บัตรเครดิตและเช็คจ่ายเงินเดือนของจริงหรือของปลอม?
ช่างให้ความสะดวกเสียจริง ๆ! เล็กก็เล็ก, พกพาก็ง่ายแสนง่าย. ใส่ในกระเป๋าเงินผู้ชายหรือผู้หญิงได้พอดิบพอดี. ไม่ต้องมีเงินในกระเป๋าสักสตางค์เดียว คุณก็สามารถซื้อโน่นซื้อนี่ได้เยอะแยะ. ไม่ว่าจะเป็นสายการบิน, บริษัทเดินเรือท่องเที่ยว, โรงแรม, และสถานตากอากาศทั่วทุกมุมโลก ต่างก็พากันสนับสนุนและโฆษณาให้ใช้บัตรเครดิต. ผู้คนได้รับคำแนะนำว่า “ก่อนออกจากบ้านอย่าลืมบัตรสำคัญนี้.” ธุรกิจการค้าบางแห่งชอบรับบัตรเครดิตมากกว่าเงินสด. ไม่เหมือนเงินสด ถ้าบัตรเครดิตถูกขโมยหรือสูญหายก็สามารถขอใหม่ได้. มันเป็นเงินที่บ่งบอกว่าคุณเองเป็นเจ้าของ โดยมีชื่อของคุณและหมายเลขบัญชีเฉพาะซึ่งพิมพ์นูนพาดบัตรเครดิต.
ผู้คนเรียกมันว่า เงินพลาสติก—ซึ่งหมายถึงบัตรเครดิต. ในปี 1985 ธนาคารบางแห่งนำโฮโลแกรมของตนเองซึ่งสร้างด้วยเลเซอร์มาใช้ มีลักษณะคล้ายภาพสามมิติ, มีความซับซ้อน, อีกทั้งมีการนำกลไกอื่น ๆ มาใช้ด้วยเพื่อป้องกันการเลียนแบบ นับตั้งแต่รหัสพิเศษฝังในแถบแม่เหล็กที่พาดอยู่หลังบัตรไปจนถึงเครื่องหมายที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่านอกจากจะส่องดูด้วยแสงอัลตราไวโอเลต. ทั้งหมดนี้ก็เพื่อสกัดกั้นการปลอมแปลง! คาดกันว่ามีการใช้บัตรเครดิตมากกว่า 600 ล้านใบทั่วโลก.
เชื่อกันว่า ตอนต้นทศวรรษปี 1990 ทั่วโลกสูญเงินจากการฉ้อฉลในรูปแบบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับบัตรเครดิต อย่างน้อยที่สุด 25,000 ล้านบาท. ในบรรดาการฉ้อฉลรูปแบบต่าง ๆ ดังกล่าว มีรายงานว่าการปลอมแปลงบัตรเครดิตขยายตัวรวดเร็วที่สุด—อย่างน้อย 10 เปอร์เซ็นต์ของความสูญเสียทั้งหมด.
เพื่อเป็นตัวอย่าง ในปี 1993 การปลอมแปลงบัตรทำให้ธนาคารต่าง ๆ ที่ดำเนินธุรกิจกับบริษัทบัตรเครดิตที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่ง สูญเงิน 3,345 ล้านบาท เพิ่มมากกว่าปีก่อนหน้าถึง 75 เปอร์เซ็นต์. บริษัทบัตรเครดิตชั้นนำอีกแห่งหนึ่งซึ่งมีขนาดใหญ่ระดับนานาชาติ ก็รายงานเช่นกันถึงการสูญเสียอย่างน่าตกใจอันเนื่องมาจากการปลอมแปลง. หนังสือพิมพ์นิวซีแลนด์ฉบับหนึ่งเขียนว่า “นั่นทำให้การปลอมแปลงบัตรเป็นปัญหาใหญ่ ไม่ใช่สำหรับธนาคาร, บริษัทบัตรเครดิต, และพ่อค้าที่รับบัตรนี้เท่านั้น แต่ยังเป็นปัญหาสำหรับผู้บริโภคตลอดทั่วโลกด้วย.” แม้ผู้เป็นเจ้าของบัตรเครดิตอย่างถูกต้องไม่ใช่คนที่จะต้องรับผิดชอบเรื่องความสูญเสีย แต่ความเสียหายก็ถูกเฉลี่ยไปยังผู้บริโภคอย่างเลี่ยงไม่ได้.
จะว่าอย่างไรเกี่ยวกับกลไกที่ฝังไว้ในบัตรเพื่อกันการปลอมแปลงซึ่งทำหน้าที่เสมือนสิ่งกีดขวางนักปลอมบัตร—อย่างเช่น โฮโลแกรมที่สร้างด้วยเลเซอร์และแถบแม่เหล็กที่ใส่รหัสพิเศษเอาไว้? ภายในหนึ่งปีหลังจากนำกลไกเหล่านี้มาใช้ บัตรปลอมที่ทำหยาบ ๆ ใบแรก ๆ ก็เริ่มปรากฏโฉม. หลังจากนั้นไม่นาน กลไกเพื่อกันการปลอมแปลงทั้งหมดก็ถูกลอกเลียนหรือไร้ความหมาย. เจ้าหน้าที่ธนาคารคนหนึ่งในฮ่องกงพูดว่า “คุณจะต้องปรับปรุงแก้ไขมาตรการป้องกันอยู่เสมอ ๆ. พวกมิจฉาชีพพยายามจะล้ำหน้าคุณตลอดเวลา.”
น่าสนใจ ตามรายงานของพวกผู้เชี่ยวชาญ ครึ่งหนึ่งของความสูญเสียทั้งหมดที่เกิดจากการปลอมแปลงบัตรในช่วงต้น ๆ ทศวรรษปี 1990 เกิดขึ้นในเอเชีย และเกือบจะครึ่งหนึ่งของจำนวนนี้มีต้นตอมาจากฮ่องกง. ผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งแถลงว่า “ฮ่องกงขึ้นชื่อเรื่องการปลอมบัตรเครดิตเหมือนกับที่ปารีสขึ้นชื่อเรื่องแฟชั่นสตรี.” ส่วนคนอื่น ๆ กล่าวโทษฮ่องกงว่าเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อระดับโลกในเรื่องการปลอมแปลงบัตรเครดิต—“เป็นจุดศูนย์กลางของ ‘สามเหลี่ยมพลาสติก’ แห่งการฉ้อฉลบัตรเครดิต ซึ่งนับรวมประเทศไทย, มาเลเซียและเดี๋ยวนี้ก็รวมภาคใต้ของจีนด้วย.” หนังสือพิมพ์นิวซีแลนด์ฉบับนั้นรายงานว่า “ตำรวจฮ่องกงบอกว่า แก๊งท้องถิ่นทำงานประสานกับพวกอั้งยี่ (สมาคมลับของคนจีน) ทำแม่พิมพ์, พิมพ์นูน, และเข้ารหัสบัตรปลอมโดยใช้หมายเลขซึ่งได้มาจากผู้ค้าปลีกที่เล่นไม่ซื่อ. แล้วพวกเขาก็แค่ส่งบัตรปลอมดังกล่าวไปใช้ในประเทศอื่น.”
หนังสือพิมพ์โกลบ แอนด์ เมล์ของแคนาดารายงานว่า “เครื่องพิมพ์นูนบัตรเครดิตเครื่องหนึ่งซึ่งซื้อ [ในแคนาดา] โดยสมาชิกแก๊งชาวเอเชีย บัดนี้กำลังใช้ทำบัตรเครดิตปลอม. เครื่องนี้พิมพ์บัตรเครดิต 250 แผ่นต่อชั่วโมง และเจ้าหน้าที่ตำรวจเชื่อว่ามันถูกใช้เพื่อการฉ้อฉลเงินนับล้าน ๆ ดอลลาร์มาแล้ว.” ในสองสามปีที่ผ่านมานี้ ชาวจีนฮ่องกงถูกจับเนื่องจากใช้บัตรเครดิตปลอมอย่างน้อยใน 22 ประเทศตั้งแต่ออสเตรียไล่ลงไปถึงออสเตรเลีย รวมทั้งกวม, มาเลเซีย, และสวิตเซอร์แลนด์. บัตรเครดิตของญี่ปุ่นเป็นที่ต้องการอย่างยิ่งเนื่องจากให้วงเงินสินเชื่อสูงสุดแก่ผู้ใช้.
การพุ่งขึ้นของการฉ้อฉลและการปลอมแปลงบัตรเครดิตนี้หมายถึง “บริษัทผู้ออกบัตรจำเป็นต้องเฉลี่ยความสูญเสียที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ให้ผู้ใช้บัตรช่วยแบกภาระ” เจ้าหน้าที่ธนาคารชาวแคนาดาคนหนึ่งกล่าว. และนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น. ที่จริงบัตรเครดิตอาจจะให้ความสะดวกและเป็นตัวช่วยชีวิตเมื่อผู้ใช้มีเงินสดไม่พอ. อย่างไรก็ตาม โปรดจำไว้ว่าสิ่งเดียวที่นักปลอมแปลงต้องการก็คือ หมายเลขบัญชีของคุณและวันหมดอายุบนบัตร แค่นี้พวกเขาก็ทำปลอมได้แล้ว. หัวหน้าฝ่ายป้องกันการปลอมแปลงประจำภูมิภาคของบริษัท อเมริกันเอ็กซ์เพรส อินเตอร์แนชันแนลเตือนว่า “มันเป็นเงินพลาสติกก็จริง แต่ผู้คนยังไม่ได้ใช้มันด้วยความรอบคอบเหมือนที่พวกเขาทำกับเงินสด.”
ผู้กำกับการตำรวจคนหนึ่งบอกว่า “ระบบบัตรเครดิตพรุนไปด้วยความเปราะบาง.” เขาพูดถึงนักปลอมแปลงว่า “และพวกผู้ร้ายค้นหาจุดอ่อนได้ทั้งหมด. แล้วเจ้าพวกนั้นก็รูดเงินไปอย่างไร้ความปรานี.”
การปลอมแปลงเช็ค
พร้อมกับการมาของการพิมพ์ระบบตั้งโต๊ะที่สามารถจำลองแบบธนบัตรใด ๆ ได้โดยแทบไม่มีที่ติ ผลที่ติดตามมาอย่างรวดเร็วจึงเป็นสิ่งไม่อาจเลี่ยงได้. เดี๋ยวนี้ นักปลอมแปลงสามารถจำลองแบบเอกสารต่าง ๆ ได้ในขอบเขตกว้างขวาง เช่น หนังสือเดินทาง, สูติบัตร, ใบด่างด้าว, ใบหุ้น, ใบสั่งซื้อ, ใบสั่งยา, และอื่น ๆ อีกมากมาย. แต่ผลกำไรก้อนโตที่สุดจะได้จากการจำลองเช็คจ่ายเงินเดือน.
กลวิธีง่ายดายอย่างน่าประหลาด. เมื่อเช็คจ่ายเงินเดือนของบริษัทใหญ่ ๆ ซึ่งฝากเงินไว้หลายล้านบาทในธนาคารท้องถิ่นหรือตามสาขาต่าง ๆ ทั่วรัฐ ตกอยู่ในมือของนักปลอมแปลง เขาก็พร้อมจะนำไปดำเนินการ. ด้วยเครื่องพิมพ์แบบตั้งโต๊ะ, เครื่องสแกนด้วยแสง, และเครื่องมืออิเล็กทรอนิกอื่น ๆ ที่เขามีพร้อมสรรพ คราวนี้เขาก็สามารถปลอมแปลงเช็คใบนั้นให้เหมาะกับความมุ่งประสงค์ของตน—เปลี่ยนวันที่, ลบชื่อผู้รับแล้วแทนด้วยชื่อของตัวเอง, เติมเลขศูนย์ในจำนวนเงินเข้าไปอีก. แล้วเขาก็พิมพ์เช็คที่ถูกดัดแปลงนี้ด้วยเครื่องพิมพ์เลเซอร์ของตนเอง โดยใช้กระดาษที่ซื้อมาจากร้านเครื่องเขียนที่ใกล้ที่สุดแล้วพิมพ์ด้วยสีเดียวกันกับเช็คใบนั้น. ด้วยการพิมพ์ออกมาครั้งหนึ่ง ๆ หลายสิบใบหรือกว่านั้น เขาก็สามารถนำไปขึ้นเงินสดตามสาขาใด ๆ ก็ได้ของธนาคารดังกล่าวไม่ว่าจะอยู่ ณ เมืองใด.
การปลอมแปลงเช็คด้วยวิธีง่าย ๆ และไม่แพงนี้แพร่ระบาดหนักมาก ถึงขนาดที่ความสูญเสียทางเศรษฐกิจอาจพุ่งสูงถึง 1 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 25,000 ล้านบาท) ตามคำกล่าวของเจ้าหน้าที่ธนาคารและเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจบังคับควบคุมตามกฎหมาย. เดอะ นิวยอร์ก ไทมส์ รายงานว่า รายหนึ่งไร้ยางอายอย่างยิ่งเป็นแก๊งซึ่งมีฐานปฏิบัติการในลอสแอนเจลิส ได้ตระเวนไปทั่วประเทศเพื่อเอาเช็คเงินเดือนปลอมหลายพันใบไปขึ้นเงินสดตามธนาคาร ยอดเงินทั้งหมดกว่า 2 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 50 ล้านบาท). นักวิเคราะห์อุตสาหกรรมกะประมาณว่า ความเสียหายทั้งหมดในแต่ละปีอันเนื่องมาจากการฉ้อฉลด้วยเช็คเวลานี้มีถึง 10,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 250,000 ล้านบาท) เฉพาะในสหรัฐแห่งเดียว. เจ้าหน้าที่เอฟบีไอบอกว่า “ปัญหาอาชญากรรมหมายเลขหนึ่งสำหรับสถาบันการเงินคือ การปลอมแปลงหนังสือตราสารซึ่งเปลี่ยนมือได้ อย่างเช่น การฉ้อฉลเช็ค, การฉ้อฉลธนาณัติ.”
[จุดเด่นหน้า 7]
ผลกำไรก้อนโตที่สุดจะได้จากการจำลองเช็คจ่ายเงินเดือน