หนุ่มสาวถามว่า . . .
ทำไมฉันถึงเรียนไม่ได้?
“ฉันไม่อยากกลับบ้าน แล้วไปเผชิญหน้าคุณพ่อคุณแม่. ฉันสอบตกอีกแล้วตั้งหลายวิชา” เจสซิกาพูดถึงอดีต.a เจสซิกาวัย 15 เป็นเด็กคมคายและสวย. แต่ก็เช่นกันกับเด็กหนุ่มสาวหลายคน เธอประสบความลำบากที่จะทำคะแนนให้ผ่าน.
การทำคะแนนได้ไม่ดีที่โรงเรียนมักเป็นผลจากทัศนะที่ไม่ใส่ใจต่อการเล่าเรียนหรือต่อครูของตน. แต่กรณีของเจสซิกาไม่เป็นเช่นนั้น. เธอเพียงแต่เห็นว่าที่จะเข้าใจเรื่องนามธรรมนั้นยากเหลือเกิน. เป็นธรรมดา สิ่งนี้ทำให้เป็นการยากสำหรับเจสซิกาที่จะเรียนวิชาคณิตศาสตร์ให้ได้ดี. และปัญหาในการอ่านทำให้เป็นการยากสำหรับเธอที่จะทำคะแนนได้ดีในวิชาอื่น.
ส่วนมาเรียสะกดตัวหนังสือไม่ถูก. เธอจะเก็บซ่อนบันทึกที่จดระหว่างการประชุมคริสเตียนไว้เสมอ เพราะเธออายที่สะกดคำผิด. อย่างไรก็ดี ใช่ว่าเจสซิกาและมาเรียไม่เฉลียวฉลาด. เจสซิกาเข้ากับคนอื่นได้ดีมากจนเธอถูกเลือกให้เป็นคนไกล่เกลี่ยในโรงเรียน หรือช่วยแก้ปัญหา เมื่อเกิดความยุ่งยากระหว่างเพื่อนนักเรียน. และในด้านการเรียน มาเรียเป็นหนึ่งในสิบคนแรกของนักเรียนชั้นนั้นที่ทำคะแนนได้ดีเยี่ยม.
ปัญหา: เจสซิกาและมาเรียมีความผิดปกติด้านการเรียนรู้. ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า ประมาณ 3 ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ของเด็กทั้งหมดมีปัญหาคล้าย ๆ กันในด้านการเรียนรู้. แทเนีย ซึ่งเวลานี้อยู่ในวัยยี่สิบเศษ เป็นโรคที่เรียกว่า สมาธิสั้นอยู่ไม่สุข (Attention Deficit Hyperactivity Disorder, เอดีเอชดี).b เธอพูดว่า “ฉันลำบากใจมากกับเรื่องการประชุมคริสเตียน, การศึกษาส่วนตัว, และการอธิษฐาน เนื่องจากฉันไม่สามารถตั้งใจจดจ่อหรือแม้แต่จะนั่งนิ่ง ๆ. มันส่งผลกระทบถึงงานประกาศเผยแพร่ด้วย เพราะฉันกระโดดจากเรื่องหนึ่งไปอีกเรื่องหนึ่งเร็วเกินกว่าที่ใครจะตามทัน.”
เมื่อไม่มีอาการอยู่ไม่สุขควบคู่อยู่ด้วย ความผิดปกตินี้จึงมีชื่อเรียกว่า โรคสมาธิสั้น (Attention Deficit Disorder, เอดีดี). บ่อยครั้ง มีการพรรณนาคนที่มีความผิดปกติเช่นนี้ว่านักสร้างวิมานในอากาศ. นายแพทย์บรูซ โรสมัน นักประสาทวิทยาพูดเกี่ยวกับคนเหล่านั้นที่เป็นโรคเอดีดีว่า “เขามีหนังสือกางอยู่ตรงหน้า และนั่งอยู่ตรงนั้น 45 นาที แต่ไม่เรียนรู้อะไรเลย.” ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม การสำรวมความคิดเป็นเรื่องยุ่งยากสำหรับเขา.
นักวิจัยทางการแพทย์เชื่อว่าพวกเขาเพิ่งเริ่มจะเข้าใจสาเหตุของปัญหาดังกล่าวเมื่อไม่นานมานี้เอง. แต่ที่ยังไม่รู้มีอีกมาก. และขอบเขตระหว่างความผิดปกติต่าง ๆ กับการไร้ความสามารถซึ่งขัดขวางการเรียนรู้ก็ใช่ว่าจะชัดเจนเสมอไป. โดยไม่คำนึงถึงสาเหตุที่รู้แน่ชัด หรือชื่อที่ใช้เรียกความผิดปกติเฉพาะอย่าง—ไม่ว่าปัญหาในการอ่าน, การจำ, การตั้งใจจดจ่อ, หรืออาการอยู่ไม่สุข—ความผิดปกติแบบนี้อาจรบกวนการศึกษาเล่าเรียนของคนเราได้ และอาจก่อความทุกข์ใจไม่น้อยเลยทีเดียว. ถ้าคุณไม่สามารถเรียนรู้ คุณจะแก้ไขได้อย่างไร?
การท้าทายในการรับมือ
พิจารณากรณีของเจสซิกา ซึ่งได้กล่าวถึงตอนเริ่มเรื่อง. ด้วยความตั้งใจจะเอาชนะการขาดความสามารถด้านการอ่าน เธอพยายามเป็นประจำจะอ่านหนังสือต่าง ๆ. จุดหักเหเกิดขึ้นเมื่อเธอได้พบหนังสือบทกวีเล่มหนึ่งซึ่งเธอติดอกติดใจมาก. แล้วเธอก็ได้หนังสือประเภทนั้นอีกเล่มหนึ่ง ซึ่งเธออ่านอย่างชื่นชอบเช่นกัน. ต่อมา เธอก็เริ่มสนใจอ่านหนังสือนิทานชุด และปัญหาด้านการอ่านก็ลดลงเป็นลำดับ. บทเรียนสอนใจก็คือความหมั่นเพียรให้ผลตอบแทนคุ้มค่า. คุณก็เช่นเดียวกันสามารถเอาชนะการขาดความสามารถด้านการเรียนรู้ หรืออย่างน้อยสามารถจะทำความก้าวหน้าได้มากในทิศทางนั้น โดยที่คุณไม่ยอมแพ้.—เทียบกับฆะลาเตีย 6:9.
จะว่าอย่างไรกับปัญหาการจดจำได้เพียงช่วงสั้น ๆ? กุญแจสำคัญใช้แก้ปัญหานี้อยู่ที่ภาษิตบทหนึ่งที่ว่า “การกล่าวย้ำเป็นบ่อเกิดแห่งความทรงจำ.” นิกกีเห็นว่า การพูดซ้ำคำศัพท์ที่ตัวเองได้ยินหรือได้อ่านผ่านช่วยเขาให้จำสิ่งต่าง ๆ ได้. ลองดูสิ. วิธีนี้อาจช่วยคุณได้เหมือนกัน. ที่น่าสังเกต ในสมัยคัมภีร์ไบเบิลผู้คนมักจะออกเสียงถ้อยคำ กระทั่งเมื่ออ่านให้ตัวเองฟัง. ด้วยเหตุนี้ พระยะโฮวาได้ทรงบัญชายะโฮซูอะผู้จารึกคัมภีร์ไบเบิลดังนี้: “เจ้าต้องอ่าน [กฎหมายของพระเจ้า] ออกเสียงแผ่วเบา ทั้งกลางวันกลางคืน.” (ยะโฮซูอะ 1:8; บทเพลงสรรเสริญ 1:2, ล.ม.) ทำไมการอ่านออกเสียงมีความสำคัญถึงเพียงนั้น? เพราะการทำอย่างนั้นมีประสาทสัมผัสสองอย่างเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย คือโสตประสาทและจักษุประสาท และช่วยประทับเรื่องนั้นในความทรงจำของผู้อ่าน.
สำหรับเจสซิกา การเรียนคณิตศาสตร์เป็นงานใหญ่เช่นกัน. แต่เธอพยายามเรียนกฎทางคณิตศาสตร์ โดยการท่องกฎเหล่านั้นหลาย ๆ ครั้ง บางครั้งใช้เวลาครึ่งชั่วโมงท่องจำกฎข้อเดียว. ในที่สุดความเพียรพยายามของเธอก็ให้ผลคุ้ม. ฉะนั้น จงท่อง จงท่อง จงท่อง! วิธีปฏิบัติอย่างฉลาดคือเตรียมกระดาษและดินสอไว้ใกล้มือ เมื่อนั่งฟังในห้องเรียนหรือระหว่างอ่าน คุณจะได้จดโน้ตไปด้วย.
เป็นสิ่งสำคัญยิ่งที่คุณตั้งใจเล่าเรียน. จงถือเป็นกิจปฏิบัติที่จะใช้เวลาอยู่ต่อหลังเลิกเรียนและคุยกับครู. ทำความรู้จักกับครูเหล่านั้น. เผยให้ครูทราบว่าคุณมีปัญหาในการเรียน กระนั้นคุณเองก็ตั้งใจจะเอาชนะปัญหานั้น. ครูส่วนใหญ่ยินดีช่วย. ดังนั้น จงแสวงหาการช่วยเหลือจากพวกครู. เจสซิกาได้ทำเช่นนั้นและได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีตามที่ต้องการจากครูคนหนึ่งที่เห็นใจ.
เรียนรู้ที่จะจดจ่อ
อนึ่ง การตั้งเป้าและให้รางวัลตัวเองก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ช่วย. การตั้งเป้าเฉพาะอย่าง—เช่น ทำการบ้านให้เสร็จส่วนหนึ่ง—ก่อนจะเปิดชมรายการทีวีหรือฟังดนตรีที่คุณชื่นชอบ ก็อาจกระตุ้นคุณให้จดจ่อตั้งใจได้. จงทำให้แน่ใจว่าเป้าที่คุณกำหนดขึ้นนั้นสมเหตุสมผล.—เทียบกับฟิลิปปอย 4:5.
บางครั้งการเปลี่ยนสภาพแวดล้อมของคุณในเชิงก่ออาจจะช่วยได้. นิกกีจัดการไปนั่งแถวหน้าในห้องเรียนใกล้ ๆ ครู เพื่อจะรวบรวมสมาธิได้ดีขึ้น. เจสซิการู้สึกว่าได้รับประโยชน์เมื่อทำการบ้านพร้อม ๆ กับเพื่อนที่ขยันเรียน. คุณอาจพบว่าเพียงแค่จัดห้องให้น่าอยู่สะดวกสบายนั้นช่วยได้.
ลดอาการอยู่ไม่สุข
หากคุณเป็นคนที่ค่อนข้างจะอยู่นิ่ง ๆ ไม่เป็น การเรียนรู้อาจเป็นเรื่องยากเย็นแสนเข็ญ. อย่างไรก็ดี ผู้เชี่ยวชาญบางคนพูดว่า การอยู่นิ่ง ๆ ไม่เป็นอาจนำไปใช้ในการออกกำลังกาย. ตามที่ยู.เอส.นิวส์ แอนด์ เวิลด์ รีพอร์ตให้ข้อสังเกต “มีหลักฐานเพิ่มมากขึ้นว่า วิสัยสามารถของแต่ละบุคคลที่จะรับความรู้ใหม่และจำข้อมูลเก่าได้ดี จะปรับปรุงให้ดีขึ้นได้โดยการเปลี่ยนแปลงทางด้านชีวภาพในสมอง ซึ่งเกิดจากการปรับระบบการหายใจและการไหลเวียนของโลหิตโดยการออกกำลังกาย.” ดังนั้น การออกกำลังกายพอประมาณ เช่น ว่ายน้ำ, วิ่ง, เล่นบอล, ถีบจักรยาน, เล่นสเกต, ฯลฯ ย่อมเป็นประโยชน์ต่อทั้งร่างกายและจิตใจ.—1 ติโมเธียว 4:8.
มีการสั่งจ่ายยาเป็นประจำเพื่อบำบัดอาการผิดปกติทางด้านการเรียนรู้. อ้างกันว่ามีถึงร้อยละ 70 ของหนุ่มสาวที่เป็นโรคเอดีเอชดี ซึ่งได้รับยากระตุ้นนี้แล้วปรากฏว่าได้ผล. ไม่ว่าคุณรับการรักษาด้วยยาหรือไม่ เป็นเรื่องที่คุณและคุณพ่อคุณแม่จะตัดสินใจหลังจากได้พิจารณาไตร่ตรองถึงเรื่องความรุนแรงของปัญหา, ผลข้างเคียงที่อาจตามมา, รวมทั้งปัจจัยอื่น.
ธำรงการนับถือตนเอง
แม้ความยากลำบากในการเรียนรู้ไม่ถือว่าเป็นปัญหาทางด้านอารมณ์ก็ตาม แต่ก็อาจเกิดผลพวงต่ออารมณ์ได้. การไม่เห็นชอบด้วยเป็นประจำและการวิพากษ์วิจารณ์จากพ่อแม่และครู, ประกอบกับผลการเรียนไม่ดีหรืออยู่แค่ระดับพอใช้ได้, อีกทั้งการไม่มีเพื่อนสนิทอาจก่อให้เกิดการเสื่อมความนับถือตัวเองได้ง่าย. เด็กหนุ่มสาวบางคนซ่อนความรู้สึกแบบนี้ในรูปของการแสดงความโกรธแค้นและความก้าวร้าว.
แต่คุณไม่จำเป็นต้องเสียความนับถือตนเองเพราะปัญหาด้านการเรียนรู้.c ผู้ชำนัญพิเศษคนหนึ่งที่ช่วยเหลือเยาวชนผู้ประสบปัญหาด้านการเรียนรู้ ได้พูดว่า “เป้าหมายของผมคือที่จะเปลี่ยนทัศนคติของเขาที่มีต่อชีวิต—จากการตำหนิตัวเองว่า ‘ผมมันโง่ และทำอะไรก็ไม่ถูก’ . . . ให้เป็นคนที่พูดว่า ‘ผมกำลังเอาชนะ และผมสามารถทำได้มากกว่าที่ผมเคยคิดไว้.’”
ถึงแม้คุณไม่สามารถจะทำให้ผู้อื่นเปลี่ยนทัศนคติของเขา แต่คุณสามารถโน้มนำทัศนะของตัวเองได้. เจสซิกาได้ทำเช่นนั้น. เธอพูดว่า “เมื่อฉันตัดสินตัวเองตามคำพูดของเด็กที่โรงเรียนและการด่าทอของเขา ฉันอยากหนีเรียนเสียเลย. แต่ตอนนี้ฉันพยายามทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้กับสิ่งที่เขาพูด และตั้งใจทำงานของฉันให้ดีที่สุด. นั่นยากและฉันต้องคอยเตือนตัวเอง แต่ได้ผล.”
เจสซิกาต้องต่อสู้กับความเป็นจริงอีกประการหนึ่ง. พี่ชายของเธอเรียนเก่ง เยี่ยมทุกวิชา. เจสซิกาบอกว่า “สิ่งนี้เคยทำให้ฉันหมดความนับถือตนเอง จนกระทั่งฉันเลิกเปรียบเทียบตัวเองกับพี่ชาย.” ฉะนั้น อย่าเปรียบเทียบตัวเองกับพี่ ๆ น้อง ๆ.—เทียบกับฆะลาเตีย 6:4.
อนึ่ง การพูดคุยกับเพื่อนที่เชื่อใจได้ย่อมช่วยคุณให้มองเรื่องราวต่าง ๆ โดยพิจารณาองค์ประกอบอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย. เพื่อนแท้จะยืนหยัดอยู่ข้างคุณอย่างภักดีขณะที่คุณเองพยายามปรับปรุงตัว. (สุภาษิต 17:17) ในทางตรงข้าม คนที่ไม่ใช่เพื่อนแท้จะพูดตำหนิเชิงทำลายหรือทำให้คุณมองตัวเองเลิศลอยอย่างไม่เหมาะสม. ด้วยเหตุนี้ คุณพึงเลือกเพื่อนอย่างรอบคอบ.
ถ้าคุณมีปัญหาด้านการเรียน เป็นไปได้ว่าคุณจะรับการแก้ไขมากกว่าคนหนุ่มคนสาวอื่น ๆ. แต่อย่าปล่อยให้เรื่องนี้ทำให้คุณคิดถึงตัวเองในแง่ลบ. จงมองดูการว่ากล่าวแก้ไขในแนวทางของพระเจ้า ประหนึ่งสิ่งล้ำค่า. จำไว้ว่า การว่ากล่าวตักเตือนจากพ่อแม่เป็นหลักฐานแสดงถึงความรักที่ท่านมีต่อคุณ และท่านต้องการให้คุณได้รับสิ่งดีที่สุด.—สุภาษิต 1:8,9; 3:11,12; เฮ็บราย 12:5-9.
ปัญหาต่าง ๆ เกี่ยวกับการเรียนของคุณไม่น่าจะทำให้คุณท้อใจ. คุณสามารถจัดการกับปัญหาเหล่านั้นได้และดำเนินชีวิตในทางที่ก่อประโยชน์. แต่มีเหตุผลสำคัญยิ่งกว่านั้นด้วยซ้ำสำหรับความหวัง. พระเจ้าทรงสัญญาจะนำโลกใหม่ที่ชอบธรรมเข้ามา ที่ซึ่งบริบูรณ์ด้วยความรู้ และเมื่อนั้นความผิดปกติทางจิตใจและทางร่างกายจะได้รับการปรับปรุงแก้ไข. (ยะซายา 11:9; วิวรณ์ 21:1-4) ฉะนั้น จงตั้งใจแน่วแน่จะเรียนมากขึ้นเกี่ยวกับพระยะโฮวาพระเจ้าและพระทัยประสงค์ของพระองค์ และลงมือปฏิบัติสอดคล้องกับความรู้นั้น.—โยฮัน 17:3.
[เชิงอรรถ]
a บางชื่อเป็นนามสมมุติ.
b โปรดอ่านชุดบทความ “การเข้าใจเด็กที่มีปัญหา” จากวารสารตื่นเถิด! (ภาษาอังกฤษ) ฉบับ 22 พฤศจิกายน 1994, และ “ลูกของคุณมีปัญหาในการเรียนไหม?” ฉบับ 8 พฤศจิกายน 1983.
c โปรดดูบทความ “หนุ่มสาวถามว่า . . . ฉันจะสร้างความนับถือตัวเองขึ้นมาได้อย่างไร?” จากวารสารตื่นเถิด! ฉบับ 8 ตุลาคม 1983.
[รูปภาพหน้า 13]
จงตั้งใจเล่าเรียน