การพิจารณาคดีและการประหาร “ผู้ออกหาก”
โดยผู้สื่อข่าว ตื่นเถิด! ในอิตาลี
ณ ด้านหนึ่งของห้องพิจารณาคดีที่มีบรรยากาศมัวซัวมีบัลลังก์สูงเด่นของผู้พิพากษาตั้งอยู่. บัลลังก์ของประธานซึ่งอยู่ตรงกลางนั้นมีปะรำผ้าสีเข้มครอบอยู่ มีไม้กางเขนขนาดใหญ่ที่ทำด้วยไม้อยู่ข้างบนซึ่งสูงเด่นในห้องพิจารณาคดี. ข้างหน้าบัลลังก์นั้นมีคอกจำเลยตั้งอยู่.
นี่คือวิธีที่มักมีการพรรณนาถึงศาลต่าง ๆ ของศาลศาสนาที่น่าชิงชังของคาทอลิก. ข้อกล่าวหาอันน่าพรั่นพรึงที่มีการยกขึ้นกล่าวโทษจำเลยผู้เคราะห์ร้ายก็คือ “ออกหาก” คำที่ทำให้นึกถึงภาพการทรมานและการประหารด้วยการเผาที่หลัก. ศาลศาสนา (inquisition ซึ่งมาจากคำกริยาภาษาลาตินอินควีโร “สอบสวน”) เป็นศาลพิเศษของพวกนักบวชที่ตั้งขึ้นเพื่อกวาดล้างการออกหาก ซึ่งก็คือความคิดเห็นหรือหลักคำสอนที่ไม่ประสานกับคำสอนเดิมของนิกายโรมันคาทอลิก.
แหล่งข่าวคาทอลิกกล่าวว่าศาลศาสนาถูกตั้งขึ้นเป็นขั้น ๆ. โปปลูเชียสที่ 3 ได้ก่อตั้งศาลศาสนาขึ้นที่สภาเวโรนาในปี 1184 และระเบียบและกระบวนการของศาลนี้ได้รับการปรับปรุงให้สมบูรณ์—ถ้าคำนี้ใช้ได้เพื่อพรรณนาสถาบันที่น่าสะพรึงกลัวนี้—โดยโปปคนอื่น ๆ. ในศตวรรษที่ 13 โปปเกรกอรีที่ 9 ได้ตั้งศาลพิเศษทางศาสนาขึ้นในหลายส่วนของยุโรป.
ศาลศาสนาอันฉาวโฉ่แห่งสเปนถูกตั้งขึ้นในปี 1478 โดยมีคำประกาศซึ่งออกโดยโปปซิกซ์ตัสที่ 4 ตามคำขอร้องของกษัตริย์เฟอร์ดินันด์กับกษัตรีย์อิสซาเบลลาซึ่งครองราชย์อยู่. ศาลนี้ถูกตั้งขึ้นเพื่อต่อสู้พวกมาร์ราโน คือชาวยิวที่แสร้งเปลี่ยนศาสนามาเป็นคาทอลิกเพื่อหนีการกดขี่ข่มเหง; พวกโมริสโก คือพวกสาวกอิสลามซึ่งเปลี่ยนศาสนามาเป็นคาทอลิกด้วยเหตุผลเดียวกัน; และเพื่อต่อสู้พวกออกหากชาวสเปน. เนื่องด้วยความกระตือรือร้นอย่างบ้าคลั่งของเขา หัวหน้าศาลศาสนาคนแรกในสเปน โทมัส เด ตอร์เกมาดา บาทหลวงชาวโดมินิกัน จึงได้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งลักษณะอันชั่วช้าที่สุดของศาลศาสนา.
ในปี 1542 โปปปอลที่ 3 ได้ก่อตั้งศาลศาสนาแห่งโรมขึ้น ซึ่งมีอำนาจการตัดสินคดีทั่วอาณาจักรคาทอลิก. เขาได้ตั้งศาลพิเศษกลางซึ่งประกอบด้วยคาร์ดินัลหกคนที่เรียกว่า ประชาคมศาลศาสนาแห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์และแห่งสากล ซึ่งเป็นคณะนักบวชที่กลายเป็น “การปกครองที่สยองขวัญซึ่งทำให้ทั่วทั้งกรุงโรมเต็มไปด้วยความหวาดกลัว.” (ดีซิโอนารีโอ เอนชีโกลเปดีโก อีตาลีอาโน) การประหารพวกออกหากทำให้ดินแดนเหล่านั้นที่คณะปกครองของบาทหลวงคาทอลิกมีอำนาจปกครองเด็ดขาดนั้นมีแต่ความหวาดกลัว.
การพิจารณาคดีและเอาโต-ดา-เฟ
ประวัติศาสตร์ยืนยันว่า พวกเจ้าหน้าที่ศาลศาสนาได้ทรมานเหล่าผู้ถูกกล่าวหาว่าออกหากเพื่อให้ยอมรับความผิด. ด้วยความพยายามจะทำให้ความผิดของศาลศาสนาลดลง พวกผู้อรรถาธิบายของคาทอลิกได้เขียนว่า ในเวลานั้นการทรมานเป็นสิ่งที่มีอยู่ทั่วไปในศาลพิเศษทางโลกเช่นกัน. แต่นั่นทำให้การใช้การทรมานโดยพวกบาทหลวงที่อ้างเป็นตัวแทนพระคริสต์กลายเป็นเรื่องถูกต้องไหม? พวกเขาน่าจะได้แสดงความเห็นอกเห็นใจอย่างที่พระคริสต์ทรงสำแดงต่อเหล่าศัตรูของพระองค์มิใช่หรือ? เพื่อจะมองดูเรื่องนี้อย่างไม่มีอคติ เราน่าจะใคร่ครวญคำถามง่าย ๆ ข้อหนึ่งคือ: พระคริสต์เยซูจะทรงใช้การทรมานกับคนเหล่านั้นที่ไม่เห็นด้วยกับพระองค์ในเรื่องคำสอนของพระองค์ไหม? พระเยซูตรัสดังนี้: “จงรักศัตรูของท่าน, จงทำดีแก่ผู้ที่เกลียดชังท่าน.”—ลูกา 6:27.
ศาลศาสนาไม่ได้ให้หลักประกันในเรื่องความยุติธรรมใด ๆ แก่ผู้ถูกกล่าวหา. ในทางปฏิบัติแล้ว เจ้าหน้าที่ศาลศาสนามีอำนาจไม่จำกัด. “การสงสัย, คำกล่าวหา, แม้แต่คำบอกเล่า ก็เพียงพอที่เจ้าหน้าที่ศาลศาสนาจะออกหมายเรียกคนหนึ่งให้มาปรากฏตัวต่อหน้าเขา.” (เอนชีโกลเปเดีย กาโตลีกา) อีตาโล เมรอย นักประวัติศาสตร์กฎหมายยืนยันว่า คณะปกครองของบาทหลวงเองนั่นแหละที่คิดและนำระบบยุติธรรมแบบศาลศาสนามาใช้ โดยทิ้งระบบการฟ้องร้องคดีแบบโบราณซึ่งพวกโรมันได้ตั้งไว้นั้นไปเสีย. กฎหมายโรมันเรียกร้องให้ผู้กล่าวหาพิสูจน์ข้อกล่าวหาของตน. หากมีข้อสงสัยใด ๆ การปล่อยตัวเขาไปก็ดีกว่าการเสี่ยงตัดสินลงโทษผู้ไร้ความผิด. คณะปกครองของบาทหลวงคาทอลิกได้แทนที่หลักกฎหมายเดิมนี้ด้วยแนวคิดที่ว่าความสงสัยก็พอจะถือได้ว่ามีความผิด และจำเลยนั่นแหละที่ต้องแสดงให้เห็นว่าตนปราศจากความผิด. ชื่อของพยานโจทก์ (ผู้แจ้งความ) ถูกเก็บเป็นความลับ และทนายจำเลย ถ้ามี ก็เสี่ยงต่อการเสื่อมเสียชื่อเสียงและการสูญเสียตำแหน่งการงานหากเขาต่อสู้คดีให้ผู้ถูกหาว่าออกหากได้อย่างประสบผลสำเร็จ. เอนชีโกลเปเดีย กาโตลีกายอมรับว่า ผลก็คือ “จริง ๆ แล้วผู้ถูกกล่าวหาไม่มีโอกาสแก้ต่าง. ทั้งหมดที่ทนายทำได้ก็คือแนะนำผู้มีความผิดให้สารภาพ!”
การพิจารณาคดีถึงที่สุดด้วย เอาโต-ดา-เฟ คำภาษาโปรตุเกสซึ่งหมายความว่า “การกระทำแห่งความเชื่อ.” นั่นคืออะไร? ภาพวาดในยุคนั้นแสดงให้เห็นว่า จำเลยผู้ประสบชะตากรรมอันเลวร้ายซึ่งถูกกล่าวหาว่าออกหากได้ตกเป็นเหยื่อของการประจานต่อสาธารณชน. ดีซิโอนารีโอ เอเกลซีอัสตีโกนิยามคำ เอาโต-ดา-เฟ ว่าเป็น “การคืนดีอย่างเปิดเผยซึ่งแสดงให้เห็นโดยผู้ออกหากที่ถูกกล่าวโทษและกลับใจ” หลังจากมีการอ่านคำพิพากษาลงโทษพวกเขาแล้ว.
การพิพากษาลงโทษและการประหารชีวิตผู้ออกหากถูกพักไว้ก่อนเพื่อจะรวมผู้ออกหากหลาย ๆ คนไว้ในเหตุการณ์น่าสยดสยองครั้งเดียวกันซึ่งมีปีละสองครั้งหรือมากกว่านั้น. ขบวนผู้ออกหากที่ยาวเหยียดเดินเป็นแถวต่อหน้าผู้เฝ้าดู ซึ่งมีส่วนร่วมพร้อมกับความรู้สึกสยดสยองปนความลุ่มหลงในความโหดเหี้ยมทารุณ. ผู้ถูกตัดสินต้องปีนขึ้นไปบนยกพื้นกลางลานกว้าง และมีการอ่านคำตัดสินพวกเขาด้วยเสียงอันดัง. ผู้ที่ประกาศว่ากลับใจ ซึ่งก็คือละทิ้งหลักคำสอนออกหาก ได้รับการลดโทษจากความหายนะแห่งการถูกขับออกจากศาสนาและถูกตัดสินให้รับโทษต่าง ๆ กันซึ่งรวมทั้งการจำคุกตลอดชีวิตด้วย. ผู้ที่ไม่กลับใจแต่ได้สารภาพต่อบาทหลวงในนาทีสุดท้ายถูกส่งตัวแก่เจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเรือนเพื่อให้ถูกรัดคอ, แขวนคอ, หรือตัดศีรษะ, ตามด้วยการเผา. ส่วนผู้ที่ไม่กลับใจก็ถูกเผาทั้งเป็น. สำหรับการประหารชีวิตนั้นเกิดขึ้นต่อมาอีกระยะหนึ่งภายหลังการประจานต่อหน้าสาธารณชนอีกครั้ง.
กิจการของศาลศาสนาแห่งโรมถูกปกปิดไว้เป็นความลับสุดยอด. แม้กระทั่งทุกวันนี้ พวกผู้คงแก่เรียนก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ค้นหาข้อมูลจากเอกสารที่เก็บรักษาไว้. กระนั้นก็ตาม การค้นคว้าด้วยความอดทนได้ทำให้เอกสารจำนวนหนึ่งเกี่ยวกับการพิจารณาคดีของศาลพิเศษแห่งโรมเป็นที่เปิดเผย. เอกสารเหล่านั้นเผยให้เห็นอะไร?
การพิจารณาคดีของบาทหลวงตำแหน่งสูงผู้หนึ่ง
ปีเอโตร การ์เนเซกกี เกิดที่เมืองฟลอเรนซ์ในตอนต้นศตวรรษที่ 16 ได้ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในอาชีพบาทหลวงประจำสำนักของโปปเคลเมนต์ที่ 7 ผู้ซึ่งแต่งตั้งเขาให้เป็นเลขานุการส่วนตัวของตน. แต่งานอาชีพของการ์เนเซกกีได้สิ้นสุดลงอย่างกะทันหันเมื่อโปปสิ้นชีวิต. ต่อมาเขาได้รู้จักคุ้นเคยกับชนสูงศักดิ์และนักบวชซึ่งเป็นเหมือนเขา คือยอมรับหลักคำสอนบางประการของโปรเตสแตนต์ รีฟอร์เมชัน. ผลก็คือ เขาถูกดำเนินคดีสามครั้ง. โดยถูกตัดสินประหารชีวิต เขาจึงถูกตัดศีรษะ และศพเขาถูกเผา.
พวกผู้ให้อรรถาธิบายพรรณนาถึงการที่การ์เนเซกกีถูกคุมขังในเรือนจำว่าเหมือนตายทั้งเป็น. เพื่อทำให้เขายอมจำนน เขาถูกทรมานและให้อดอาหาร. ในวันที่ 21 กันยายน 1567 เอาโต-ดา-เฟที่เคร่งขรึมน่ากลัวของเขามีการดำเนินการต่อหน้าพวกคาร์ดินัลเกือบทุกคนในโรม. มีการอ่านคำพิพากษาสำหรับการ์เนเซกกีให้เขาฟังบนยกพื้นต่อหน้าฝูงชน. การนั้นจบลงด้วยคำสวดตามประเพณีและการอธิษฐานต่อเหล่าสมาชิกแห่งศาลฝ่ายพลเรือนซึ่งผู้ออกหากจะถูกส่งตัวให้นั้น เพื่อจะ ‘ทำให้มีการบรรเทาโทษและไม่ทำให้เขาถึงตายหรือเลือดออกเกินควร.’ นี่นับว่าเป็นการหน้าซื่อใจคดเหลือเกินมิใช่หรือ? เจ้าหน้าที่ศาลศาสนาต้องการกำจัดพวกผู้ออกหาก แต่ขณะเดียวกันก็แสร้งเป็นขอเจ้าหน้าที่ฝ่ายโลกให้แสดงความเมตตา ด้วยวิธีนี้จึงเป็นการรักษาหน้าและปัดภาระหนักแห่งความผิดฐานทำให้เลือดตกไปให้. หลังจากมีการอ่านคำพิพากษาสำหรับการ์เนเซกกีแล้ว เขาต้องสวมซานเบนิโต คือชุดผ้ากระสอบสีเหลืองที่วาดรูปไม้กางเขนสีแดงสำหรับผู้กลับใจ หรือสีดำที่วาดรูปเปลวไฟและมารสำหรับผู้ไม่กลับใจ. มีการลงโทษตามคำพิพากษาอีกสิบวันให้หลัง.
เหตุใดอดีตเลขานุการของโปปจึงถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ออกหาก? กระบวนการพิจารณาคดีของเขาซึ่งถูกค้นพบในตอนปลายศตวรรษก่อนเผยให้เห็นว่า เขาถูกพบว่ามีความผิด 34 ข้อหาตามหลักคำสอนที่เขาโต้แย้ง. ในหลักคำสอนเหล่านั้นก็มีคำสอนเรื่องสถานชำระบาป, การถือพรหมจรรย์ของบาทหลวงและแม่ชี, การที่ขนมปังและเหล้าองุ่นในพิธีกรรมเปลี่ยนเป็นพระมังสะและพระโลหิตของพระคริสต์, การประกอบพิธีศีลมหาสนิท, การสารภาพบาป, การห้ามรับประทานอาหารบางชนิด, การอภัยโทษ, และการอธิษฐานถึง “นักบุญ.” ข้อหาที่แปดนับว่าน่าสนใจเป็นพิเศษ. (ดูกรอบหน้า 21.) โดยการตัดสินประหารชีวิตคนที่ยอมรับเฉพาะ “พระคำของพระเจ้าที่มีแสดงไว้ในพระคัมภีร์บริสุทธิ์” เท่านั้นว่าเป็นพื้นฐานของความเชื่อ ศาลศาสนาจึงแสดงให้เห็นชัดเจนว่า คริสตจักรคาทอลิกไม่ถือว่าคัมภีร์ไบเบิลบริสุทธิ์เป็นแหล่งเดียวเท่านั้นที่มีขึ้นโดยการดลใจ. ฉะนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่หลักคำสอนหลายประการของคริสตจักรนี้ไม่ได้อาศัยพระคัมภีร์ แต่อาศัยคำสอนสืบปากของคริสตจักร.
การประหารนักศึกษาหนุ่ม
เรื่องราวชีวิตแบบสั้น ๆ และน่าสะเทือนใจของปอมโปนีโอ อัลเจรี ซึ่งกำเนิดใกล้เมืองเนเปิลในปี 1531 นั้นไม่เป็นที่รู้จักเท่าไร แต่เรื่องนี้ปรากฏขึ้นมาจากอดีตที่เลือนรางเนื่องด้วยการตรวจสอบทางประวัติศาสตร์อย่างขยันขันแข็งของพวกผู้คงแก่เรียนจำนวนหนึ่ง. โดยการติดต่อกับพวกครูและนักศึกษาจากส่วนต่าง ๆ ในยุโรปขณะที่อัลเจรีกำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยปาดัว เขาจึงได้รับการแนะนำให้รู้จักเหล่าผู้ที่ถูกเรียกกันว่าพวกออกหากและหลักคำสอนของโปรเตสแตนต์ รีฟอร์เมชัน. ความสนใจของเขาในพระคัมภีร์เพิ่มมากขึ้น.
เขาเริ่มเชื่อว่าคัมภีร์ไบเบิลเท่านั้นที่มีขึ้นโดยการดลใจ และผลก็คือ เขาปฏิเสธหลักคำสอนบางประการของคาทอลิก เช่น การสารภาพบาป, การประกอบพิธีศีลมหาสนิท, สถานชำระบาป, การที่ขนมปังและเหล้าองุ่นในพิธีกรรมเปลี่ยนเป็นพระมังสะและพระโลหิตของพระคริสต์, และการที่ “นักบุญ” อธิษฐานเพื่อบุคคลอื่นรวมทั้งคำสอนที่ว่าโปปเป็นตัวแทนพระคริสต์.
อัลเจรีถูกจับและถูกสอบสวนโดยศาลศาสนาในปาดัว. เขาบอกกับผู้สอบสวนเขาว่า “ผมเต็มใจกลับเข้าคุก กระทั่งอาจถึงตายด้วยหากนั่นคือพระทัยประสงค์ของพระเจ้า. โดยความรุ่งโรจน์ของพระองค์ พระเจ้าจะทรงให้ความเข้าใจกระจ่างแก่ทุกคนมากยิ่งขึ้น. ผมจะทนการทรมานทุกประการด้วยความยินดีเนื่องด้วยพระคริสต์ ผู้ปลอบโยนองค์สมบูรณ์พร้อมของจิตวิญญาณที่ทนทุกข์ ผู้ทรงเป็นความสว่างและดวงสว่างแท้ของผม ทรงสามารถขับไล่ความมืดทุกประการออกไป.” ภายหลังต่อมา ศาลศาสนาแห่งโรมได้ตัวเขาจากการส่งตัวข้ามแดนและได้ตัดสินประหารชีวิตเขา.
อัลเจรีอายุ 25 ปีตอนเขาตาย. วันที่เขาถูกประหารในโรม เขาไม่ยอมสารภาพบาปหรือรับศีลมหาสนิท. เครื่องมือประหารเขาเป็นแบบที่ทารุณกว่าแบบปกติด้วยซ้ำ. เขาไม่ได้ถูกเผาด้วยฟืนหลายมัด. แต่เป็นหม้อขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยวัสดุติดไฟ เช่น น้ำมัน, น้ำมันดิน, และยางไม้—ถูกตั้งไว้บนยกพื้นที่ฝูงชนมองเห็นเต็มตา. ชายหนุ่มที่ถูกมัดผู้นี้ถูกหย่อนลงในหม้อใหญ่ แล้วสิ่งที่อยู่ในหม้อก็ถูกทำให้ติดไฟ. เขาถูกเผาทั้งเป็นอย่างช้า ๆ.
สาเหตุอีกประการของความผิดร้ายแรง
การ์เนเซกกี, อัลเจรี, และคนอื่น ๆ ที่ถูกศาลศาสนาประหารนั้นมีความเข้าใจยังไม่ครบถ้วนเกี่ยวกับพระคัมภีร์. ความรู้ยังจะต้องมี “อุดมบริบูรณ์” ในช่วง “เวลาอวสาน” แห่งระบบนี้. อย่างไรก็ตาม พวกเขาเต็มใจตายเพื่อ “ความรู้แท้” ในระดับที่จำกัดนั้นซึ่งพวกเขาสามารถได้มาจากพระคำของพระเจ้า.—ดานิเอล 12:4, ล.ม.
แม้แต่พวกโปรเตสแตนต์ ซึ่งรวมถึงพวกนักปฏิรูปบางคนของพวกเขาด้วย ก็กำจัดพวกที่ไม่เห็นด้วยโดยการเผาคนเหล่านั้นที่หลักหรือไม่ก็ให้พวกคาทอลิกถูกประหารโดยอาศัยเจ้าหน้าที่ทางโลก. ตัวอย่างเช่น แคลวิน ถึงแม้จะชอบการตัดศีรษะมากกว่า ก็ให้เผาไมเคิล เซอร์เวตุสทั้งเป็นเพราะเป็นผู้ออกหากที่ต่อต้านตรีเอกานุภาพ.
ข้อเท็จจริงที่ว่า การกดขี่ข่มเหงและการประหารพวกผู้ออกหากเป็นเรื่องธรรมดาทั้งสำหรับพวกคาทอลิกและพวกโปรเตสแตนต์นั้นไม่ได้เป็นข้อแก้ตัวสำหรับการกระทำดังกล่าว. แต่พวกคณะปกครองของบาทหลวงต้องรับผิดชอบหนักหนากว่า เนื่องจากการอ้างว่าการเข่นฆ่านั้นถูกต้องตามหลักพระคัมภีร์และแล้วทำราวกับว่าพระเจ้าเองทรงบัญชาให้ทำเช่นนั้น. การทำเช่นนี้ทำให้คำตำหนิสุมอยู่กับพระนามของพระเจ้ามิใช่หรือ? พวกผู้คงแก่เรียนจำนวนหนึ่งยืนยันว่า ออกัสติน “ผู้เขียนเรื่องคริสเตียนในสมัยต้น” ที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งของคาทอลิก เป็นคนแรกที่สนับสนุนหลักการใช้กำลังบังคับ “ทางศาสนา” กล่าวคือ การใช้กำลังต่อสู้การออกหาก. ด้วยความพยายามจะใช้คัมภีร์ไบเบิลพิสูจน์ว่ากิจปฏิบัตินั้นถูกต้อง เขาอ้างถึงถ้อยคำในอุปมาของพระเยซูที่ลูกา 14:23 ที่ว่า “เร่งเร้าเขาให้เข้ามา.” เห็นได้ชัดว่าถ้อยคำเหล่านี้ ซึ่งถูกบิดเบือนความหมายโดยออกัสติน แสดงถึงน้ำใจต้อนรับที่เปิดกว้าง ไม่ใช่การใช้กำลังบังคับอย่างโหดร้ายทารุณ.
เป็นที่น่าสังเกตว่าแม้แต่ในขณะที่ศาลศาสนาปฏิบัติการอยู่ พวกผู้สนับสนุนการยอมผ่อนปรนทางศาสนาก็โต้แย้งการกดขี่ข่มเหงพวกออกหาก โดยอ้างถึงอุปมาเรื่องข้าวสาลีกับข้าวละมาน. (มัดธาย 13:24-30, 36-43) หนึ่งในผู้สนับสนุนเหล่านั้นคือ เดซีเดริอุส เอราสมุส แห่งรอตเทอร์ดัม ผู้ซึ่งกล่าวว่า พระเจ้า ผู้เป็นเจ้าของทุ่งนา ทรงประสงค์ให้พวกออกหากซึ่งก็คือข้าวละมานนั้นได้รับการยอมผ่อนปรน. อีกด้านหนึ่ง มาร์ติน ลูเทอร์ได้ปลุกเร้าให้ใช้ความรุนแรงกับพวกผู้ไม่เห็นด้วยซึ่งเป็นชนชั้นแรงงานและเกือบ 100,000 คนถูกฆ่า.
เมื่อตระหนักถึงความรับผิดชอบอันหนักหนาของศาสนาต่าง ๆ แห่งคริสต์ศาสนจักรซึ่งสนับสนุนการกดขี่ข่มเหงพวกที่เรียกกันว่าผู้ออกหาก เราน่าจะถูกกระตุ้นใจให้ทำอะไร? แน่ละ เราน่าจะต้องการค้นหาความรู้แท้ในพระคำของพระเจ้า. พระเยซูตรัสว่า เครื่องหมายของคริสเตียนแท้คือความรักที่เขามีต่อพระเจ้าและเพื่อนบ้าน ความรักที่เห็นได้ชัดว่าจะไม่ยอมให้มีความรุนแรงเกิดขึ้น.—มัดธาย 22:37-40; โยฮัน 13:34, 35; 17:3.
[กรอบหน้า 21]
ข้อหาบางประการที่การ์เนเซกกีถูกหาว่ามีความผิด
8. “[ท่านได้ยืนยัน] ว่า ไม่มีอะไรอื่นนอกจากพระคำของพระเจ้าซึ่งมีกล่าวไว้ในพระคัมภีร์บริสุทธิ์เท่านั้นที่ควรเชื่อถือ.”
12. “[ท่านได้เชื่อ] ว่าพิธีสารภาพบาปอันศักดิ์สิทธิ์ไม่เป็นเด จูเร ดีวีโน [ตามพระบัญญัติของพระเจ้า] พิธีนี้ไม่ได้ตั้งขึ้นโดยพระคริสต์และไม่มีข้อพิสูจน์จากพระคัมภีร์ และไม่มีการสารภาพบาปใด ๆ ที่จำเป็นเว้นแต่การสารภาพบาปต่อพระเจ้าเอง.”
15. “ท่านได้ก่อความสงสัยในเรื่องสถานชำระบาป.”
16. “ท่านได้ถือว่าพระธรรมมัคคาบีซึ่งอธิบายเรื่องการอธิษฐานเพื่อคนตายเป็นสิ่งแปลกปลอม.”
[ที่มาของภาพหน้า 18]
The Complete Encyclopedia of Illustration/J. G. Heck