การเอาชนะความข้องขัดใจเพราะอาการดิสเลกเซีย
โดยผู้สื่อข่าวตื่นเถิด! ในบริเตน
“โทรศัพท์ของคุณหมายเลขอะไรคะ?” จูลีถาม. คนที่โทรศัพท์มาก็บอกหมายเลขแก่เธอ. แต่ตัวเลขที่จูลีจดลงไปแทบไม่เกี่ยวอะไรเลยกับหมายเลขนั้น.
วาเนสซาครวญว่า ‘คุณครูฉีกรูปที่ฉันวาด’ แล้วเสริมว่า ‘ฉันจำไม่ได้เลยว่าครูพูดอะไร.’
เดวิดขณะอยู่ในวัย 70 เศษ พยายามอย่างหนักที่จะอ่านคำง่าย ๆ ซึ่งก่อนหน้านั้นเขาเคยอ่านได้คล่องแคล่วมากว่าหกสิบปี.
จูลี, วาเนสซา, และเดวิดมีความลำบากในการเรียนรู้—เป็นเรื่องน่าข้องขัดใจ. อาการนี้คือดิสเลกเซีย. อะไรเป็นสาเหตุของอาการดังกล่าว? ผู้เป็นดิสเลกเซียจะเอาชนะความข้องขัดใจที่เกิดจากอาการนี้ได้อย่างไร?
ดิสเลกเซียคืออะไร?
พจนานุกรมเล่มหนึ่งนิยามดิสเลกเซียว่าเป็น “ภาวะยุ่งเหยิงสับสนของความสามารถในการอ่าน.” ถึงแม้บ่อยครั้งมองกันว่าเป็นความผิดปกติในการอ่าน แต่ดิสเลกเซียอาจเกี่ยวพันมากกว่านั้นอีก.a
รากศัพท์ของคำภาษาอังกฤษมาจากคำกรีกดิส มีความหมายว่า “ความยากลำบากเรื่อง” และ เลกซิส แปลว่า “คำ.” ดิสเลกเซียจึงหมายรวมถึงความยากลำบากเรื่องคำหรือภาษา. อาการนี้กระทั่งเกี่ยวข้องกับปัญหาการจัดลำดับสิ่งต่าง ๆ ให้ถูกที่อีกด้วย อย่างเช่น วันต่าง ๆ ในสัปดาห์และตัวอักษรต่าง ๆ ในถ้อยคำหนึ่ง. ตามคำกล่าวของดร. เอช.ที. ชาสตี แห่งสถาบันดิสเลกเซียของบริเตน ดิสเลกเซีย “คือสภาพไร้ความสามารถในการจัดระบบ ซึ่งทำความเสียหายต่อความจำระยะสั้น, วิสัยสามารถในการเข้าใจ, และความชำนาญในการใช้มือ.” จึงไม่แปลกที่ผู้เป็นดิสเลกเซียจะรู้สึกข้องขัดใจ!
ลองพิจารณากรณีของเดวิด. เป็นไปได้อย่างไรที่อดีตนักอ่านตัวยงและคล่องแคล่วผู้นี้ ต้องอาศัยความช่วยเหลือจากภรรยาเพื่อเรียนรู้การอ่านใหม่อีกครั้ง? โรคเส้นเลือดสมองได้ทำความเสียหายต่อบริเวณหนึ่งในสมองของเดวิดซึ่งเชื่อมโยงไปถึงการใช้ภาษา และสิ่งนี้ทำให้เขาอ่านได้ช้าอย่างสุดแสนทรมาน. กระนั้น คำยาว ๆ กลับสร้างปัญหาให้เขาน้อยกว่าคำสั้น ๆ. ถึงอาการดิสเลกเซียของเขาไม่ได้เป็นแต่กำเนิด แต่ความสามารถในเชิงสนทนาและสติปัญญาอันเฉียบแหลมของเดวิดไม่ได้รับผลกระทบเลย. สมองของมนุษย์มีความสลับซับซ้อนอย่างมากจนพวกนักวิจัยยังต้องทำความเข้าใจต่อไปในทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการประมวลผลจากสัญญาณเสียงและภาพที่สมองได้รับ.
ในอีกด้านหนึ่ง จูลีและวาเนสซามีอาการดิสเลกเซียในลักษณะที่ค่อย ๆ ก่อตัว ซึ่งปรากฏชัดเมื่อพวกเขาโตขึ้น. พวกนักวิจัยยอมรับโดยทั่วไปว่า เด็ก ๆ ผู้ซึ่งเมื่อถึงอายุเจ็ดหรือแปดขวบแสดงให้เห็นเชาวน์ปัญญาตามปกติแต่มีความยากลำบากผิดปกติในการเรียนรู้ที่จะอ่าน, เขียน, และสะกด อาจจะเป็นดิสเลกเซีย. บ่อยครั้งผู้เยาว์ที่เป็นดิสเลกเซียเขียนตัวอักษรกลับ เมื่อเขาพยายามคัดลอกข้อความ. ลองนึกภาพดูก็แล้วกันว่าจูลีและวาเนสซาจะรู้สึกข้องขัดใจเพียงไรเมื่อครูตราหน้าพวกเขาอย่างผิด ๆ ว่าหัวทื่อ, เชื่องช้า, และขี้เกียจ!
ในบริเตน 1 ใน 10 คนประสบความทุกข์จากดิสเลกเซีย. เมื่อคนอื่น ๆ ไม่ตระหนักถึงปัญหาที่พวกเขาเผชิญ ก็มีแต่เพิ่มความข้องขัดใจ.—ดูกรอบหน้า 14.
อะไรเป็นสาเหตุของดิสเลกเซีย?
บ่อยครั้งสายตาไม่ดีทำให้การเรียนรู้ยากลำบาก. แก้ความบกพร่องเรื่องสายตา แล้วดิสเลกเซียก็จะหายไป. ผู้มีความลำบากในการฝึกอ่าน มีเป็นส่วนน้อยที่พบว่าตนสามารถเพ่งอยู่ที่ถ้อยคำได้ดีกว่าเมื่อวางพลาสติกสีแผ่นบาง ๆ ทับข้อความนั้น. สำหรับคนอื่นแล้วสิ่งนี้ไม่ช่วยอะไรเลย.
บางคนซึ่งสังเกตว่าอาการนี้เป็นแนวโน้มทางครอบครัว ก็เสนอคำอธิบายตามหลักพันธุศาสตร์. ที่จริงเมื่อไม่นานมานี้วารสารนิว ไซเยนติสต์ได้รายงานการวิจัย “ซึ่งใช้การเชื่อมโยงที่รู้จักกันดีระหว่างยีนที่เกี่ยวข้องกับโรคภูมิคุ้มกันต่อต้านเนื้อเยื่อของตัวเอง เช่น ไมเกรนและหืด กับยีนที่เป็นต้นเหตุของดิสเลกเซีย.” เนื่องจากผู้ที่เป็นดิสเลกเซียและญาติมีโอกาสมากกว่าที่จะเป็นโรคภูมิคุ้มกันต่อต้านเนื้อเยื่อของตัวเอง พวกนักวิทยาศาสตร์จึงเชื่อว่ายีนที่ทำให้เป็นดิสเลกเซียต้องเกิดขึ้นที่บริเวณจีโนม (ชุดโครโมโซมหนึ่ง ๆ) อันเป็นที่อยู่ของยีนเหล่านี้ที่ก่อให้เกิดโรค. แต่ดังที่ โรเบิร์ต โพลมิน นักพฤติกรรมศาสตร์ตั้งข้อสังเกต นักวิจัย “แค่ระบุบริเวณโครโมโซมเท่านั้น ไม่ใช่ระบุยีนที่ทำให้ไร้ความสามารถในการอ่าน.”
ส่วนของสมองที่ควบคุมท่าทาง, การทรงตัว, และการประสานงานของร่างกาย เรียกว่าซีรีเบลลัม. นักวิทยาศาสตร์บางคนอ้างว่า ส่วนนี้เกี่ยวข้องกับกระบวนการความคิดและภาษาของเราด้วย. น่าสนใจ นักวิจัยประจำมหาวิทยาลัยเชฟฟิลด์ในอังกฤษได้คิดค้นการทดสอบดิสเลกเซียซึ่งเกี่ยวข้องกับการทรงตัวและการประสานงานของร่างกาย. พวกเขาหาเหตุผลว่า จุดบกพร่องในซีรีเบลลัมกระตุ้นให้บริเวณสมองที่อยู่ในสภาพดีเข้าเกื้อหนุนชดเชย. เด็ก ๆ โดยทั่วไปแทบไม่รู้สึกว่ายากลำบากที่จะรักษาการทรงตัวเมื่อขอให้ยืนนิ่งโดยยกเท้าข้างหนึ่งยื่นไปด้านหน้าพร้อมกางแขนออก. แต่เมื่อปิดตาเขา เด็ก ๆ ที่เป็นดิสเลกเซียจะโงนเงนมากกว่าทีเดียว เพราะพวกเขาต้องอาศัยการมองอย่างมากเพื่อช่วยให้ทรงตัวได้.
แต่นักวิจัยคนอื่น ๆ ยังชี้ว่า สมองของเด็กที่เป็นดิสเลกเซียมีความแตกต่างด้านกายวิภาคด้วย. ตามปกติ ส่วนหลังของสมองซีกซ้ายจะใหญ่กว่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับส่วนคู่กันที่อยู่ซีกขวา ขณะที่สมองซีกขวาและซีกซ้ายของผู้เป็นดิสเลกเซียปรากฏว่าใหญ่เท่ากัน. แล้วคนอื่น ๆ ก็อ้างว่าได้พบความผิดเพี้ยนในการจัดเรียงเซลล์ประสาทในส่วนของสมองที่จัดการด้านภาษา.
แต่ไม่ว่าสาเหตุทางกายภาพของอาการดิสเลกเซียจะเป็นอะไรก็ตาม ผู้ประสบปัญหานี้จะได้รับความช่วยเหลืออย่างดีที่สุดได้อย่างไร?
ความช่วยเหลือจากบิดามารดา
บิดามารดาบางคนของเด็กที่เป็นดิสเลกเซีย มีความรู้สึกผิดและโทษตัวเองสำหรับสภาพน่าสงสารของลูก. ถ้าคุณรู้สึกเช่นนี้ ขอให้ขจัดความทุกข์ดังกล่าวทิ้งไป โดยตระหนักว่าไม่มีใครในพวกเราที่สมบูรณ์พร้อม และเราแต่ละคนก็มีความแตกต่างกัน. เริ่มต้นโดยยอมรับว่า เด็กที่ตาบอดสีต้องการความช่วยเหลือเพื่อดำรงชีวิตอยู่กับปมด้อยของตนฉันใด ลูกของคุณที่เป็นดิสเลกเซียก็ต้องการฉันนั้น. คุณในฐานะบิดาหรือมารดามีบทบาทชัดเจนแน่นอนในการสอนลูกของคุณ.
แม้ว่าในปัจจุบันนี้อาการดิสเลกเซียยังไม่สามารถป้องกันหรือรักษาได้ แต่ก็ทำให้บรรเทาได้. โดยวิธีใด? ศาสตราจารย์ ที. อาร์. ไมลส์ ผู้เขียนหนังสือการเข้าใจดิสเลกเซีย (ภาษาอังกฤษ) แนะนำบิดามารดาให้ค้นดูก่อนใดอื่นว่า ลูกซึ่งเป็นดิสเลกเซียพบว่าอะไรที่ยากลำบากจริง ๆ. แล้วพวกเขาก็สามารถประเมินข้อจำกัดของลูกตามสภาพที่เป็นจริง และสิ่งที่อาจคาดหมายได้. หนังสือการอ่านและเด็กที่เป็นดิสเลกเซีย (ภาษาอังกฤษ) แนะนำว่า “ควรขอให้ลูกทำดีที่สุดเท่าที่เขาสามารถทำได้ แต่อย่าขอมากกว่านั้น.” โดยแสดงความเห็นอกเห็นใจและให้กำลังใจ และเฉพาะอย่างยิ่งโดยจัดเตรียมการสอนที่ปรับให้เข้ากับลูก บิดามารดาสามารถลดผลกระทบจากดิสเลกเซียได้และในเวลาเดียวกัน ลูกที่เป็นดิสเลกเซียก็ตึงเครียดน้อยลง.
ความช่วยเหลือจากครู
โปรดจำไว้ว่า ดิสเลกเซียคือความยากลำบากในการเรียนรู้. ดังนั้น ครูจำเป็นต้องให้เวลากับเด็กที่เป็นดิสเลกเซียในชั่วโมงสอนของตน และพยายามช่วยพวกเขา. จำกัดความข้องขัดใจของเด็กให้น้อยลงโดยคาดหมายเขาตามสภาพที่เป็นจริง. ถ้าจะว่าไป เด็กที่เป็นดิสเลกเซียคงจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ซึ่งยังประสบปัญหาการอ่านออกเสียง.
อย่ากลายเป็นคนยอมแพ้เอาง่าย ๆ. แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ให้ชมเชยเด็กสำหรับความก้าวหน้าใด ๆ ที่พวกเขาทำ—และแน่นอนสำหรับความพยายามทั้งสิ้น. และแล้ว ให้หลีกเลี่ยงการเอาแต่ยกยอท่าเดียวด้วย. ศาสตราจารย์ไมลส์เสนอแนะว่า เมื่อครูสังเกตเห็นความก้าวหน้าบางอย่าง พวกเขาควรพูดกับนักเรียนที่เป็นดิสเลกเซียว่า “เอาละ ครูเห็นว่าเธอทำผิดพลาดอยู่บ้าง. แต่ครูขอบอกว่าเธอทำได้ดี; ปรับปรุงดีขึ้นจากสัปดาห์ก่อน และเมื่อคำนึงถึงขีดความสามารถของเธอแล้ว นับว่าได้ผลน่าพอใจทีเดียว.” แต่เมื่อไม่มีการปรับปรุง เขาแนะนำให้พูดว่า “เอาละ สิ่งนั้นสิ่งนี้ดูเหมือนทำให้เธอลำบาก ให้เรามาดูว่าจะหาทางอื่นได้ไหมเพื่อช่วยเธอ.”
ระวังคำวิจารณ์เชิงดูถูกการอ่านของเด็กที่เป็นดิสเลกเซีย. พยายามที่จะทำให้เขาเพลิดเพลินกับหนังสือและการอ่าน. โดยวิธีใด? ทั้งบิดามารดาและครูอาจแนะให้เด็กมีเครื่องช่วยสังเกต อาจจะเป็นไม้บรรทัดเล็ก ๆ วางไว้ใต้แถวที่เขากำลังอ่าน เนื่องจากคนที่อ่านช้ามาก ๆ มักจะปล่อยให้สมาธิของตนล่องลอยไป. ถ้าปัญหานี้ปรากฏให้เห็นในรูปของการอ่านคำโดยสลับที่ตัวอักษร ก็ให้ถามด้วยความกรุณาว่า “ตัวไหนเป็นอักษรแรก?”
ลองนึกภาพดูก็แล้วกันว่าเด็กที่เป็นดิสเลกเซียจะท้อใจเพียงไรหากครูคณิตศาสตร์จะบอกอยู่บ่อย ๆ ว่าคำตอบของเขาผิด. ดีกว่าเพียงไรที่จะทำให้โจทย์ง่ายลงอีกนิดเพื่อเขาจะมีความพึงพอใจที่หาคำตอบได้อย่างถูกต้อง แทนที่จะข้องขัดใจเพราะทำผิด.
ตามคำกล่าวของครูผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางคนหนึ่ง “เครื่องช่วยสำหรับผู้เป็นดิสเลกเซียคือ การเรียนรู้โดยใช้ประสาทสัมผัสทั้งหมด.” ผนึกการเห็น, การได้ยิน, และการสัมผัสเข้าด้วยกัน เพื่อช่วยเด็กให้อ่านและสะกดคำอย่างถูกต้อง. ศาสตราจารย์ไมลส์ อธิบายว่า “นักเรียนจำต้องมอง อย่างถ้วนถี่, ฟัง อย่างตั้งใจ, ให้ความสนใจต่อการเคลื่อนไหวของมือขณะเขียน, และให้ความสนใจต่อการเคลื่อนไหวของปากขณะพูด.” โดยการทำเช่นนี้ เด็กที่เป็นดิสเลกเซียก็จะถือว่ารูปแบบตัวอักษรที่ได้เขียนกับเสียงของตัวอักษรและการเคลื่อนไหวของมือที่ใช้ลากเส้นนั้นเป็นสิ่งเดียวกัน. เพื่อช่วยให้เด็กแยกความแตกต่างระหว่างเหล่าตัวอักษรที่เขาสับสน ให้สอนเขาเขียนอักษรแต่ละตัวด้วยวิธีลากเส้นจากจุดเริ่มที่ต่างกัน. หนังสือการอ่านและเด็กที่เป็นดิสเลกเซีย เสนอแนะว่า “ถ้าจะให้ดี เด็กแต่ละคน [ที่เป็นดิสเลกเซีย] ควรได้รับการสอนพิเศษวันละหนึ่งชั่วโมงชนิดตัวต่อตัวจากครู.” น่าเสียดาย สภาพการณ์ต่าง ๆ แทบไม่เอื้ออำนวยให้มีโอกาสนี้เลย. อย่างไรก็ตาม ผู้เป็นดิสเลกเซียสามารถช่วยตัวเองได้.
ช่วยตัวเอง
ถ้าคุณเป็นดิสเลกเซีย จงตั้งเป้าที่จะฝึกการอ่านส่วนใหญ่เมื่อคุณอยู่ในภาวะสดชื่นกระปรี้กระเปร่าที่สุด. พวกนักวิจัยได้สังเกตว่า เด็กนักเรียนที่เป็นดิสเลกเซียได้รับผลดีเมื่อพวกเขาอ่านไปเรื่อย ๆ เป็นเวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่ง แต่หลังจากนั้นการทำงานของพวกเขาจะด้อยคุณภาพ. หนังสือดิสเลกเซีย ณ วิทยาลัยให้ข้อสังเกตว่า “การเรียนทุกวันเป็นประจำแต่ในปริมาณจำกัด มีทีท่าว่าจะได้ประโยชน์มากกว่าการโหมเรียนอย่างหนักแต่ทำเป็นบางวัน.” จริงอยู่ ต้องใช้เวลานานขึ้นกว่าคุณจะอ่านและสะกดคำได้อย่างดี. แต่จงบากบั่นพยายาม.
ลองใช้ประโยชน์จากเครื่องพิมพ์ดีดกระเป๋าหิ้ว หรือที่ดีกว่านั้นก็คือเครื่องประมวลผลคำ (คอมพิวเตอร์) ซึ่งมีโปรแกรมช่วยตรวจตัวสะกดที่คุณพิมพ์เข้าไป. ผนวกสิ่งนี้เข้ากับการเรียนรู้วิธีจัดระบบและจัดการข้อมูล.—ดูกรอบหน้า 13.
เพลิดเพลินกับหนังสือโดยการฟังจากตลับเทปบันทึกเสียง. ที่จริง วารสารนี้และที่ออกคู่กันคือหอสังเกตการณ์บัดนี้ออกเป็นประจำหลายภาษาในรูปของตลับเทป เช่นเดียวกับคัมภีร์ไบเบิลทั้งเล่ม.
ถ้าคุณอ่านบทความในกรอบนี้แล้วรู้สึกว่าตัวเองเป็นดิสเลกเซีย อย่าปิดซ่อนปัญหาไว้. จงยอมรับ และคำนึงถึงปัญหานั้น. ยกตัวอย่าง คุณอาจกำลังเตรียมตัวเพื่อการสัมภาษณ์เข้าทำงาน. เช่นเดียวกับหลายคน คุณอาจจะพบว่าความกดดันอันเนื่องมาจากสถานการณ์ดังกล่าวทำให้ยากลำบากที่ตัวเองจะพูดออกมาอย่างกระจ่างชัดและกระชับตรงจุด. ทำไมไม่ลองซ้อมการสัมภาษณ์ดูก่อนล่ะ?
ความยากลำบากที่ดิสเลกเซียนำมานั้นไม่ใช่รักษาได้ง่าย ๆ. แต่สมองซึ่งเป็นอวัยวะอันมหัศจรรย์ช่วยเกื้อหนุนชดเชยปัญหาดังกล่าว. เพราะฉะนั้น การไร้ความสุขแบบถาวรคงจะไม่เกิดขึ้น. จูลี, วาเนสซา, และเดวิด ต่างก็ออกความพยายามอย่างหนักเพื่อเอาชนะความข้องขัดใจของเขา. คุณก็ทำอย่างเดียวกันได้. ขอให้ตระหนักว่าความยากลำบากเฉพาะนี้ไม่จำเป็นต้องทำให้คุณเลิกเรียนรู้. จงบากบั่นพยายามที่จะอ่าน, เขียน, และสะกดคำให้ถูกต้อง. การทำเช่นนั้นจะช่วยคุณเอาชนะความข้องขัดใจที่เกิดจากดิสเลกเซีย.
[เชิงอรรถ]
a ผู้เชี่ยวชาญบางคนใช้คำ “ดิสกราเฟีย” เพื่อพรรณนาถึงความลำบากในการเรียนรู้ซึ่งเกี่ยวพันกับการเขียน และ “ดิสแคลคูเลีย” สำหรับอาการที่เกี่ยวข้องกับการคำนวณ.
[รูปภาพหน้า 13]
ข้อแนะเพื่อจัดระบบตัวเอง
ใช้ประโยชน์จากสิ่งต่อไปนี้:
• กระดานช่วยจำส่วนตัว
• ปฏิทินวางแผน
• ถาดใส่เรื่องรอพิจารณา
• แฟ้มส่วนตัว
• สมุดบันทึกประจำวัน
• สมุดที่อยู่
[กรอบหน้า 14]
วิธีที่จะรู้ว่าเด็กเป็นดิสเลกเซียหรือไม่
ถ้าคุณตอบว่าใช่สามหรือสี่ข้อของคำถามสำหรับแต่ละกลุ่มอายุข้างล่างนี้ อาจเป็นไปได้ว่าเด็กคนนั้นมีอาการดิสเลกเซียในระดับหนึ่ง.
เด็กอายุ 8 ขวบหรือต่ำกว่า:
เขาช้าไหมในการเรียนรู้วิธีพูด?
เขายังมีปัญหาเฉพาะอย่างในการอ่านหรือการสะกดไหม?
สิ่งนี้ทำให้คุณแปลกใจไหม?
คุณรู้สึกสะกิดใจไหมว่าในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับการอ่านหรือการสะกด เขาคล่องแคล่วและหลักแหลม?
เขาเขียนตัวอักษรและตัวเลขกลับด้านไหม?
เมื่อทำการคำนวณ เขาต้องอาศัยลูกบาศก์, นิ้วมือ, หรือการทำเครื่องหมายบนกระดาษ เป็นเครื่องช่วยนานกว่าเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันไหม?
เขามีความยากลำบากผิดปกติในการจำสูตรคูณไหม?
เขามีความลำบากไหมในการบอกว่าข้างไหนขวาข้างไหนซ้าย?
เขางุ่มง่ามผิดปกติไหม? (ไม่ใช่เด็กที่เป็นดิสเลกเซียงุ่มง่ามไปเสียทั้งหมด.)
เด็กอายุ 8 ถึง 12 ขวบ:
เขาสะกดผิดจนน่าแปลกไหม? บางครั้งเขาข้ามตัวอักษรในบางคำไป หรือสลับที่ตัวอักษรไหม?
ดูเหมือนว่าเขาอ่านผิดอย่างสะเพร่าไหม?
การอ่านเอาเรื่องดูเหมือนช้ากว่าที่คาดหมายสำหรับเด็กวัยนี้ไหม?
เขามีความลำบากในการลอกข้อความจากกระดานดำที่โรงเรียนไหม?
เมื่ออ่านออกเสียง เขาข้ามบางคำหรืออ่านข้ามทั้งบรรทัดไหม หรือเขาอ่านซ้ำบรรทัดเดียวกันไหม? เขาไม่ชอบอ่านออกเสียงไหม?
เขายังคงรู้สึกว่ายากที่จะจำสูตรคูณไหม?
เขาไม่ค่อยสำเหนียกเรื่องทิศทางไหม โดยสับสนระหว่างซ้ายกับขวา?
เขาขาดความมั่นใจตัวเองไหม และมีความนับถือตัวเองต่ำไหม?
[ที่มาของภาพ]
—หนังสืออะแวร์เนส อินฟอร์เมชัน จัดพิมพ์โดยสมาคมบริติชดิสเลกเซีย และเรื่องดิสเลกเซีย ผลิตโดยศูนย์บริการข่าว, โทรทัศน์ช่อง 4 ลอนดอน อังกฤษ.
[รูปภาพหน้า 12]
เพื่อช่วยให้จดจ่อ วางเครื่องช่วยสังเกตไว้ใต้บรรทัดที่จะอ่าน