ช่วยลูก ๆ ของคุณให้วัฒนาขึ้น
เมื่อพูดถึงการเลี้ยงลูก บิดามารดาหลายคนเสาะหาคำแนะนำทั่วทุกสารทิศ ซึ่งที่จริงมีอยู่พร้อมแล้วในบ้านของตน. ครอบครัวนับไม่ถ้วนมีคัมภีร์ไบเบิล แต่วางให้ฝุ่นจับบนหิ้งหนังสือแทนที่จะนำไปใช้อบรมเลี้ยงดูลูก.
จริงอยู่ หลายคนในทุกวันนี้กังขาเรื่องการใช้คัมภีร์ไบเบิลเป็นเครื่องนำทางในชีวิตครอบครัว. พวกเขาบอกปัดว่าล้าสมัย, คร่ำครึ, หรือเข้มงวดเกินไป. แต่การตรวจสอบด้วยความสุจริตใจจะเผยให้เห็นว่า คัมภีร์ไบเบิลเป็นหนังสือสำหรับครอบครัวที่ใช้ได้ผล. ให้เรามาดูกันว่าเป็นเช่นนั้นอย่างไร.
สภาพแวดล้อมที่ถูกต้อง
คัมภีร์ไบเบิลบอกให้บิดามองบุตรของตนเสมือนเป็น “หน่อมะกอกเทศรอบสำรับ” ของตน. (บทเพลงสรรเสริญ 128:3, 4, ฉบับแปลใหม่) หน่ออ่อนคงไม่เติบโตเป็นต้นไม้ที่ให้ผลหากปราศจากการเพาะปลูกด้วยความระมัดระวัง ปราศจากการบำรุงเลี้ยง, พรวนดิน, และรดน้ำอย่างถูกต้อง. เช่นเดียวกัน การเลี้ยงลูกอย่างประสบผลสำเร็จนั้นเรียกร้องการออกแรงและการดูแลเอาใจใส่. ลูก ๆ ต้องการสภาพแวดล้อมที่ดีเพื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่.
องค์ประกอบแรกสำหรับสภาพแวดล้อมดังกล่าวคือ ความรัก—ระหว่างบิดากับมารดา และระหว่างบิดามารดากับบุตร. (เอเฟโซ 5:33; ติโต 2:4) สมาชิกครอบครัวหลายคนรักกันและกัน แต่ไม่เห็นความจำเป็นที่จะแสดง ความรักนั้นออกมา. กระนั้น ลองคิดดู: คุณจะพูดอย่างถูกต้องได้ไหมว่ามีการติดต่อกับเพื่อน หากคุณเขียนจดหมายถึงเขาโดยไม่เคยแม้กระทั่งจ่าหน้าซอง, ติดแสตมป์, หรือส่งจดหมายนั้น? ทำนองคล้ายกัน คัมภีร์ไบเบิลแสดงให้เห็นว่า ความรักแท้เป็นยิ่งกว่าความรู้สึกที่ทำให้หัวใจอบอุ่น; ความรักนั้นแสดงออกมาโดยทางคำพูดและการกระทำ. (เทียบกับโยฮัน 14:15 และ 1 โยฮัน 5:3.) พระเจ้าทรงวางตัวอย่างในเรื่องนี้ โดยแสดงความรักต่อพระบุตรของพระองค์ทางคำตรัสที่ว่า “ท่านนี้เป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านมาก.”—มัดธาย 3:17.
การชมเชย
บิดามารดาจะแสดงความรักเช่นนี้ต่อลูก ๆ ของตนได้อย่างไร? เริ่มต้นโดยมองหาสิ่งดี. ง่ายที่จะพบข้อบกพร่องในตัวลูก ๆ. ความอ่อนอาวุโส, การขาดประสบการณ์, และความเห็นแก่ตัวของพวกเขาจะแสดงออกมาหลายวิธีนับไม่ถ้วน วันแล้ววันเล่า. (สุภาษิต 22:15) แต่พวกเขาก็ทำสิ่งดีหลายอย่างในแต่ละวัน. คุณจะเพ่งเล็งอย่างไหน? พระเจ้าไม่ฝังพระทัยอยู่กับข้อบกพร่องของเรา แต่ทรงจดจำสิ่งดีต่าง ๆ ที่เราทำ. (บทเพลงสรรเสริญ 130:3; เฮ็บราย 6:10) เราควรปฏิบัติกับลูกอย่างเดียวกัน.
ชายหนุ่มคนหนึ่งบอกว่า “ตลอดชีวิตของผมที่บ้าน นึกดูแล้วไม่มีคำชมเชยแต่อย่างใด—ไม่ว่าจะสำหรับความสำเร็จที่บ้านหรือที่โรงเรียน.” บิดามารดาทั้งหลาย อย่ามองข้ามสิ่งนี้ซึ่งลูก ๆ ของคุณต้องการอย่างยิ่ง! เด็กทุกคนควรได้รับคำชมเชยเป็นประจำสำหรับสิ่งดีต่าง ๆ ที่พวกเขาทำ. นั่นจะช่วยลดความเสี่ยงที่พวกเขาจะโตขึ้นเป็นคน “ท้อใจ” โดยเชื่อว่าสิ่งที่ตนทำนั้นไม่มีวันจะดีพอ.—โกโลซาย 3:21.
การติดต่อสื่อความ
วิธีที่ดีอีกวิธีหนึ่งที่จะแสดงความรักต่อลูกของคุณก็คือ การทำตามคำแนะนำในยาโกโบ 1:19 ที่ว่า “จง . . . ว่องไวในการฟัง, ช้าในการพูด, ช้าในการโกรธ.” คุณเปิดโอกาสให้ลูกเผยความในใจออกมาและตั้งใจฟังสิ่งที่เขาพูดไหม? ถ้าลูกของคุณรู้ว่าคุณจะเทศนาเขาแม้ก่อนจะพูดจบด้วยซ้ำ หรือจะโกรธเมื่อคุณรู้ว่าเขารู้สึกอย่างไรจริง ๆ เช่นนั้นแล้ว เขาอาจจะเก็บความรู้สึกของตนไว้ในใจ. แต่ถ้าเขารู้ว่าคุณจะตั้งใจฟัง ก็มีทางเป็นไปได้มากที่เขาคงจะเปิดใจแก่คุณ.—เทียบกับสุภาษิต 20:5.
แต่จะว่าอย่างไร หากเขาเผยความรู้สึกที่คุณรู้ว่าผิด? เป็นเวลาที่จะโกรธ, เทศนา, หรือตีสอนไหม? จริงอยู่ การพูดโพล่งของเด็กบางครั้งอาจทำให้ยากที่จะ “ช้าในการพูด, ช้าในการโกรธ.” แต่ลองพิจารณาตัวอย่างของพระเจ้ากับบุตรของพระองค์อีกที. พระองค์สร้างบรรยากาศแห่งความหวาดผวาไหม ซึ่งทำให้บุตรของพระองค์ไม่กล้าบอกพระองค์ว่าพวกเขารู้สึกอย่างไรจริง ๆ? เปล่า! บทเพลงสรรเสริญ 62:8 (ล.ม.) บอกว่า “จงไว้วางใจพระองค์ตลอดเวลา. ระบายความในใจของเจ้าต่อพระองค์. พระเจ้าทรงเป็นที่ลี้ภัยแก่เรา.”
ดังนั้น เมื่ออับราฮามกังวลเกี่ยวกับคำตัดสินของพระเจ้าที่จะทำลายเมืองโซโดมและโกโมร์ราห์ ท่านทูลพระบิดาฝ่ายสวรรค์โดยไม่ลังเลว่า “ขอพระองค์อย่าคิดที่จะกระทำเช่นนั้นเลย . . . พระองค์ผู้พิพากษาสากลโลกจะไม่กระทำสิ่งที่ยุติธรรมหรือ?” พระยะโฮวาไม่ได้ตำหนิอับราฮาม; พระองค์ฟังอับราฮามและทำให้ท่านหายวิตกกลัว. (เยเนซิศ 18:20-33, ฉบับแปลใหม่) พระเจ้าสามารถอดทนและอ่อนละมุนอย่างมาก แม้เมื่อบุตรของพระองค์ระบายความรู้สึกที่ไม่ถูกต้องและไร้เหตุผลสิ้นเชิง.—โยนา 3:10–4:11.
เช่นเดียวกัน บิดามารดาจำเป็นต้องสร้างบรรยากาศแวดล้อมอันทำให้ลูก ๆ รู้สึกปลอดภัยที่จะเผยความในใจลึก ๆ ของตนออกมา ไม่ว่าสิ่งนั้นอาจจะก่อความลำบากใจเพียงไร. ดังนั้น ถ้าลูกของคุณระเบิดอารมณ์ออกมา จงฟัง. แทนที่จะดุด่า จงยอมรับความรู้สึกของลูก และค้นเอาสาเหตุออกมา. เพื่อเป็นตัวอย่าง คุณอาจพูดว่า ‘ดูลูกจะโกรธคนนั้นคนนี้. ลูกอยากจะบอกพ่อไหมว่าเกิดอะไรขึ้น?’
จัดการกับความโกรธ
แน่ละ ไม่มีบิดาหรือมารดาคนไหนอดทนเท่ากับพระยะโฮวา. และลูก ๆ ก็อาจลองดีกับพ่อแม่จนเหลืออด. ถ้าคุณโมโหลูกในบางครั้งบางคราว ก็อย่าวิตกว่าสิ่งนั้นจะทำให้คุณเป็นบิดาหรือมารดาที่ไม่ดี. บางครั้ง คุณมีเหตุผลทีเดียวที่จะรู้สึกโกรธ. พระเจ้าเองก็พิโรธอย่างถูกต้องต่อบุตรของพระองค์ กระทั่งต่อบางคนที่พระองค์ทรงรักมาก. (เอ็กโซโด 4:14; พระบัญญัติ 34:10) กระนั้น พระคำของพระเจ้าก็สอนเราให้ควบคุมความโกรธ.—เอเฟโซ 4:26.
โดยวิธีใด? บางครั้งการสงบสติอารมณ์สักครู่ช่วยได้ เพื่อความโกรธของคุณจะมีโอกาสคลายลง. (สุภาษิต 17:14) และจำไว้ว่า นี่คือเด็ก! อย่าคาดหมายพฤติกรรมแบบผู้ใหญ่ หรือความคิดที่อาวุโส. (1 โกรินโธ 13:11) การเข้าใจสาเหตุที่ทำให้ลูกของคุณกระทำอย่างนั้น อาจบรรเทาความโมโหของคุณได้. (สุภาษิต 19:11) อย่าลืมเป็นอันขาดว่า การทำสิ่งไม่ดีกับการเป็นคนไม่ดีนั้นแตกต่างกันมาก. การตะคอกใส่ลูกว่าเป็นคนไม่ดีอาจจะทำให้ลูกคิดสงสัยว่า ‘แล้วจะพยายามเป็นคนดีไปทำไมกัน?’ แต่การแก้ไขลูกด้วยความรัก จะช่วยลูกให้ปรับปรุงดีขึ้นในคราวต่อไป.
คงไว้ซึ่งความเป็นระเบียบและความนับถือ
การสอนลูก ๆ ให้สำนึกถึงความเป็นระเบียบและความนับถือ เป็นหนึ่งในข้อท้าทายใหญ่หลวงที่บิดามารดาเผชิญ. ในโลกที่ปล่อยตามอำเภอใจทุกวันนี้ หลายคนสงสัยด้วยซ้ำไปว่าถูกต้องหรือไม่ที่จะวางข้อจำกัดใด ๆ กับลูกของตน. คัมภีร์ไบเบิลตอบว่า “ไม้เรียวและการว่ากล่าวเป็นที่ให้เกิดปัญญา; แต่เด็กที่ถูกปล่อยตามใจจะเป็นเหตุให้มารดาของตนอับอาย.” (สุภาษิต 29:15, ล.ม.) บางคนเบือนหน้าเมื่อพูดถึง “ไม้เรียว” เพราะคิดว่าสิ่งนั้นส่อถึงการทำร้ายเด็กรูปแบบหนึ่ง. แต่ไม่ใช่. คำภาษาฮีบรูสำหรับ “ไม้เรียว” พาดพิงถึงไม้เท้า เช่นที่คนเลี้ยงแกะใช้ต้อน—ไม่ใช่ทำร้าย—แกะของเขา.a ดังนั้น ไม้เรียวหมายถึงการตีสอน.
ในคัมภีร์ไบเบิล การตีสอนโดยพื้นฐานแล้วหมายถึงการอบรมสั่งสอน. นั่นเป็นเหตุผลที่พระธรรมสุภาษิตกล่าวสี่ครั้งว่า ‘จงฟังคำตีสอน.’ (สุภาษิต 1:8; 4:1; 8:33; 19:27, ล.ม.) เด็ก ๆ จำเป็นต้องเรียนรู้ว่าการทำสิ่งถูกต้องนำมาซึ่งบำเหน็จ และการทำสิ่งผิดนำมาซึ่งผลพวงเลวร้าย. การลงโทษอาจช่วยให้จดจำบทเรียนอันเจ็บปวดไปอีกนาน ทำนองเดียวกับรางวัล—เช่น คำชมเชย—อาจเสริมกำลังใจให้ทำสิ่งที่ดี. (เทียบกับพระบัญญัติ 11:26-28.) สมควรที่บิดามารดาจะเลียนแบบพระเจ้าเรื่องการลงโทษ เพราะพระองค์บอกพลไพร่ของพระองค์ว่าจะลงโทษพวกเขา “ตามขนาด.” (ยิระมะยา 46:28, ฉบับแปลใหม่) เด็กบางคนต้องการคำพูดแรง ๆ เพียงไม่กี่คำเพื่อนำเขากลับเข้าร่องเข้ารอย. เด็กอื่น ๆ ต้องใช้มาตรการที่เข้มงวดกว่า. แต่การลงโทษ “ตามขนาด” จะไม่รวมสิ่งใดก็ตามที่อาจเป็นอันตรายแท้จริงต่อเด็ก ไม่ว่าทางด้านอารมณ์หรือร่างกาย.
การตีสอนที่สมดุลควรนับรวมการสอนเด็กเรื่องพรมแดนและขอบเขต. หลายอย่างในเรื่องเหล่านี้กำหนดไว้แล้วอย่างชัดเจนในพระคำของพระเจ้า. คัมภีร์ไบเบิลสอนให้นับถือแนวพรมแดนรอบที่ดินส่วนบุคคล. (พระบัญญัติ 19:14) มีการกำหนดพรมแดนต่าง ๆ ด้านร่างกาย โดยถือว่าผิดที่จะรักความรุนแรงหรือเจตนาทำร้ายคนอื่น. (บทเพลงสรรเสริญ 11:5; มัดธาย 7:12) คัมภีร์ไบเบิลกำหนดพรมแดนเรื่องเพศ โดยตำหนิว่าการร่วมประเวณีระหว่างญาติใกล้ชิดเป็นสิ่งผิด. (เลวีติโก 18:6-18) คัมภีร์ไบเบิลกระทั่งยอมรับพรมแดนส่วนบุคคลและทางด้านอารมณ์ โดยห้ามเราเรียกใคร ๆ ด้วยถ้อยคำเลวทรามต่ำช้า หรือใช้คำพูดหยาบหยามรูปแบบอื่น ๆ. (มัดธาย 5:22) การสอนลูกเกี่ยวกับขอบเขตและพรมแดนเหล่านี้—ทั้งโดยคำพูดและการวางตัวอย่าง—เป็นสิ่งสำคัญยิ่งในการสร้างบรรยากาศแวดล้อมที่ดีของครอบครัว.
เคล็ดลับอีกอย่างหนึ่งในการคงไว้ซึ่งระเบียบ และความนับถือในครอบครัวก็คือ การเข้าใจบทบาทต่าง ๆ ของสมาชิกครอบครัว. ในหลายครอบครัวทุกวันนี้ บทบาทดังกล่าวไม่ชัดเจนหรือไม่ก็สับสน. ในบางครอบครัวบิดาหรือมารดาจะเล่าปัญหาอันยากจะแบกให้ลูกฟัง ปัญหาที่ลูกไม่พร้อมจะจัดการ. ในครอบครัวอื่น มีการเปิดช่องให้ลูก ๆ เป็นผู้เผด็จการตัวน้อย ๆ ทำการตัดสินใจแทนทั้งครอบครัว. การทำเช่นนี้ผิดและก่อความเสียหาย. บิดามารดามีพันธะที่จะจัดเตรียมสิ่งจำเป็นให้กับลูก ๆ วัยเยาว์ของตน—ทั้งทางร่างกาย, อารมณ์, หรือฝ่ายวิญญาณ—ไม่ใช่กลับกัน. (2 โกรินโธ 12:14; 1 ติโมเธียว 5:8) โปรดพิจารณาตัวอย่างของยาโคบ ซึ่งให้ครอบครัวและกองคาราวานเคลื่อนขบวนช้าลงเพื่อผู้เยาว์จะไม่ลำบากเกินไป. ท่านเข้าใจขีดจำกัดของพวกเขาและปฏิบัติตามนั้น.—เยเนซิศ 33:13, 14.
เอาใจใส่ความจำเป็นฝ่ายวิญญาณ
ไม่มีอะไรสำคัญต่อบรรยากาศแวดล้อมที่ดีของครอบครัวยิ่งไปกว่าสิ่งฝ่ายวิญญาณ. (มัดธาย 5:3) เด็ก ๆ มีวิสัยสามารถอย่างมากสำหรับสิ่งฝ่ายวิญญาณ. พวกเขามีคำถามสารพัด: ทำไมเราจึงเกิดมา? ใครสร้างแผ่นดินโลก, สัตว์, ต้นไม้, และมหาสมุทร? ทำไมคนเราจึงตาย? เกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น? ทำไมคนดีได้รับสิ่งไม่ดี? รายการคำถามดูเหมือนไม่สิ้นสุด. บ่อยครั้ง บิดามารดาเสียอีกที่ไม่ใคร่จะคิดถึงสิ่งดังกล่าว.b
คัมภีร์ไบเบิลกระตุ้นบิดามารดาให้ใช้เวลาอบรมลูก ๆ ของตนทางฝ่ายวิญญาณ. มีการพูดถึงการอบรมเช่นนั้นด้วยสำนวนที่อบอุ่น ในรูปของการสนทนาที่ดำเนินไประหว่างบิดามารดากับบุตร. บิดามารดาอาจจะสอนลูกของตนเกี่ยวกับพระเจ้าและพระคำของพระองค์ เมื่อพวกเขาเดินไปด้วยกัน, นั่งอยู่ด้วยกันในบ้าน, เมื่อเข้านอน—เมื่อไรก็ตามที่เป็นไปได้.—พระบัญญัติ 6:6, 7; เอเฟโซ 6:4.
คัมภีร์ไบเบิลไม่เพียงแต่แนะนำโครงการฝ่ายวิญญาณดังกล่าว. คัมภีร์ไบเบิลยังให้ข้อมูลที่คุณจะต้องใช้ด้วย. ถ้าจะว่าไป คุณจะตอบคำถามของลูก ๆ ดังที่เอ่ยข้างต้นอย่างไร? คัมภีร์ไบเบิลมีคำตอบเหล่านั้น. เป็นคำตอบที่ชัดเจน, น่าดึงดูดใจ, และให้ความหวังได้มากในโลกที่สิ้นหวังนี้. ดียิ่งกว่านั้นอีก การรับเอาสติปัญญาจากคัมภีร์ไบเบิลจะทำให้ลูกของคุณมีหลักพึ่งพิงอันมั่นคงที่สุด ซึ่งเป็นเครื่องนำทางที่วางใจได้ที่สุดในยุคปัจจุบันอันสับสน. จงให้สิ่งนี้แก่พวกเขา แล้วเขาจะวัฒนาอย่างแท้จริง—ในปัจจุบันตลอดถึงอนาคต.
[เชิงอรรถ]
b หนังสือเคล็ดลับสำหรับความสุขในครอบครัว ได้รับการออกแบบเพื่อนำไปใช้ศึกษากับครอบครัว และบรรจุคำชี้แนะมากมายจากคัมภีร์ไบเบิลซึ่งนำไปใช้ได้ในชีวิตสมรสและการเลี้ยงดูบุตร. จัดพิมพ์โดยสมาคมว็อชเทาเวอร์ ไบเบิล แอนด์ แทร็กต์ แห่งนิวยอร์ก.
[จุดเด่นหน้า 11]
หาช่องให้คำชมเชยลูกแบบเฉพาะเจาะจงเป็นประจำ
[กรอบหน้า 9]
วิธีช่วยลูกของคุณให้วัฒนาขึ้น
• จัดให้มีบรรยากาศแวดล้อมที่ปลอดภัย ซึ่งทำให้พวกเขารู้สึกเป็นที่รักและเป็นที่ต้องการ
• ชมเชยเป็นประจำ. แบบเฉพาะเจาะจง
• เป็นผู้ฟังที่ดี
• สงบอารมณ์สักครู่เมื่อความโกรธปะทุขึ้น
• กำหนดพรมแดนและขอบเขตที่ชัดเจน, เสมอต้นเสมอปลาย
• ปรับการตีสอนให้เข้ากับความจำเป็นของลูกแต่ละคน
• อย่าคาดหมายจากลูกของคุณเกินเหตุเกินผล
• เอาใจใส่ความจำเป็นฝ่ายวิญญาณโดยศึกษาพระคำของพระเจ้ากับลูกเป็นประจำ
[กรอบหน้า 10]
ล้ำสมัย
ข้อบัญญัติในคัมภีร์ไบเบิลได้ช่วยชาวยิศราเอลสมัยโบราณให้มีมาตรฐานชีวิตครอบครัวที่เยี่ยมยอดกว่าชาติต่าง ๆ ที่อยู่รอบข้าง. นักประวัติศาสตร์ อัลเฟรด เอเดอร์สไฮม์ ให้ความเห็นว่า “นอกพรมแดนยิศราเอล แทบจะพูดอย่างเต็มปากไม่ได้เลยว่ามีชีวิตครอบครัว หรือแม้แต่ครอบครัว ตามที่เราเข้าใจคำนี้.” เพื่อเป็นตัวอย่าง ท่ามกลางชาวโรมันสมัยโบราณ กฎหมายให้อำนาจเด็ดขาดในครอบครัวแก่ผู้เป็นบิดา. เขาสามารถขายลูกของตนเป็นทาส, ให้ลูกทำงานเยี่ยงกรรมกร, หรือกระทั่งประหารชีวิต—โดยไม่มีการเอาผิดแต่อย่างใด.
ชาวโรมันบางคนคิดว่าเป็นเรื่องแปลกที่พวกยิวปฏิบัติต่อลูก ๆ ของตนด้วยความอ่อนละมุน. ที่จริง ทาซิทุส นักประวัติศาสตร์ชาวโรมันในศตวรรษแรกได้บันทึกข้อความที่เต็มไปด้วยความชิงชังต่อพวกยิว โดยพูดว่า ธรรมเนียมของพวกนี้ “ทั้งวิปริตและน่าขยะแขยงด้วย.” แต่เขายอมรับว่า “เป็นความผิดทางอาญาท่ามกลางพวกเขาที่จะสังหารทารกเกิดใหม่คนใด.”
คัมภีร์ไบเบิลให้มาตรฐานที่สูงส่ง. พระคัมภีร์สอนพวกยิวว่า ลูก ๆ เป็นสมบัติมีค่า—ที่จริง ถือว่าเป็นมรดกจากพระเจ้าเองด้วยซ้ำ—และจะต้องปฏิบัติให้สมค่า. (บทเพลงสรรเสริญ 127:3) ประจักษ์ชัดว่า หลายคนดำเนินชีวิตตามคำแนะนำดังกล่าว. กระทั่งภาษาของพวกเขาก็เผยให้เห็นในเรื่องนี้. เอเดอร์สไฮม์ ให้ข้อสังเกตว่า นอกจากคำที่ใช้สำหรับบุตรและธิดาแล้ว ภาษาฮีบรูโบราณยังมีอีกเก้าคำที่ใช้กับลูก แต่ละคำใช้สำหรับช่วงอายุที่ต่างกันไป. ตัวอย่างเช่น มีคำหนึ่งที่ใช้สำหรับเด็กที่ยังกินนมแม่อยู่ และอีกคำหนึ่งใช้สำหรับเด็กที่หย่านมแล้ว. ส่วนเด็กที่โตขึ้นมาเล็กน้อย ก็ใช้คำหนึ่งที่แสดงว่า กำลังตั้งไข่และแข็งแรง. และสำหรับเด็กโต ใช้อีกคำหนึ่งซึ่งมีความหมายตามตัวอักษรว่า ‘สลัดตัวให้เป็นอิสระ.’ เอเดอร์สไฮม์ ให้ความเห็นว่า “ผู้ที่เฝ้าสังเกตช่วงชีวิตของเด็กด้วยความสนใจแรงกล้าจนกำหนดคำที่ให้ภาพชัดเจนสำหรับแต่ละช่วงของการเติบโตนั้น จะต้องผูกพันรักใคร่ต่อลูก ๆ ของตนอย่างแน่นอน.”