การแสวงประโยชน์ทางเพศจากเด็กปัญหาทั่วโลก
โดยผู้สื่อข่าว ตื่นเถิด! ในสวีเดน
สังคมมนุษย์กำลังสั่นคลอนเนื่องจากการทำร้ายเด็กในรูปแบบที่น่าตกตะลึง ซึ่งขอบเขตและลักษณะไม่ค่อยรู้จักกันโดยทั่วไปจนกระทั่งไม่กี่ปีมานี้. เพื่อดูว่าอาจทำอะไรได้บ้างเกี่ยวด้วยเรื่องดังกล่าว ตัวแทนจาก 130 ประเทศจึงพบปะหารือกันในกรุงสตอกโฮล์ม สวีเดน ณ การประชุมสมัชชาโลกครั้งแรกว่าด้วยการต่อต้านการแสวงประโยชน์ทางเพศเชิงพาณิชย์จากเด็ก. ผู้สื่อข่าวตื่นเถิด! คนหนึ่งในสวีเดนก็อยู่ที่นั่นด้วย.
เมื่อมักดาเลนอายุ 14 ปี เธอถูกลวงไปทำงานเป็น “โฮสเตส” ณ บาร์แห่งหนึ่งในกรุงมะนิลา ฟิลิปปินส์. จริง ๆ แล้ว งานของเธอเกี่ยวข้องกับการพาลูกค้าผู้ชายไปที่ห้องเล็ก ๆ ห้องหนึ่งและเปลือยร่างให้พวกเขาแสวงประโยชน์ทางเพศ—เฉลี่ยแล้วคืนหนึ่ง ๆ 15 คน และในวันเสาร์ 30 คน. บางครั้ง เมื่อเธอบอกว่าทนรับไม่ไหวแล้ว ผู้จัดการของเธอก็จะบีบบังคับให้ทำต่อไป. บ่อยครั้ง เธอเสร็จสิ้นภารกิจตอนตีสี่ด้วยความรู้สึกอ่อนระโหยโรยแรง, ซึมเศร้า, และปวดร้าวแสนสาหัส.
สารุน เป็นเด็กชายกำพร้าจรจัดในพนมเปญ กัมพูชา. เขาเป็นซิฟิลิสและเป็นที่รู้กันว่าเคย ‘ไปนอน’ กับชาวต่างชาติ. เขาได้ที่อาศัยในบริเวณวัดแห่งหนึ่ง ที่ซึ่งเขาได้รับการ ‘เลี้ยงดู’ โดยอดีตพระคนหนึ่ง. แต่ชายคนนี้ทำร้ายเขาทางเพศ และติดต่อชาวต่างชาติมาหาความสำราญทางเพศกับเขา. เมื่อที่อาศัยของสารุนในวัดถูกรื้อ เขาก็ไปอาศัยอยู่กับป้า แต่ยังคงถูกบังคับให้ทำงานเป็นโสเภณีชาย.
นี่เป็นเพียงสองตัวอย่างของปัญหาร้ายแรงที่มีการพิจารณาในช่วงค่อนปีที่แล้ว ณ การประชุมสมัชชาโลกว่าด้วยการต่อต้านการแสวงประโยชน์ทางเพศเชิงพาณิชย์จากเด็ก. กิจปฏิบัตินี้ดาษดื่นเพียงไร? เด็กนับแสน ๆ คนตกเป็นเหยื่อ—ที่จริง บางคนบอกว่ามีเป็นล้าน ๆ. ตัวแทนคนหนึ่งสรุปปัญหาดังนี้: “เด็ก ๆ ถูกซื้อขายเป็นสินค้าทางเพศและเศรษฐกิจ. พวกเขาถูกซื้อขายภายในประเทศและระหว่างประเทศเฉกเช่นสินค้าผิดกฎหมาย ถูกขังอยู่ในซ่องและถูกบังคับให้ยอมบริการนักแสวงประโยชน์ทางเพศจำนวนมาก.”
ในคำกล่าวเปิดต่อที่ประชุม เยอรัน เพร์สัน นายกรัฐมนตรีสวีเดน ได้ตราหน้าการแสวงประโยชน์นี้ว่าเป็น “อาชญากรรมประเภทที่ป่าเถื่อนที่สุด, โหดร้ายและน่าสะอิดสะเอียนที่สุด.” ตัวแทนคนหนึ่งจากสหประชาชาติกล่าวว่า “นับเป็นการทำร้ายเด็กในทุกรูปแบบ . . . , ชั่วช้าสามานย์สิ้นดี และเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอันเลวทรามต่ำช้าที่สุดเท่าที่จะนึกภาพได้.” คำประณามอย่างรุนแรงหลายอย่างคล้าย ๆ กันนี้ต่อการแสวงประโยชน์ทางเพศจากเด็ก ถูกยกขึ้นมากล่าวบนเวทีตลอดการประชุม ขณะที่พิจารณาถึงขอบเขต, ลักษณะ, สาเหตุ, และผลกระทบของมัน.
แหล่งข้อมูลหนึ่งบอกว่า “การแสวงประโยชน์ทางเพศจากเด็กมีขอบเขตข้ามชาติ, ส่งผลกระทบข้ามไปถึงคนรุ่นต่อไป.” อีกข้อมูลหนึ่งกล่าวว่า “เชื่อกันว่าแต่ละปีเด็กประมาณ 1 ล้านคน เข้าสู่ตลาดค้าประเวณีผิดกฎหมายซึ่งทำเงินหลายพันล้านดอลลาร์.” ยังผลเช่นไร? “ความรู้สึกเรื่องศักดิ์ศรีของเด็ก รวมทั้งเอกลักษณ์และความนับถือตัวเองถูกเซาะกร่อน และวิสัยสามารถที่พวกเขาจะไว้วางใจผู้คนก็ถดถอย. สุขภาพทางกายและอารมณ์ของพวกเขาตกอยู่ในภาวะเสี่ยง สิทธิของพวกเขาถูกละเมิด และอนาคตของพวกเขาล่อแหลมต่ออันตราย.”
สาเหตุบางประการ
อะไรเป็นสาเหตุบางประการที่ทำให้ปัญหานี้ขยายตัวพรวดพราด? กล่าวกันว่าเด็กบางคนถูก “ผลักดันเข้าสู่การค้าประเวณีเนื่องจากสภาพการณ์ต่าง ๆ, เป็นวิธีอยู่รอดในสิ่งแวดล้อมนั้น ๆ, เพื่อช่วยเกื้อหนุนครอบครัว, หรือเพื่อเป็นค่าเสื้อผ้าและข้าวของต่าง ๆ. ส่วนคนอื่นถูกล่อใจโดยภาพลักษณ์ผู้บริโภคที่สื่อโฆษณากระหน่ำไม่ขาดสาย.” ยังมีคนอื่น ๆ อีกที่ถูกลักพาตัวไปและถูกบังคับให้ค้าประเวณี. ค่านิยมทางศีลธรรมที่เซาะกร่อนอย่างรวดเร็วทุกหนแห่ง รวมทั้งความรู้สึกสิ้นหวังที่มีอยู่ทั่วไป ก็อยู่ในบรรดาสาเหตุต่าง ๆ ที่ได้เอ่ยถึง.
เด็กหญิงและเด็กชายหลายคนเข้ามาเกี่ยวข้องกับการค้ากามารมณ์ เนื่องจากการทำร้ายในครอบครัว—ความรุนแรงและการร่วมประเวณีระหว่างญาติใกล้ชิดที่บ้าน ผลักดันให้พวกเขาออกไปเร่ร่อนอยู่ตามถนน. ที่นั่น พวกเขาเสี่ยงต่อการทำร้ายทางเพศโดยพวกที่มีความกำหนัดในเด็กและคนอื่น ๆ ปรากฏว่า แม้กระทั่งโดยตำรวจบางคนด้วยซ้ำ. รายงานหนึ่งเกี่ยวด้วยปัญหานี้ซึ่งมีชื่อว่าเด็กให้เช่า (ภาษาอังกฤษ) ได้เล่าเรื่องของคาเตียวัยหกขวบ ในบราซิล. เมื่อเธอถูกตำรวจคนหนึ่งจับ เขาบังคับให้เธอทำสิ่งที่ลามก และขู่จะฆ่าครอบครัวเธอหากนำเรื่องนี้ไปบอกผู้บังคับบัญชาของเขา. วันรุ่งขึ้น เขากลับมาพร้อมกับชายอีกห้าคน ซึ่งทุกคนต้องการให้หนูน้อยคนนี้บริการทางเพศแบบเดียวกันนั้นแก่พวกเขา.
ผู้รับเรื่องร้องทุกข์ของเด็ก ซึ่งเป็นสถาบันหนึ่งในสวีเดน บอกกับตัวแทนที่มาประชุมว่า “เมื่อได้ทำการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับสาเหตุของการค้าประเวณีเด็กแล้ว ไม่มีข้อสงสัยเลยว่า [เซ็กซ์] ทัวร์ เป็นหนึ่งในบรรดาสาเหตุใหญ่ ๆ.” รายงานหนึ่งบอกว่า “การเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกตะลึงของการค้าประเวณีเด็กตลอดสิบปีที่ผ่านมา เป็นผลโดยตรงจากธุรกิจท่องเที่ยว. การค้าประเวณีเด็กเป็นสิ่งดึงดูดใจใหม่สุดที่ประเทศกำลังพัฒนาเสนอให้กับนักท่องเที่ยว.” “เซ็กซ์ทัวร์” จากยุโรป, สหรัฐ, ญี่ปุ่น, และที่อื่น ๆ อีก ก่อให้เกิดความต้องการโสเภณีเด็กอย่างใหญ่หลวงตลอดทั่วโลก. สายการบินแห่งหนึ่งในแถบยุโรปใช้ภาพการ์ตูนรูปเด็กอยู่ในท่าโจ่งแจ้งทางเพศเพื่อขายเซ็กซ์ทัวร์. บริษัทท่องเที่ยวจัดเซ็กซ์ทัวร์ให้ผู้คนนับหมื่น ๆ ทุกปี.
การส่งเสริมอุตสาหกรรมค้าประเวณีเด็กระหว่างประเทศผ่านทางเทคโนโลยีแบบใหม่ก็อยู่ในรายการสาเหตุอันยาวเหยียดด้วย. มีรายงานว่า อินเตอร์เนต (เครือข่ายคอมพิวเตอร์ทั่วโลก) พร้อมด้วยเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในด้านคอมพิวเตอร์ เป็นแหล่งสื่อลามกแหล่งเดียวที่ใหญ่ที่สุด. อุปกรณ์วิดีโอที่มีราคาถูกก็เช่นกันทำให้การผลิตภาพลามกของเด็กเป็นไปอย่างง่ายดาย.
พวกเขาเป็นใคร?
หลายคนในจำพวกผู้ใหญ่ที่ทำร้ายเด็กทางเพศเป็นพวกที่มีความกำหนัดในเด็ก. ผู้มีความกำหนัดในเด็กจะมีความสนใจทางเพศแบบวิปริตต่อเด็ก. สถาบันรับเรื่องร้องทุกข์ของเด็กในสวีเดนบอกว่า “พวกเขาไม่จำเป็นต้องเป็นคนสูงอายุ เนื้อตัวสกปรกมอมแมมสวมชุดกันฝน หรือพวกล่ำสันที่ชอบความรุนแรง. ผู้มีความกำหนัดในเด็กโดยทั่วไปคือชายกลางคนมีการศึกษาดี มักจะทำงานเกี่ยวข้องกับเด็ก เช่น ครู, นายแพทย์, นักสังคมสงเคราะห์ หรือนักเทศน์นักบวช.”
สถาบันสวีเดนดังกล่าวได้ยกเรื่องของโรซาริโอ เด็กหญิงฟิลิปปินส์วัย 12 ขวบขึ้นมาเป็นตัวอย่าง เธอถูกทำร้ายทางเพศโดยนักท่องเที่ยวที่มากับเซ็กซ์ทัวร์ ซึ่งเป็นนายแพทย์จากออสเตรีย. การทำร้ายของเขายังผลให้เธอเสียชีวิต.
แครอล เบลลามี ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารของยูนิเซฟ (องค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ) ที่กรุงเจนีวา กล่าวถึงเรื่องของเด็กหญิงฟิลิปปินส์วัย 12 ขวบคนนั้นดังต่อไปนี้: “บ่อยครั้ง จะเป็นผู้ใหญ่ที่ได้รับความไว้วางใจให้ดูแลและคุ้มครองเด็กนั่นแหละ ซึ่งทำให้กิจปฏิบัติอันเหลือทนนี้เกิดขึ้นและดำเนินต่อไปไม่มีวันสิ้นสุด. มีพวกครู, ผู้ทำงานด้านสุขภาพ, เจ้าหน้าที่ตำรวจ, นักการเมือง, และนักเทศน์นักบวช ซึ่งใช้เกียรติภูมิและอำนาจหน้าที่ของตนแสวงประโยชน์ทางเพศจากเด็ก ๆ.”
ศาสนามีส่วนพัวพัน
ตัวแทนคนหนึ่งจากคริสตจักรโรมันคาทอลิกได้แถลง ณ การประชุมที่กรุงสตอกโฮล์มว่า การแสวงประโยชน์จากเด็กเป็น “อาชญากรรมชั่วร้ายที่สุด” อีกทั้งเป็น “ผลของการบิดเบือนอย่างสุดกู่และการพังทลายของค่านิยม.” กระนั้น คริสตจักรคาทอลิกก็เคยได้รับผลกระทบอย่างร้ายแรงจากกิจปฏิบัติเช่นว่าในหมู่นักบวชของตนเอง.
ในวารสารนิวส์วีกฉบับวันที่ 16 สิงหาคม 1993 บทความหนึ่งซึ่งมีชื่อว่า “บาทหลวงและการทำร้ายทางเพศ” ได้รายงานเรื่อง “ความฉาวโฉ่ของนักบวชซึ่งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของคริสตจักรคาทอลิกในสหรัฐ.” วารสารนี้กล่าวว่า “แม้เคยมีข้อกล่าวหาบาทหลวงไปแล้วประมาณ 400 คน นับตั้งแต่ปี 1982 แต่สมาชิกคริสตจักรบางคนคะเนว่า บาทหลวงมากถึง 2,500 คนลวนลามเด็กหรือไม่ก็เด็กวัยรุ่น. . . . นอกจากเสียเงินแล้ว ความฉาวโฉ่นี้ยังทำให้คริสตจักรเสียหน้าอย่างมาก—รวมทั้งเสียอำนาจทางศีลธรรมบางอย่าง.” ศาสนาอื่น ๆ ตลอดทั่วโลกก็อยู่ในสถานการณ์เดียวกัน.
เรย์ ไวเออร์ ที่ปรึกษาด้านอาชญากรรมทางเพศ จากสหราชอาณาจักร ได้เล่าให้ที่ประชุมในกรุงสตอกโฮล์มฟังเรื่องเด็กชายสองคนซึ่งเคยถูกบาทหลวงคนหนึ่งทำร้ายทางเพศอย่างวิปริตรุนแรง. ขณะนี้เด็กหนึ่งในสองคนนั้นเป็นตัวแทนวิ่งเต้นให้กับเด็กที่ตกเป็นเหยื่อการทำร้ายทางเพศโดยพวกบาทหลวง ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นผู้ทำร้ายทางเพศเสียเอง.
เมตตานันโท ภิกขุ ผู้คงแก่เรียนชาวพุทธจากประเทศไทย รายงานว่า “กิจปฏิบัติบางอย่างของชาวพุทธ มีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อการแสวงประโยชน์ทางเพศเชิงพาณิชย์จากเด็กในประเทศไทยหลายระดับด้วยกัน. ตามหมู่บ้านต่าง ๆ ของประเทศไทย บางครั้งพระสงฆ์ได้รับประโยชน์จากเงินที่พวกเด็ก ๆ ซึ่งเคยถูกบังคับให้ค้าประเวณีส่งกลับมายังชุมชนนั้น.”
อาจทำอะไรได้บ้าง?
ดร. จูเลีย โอคอนเนลล์ เดวิดสัน แห่งมหาวิทยาลัยเลซเตอร์ในสหราชอาณาจักร เรียกร้องที่ประชุมให้คัดค้านการหาเหตุผลแก้ตัวที่ผู้แสวงประโยชน์ยกขึ้นมาอ้างสำหรับพฤติกรรมของตน. ผู้ทำร้ายทางเพศมักจะมุ่งเล็งไปที่ความหละหลวมและการผิดศีลธรรมของเด็กซึ่งเป็นการคิดเอาเอง โดยแย้งว่าเด็กคนนั้นลามกและเสียคนอยู่แล้ว. ผู้แสวงประโยชน์คนอื่น ๆ ใช้คำอ้างที่บิดเบือนและไม่เป็นความจริงที่ว่า การกระทำของตนไม่มีผลเสียใด ๆ และเด็กก็ได้ประโยชน์.
คณะสอบสวนเรื่องเซ็กซ์ทัวร์ได้เสนอแนะให้ทำการรณรงค์เรื่องนี้โดยวิธีให้ความรู้ผ่านทางหลักสูตรของโรงเรียน. นอกจากนี้ ควรให้ข่าวสารต่อต้านการแสวงประโยชน์ทางเพศจากเด็กเข้าถึงนักท่องเที่ยวตลอดเส้นทางคือ ก่อนออกนอกประเทศ, ระหว่างการเดินทาง, และเมื่อถึงจุดหมายปลายทาง.
ส่วนเรื่องเทคโนโลยีสื่อสารแบบใหม่นั้น คณะทำงานหนึ่งเสนอแนะว่า ควรให้แนวแนะแก่ประเทศต่าง ๆ สำหรับการขจัดสื่อที่ใช้เด็กเป็นเครื่องมือแสวงประโยชน์. มีการพิจารณาการจัดตั้งหน่วยงานเดียวระหว่างชาติเพื่อประสานกิจกรรมในเรื่องนี้. อีกคณะหนึ่งเสนอแนะว่า ภาพลามกของเด็กที่ผลิตจากคอมพิวเตอร์ และการมีภาพลามกของเด็กไว้ในครอบครอง โดยทั่วไป ควรถือเป็นความผิดทางอาญาในทุกประเทศ พร้อมด้วยบทลงโทษที่กำหนดไว้ในกฎหมาย.
บิดามารดาอาจทำอะไรได้บ้าง? คณะทำงานเกี่ยวกับบทบาทของสื่อต่าง ๆ แนะให้บิดามารดารับผิดชอบในการปกป้องลูก ๆ ของตน. คณะทำงานนั้นกล่าวว่า “บิดามารดาไม่อาจแค่ชี้แนะลูก ๆ ขณะที่พวกเขาโตขึ้นเป็นผู้บริโภคสื่อ แต่ต้องให้ความรู้เพิ่มเติม โดยคำอธิบายและแหล่งข้อมูลหลากหลายเพื่อถ่วงดุลผลกระทบของสื่อ และช่วยลูกให้เติบโตในด้านความเข้าใจ.”
รายการหนึ่งทางทีวีในสวีเดนที่รายงานเรื่องการประชุมสมัชชานี้ ได้เน้นความจำเป็นที่บิดามารดาจะต้องเฝ้าระวังลูก ๆ ของตนให้มากขึ้น และเตือนพวกเขาให้ตื่นตัวต่ออันตราย. แต่รายการนั้นแนะนำว่า “อย่าเพียงแค่เตือนลูก ๆ ให้ระวัง ‘เฒ่าลามก’ เพราะสิ่งนี้จะทำให้เด็ก . . . คิดว่าพวกเขาควรระวังเฉพาะคนสูงอายุที่สกปรกมอมแมม ขณะที่คนซึ่งประกอบอาชญากรรมเช่นว่าอาจแต่งตัวดีมากด้วยชุดเครื่องแบบหรือสูทที่สะอาดเรียบร้อย. ฉะนั้น จงเตือนลูก ๆ ให้ระวังคนแปลกหน้าซึ่งแสดงความสนใจผิดปกติในตัวเขา.” แน่ละ ควรเตือนลูก ๆ เช่นกัน—และกระตุ้นให้รายงานต่อผู้มีอำนาจหน้าที่—เกี่ยวกับคนใด ๆ ที่เข้ามาตีสนิทแบบไม่ชอบมาพากล รวมทั้งคนที่ลูกรู้จักด้วย.
วิธีแก้อย่างเดียวเท่านั้น
สิ่งที่การประชุมสมัชชาในกรุงสตอกโฮล์มไม่สามารถแนะได้ก็คือ วิธีเอาชนะสาเหตุต่าง ๆ ของการแสวงประโยชน์ทางเพศจากเด็ก. สาเหตุดังกล่าวรวมถึงค่านิยมทางศีลธรรมที่ถูกเซาะกร่อนอย่างรวดเร็วทุกหนแห่ง; ความเห็นแก่ตัวและความอยากได้ใคร่มีสิ่งฝ่ายวัตถุที่เพิ่มมากขึ้น; การไม่นับถือกฎหมายที่ปกป้องผู้คนไว้จากความอยุติธรรมขยายตัวขึ้น; การละเลยยิ่งขึ้นต่อสวัสดิภาพ, ศักดิ์ศรี, และชีวิตของคนอื่น ๆ; การพังทลายอย่างรวดเร็วของการจัดเตรียมเรื่องครอบครัว; ความยากจนแพร่ระบาดเนื่องจากประชากรล้น, การว่างงาน, การเกิดสภาพเมือง, และการย้ายถิ่น; การขยายตัวของคตินิยมเชื้อชาติที่ต่อต้านชาวต่างชาติและผู้ลี้ภัย; การผลิตและการค้ายาเสพย์ติดที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ; และทัศนคติ, กิจปฏิบัติ, และประเพณีสืบทอดทางศาสนาที่เสื่อมทราม.
ถึงแม้การแสวงประโยชน์ทางเพศจากเด็กเป็นที่น่าตกตะลึง แต่ความชั่วดังกล่าวไม่ทำให้ผู้ที่อ่านคัมภีร์ไบเบิลอย่างถี่ถ้วนประหลาดใจ. เพราะเหตุใด? เพราะขณะนี้ เรากำลังอยู่ในสมัยที่คัมภีร์ไบเบิลเรียกว่า “สมัยสุดท้าย” และตามพระคำของพระเจ้าบอกไว้ นี่เป็น “วิกฤตกาลซึ่งยากที่จะรับมือได้.” (2 ติโมเธียว 3:1-5, 13, ล.ม.) ดังนั้น เป็นเรื่องน่าประหลาดใจไหมที่ศีลธรรมเสื่อมทรามชั่วร้ายมากยิ่งขึ้น?
อย่างไรก็ตาม คัมภีร์ไบเบิลชี้ไปยังวิธีแก้อย่างเดียวเท่านั้นสำหรับปัญหามหึมาของโลก—การกวาดล้างเบ็ดเสร็จโดยพระเจ้าองค์ทรงฤทธานุภาพทุกประการ. อีกไม่นาน พระองค์จะสำแดงฤทธิ์อำนาจกำจัดทุกคนบนแผ่นดินโลกที่ไม่ปฏิบัติตามหลักการและกฎหมายอันชอบธรรมของพระองค์: “คนตรงจะได้พำนักอยู่ในแผ่นดิน, และคนดีรอบคอบจะได้ดำรงอยู่บนแผ่นดินนั้น. แต่คนบาปหยาบช้าจะถูกตัดให้สิ้นศูนย์จากแผ่นดิน.”—สุภาษิต 2:21, 22; 2 เธซะโลนิเก 1:6-9.
คนที่ถูก “ตัดให้สิ้นศูนย์” จะรวมถึงบรรดาผู้ค้าประเวณีเด็กและคนเลวทรามที่ใช้เด็กในทางผิดด้วย. พระคำของพระเจ้ากล่าวว่า “คนผิดประเวณี . . . หรือคนเล่นชู้ . . . หรือชายที่นอนกับชาย [หรือเด็กชาย] . . . จะไม่ได้รับราชอาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดก.” (1 โกรินโธ 6:9, 10, ล.ม.) คัมภีร์ไบเบิลกล่าวเสริมว่า “คนเหล่านั้นที่น่าสะอิดสะเอียนในความโสโครกของพวกเขา . . . และคนผิดประเวณี” จะถูกมอบไว้แก่ “ความตายที่สอง” คือการทำลายตลอดไป.—วิวรณ์ 21:8, ล.ม.
พระเจ้าจะชำระแผ่นดินโลกและจะนำมาซึ่ง “ฟ้าสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่” อันเป็นระบบที่ใหม่และยุติธรรมอย่างสิ้นเชิง. (2 เปโตร 3:13, ล.ม.) ครั้นแล้ว ในโลกใหม่ที่พระองค์ทรงสร้างนั้น จะไม่มีคนเลวทราม, คนวิปริต ที่ฉวยประโยชน์จากผู้ไร้เดียงสาอีกต่อไป. และผู้ไร้เดียงสาก็ไม่ต้องกลัวว่าจะตกเป็นเหยื่ออีกต่อไป เพราะ “จะไม่มีอะไรมาทำให้เขาสะดุ้งกลัว.”—มีคา 4:4.
[จุดเด่นหน้า 12]
“อาชญากรรมประเภทที่ป่าเถื่อน . . . และน่าสะอิดสะเอียนที่สุด.”—นายกรัฐมนตรีสวีเดน
[จุดเด่นหน้า 13]
“ทุกสัปดาห์ ผู้ชาย 10 ถึง 12 ล้านคนไปเที่ยวโสเภณีเด็ก.”—ดิ อิโคโนมิสต์ ลอนดอน
[จุดเด่นหน้า 14]
เซ็กซ์ทัวร์เป็นสาเหตุใหญ่ ประการหนึ่งของการแสวงประโยชน์จากเด็ก ในประเทศกำลังพัฒนา
[กรอบหน้า 13]
เซ็กซ์ทัวร์—ทำไม?
(เหตุผลบางประการที่ทำให้นักท่องเที่ยวมีเพศสัมพันธ์กับเด็ก)
(1) การที่นักท่องเที่ยวเป็นคนนิรนาม ปลดปล่อยเขาจากการบีบบังคับทางสังคมของประเทศบ้านเกิด
(2) เพราะความเข้าใจมีจำกัดหรือไม่เข้าใจภาษาท้องถิ่นเลย นักท่องเที่ยวอาจถูกหลอกอย่างง่ายดายให้เชื่อว่า การจ่ายเงินเพื่อมีเพศสัมพันธ์กับเด็กเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ หรือไม่ก็เป็นวิธีช่วยเด็กให้พ้นความยากจน
(3) เจตคติแบบนิยมเชื้อชาติทำให้นักท่องเที่ยวแสวงประโยชน์จากคนอื่นซึ่งพวกเขาคิดว่าด้อยกว่า
(4) นักท่องเที่ยวรู้สึกว่าตนเป็นคนร่ำรวย เมื่อเห็นว่าบริการทางเพศซื้อหาได้ง่าย ๆ ในประเทศกำลังพัฒนา
[กรอบหน้า 15]
ขอบเขตทั่วโลกของปัญหานี้
(ต่อไปนี้คือการกะประมาณโดยเจ้าหน้าที่รัฐบาลตามที่ต่าง ๆ รวมทั้งองค์การอื่น ๆ)
บราซิล: มีโสเภณีเด็กอย่างน้อย 250,000 คน
แคนาดา: เด็กหญิงวัยรุ่นนับหมื่น ๆ คนถูกบังคับให้ขายตัวโดยกลุ่มแมงดาที่ทำงานแบบองค์การ
จีน: โสเภณีเด็กมี 200,000 ถึง 500,000 คน. ในไม่กี่ปีมานี้ เด็กหญิงชาวจีนประมาณ 5,000 คนถูกลวงข้ามชายแดนและขายเป็นโสเภณีในพม่า
โคลัมเบีย: จำนวนเด็กที่ถูกแสวงประโยชน์ทางเพศในตลาดโสเภณีของกรุงโบโกตาเพิ่มเป็นห้าเท่าในเจ็ดปีหลังนี้
ยุโรปตะวันออก: มีโสเภณีเด็ก 100,000 คน. หลายคนถูกส่งเข้าซ่องในยุโรปตะวันตก
อินเดีย: เด็ก 400,000 คนมีส่วนเกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมค้าประเวณี
โมซัมบิก: หน่วยงานต่าง ๆ ที่ให้ความช่วยเหลือ กล่าวหากองกำลังรักษาสันติภาพของสหประชาชาติว่าแสวงประโยชน์ทางเพศจากเด็ก
พม่า: แต่ละปีผู้หญิงทั้งเด็กและผู้ใหญ่ 10,000 คนถูกลำเลียงเข้าซ่องโสเภณีในประเทศไทย
ฟิลิปปินส์: มีเด็ก 40,000 คนเกี่ยวข้อง
ศรีลังกา: เด็ก 10,000 คนอายุระหว่าง 6 ถึง 14 ปี ถูกบังคับเยี่ยงทาสในซ่อง และเด็ก 5,000 คนอายุ 10 ถึง 18 ปีทำงานอย่างเอกเทศในแหล่งบริการนักท่องเที่ยว
ไต้หวัน: มีเด็ก 30,000 คนเกี่ยวข้อง
ประเทศไทย: มีเด็ก 300,000 คนเกี่ยวข้อง
สหรัฐ: แหล่งข่าวทางการบอกว่า เด็กมากกว่า 100,000 คนเกี่ยวข้อง