แทสเมเนียเกาะขนาดเล็กเรื่องราวที่ไม่มีใดเหมือน
โดยผู้สื่อข่าว ตื่นเถิด! ในออสเตรเลีย
“เนื่องจากแผ่นดินนี้เป็นแห่งแรกที่เราพบในทะเลใต้ และยังไม่เป็นที่รู้จักแก่ชนชาติใด ๆ ทางยุโรป เราจึงตั้งชื่อให้ว่าแอนโทนี ฟัน ดีเมนส์ลันด์ เพื่อเป็นเกียรติแก่ข้าหลวงใหญ่ [ของเรา].” นี่เป็นคำพูดของชาวดัตช์ชื่อ อาเบล ทัสมัน เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 1642 วันรุ่งขึ้นหลังจากที่เขามองเห็นเกาะแทสเมเนีย รัฐเก่าแก่อันดับสองของประเทศออสเตรเลีย.a ทัสมันไม่พบเห็นผู้คนเลย แต่เขามองเห็นควันไฟแต่ไกล และเห็นต้นไม้ในบริเวณนั้นมีรอยบากที่ลำต้นห่างกันช่วงละ 1.5 เมตร. เขาเขียนว่า ใครก็ตามที่บากต้นไม้แบบนั้นหากไม่ใช่มีวิธีการปีนป่ายอย่างแปลกประหลาดก็ต้องเป็นยักษ์! จริง ๆ แล้ว รอยบากเหล่านั้นมีไว้เพื่อช่วยการปีนป่ายต้นไม้.
หลังจากนั้น แผ่นดินของฟัน ดีเมน ไม่ปรากฏอยู่ในบันทึกการเดินเรือของพวกนักสำรวจทางทะเลนานถึง 130 ปี กระทั่งมาร์ยอง ดือเฟรน ชาวฝรั่งเศส และโทเบียส เฟอร์โน ชาวอังกฤษได้แวะมาที่เกาะนี้. กัปตันเจมส์ คุก มาถึงเมื่อปี 1777 และก็เช่นเดียวกันกับดือเฟรน เขาได้ทำการติดต่อกับชนพื้นเมืองซึ่งมีลักษณะเฉพาะบนเกาะนี้. อย่างไรก็ตาม การมาเยือนของเขาเป็นการเริ่มต้นของโศกนาฏกรรม ตามที่จอห์น เวสต์กล่าวในหนังสือประวัติศาสตร์แทสเมเนีย (ภาษาอังกฤษ) “บางชาติถือว่า [กัปตันคุก] เป็นผู้เปิดเส้นทางแห่งอารยธรรมและศาสนา [แต่] สำหรับชนเชื้อสายนี้ [อะบอริจินี] เขาเป็นลางแห่งความตาย.” อะไรเป็นเหตุให้เกิดผลอันน่าเศร้าเช่นนั้น?
แทสเมเนียกลายเป็น “สถานคุมขังแห่งจักรภพอังกฤษ”
การขับออกจากประเทศหรือการเนรเทศถือว่าเป็นไม้เรียวแห่งการตีสอนของรัฐบาลบริเตน และแทสเมเนียได้กลายเป็นทัณฑนิคมหนึ่งของบริเตน. ตั้งแต่ปี 1803 ถึง 1852 มีประมาณ 67,500 คนซึ่งเป็นผู้ชาย ผู้หญิง และแม้กระทั่งเด็ก—บางคนอายุแค่เจ็ดขวบ—ถูกเนรเทศจากประเทศอังกฤษไปยังแทสเมเนียเพราะการประพฤติผิดทางอาญา ซึ่งมีตั้งแต่ขโมยหนังสือบทสวดมนต์จนถึงการข่มขืน. อย่างไรก็ตาม นักโทษส่วนใหญ่ทำงานให้ผู้อพยพที่มาตั้งหลักปักฐาน หรือทำงานให้โครงการต่าง ๆ ของรัฐบาล. สารานุกรมดิ ออสเตรเลียน เอ็นไซโคลพีเดียกล่าวว่า “ไม่ถึงร้อยละสิบด้วยซ้ำ . . . ที่เคยเห็นบริเวณภายในทัณฑนิคม และหลายคนที่ได้เห็นก็อยู่ที่นั่นชั่วระยะสั้น ๆ เท่านั้น.” พอร์ตอาเทอร์บนแหลมแทสมันเป็นทัณฑนิคมหลัก แต่นักโทษหัวเห็ดทั้งหลายถูกส่งไปที่แมกควอรี ฮาร์เบอร์ คุกแห่งนี้ถูกรักษาไว้เป็นอนุสรณ์ “สถานที่สำหรับการทรมานโดยเฉพาะ.” ทางเข้าท่าเรือแคบ ๆ ได้ฉายาอันน่ากลัวว่า ประตูนรก.
ในหนังสือนี่คือออสเตรเลีย (ภาษาอังกฤษ) ดร. รูดอลฟ์ บราช ชี้แจงแง่มุมสำคัญอีกประการหนึ่งของอาณานิคมที่เริ่มก่อตัวแห่งนี้ นั่นคือสภาพฝ่ายวิญญาณ หรือถ้าจะกล่าวให้ถูกก็คือการขาดสิ่งนี้. เขาเขียนว่า “นับตั้งแต่ต้น ศาสนาในออสเตรเลีย [แน่นอน รวมแทสเมเนียด้วย] ถูกละเลยและถูกเพิกเฉย และที่นับว่าแย่ที่สุด กลุ่มผู้นำประเทศได้ใช้ศาสนาอย่างผิด ๆ เพื่อหาประโยชน์ให้ตัวเอง. เมื่อตั้งอาณานิคมนี้ขึ้นไม่ได้มีการอธิษฐานขอพรจากพระเจ้า และพิธีแรกทางศาสนาบนแผ่นดินออสเตรเลียก็ดูเหมือนว่าเป็นความคิดที่เกิดขึ้นภายหลัง.” ขณะที่ผู้อพยพไปอยู่อเมริกาเหนือได้สร้างโบสถ์ “คนรุ่นแรกที่มาตั้งรกรากทางซีกโลกใต้กลับเผาโบสถ์หลังแรกของตน เพื่อหนีความน่าเบื่อหน่ายของการประชุม” ตามคำกล่าวในหนังสือประวัติศาสตร์แทสเมเนีย.
สภาพป่วยทางศีลธรรมที่มีอยู่แล้วยิ่งกำเริบหนัก เพราะเหล้ารัมมีอุดมบริบูรณ์. จอห์น เวสต์ นักประวัติศาสตร์บอกว่าสำหรับพลเรือนและทหารก็เช่นกัน ต่างก็ถือว่าเหล้ารัมเป็น “หนทางที่แน่นอนสู่ความมั่งคั่ง.”
อย่างไรก็ดี บางครั้งอาหารเกิดขาดแคลน. ในช่วงดังกล่าว นักโทษที่ถูกปล่อยออกมารวมทั้งผู้อพยพมาตั้งถิ่นฐานต่างก็ใช้อาวุธปืนล่าสัตว์ชนิดเดียวกันกับที่ชนพื้นเมืองใช้หลาวล่า. เป็นที่เข้าใจได้ว่าความตึงเครียดย่อมก่อตัวเพิ่มมากขึ้น. ตอนนี้บวกเข้ากับความหยิ่งทะนงในเชื้อชาติของคนผิวขาวซึ่งเป็นองค์ประกอบที่เป็นชนวนให้ระเบิดได้, ความอุดมสมบูรณ์ด้วยเหล้ารัม, และความแตกต่างทางวัฒนธรรมซึ่งไม่อาจประสานกันได้. ชาวยุโรปได้ปักหลักเขตและสร้างรั้วกั้นแดน; ส่วนพวกชนพื้นเมืองดั้งเดิมล่าสัตว์และเก็บอาหารร่อนเร่ไปด้วยกัน. ทั้งหมดนี้ก็ขาดเพียงประกายไฟเท่านั้นที่จะจุดชนวนความรุนแรงขึ้น.
การสิ้นสลายของเผ่าพันธุ์หนึ่ง
ประกายไฟนั้นได้เกิดขึ้นเมื่อเดือนพฤษภาคม 1804. กองกำลังนำโดย ร้อยโทมัวร์ ได้ยิงปืนโดยไม่มีมูลเหตุยั่วยุแต่อย่างใดเข้าใส่กลุ่มชนพื้นเมืองกลุ่มใหญ่ที่ออกล่าสัตว์ มีทั้งผู้ชาย, ผู้หญิง, และเด็ก—ทำให้มีการตายและบาดเจ็บมากมาย. “สงครามคนดำ”—หลาวและก้อนหินสู้กับกระสุนปืน—เริ่มขึ้นแล้ว.
ชาวยุโรปจำนวนไม่น้อยหดหู่ใจเมื่อชนพื้นเมืองถูกสังหารหมู่. ข้าหลวงใหญ่เซอร์ จอร์จ อาเทอร์ ทุกข์ใจถึงขนาดที่เขายินยอมทำทุกสิ่งที่จำเป็นเพื่อ ‘ชดใช้เนื่องจากรัฐบาลได้ก่อความเสียหายแก่ชนเผ่าอะบอริจินีโดยไม่ได้ตั้งใจ.’ ด้วยเหตุนี้ เขาจึงริเริ่มโครงการ “ต้อน” และ “ทำให้เป็นอารยชน.” ในการรณรงค์คราวหนึ่งที่เรียกว่า “แนวเขตคนดำ” ซึ่งประมาณ 2,000 คนประกอบด้วยทหาร, ผู้ตั้งถิ่นฐาน, และพวกนักโทษพากันบุกป่าดงพยายามไล่ต้อนจับชนพื้นเมืองแล้วนำไปอยู่ถิ่นฐานใหม่ที่ปลอดภัย. แต่ปฏิบัติการนั้นล้มเหลวอย่างน่าอดสู; คนผิวขาวจับได้เพียงผู้หญิงคนหนึ่งและเด็กผู้ชายคนหนึ่ง. ครั้นแล้ว จอร์จ เอ. โรบินสัน คนเด่นดังในนิกายเวสลีย์เป็นหัวหอกในการนำวิธีที่เป็นการไกล่เกลี่ยมากขึ้นมาใช้ และปรากฏว่าได้ผล. ชนพื้นเมืองไว้ใจเขาและยอมรับข้อเสนอของเขาที่ให้ตั้งถิ่นฐานใหม่บนเกาะฟลินเดอรส์ ทางเหนือของเกาะแทสเมเนีย.
ในหนังสือประวัติศาสตร์ออสเตรเลีย (ภาษาอังกฤษ) ของมาร์เจอรี บาร์นาร์ด ผู้เขียนได้พูดถึงความสำเร็จของโรบินสันว่า “ในความเป็นจริง การไกล่เกลี่ยของเขาเปรียบเหมือนการจุมพิตของยูดา แม้ว่าเขาเองอาจไม่ได้ตระหนักถึงเรื่องนี้นัก. ชาวพื้นเมืองที่น่าสงสารเหล่านั้นถูกแยกไปอยู่บนเกาะฟลินเดอรส์ในช่องแคบบาสส์ โดยมีโรบินสันเป็นเจ้าหน้าที่คุ้มครอง. พวกเขาผ่ายผอมและเสียชีวิต.” แทนที่จะตายเพราะกระสุนปืน แต่กลับต้องมาตายเพราะถูกบังคับให้เปลี่ยนวิถีชีวิตและอาหารการกิน. หนังสือเล่มหนึ่งบอกว่า “ชนพื้นเมืองแท้คนสุดท้ายบนเกาะแทสเมเนียคือ แฟนนี คอกห์เรน สมิท ซึ่งสิ้นชีวิตเมื่อปี 1905 ที่เมืองโฮบาร์ต.” เกี่ยวกับเรื่องนี้ แหล่งอ้างอิงต่าง ๆ ให้ความคิดเห็นต่างกันไป. บางแหล่งอ้างอิงถึงผู้หญิงชื่อ ทรูกานินิ ซึ่งเสียชีวิตที่เมืองโฮบาร์ตปี 1876 แหล่งอื่น ๆ อ้างถึงผู้หญิงคนหนึ่งที่ตายบนเกาะแคงการู ปี 1888. ในปัจจุบัน บรรดาลูกหลานเลือดผสมของชนพื้นเมืองบนเกาะแทสเมเนียดำเนินชีวิตอย่างปกติสุข. นอกเหนือจากรายการประทุษร้ายที่มนุษยชาติทำกันอยู่เรื่อย ๆ ฉากเหตุการณ์นี้มีการเรียกอย่างเหมาะเจาะว่า “โศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ที่สุดของรัฐ.” ยิ่งกว่านั้น เรื่องนี้เน้นความจริงของคัมภีร์ไบเบิลที่ว่า “มนุษย์ครอบงำมนุษย์ด้วยกันเป็นผลเสียหายแก่เขา.”—ท่านผู้ประกาศ 8:9, ล.ม.
ความแตกต่างที่เห็นได้ในแทสเมเนีย
ทุกวันนี้ หากคุณไม่ได้ไปเที่ยวชมพิพิธภัณฑสถาน, ห้องสมุด, หรือซากปรักหักพังของเรือนจำ คุณคงแทบจะไม่รู้เรื่องประสบการณ์อันเลวร้ายในตอนต้นของเกาะที่สวยงามแห่งนี้. แทสเมเนียอยู่ห่างเส้นศูนย์สูตรไปทางใต้ระยะทางเท่ากับกรุงโรม, สับโปโร, และบอสตัน อยู่เหนือเส้นศูนย์สูตร. และเช่นเดียวกับประวัติศาสตร์ เกาะนี้ก็มีความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดด้านภูมิศาสตร์ด้วย แม้ว่าไม่มีพื้นที่ส่วนใดบนเกาะนี้อยู่ห่างจากทะเลเกิน 115 กิโลเมตร.
จากพื้นที่ทั้งหมดของแทสเมเนีย ร้อยละ 44 เป็นป่า และร้อยละ 27 เป็นอุทยานแห่งชาติ. นี่เป็นสัดส่วนที่หาได้ยาก! ตามที่กล่าวในหนังสือข้อเท็จจริงเล็ก ๆ น้อย ๆ เกี่ยวกับแทสเมเนีย (ภาษาอังกฤษ) “บริเวณที่เป็นมรดกโลกในแทสเมเนียตะวันตกนั้นเป็นหนึ่งในพื้นที่ป่าอันกว้างใหญ่ในเขตอบอุ่นแหล่งสุดท้ายของโลกที่ไม่ถูกทำลาย.” ทะเลสาบที่มีน้ำฝนและหิมะคอยหล่อเลี้ยง, แม่น้ำ, และน้ำตก—ซึ่งเนืองแน่นไปด้วยปลาเทราต์—ที่บำรุงเลี้ยงป่าสนพญาไร้ใบ, ยูคาลิปตัส, ไม้น้ำมันเขียว, ไม้แบล็กวูด, ไม้แซสซาฟรา, ไม้เลเทอร์วูด, สนเซเลรี-ทอปท์ ไพน์, สนฮิวออน (สกุลเดียวกับสนสามพันปี) และอื่น ๆ อีกมาก. ไม่แปลกที่ทิวทัศน์อันยาวเหยียดบนที่ราบสูงทางตะวันตกตอนกลางและยอดภูเขาซึ่งมักมีหิมะปกคลุมดึงดูดใจคนรักธรรมชาติให้หวนกลับไปครั้งแล้วครั้งเล่า.
แต่การพิทักษ์ “มรดกโลก” ใช่ว่าจะได้มาโดยไม่ต้องต่อสู้. และผู้คนที่สนใจสิ่งแวดล้อมยังคงคุกรุ่นด้วยความรู้สึกต่อต้านการหาผลประโยชน์จากการทำเหมืองแร่, การทำกระดาษ, และพลังไฟฟ้าที่ได้จากพลังน้ำ. ลักษณะภูมิประเทศคล้ายพื้นผิวดวงจันทร์ของควีนส์ทาวน์ เมืองทำเหมืองแร่เป็นเครื่องเตือนใจที่คอยทิ่มแทงให้นึกถึงผลอันเนื่องมาจากการแสวงประโยชน์จากแหล่งทรัพยากรโดยขาดการพิจารณา.
สัตว์พื้นบ้านอยู่ในฐานะลำบากเช่นกัน—เห็นชัด ๆ ได้แก่ไทแลไซน์หรือเสือแทสเมเนีย สัตว์ประเภทมีกระเป๋าหน้าท้อง ลักษณะคล้ายสุนัข ขนสีน้ำตาลอมเหลือง. ลายสีเข้มพาดที่หลังและบั้นท้ายทำให้มันเหมาะแก่การได้ชื่อว่าเสือ. ที่ไม่สู้จะดีนัก สัตว์ขี้ตื่นซึ่งกินเนื้อเป็นอาหารรูปร่างผอมเกร็งนี้เกิดติดใจรสชาติสัตว์ปีกและแกะ. เนื่องจากมีการตั้งเงินรางวัลเป็นค่าหัว พอถึงปี 1936 มันจึงสูญพันธุ์ไป.
สัตว์ประเภทมีกระเป๋าหน้าท้องอีกชนิดหนึ่งที่ยังเหลือรอดอยู่ซึ่งไม่มีตัวใดเหมือนบนเกาะแทสเมเนียได้แก่ แทสเมเนียน เดวิล. โดยการใช้ขากรรไกรและฟันที่แข็งแรง สัตว์ที่มีพละกำลังประเภทกินของเน่านี้ซึ่งมีน้ำหนักตัวระหว่างหกถึงแปดกิโลกรัม สามารถกินร่างของจิงโจ้ที่ตายแล้วได้หมด ทั้งกะโหลกและส่วนอื่น ๆ.
อนึ่ง แทสเมเนียยังขึ้นชื่อในเรื่องนกจมูกหลอดหางสั้น. หลังจากเริ่มอพยพจากทะเลแทสเมเนีย และบินวนเกือบรอบมหาสมุทรแปซิฟิกแล้ว มันก็จะกลับมาที่โพรงทรายเดิมทุกปี—ความสามารถนี้เป็นเกียรติแด่ผู้ออกแบบองค์ยิ่งใหญ่และพระผู้สร้างอย่างแท้จริง.
บริเวณใกล้ ๆ ที่ทำรังของมันในยามค่ำคืน มีนกอีกชนิดหนึ่งอาศัยอยู่ นกชนิดนี้ “บิน” ใต้น้ำ เป็นนกขนปุยดูน่ารักจะงอยปากเล็ก ๆ หนักประมาณหนึ่งกิโลกรัม มีชื่อว่านกแฟรีเพนกวิน. เป็นพันธุ์เล็กที่สุดในจำพวกเพนกวินด้วยกัน ทั้งส่งเสียงดังที่สุดด้วย! เสียงร้องเพลงและท่วงท่าของมันแตกต่างไปตามอารมณ์ โดยมีเสียงและอากัปกิริยาตื่นเต้นสุดขีดในบางครั้ง. เมื่อมีความรู้สึกโรแมนติก ตัวผู้กับตัวเมียอาจถึงกับร้องเพลงประสานเสียงเพื่อยืนยันความผูกพันกัน. แต่น่าเศร้าที่นกจำนวนมากต้องตายเพราะอวนจับปลาของชาวประมง, จากคราบน้ำมันรั่ว, จากเศษพลาสติกที่สำคัญผิดว่าเป็นอาหาร, หรือถูกสุนัขและแมวป่ากัด.
โฉมหน้าของเกาะด้านที่สงบเงียบ
เมื่อมองจากที่ราบสูงตอนกลางของเกาะไปทางทิศเหนือหรือทิศตะวันออก คุณจะเห็นโฉมหน้าของแทสเมเนียด้านที่เจริญกว่า มีทุ่งนาเป็นสีคล้ำเนื่องจากการไถ มีแม่น้ำและลำธารหลายสายไหลคดเคี้ยว ถนนกว้างเรียงรายด้วยต้นไม้ทั้งสองฟาก และทุ่งหญ้าเขียวชอุ่มก็มีฝูงแกะและฝูงโคกระจายอยู่เป็นหย่อม ๆ. ใกล้กับเมืองลิลีเดลทางเหนือของเกาะ ราวเดือนมกราคม ไร่ลาเวนเดอร์มีดอกบานสะพรั่งเพิ่มสีสันให้กับชนบทแห่งนี้ด้วยดอกสีม่วงอ่อนพร้อมกลิ่นหอมยวนใจ.
ที่ตั้งอยู่สองฟากแม่น้ำเดอร์เวนต์ ไม่ไกลจากสวนแอปเปิลซึ่งทำให้แทสเมเนียได้ชื่อว่าเกาะแอปเปิลก็คือ โฮบาร์ต ซึ่งเป็นเมืองหลวงมีประชากรประมาณ 182,000 คน. ภูเขาเวลลิงตันลูกใหญ่น่าเกรงขามสูง 1,270 เมตรตระหง่านอยู่เหนือเมืองนี้. วันที่อากาศแจ่มใส เมื่อมองจากภูเขาลูกนี้ซึ่งมักมีหิมะปกคลุม คุณจะเห็นทิวทัศน์ของเมืองโฮบาร์ตเบื้องล่างได้. อันที่จริง เมืองโฮบาร์ตได้เปลี่ยนไปและก้าวหน้ามากตั้งแต่ปี 1803 เมื่อร้อยโทจอห์น โบเวนและคณะของเขา 49 คน รวมทั้งนักโทษ 35 คนขึ้นฝั่งครั้งแรกที่ริสดัน โคฟว์. จริงอยู่ การแล่นเรือใบและเสียงไม้ดังเอี๊ยด ๆ หมดสมัยไปแล้ว แต่การแข่งเรือยอชท์อย่างทรหดจากนครซิดนีย์ไปเมืองโฮบาร์ตปีละครั้งทำให้ระลึกถึงการเดินทะเลในสมัยก่อน ขณะที่ใบเรือหลากสีและลำเรือรูปทรงเพรียวลมแล่นฉิวผ่านฝูงชนที่โห่ร้องยินดี ตรงเข้าสู่ใจกลางเมืองโฮบาร์ต.
จากดินแดนแห่งการข่มเหงกลายเป็นอุทยานฝ่ายวิญญาณ
เจฟฟรีย์ บัตเทอร์เวอร์ท หนึ่งในจำนวน 2,447 คนที่เข้าร่วมการประชุมภาค “ความเกรงกลัวพระเจ้า” แห่งพยานพระยะโฮวา ปี 1994 ณ เมืองลอนเซสทันได้เล่าว่า “ผมจำได้สมัยที่ทั้งรัฐแทสเมเนียมีพยานพระยะโฮวาแค่ 40 คน.” เวลานี้มีประมาณ 26 ประชาคมและหอประชุมราชอาณาจักร 23 แห่ง.
“แต่สภาพการณ์ในช่วงนั้นไม่ราบรื่นเสมอไป” เจฟพูดเสริม. ยกตัวอย่าง “ย้อนไปในปี 1938 ทอม คิตโท, ร็อด แมกวิลลี, และผม ต่างสวมป้ายประกบหน้าหลัง โฆษณาการบรรยายสาธารณะเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิล เรื่อง ‘เผชิญข้อเท็จจริง.’ นับว่าเป็นการเปิดโปงศาสนาเท็จอย่างเจ็บปวดซึ่งจะมีการกระจายเสียงจากลอนดอนผ่านเครือข่ายวิทยุ. คราวนั้นขณะที่ผมสมทบกับเพื่อน ๆ พวกเขาถูกพวกเด็กหนุ่มรุมทำร้าย. และตำรวจก็มองเฉย! ผมวิ่งไปช่วยและแล้วก็ถูกชก. แต่ผู้ชายคนหนึ่งยุดเสื้อเชิ้ตของผมด้านหลังได้แล้วดึงตัวผมไปจากที่นั่น. แทนที่จะเฆี่ยนผม เขาตะโกนว่า ‘ปล่อยพวกเขาไป!’ แล้วหันมาพูดเบา ๆ กับผมว่า ‘ผมรู้ดีว่าการถูกข่มเหงนั้นเป็นเช่นไร เพื่อน ผมเป็นคนไอริชนะ.’”
พระยะโฮวาได้ประทานพระพรแก่บรรดาไพโอเนียร์รุ่นบุกเบิกเหล่านั้น เพราะว่าทุกวันนี้ข่าวดีเรื่องราชอาณาจักรของพระเจ้าได้ไปถึงทุกส่วนของเกาะนี้ซึ่งมีพลเมือง 452,000 คน. หลายคนที่สืบเชื้อสายจากพวกนักโทษรุ่นแรก ๆ และชนพื้นเมืองดั้งเดิมคาดหมายจะต้อนรับทุกคนกลับสู่แผ่นดินโลกที่รับการชำระแล้ว—ทั้งคนดำคนขาว—ซึ่งเสียชีวิตอย่างไม่เป็นธรรมในยุคต้น ๆ ที่กระทำต่อกันอย่างทารุณโหดร้าย เพราะคัมภีร์ไบเบิลสัญญาว่า “จะมีการกลับเป็นขึ้นจากตายทั้งของคนชอบธรรมและคนไม่ชอบธรรม.” (กิจการ 24:15, ล.ม.) สภาพการณ์จะได้รับการแก้ไขจนกระทั่ง “สิ่งก่อนนั้นจะไม่ระลึกถึงอีก ทั้งจะไม่คำนึงถึงในหัวใจ.”—ยะซายา 65:17, ล.ม.
[เชิงอรรถ]
a มีการนำชื่อแทสเมเนียมาใช้อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 1855 รัฐที่เก่าแก่ที่สุดคือ นิวเซาท์เวลส์.
[รูปภาพ/แผนที่หน้า 25]
บนสุด: ภูเขาเครเดิล และทะเลสาบดัฟ
บนขวา: แทสเมเนียน เดวิล
ล่างขวา: ป่าฝนทางตะวันตกเฉียงใต้ของแทสเมเนีย
ออสเตรเลีย
แทสเมเนีย
[ที่มาของภาพ]
Tasmanian devil and map of Tasmania: Department of Tourism, Sport and Recreation – Tasmania; Map of Australia: Mountain High Maps® Copyright © 1995 Digital Wisdom, Inc.