนอง. สิ่งนั้นคืออะไร?
ลองพิจารณาคำพูดของชายคนหนึ่งซึ่งถูกขังเดี่ยวในคุกเป็นเวลาห้าปี หมดโอกาสได้รับสิ่งจำเป็นที่มีค่าที่สุดอย่างหนึ่งในชีวิต. เขายอมรับว่า “ผมอยากได้เพื่อนเหลือเกิน อยากมีใครสักคนที่จะพูดคุยด้วย. ผมเริ่มตระหนักว่า ผมต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อลบล้างความอ้างว้าง. ในการอยู่โดดเดี่ยวและความเงียบ จิตใจของผมจะได้รับผลกระทบ.”
ใช่แล้ว เรามีความต้องการที่จะสื่อความมาแต่กำเนิด. การสนทนาช่วยสนองความต้องการนี้. นักวิจัยชื่อ เดนนิส อาร์. สมิท และแอล. คีท วิลเลียมสัน แสดงความเห็นว่า “เราจำต้องมีคนที่เราจะเผยความในใจได้อย่างเปิดอก, คนที่เราจะเล่าสิ่งที่ก่อความยินดีอย่างยิ่งและความกลัวที่รบกวนใจเราที่สุด, คนที่เราจะคุยด้วยได้.”
เราจำเป็นต้องพูดคุย!
มนุษย์ได้รับของประทานอันยอดเยี่ยมเรื่องการพูด. ใช่แล้ว เราถูกออกแบบมาให้สนทนาปราศรัย. ชายผู้หนึ่งให้ข้อสังเกตว่า “พระเจ้าสร้างเราให้ชอบสมาคมคบหา. หากคุณไม่มีโอกาสพูด หรือหากใครเอาความสามารถในการสื่อความไปจากคุณ นั่นเป็นเหมือนการลงโทษ. เมื่อคุณพูดคุย เกิดสิ่งที่มีคุณค่าขึ้นมา. ตัวคุณเองรู้สึกดีขึ้น และคุณได้รับประโยชน์จากการรู้ว่าผู้อื่นคิดและรู้สึกอย่างไร.”
อิเลน ภรรยาผู้ดูแลเดินทาง กล่าวว่า “คำพูดบอกความรู้สึก. เราไม่อาจทึกทักว่าคู่สมรสของเรารู้ว่าเขาหรือเธอมีค่าเพียงไรสำหรับเรา. ต้องพูดสิ่งนั้นออกมา หูต้องการได้ยินคำพูด. เราจำต้องพูดคุย.”
เดวิด ลูกชายผู้ปกครองคริสเตียน แสดงความคิดเห็นอย่างนี้: “บางครั้งผมข้องขัดใจและไม่รู้จริง ๆ ว่าผมรู้สึกอย่างไร. แนวโน้มอย่างแรกของผมก็คือปิดปากเงียบ แล้วความอัดอั้นก็ทวีขึ้นภายใน. ผมพบว่า ถ้าผมได้คุยกับใครสักคน นั่นเป็นเหมือนได้ระบายความอัดอั้นตันใจออกมา. ขณะที่ผมพูด ผมมีโอกาสทราบว่าผมรู้สึกอย่างไรจริง ๆ เกี่ยวกับตัวผมเอง และสามารถหาทางออกได้.”
อุปสรรคในการสนทนา
จริงทีเดียว การสนทนาสนองความจำเป็นบางอย่าง. แต่ มีหลายอย่างเป็นอุปสรรคต่อการสนทนา. ที่จริงแล้ว สำหรับบางคน การสนทนากลายเป็นเรื่องยากเย็นเข็ญใจ—กิจกรรมที่ต้องเลี่ยง.
แกรีกล่าวว่า “ส่วนใหญ่แล้วในชีวิตของผม ผมพบว่าง่ายกว่าที่จะเลี่ยงการสนทนากับผู้อื่น.” เขาอธิบายว่า “ที่เป็นเช่นนี้เพราะผมขาดความมั่นใจ. ผมยังคงกลัวว่าเมื่อผมพูดคุยกับผู้คน ผมจะดูเป็นคนโง่ หรืออาจมีคนดูแคลนสิ่งที่ผมพูด.”
อิเลนบอกว่าปัญหาของเธอคือความอาย. เธออธิบายว่า “ดิฉันได้รับการเลี้ยงดูในครอบครัวที่เราไม่ได้พูดคุยกันเป็นเรื่องเป็นราว. คุณพ่อชอบข่มขู่เอามาก ๆ. ดังนั้นเมื่อเติบโตขึ้น ดิฉันรู้สึกว่าตัวเองไม่มีอะไรดี ๆ ที่จะพูด.” ใช่ ความอายอาจก่ออุปสรรคใหญ่หลวงต่อความเพลิดเพลินในการสนทนา. เห็นไหม ความอายสามารถกักขังคุณไว้ในกำแพงแห่งความเงียบ!
จอห์น ผู้ปกครองคริสเตียนซึ่งยอมรับว่ากำลังต่อสู้กับการขาดความนับถือตัวเอง กล่าวว่า “ความอายเป็นเหมือนโรคระบาด. ถ้าคุณยอมจำนนต่อความอาย คุณจะแยกตัวอยู่คนเดียว. แม้มีสักร้อยคนในห้อง คุณก็จะไม่พูดคุย. และคุณได้ทำให้ตนเองเป็นทุกข์หนัก!”
ในอีกด้านหนึ่ง ผู้ปกครองที่ชื่อแดเนียลกล่าวเช่นนี้ “เรื่องการพูดคุยผมเป็นโดยธรรมชาติ. แต่ก่อนที่ผมจะรู้ตัว ผมก็ขัดจังหวะคนอื่นและรวบการสนทนานั้นไว้คนเดียว. ผมมาเริ่มรู้ตัวก็เมื่อเห็นสีหน้าภรรยา และผมรำพึงกับตนเองว่า ‘แย่จริง เอาอีกแล้ว.’ ผมรู้ว่าเธอเสียความรู้สึกตั้งแต่ตอนนั้น.”
จะเอาชนะอุปสรรคเหล่านี้และอุปสรรคอื่น ๆ ในการสนทนาได้อย่างไร? มีคุณลักษณะอะไรบ้างที่จำเป็นต่อศิลปะนี้? จะใช้คุณลักษณะเหล่านี้ได้อย่างไร?
‘ฉันจะพูดอะไร?’
‘ฉันจะพูดอะไร?’ ‘ฉันไม่รู้อะไร.’ ‘ไม่มีใครอยากฟังสิ่งที่ฉันจะพูด.’ แม้คุณอาจมีความคิดเช่นนี้ แต่คงไม่เป็นอย่างนั้นจริง. คุณรู้มากกว่าที่คุณตระหนักเสียอีก และความรู้นั้นบางอย่างอาจน่าสนใจสำหรับคนอื่น. ยกตัวอย่าง เมื่อไม่นานมานี้ คุณอาจเดินทางไปที่ไหนสักแห่ง. ใคร ๆ อาจอยากรู้ว่า ภูมิภาคแถบนั้นเป็นอย่างไรเมื่อเทียบกับที่ที่พวกเขาอาศัยอยู่.
นอกจากนี้ คุณอาจและควรเพิ่มพูนความรู้ของคุณในเรื่องต่าง ๆ ด้วยการอ่าน. เป็นกิจปฏิบัติที่ดีที่จะใช้เวลาอ่านอะไรสักอย่างทุกวัน. สรรพหนังสือของพยานพระยะโฮวาบรรจุความรู้เกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิล รวมทั้งเรื่องที่น่าสนใจทั่ว ๆ ไป. ยิ่งคุณรับเอาความรู้มากเท่าใด คุณก็ยิ่งสามารถแบ่งปันได้มากเท่านั้น. ตัวอย่างที่ดีก็ได้แก่ข้อคัมภีร์ประจำวันในหนังสือเล่มเล็กการพิจารณาพระคัมภีร์ทุก ๆ วัน ที่พยานพระยะโฮวาใช้กัน. แต่ละวัน ข้อคัมภีร์ประจำวันจะให้อะไรใหม่ ๆ เพื่อคิดใคร่ครวญและใช้ในการสนทนา.
การร่วมสนทนากันไม่ได้หมายความว่า คนเราต้องพูดเสียคนเดียว. ทั้งสองฝ่ายควรมีส่วนในการแสดงออก. ให้อีกฝ่ายหนึ่งได้พูด. หากเขาเงียบ คุณอาจกระตุ้นเขาด้วยคำถามที่ใช้ปฏิภาณ. สมมุติว่าคุณกำลังคุยกับคนสูงอายุ. คุณอาจถามเขาเกี่ยวกับเหตุการณ์ในอดีต และการเปลี่ยนแปลงของโลกหรือชีวิตครอบครัวตั้งแต่เขาเป็นหนุ่ม. คุณจะเพลิดเพลินกับการฟังเขา และคุณจะเรียนรู้.
เป็นผู้ฟังที่ดี
การฟังอย่างใส่ใจเป็นประโยชน์อันทรงคุณค่าต่อการสนทนา. วิธีที่เราฟังผู้อื่นสามารถเกื้อหนุนผู้ที่แสวงหาความช่วยเหลือสำหรับภาระหนักของตน. ชายผู้หนึ่งซึ่งมองดูตนเองว่าเป็น ‘สวะสังคม’ รู้สึกเป็นทุกข์และโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือจากเพื่อน. แม้เป็นเวลาที่ไม่สะดวกเอามาก ๆ เพื่อนคนนั้นก็ฟังอย่างกรุณา—เป็นเวลาสองชั่วโมง! เวลานี้ ชายคนนั้นถือว่าการสนทนาครั้งเดียวนั้นเป็นจุดหักเหในชีวิตของเขา. อะไรมีส่วนก่อความสำเร็จเช่นนั้น? เพื่อนผู้ตั้งใจฟังยอมรับว่า “เพียงแต่เป็นผู้ฟังที่ดี. ผมจำไม่ได้ว่าได้พูดอะไรที่แสดงถึงความรอบรู้. ผมเพียงแต่ถามคำถามเหมาะ ๆ ว่า ‘ทำไมคุณถึงรู้สึกอย่างนั้น?’ ‘ทำไมสิ่งนั้นรบกวนคุณ?’ ‘อะไรอาจช่วยได้?’ เขาตอบคำถามของเขาเองทุกข้อเมื่อเขาตอบคำถามของผม!”
เด็ก ๆ เห็นคุณค่าบิดามารดาที่จัดเวลาพูดคุยกับพวกเขา. เด็กหนุ่มคนหนึ่งชื่อสก็อตต์แสดงความเห็นว่า “เป็นสิ่งดีที่คุณพ่อคุณแม่มาหาคุณ และอยากรู้ว่ามีอะไรอยู่ในใจของคุณ. คุณพ่อได้ทำเช่นนั้นในระยะหลัง ๆ นี้ และการทำเช่นนี้ช่วยได้เพราะมีบางสิ่งที่คุณไม่สามารถจัดการได้จริง ๆ ด้วยตัวของคุณเอง.”
ชายคนหนึ่งแนะว่า “คุณต้องทำให้เกิดสภาพแวดล้อมที่ลูก ๆ ของคุณจะคุยกับคุณ.” เขาใช้เวลาเป็นประจำอยู่ตามลำพังกับลูกแต่ละคนซึ่งมีสี่คน เพราะเขารู้สึกว่าการที่บิดามารดาฟังอย่างตั้งอกตั้งใจและเอาใจเขามาใส่ใจเรานั้นเป็นสิ่งสำคัญยิ่งหากจะทำให้เยาวชนพัฒนาบุคลิกภาพที่สมดุล. คำแนะนำของเขาน่ะหรือ? เมื่อโอกาสมาถึงและลูกอยากพูด จงพร้อมที่จะฟัง. เขากล่าวว่า “ไม่ว่าคุณอาจจะเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าเพียงใด อย่าได้ห้ามปรามเขา! จงฟัง.”
ความสนใจด้วยความจริงใจได้รับการตอบสนอง
ผู้คนจำนวนมากต้องการการเกื้อหนุนทางอารมณ์ เพื่อจะสามารถพูดและแสดงความรู้สึกนึกคิดของตนออกมาในการสนทนา. ชายหนุ่มคนหนึ่งครวญว่า ‘ผมต้องการพูดกับใครสักคน แต่ผมจะไปหาใครล่ะ? ไม่ง่ายสำหรับผมที่จะพูด. ผมต้องการใครสักคนที่สนใจในตัวผม!’ ความสนใจแท้และจริงใจอาจก่อให้เกิดบรรยากาศแห่งความวางใจและปลอดภัย ซึ่งเป็นการง่ายขึ้นที่บุคคลหนึ่งจะเปิดใจพูดในบรรยากาศเช่นนั้นกับอีกบุคคลหนึ่ง.
ชายคนหนึ่งเล่าว่า “หลายปีก่อน เมื่อผมมีปัญหายุ่งยากบางอย่างเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ต่าง ๆ ในครอบครัว ผมพยายามพูดคุยกับเพื่อนคนหนึ่ง. ทั้งหมดที่เขาพูดก็คือ ‘อดทนและเข้มแข็งเข้าไว้ แล้วทุกอย่างจะดีเอง.’ ไม่มีการสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และนั่นไม่ได้ช่วยอะไร. ที่จริง การทำเช่นนั้นกลับผลักดันให้ผมถอยกลับเข้ากระดอง. ตรงกันข้าม ในเวลาต่อมาผมได้คุยกับผู้ดูแลของพยานพระยะโฮวา. โดยสายตาของเขา, สีหน้าของเขา, และท่าทางที่กรุณาของเขา ผมรู้ว่าเขามีความเห็นอกเห็นใจ. ผลก็คือ ผมพบว่าตนเองกล้าปริปากและพูดคุยมากขึ้นเพราะเขาสนใจจริง. เขากล่าวว่า ‘เราจะทำทุกสิ่งที่เราทำได้ซึ่งเป็นการเกื้อหนุนคุณในสภาพการณ์ของคุณ.’ คุณตอบรับต่อบุคคลเช่นนี้แหละ!”
พวกเรามากขึ้นจะตีแผ่ใจและโน้มนำผู้อื่นเข้าร่วมการสนทนาที่เป็นเรื่องเป็นราวได้ไหม? เมื่อเราเห็นใครถูกทิ้งอยู่นอกวงสนทนา, อายเกินกว่าจะพูด เราพยายามดึงผู้นั้นเข้าสู่การสนทนาของเราไหม? จอห์นซึ่งมีการเอ่ยถึงก่อนหน้านี้กล่าวว่า “ผมสัมผัสได้ถึงความรู้สึกนั้น เพราะผมเข้าใจเขา และรู้สึกเป็นทุกข์ไปด้วย!” เขาเสริมว่า “สำคัญเพียงไรที่เราจะเข้าหาเขาและดึงเขามาร่วมวงด้วย. เราอาจถึงกับอธิษฐานในใจเกี่ยวกับเรื่องนั้น.”
แดนพูดถึงเพื่อนคนหนึ่งว่า “รอยขาดความมั่นใจในความสามารถที่จะพูดคุยถึงขนาดว่า เมื่อคนกลุ่มหนึ่งกำลังพูดคุย เขาจะถอยหลังไปสองสามก้าวเสมอ. ดังนั้น ผมจะถามเขาว่า ‘นี่ รอย คุณว่ายังไงเกี่ยวกับเรื่องนี้เรื่องนั้น?’ แล้วเขาจะเริ่มพูด. ผลก็คือ คนอื่น ๆ ได้เห็นด้านหนึ่งของเขาซึ่งพวกเขาไม่รู้มาก่อน.” แดนเร้าว่า “อย่าเลิกล้มเมื่อมีใครคนหนึ่งยากที่จะพูดคุยด้วยและดึงความคิดเห็นออกมา. ให้คิดเอาว่า มีบุคคลดี ๆ ซ่อนอยู่ภายในซึ่งต้องการจะพูด. เพียงแค่คอยดึงความรู้สึกนึกคิดของเขาออกมา และบากบั่นทำให้สำเร็จ.”
โดยปลูกฝังความสนใจด้วยความรักและจริงใจในผู้อื่น คุณจะได้รับประโยชน์—แม้ว่าคุณมีปัญหาเรื่องความอาย. จอห์นพบว่า สิ่งนี้ช่วยเขาเอาชนะแนวโน้มที่จะแยกตัวอยู่ต่างหาก. เขาอธิบายว่า ความรัก “ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว.” (1 โกรินโธ 13:5) “ที่จะทำสิ่งซึ่งสำแดงความรัก คุณต้องพูดและถามไถ่ถึงผู้อื่น. การจำนนต่อข้อบกพร่องของคุณไม่ได้แก้ปัญหา. คุณสามารถเอาชนะตัวเองได้ด้วยการอธิษฐาน.” เขาเสริมว่า “มีบำเหน็จใหญ่หลวงจากการทำเช่นนั้น. เมื่อคุณเห็นผู้อื่นตอบรับ และสังเกตว่าเขาได้รับการชูใจเพียงไร คุณก็ได้รับการเสริมสร้างด้วย. และนั่นควรเสริมความกล้าของคุณให้เข้าหาคนเช่นนั้นในครั้งต่อ ๆ ไป.”
ความร่วมรู้สึก—รากฐานของการสนทนา
หนึ่งในบรรดาลักษณาการที่มีค่าที่สุดของมนุษย์ก็คือความร่วมรู้สึก. จริง ๆ แล้ว ความร่วมรู้สึกคืออะไร? ดร. เบอร์นาร์ด เกอร์นีย์ ประจำมหาวิทยาลัยแห่งรัฐเพนซิลเวเนีย กล่าวว่า ความร่วมรู้สึกคือ ‘ความสามารถเข้าใจความรู้สึกและทัศนะของอีกผู้หนึ่ง—ไม่ว่าคุณจะเห็นด้วยกับเขาหรือไม่ก็ตาม.’ ความร่วมรู้สึกสำคัญเพียงใดในการสนทนา? “เป็นฐานรากทีเดียว! เป็นฐานที่สิ่งอื่น ๆ ทั้งหมดถูกสร้างขึ้นมา.”
ดร. เกอร์นีย์ อธิบายว่า การสนทนาเป็นสิ่งที่จะขาดเสียไม่ได้สำหรับสัมพันธภาพที่ดีทุกอย่าง. แน่นอน ความเห็นที่ต่างกันมักเป็นสิ่งไม่อาจเลี่ยงได้. เพื่อจัดการกับสิ่งเหล่านี้อย่างสำเร็จผลและรักษาสัมพันธภาพไว้ เราต้องยินดีคุยถึงปัญหา. หลายคนเลี่ยงที่จะพูดคุย เพราะเขาไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรโดยไม่ทำให้อีกผู้หนึ่งแก้ตัวและโกรธ. ตามคำกล่าวของ ดร. เกอร์นีย์ “ผู้คนส่วนใหญ่มักจะสับสนระหว่างการเข้าใจและการเคารพในทัศนะของอีกฝ่ายหนึ่ง กับการเห็นด้วยในทัศนะนั้น. ด้วยเหตุนี้ เมื่อเขาไม่เห็นด้วย เขาจึงไม่แสดงการเข้าใจและการเคารพนับถือ. ความร่วมรู้สึกช่วยให้คุณแยกแยะระหว่างการเห็นด้วยกับการเข้าใจ.”
โดยการมโนภาพตัวคุณเองอยู่ในสถานการณ์ของอีกบุคคลหนึ่ง คุณจะรู้สึกและคิดเหมือนเขา. ภายใต้สภาพการณ์เช่นนั้น คุณจะพบว่าความเข้าใจ, การหยั่งรู้ค่า, และความนับถือสามารถเพิ่มทวีขึ้นได้ แม้คุณไม่เห็นด้วย.
ขอให้พิจารณากรณีของแจเน็ต แม่ลูกสี่. ครั้งหนึ่ง เธอรู้สึกท้อแท้และรู้สึกไร้ค่า. เวลานี้ เธอตระหนักว่า ความร่วมรู้สึกจำเป็นเพียงใดในการช่วยใครสักคน. เธอเล่าว่า “ฉันจำได้ที่สามีคุยกับฉันและสาธยายสารพัดวิธีที่ฉันทำประโยชน์ แต่ฉันคิดว่าสิ่งที่ฉันทำไม่มีค่าอะไรเลย. เขาฟังฉันด้วยความรักจริง ๆ ขณะที่ดิฉันพูดไปร้องไห้ไป แล้วเขาก็พูดเสริมสร้างฉัน. แต่ถ้าเขาดูถูกความคิดของฉันหรือพูดว่า ‘เอ เหลวไหลน่ะ’ หรือพูดอะไรทำนองนั้น ฉันคงจะปิดปากเงียบและเก็บตัวอยู่คนเดียว. ตรงกันข้าม เย็นนั้นเราพูดคุยกันนานมากและมีความหมาย.”
‘ความร่วมรู้สึกบ่งบอกว่าคุณใส่ใจ. สิ่งนั้นส่งเสริมให้เกิดการสื่อความ อันเป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นชนิดที่มีขอบเขตกว้างกว่า ซึ่งผู้คนส่วนใหญ่ต้องการและจำเป็นต้องมี’ เป็นคำกล่าวสรุปของ ดร. เกอร์นีย์.
คุณทำได้!
คุณสามารถเป็นนักสนทนาที่ดีได้. เราได้พิจารณาสิ่งที่จำเป็นบางอย่างมาแล้วเพื่อจะเชี่ยวชาญในศิลปะการสนทนา แต่ยังมีอะไรอีกมากมาย. สิ่งเหล่านั้นรวมถึงความเป็นมิตร, อารมณ์ขัน, และปฏิภาณ ที่กล่าวถึงนี้เป็นเพียงส่วนน้อย. แต่เช่นเดียวกับจิตรกรซึ่งผ่านการฝึกฝนอบรม ตวัดปลายพู่กันอย่างชำนิชำนาญบนผืนผ้าใบเพื่อสร้างผลงานชิ้นเอกอันงดงาม เราจำเป็นต้องบากบั่นพัฒนาคุณลักษณะที่จำเป็นเหล่านี้.
เพื่อเป็นตัวอย่าง แดเนียลได้กลายเป็นนักสนทนาที่ดี. โดยวิธีใด? โดยเรียนรู้ที่จะควบคุมแนวโน้มชอบขัดจังหวะและครองการสนทนาไว้คนเดียว. เขายอมรับว่า “ผมต้องออกความพยายามอย่างมีสำนึก ที่จะไม่รวบการสนทนาไว้เสียเอง. สำหรับผม นั่นหมายถึงการใส่บังเหียนลิ้น. เมื่อผมเกิดความรู้สึกว่าอยากเสริมอะไรที่น่าสนใจนิด ๆ หน่อย ๆ ผมจะเบรกความคิดไว้ก่อน! ถ้าผมคิดว่าการแสดงความคิดเห็นจะเปลี่ยนทิศทางการสนทนาหรือกลบความสามารถในการพูดคุยของคนอื่นไป ผมจะไม่พูด!”
อะไรได้ช่วยอิเลน? หลังจากได้รับความรู้ถ่องแท้เกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิล เธอตระหนักว่าเธอมีอะไรที่มีค่าและคู่ควรแก่การพูด. เธอกล่าวว่า “ดิฉันพบว่า ถ้าดิฉันเบนความสนใจไปจากตัวเองและพูดเกี่ยวกับสิ่งฝ่ายวิญญาณกับผู้อื่น ดิฉันจะพูดคุยได้สะดวกใจขึ้น. การอ่านสรรพหนังสือที่อาศัยคัมภีร์ไบเบิลเป็นหลักซึ่งเรารับเป็นประจำ ก็ช่วยได้. เมื่อดิฉันคอยติดตามอ่านสรรพหนังสือเหล่านั้นให้ทัน ดิฉันจะมีอะไรใหม่ ๆ สด ๆ มาแบ่งปันและพูดคุยได้ง่ายยิ่งขึ้น.”
จงพยายามพัฒนาคุณลักษณะที่จำเป็นเหล่านี้ในการสนทนา. แล้วคุณก็เช่นกัน สามารถนำความสดชื่นและความเพลิดเพลินมาสู่ผู้อื่น และมีความพึงพอใจที่เชี่ยวชาญในศิลปะอย่างหนึ่งซึ่งโดยแท้แล้วสนองความต้องการของมนุษย์.