พยานพระยะโฮวาในรัสเซีย
ทัศนะของนักเทววิทยา
พวกผู้นำชุมชนยิวในกรุงโรมสมัยศตวรรษแรกให้ข้อสังเกตเกี่ยวด้วยศาสนาคริสเตียนว่า “ข้าพเจ้าทั้งหลายทราบว่าพวกที่ถือลัทธินี้ก็ถูกติเตียนทุกแห่ง.” บรรดาผู้นำเหล่านี้ทำอย่างไร? น่าชมเชย พวกเขาไปหาอัครสาวกเปาโล ซึ่งตอนนั้นถูกกักบริเวณอยู่ในบ้านหลังหนึ่ง และกล่าวว่า “ข้าพเจ้าทั้งหลายปรารถนาจะฟังท่านกล่าวว่าท่านคิดเห็นอย่างไร.” (กิจการ 28:22) พวกเขาได้ฟังจากปากคริสเตียนซึ่งทราบรายละเอียดอย่างดี แทนที่จะฟังผู้ซึ่งพูดต่อต้านศาสนาคริสเตียน.
เซียร์เก อีวานเยนโก นักเทววิทยาชาวรัสเซียผู้ได้รับการยกย่องนับถือก็ทำคล้ายกัน. ถึงแม้เขาเชื่อรายงานหลายอย่างที่เป็นไปในแง่ลบเกี่ยวกับพยานพระยะโฮวาซึ่งกำลังแพร่สะพัดในรัสเซีย แต่เขาก็ตัดสินใจโทรศัพท์ไปยังสำนักงานสาขาของพยานฯ ซึ่งตั้งอยู่ชานเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เพื่อขอทราบข้อมูล. เขาตอบรับคำเชิญให้ไปเยี่ยมชมที่นั่น, ถามคำถาม, และสังเกตพวกพยานฯ ด้วยตาตนเอง.
เมื่อมิสเตอร์อีวานเยนโกมาถึงในเดือนตุลาคม 1996 อาคารซึ่งจุสมาชิกผู้ทำงาน ณ สำนักงานสาขาของพยานพระยะโฮวาในรัสเซียได้เกือบ 200 คนใกล้จะแล้วเสร็จ. ต่อจากนั้นเป็นเวลาสามวันเขาได้รับโอกาสให้สังเกตการณ์ที่สถานก่อสร้าง, รับประทานอาหารในห้องอาหาร, และสัมภาษณ์ใครก็ได้ที่เขาต้องการ.
บทความหนึ่งที่มิสเตอร์อีวานเยนโกเขียนเกี่ยวกับพยานฯ ได้รับการตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์อันเป็นที่นิยมในรัสเซียชื่อมอสโก นิวส์ ฉบับ 16-23 กุมภาพันธ์ 1997. บทความนั้นซึ่งมีชื่อว่า “เราควรกลัวพยานพระยะโฮวาไหม?” ยังปรากฏในมอสโก นิวส์ ภาคภาษาอังกฤษ ฉบับ 20-26 กุมภาพันธ์อีกด้วย. เนื่องจากผู้อ่านตื่นเถิด! หลายคนมีความสนใจแรงกล้าในกิจกรรมของพยานพระยะโฮวาในรัสเซีย เราจึงขออนุญาตนำบทความส่วนใหญ่มาตีพิมพ์อีกในวารสารนี้. มิสเตอร์อีวานเยนโก เริ่มด้วยประสบการณ์ต่อไปนี้ ซึ่งพิมพ์เป็นตัวหนา:
“‘พวกนิกายนอกรีต ไปให้พ้นรัสเซีย!’ เป็นข้อความจากแผ่นโปสเตอร์ที่โบกไปมาโดยสมาชิกพรรคการเมืองแอลดีพีอาร์แห่งซิรินอฟสกี ซึ่งไปยืนประท้วงหน้าสถานประชุมของพยานพระยะโฮวา. ‘คุณไม่ชอบองค์การนี้ตรงไหน?’ ผมถามหนึ่งในพวกที่ถือป้ายประท้วง. เขายื่นหนังสือพิมพ์เมกาโปลิส-เอกซ์เพรส ฉบับหนึ่งให้ผม มีข้อความพาดหัวข่าวว่า ‘ซิฟิลิสศาสนาระบาดในคัมชัตกา.’ หนังสือพิมพ์นี้บอกว่าเพื่อจะหาเงินเข้าองค์การ พวกพยานพระยะโฮวาจึงดำเนินการหาแขกให้โสเภณีและตั้งแก๊งค้าประเวณี ทำให้กามโรคระบาดในหมู่กะลาสีเรือ. ‘คุณเป็นหนึ่งในผู้ได้รับความเสียหายด้วยหรือ?’ ผมถามด้วยความเห็นใจ ‘คุณเชื่อข่าวนี้ไหม?’ ‘ไม่สำคัญหรอก’ เขาตอบ. ‘ที่สำคัญคือนิกายจากอเมริกานี้กำลังทำลายสภาพฝ่ายวิญญาณและวัฒนธรรมของรัสเซีย และเราต้องหยุดมัน.’”
บทความซึ่งมิสเตอร์อีวานเยนโกเขียนอยู่ถัดลงไปใต้ชื่อเจ้าของบทความ: “โดย เซียร์เก อีวานเยนโก นักเทววิทยา, นักศึกษาใกล้จบปริญญาสาขาปรัชญา.”
“การพูดตรงไปตรงมาเช่นนี้หายากจริง ๆ แม้จะเป็นความจริงที่ว่าชาวรัสเซียหลายคนไม่ค่อยชอบพยานพระยะโฮวาเท่าไรนัก. แค่มีการเอ่ยถึงองค์การนี้เพียงครั้งเดียวก็ยังผลให้ผู้คนแสดงความเห็นเข้ามาไม่ขาดสายต่อองค์การนี้เกี่ยวกับการเชื่ออย่างไม่ลืมหูลืมตาไม่เข้าท่า, จุดกำเนิดจากอเมริกา, ความเชื่อที่ขาดการไตร่ตรองของเหล่าสมาชิกระดับธรรมดาที่มีต่อพวกผู้นำขององค์การ, และความเชื่อที่ว่าอวสานของโลกใกล้เข้ามาแล้ว. สำหรับหลายคน พยานพระยะโฮวาก่อความกลัวระคนกับความอยากรู้อยากเห็น.
“ศาสนานี้เป็นอย่างไร และเราควรกลัวไหม?
“เพื่อหาคำตอบให้กับตัวเองเกี่ยวด้วยเรื่องนี้ ผมได้ไปเยี่ยมหมู่บ้านโซลเนชนอยเย ในตำบลกูรุตนอยเย เมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ซึ่งศูนย์อำนวยการของพยานพระยะโฮวาในรัสเซียตั้งอยู่ที่นั่น.
***
“[ศูนย์นี้] ตั้งอยู่บนที่ซึ่งแต่ก่อนเคยเป็นค่ายฤดูร้อน. พอถึงปี 1992 อาคาร [เดิม] ทรุดโทรมอย่างหนัก และพวกจรจัดกับหนูเป็นฝูง ๆ ก็เข้ามาอยู่แทนเด็ก. ดูเหมือนว่าสภาพทรุดโทรมของบริเวณดังกล่าวทำให้พยานพระยะโฮวาได้รับที่ดินผืนนั้นจำนวนเกือบสี่สิบสี่ไร่เพื่อใช้ประโยชน์ในเวลาที่ไม่กำหนด. พวกเขาบูรณะอาคารเก่าและเริ่มสร้างอาคารหลังใหม่ ๆ ด้วย รวมทั้งตึกอำนวยการสี่ชั้น, [หอประชุม] 500 ที่นั่ง, และห้องอาหาร. พวกพยานพระยะโฮวานำหญ้าใหม่มาปลูกเช่นกัน (สั่งพิเศษจากฟินแลนด์) อีกทั้งปลูกต้นไม้หายากหลากหลายพันธุ์. คาดว่างานจะแล้วเสร็จในฤดูร้อนที่จะถึงนี้. งานหลักของศูนย์อำนวยการนี้คือ การจัดระเบียบงานเผยแพร่และการส่งสรรพหนังสือไปยังประชาคมท้องถิ่นของพยานพระยะโฮวา. โซลเนชนอยเยไม่มีโรงพิมพ์เป็นของตัวเอง ดังนั้น หนังสือภาษารัสเซียจึงต้องพิมพ์ที่เยอรมนี แล้วส่งมายังเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก จากที่นี่ก็จะกระจายไปยังภูมิภาคต่าง ๆ. มีราว ๆ 190 คนทำงานที่ศูนย์นี้. พวกเขาทำงานในฐานะอาสาสมัคร และแม้เขาจะไม่ได้รับเงินเดือน แต่ก็มีการจัดหาสิ่งจำเป็นพื้นฐานทุกอย่างให้พวกเขา เช่น ที่พักอาศัย, อาหาร, และเสื้อผ้า.
“งานของศูนย์นี้ดูแลโดยคณะผู้ปกครอง 18 คน. เวสยิลยี เคลยิน เป็นผู้ประสานงานของศูนย์อำนวยการตั้งแต่ปี 1992. เขาเกิดในอีวาโน-ฟรานคอฟสค์. ในปี 1951 ขณะอายุสี่ขวบ เขาและบิดามารดาถูกเนรเทศไปยังไซบีเรีย (ในปี 1949 และปี 1951 ประมาณ 5,000 ครอบครัวถูกพวกเจ้าหน้าที่เบียดเบียนข่มเหงเนื่องจากเป็นพยานพระยะโฮวา). เขารับบัพติสมาในปี 1965 และอาศัยอยู่ในเขตอิร์คุตสค์. เขาทำงานเป็นหัวหน้าคนงาน ณ โรงงานแปรรูปไม้แห่งหนึ่ง.
“นอกจากอาสาสมัครที่ศูนย์อำนวยการแล้ว ยังมีอาสาสมัครทำงานก่อสร้างอีก 200 คนอยู่ในโซลเนชนอยเย มาจากรัสเซีย, ฟินแลนด์, สวีเดน และนอร์เวย์: พวกเขาส่วนใหญ่ลางานประจำของตนมาช่วย. ยังมีพยานพระยะโฮวาหลายคนมาจากยูเครน, มอลโดวา, เยอรมนี, สหรัฐ, ฟินแลนด์, โปแลนด์, และประเทศอื่น ๆ. (พวกพยานพระยะโฮวาไม่มีความเดียดฉันท์ทางเชื้อชาติ. แม้ข้อเท็จจริงที่ว่า ชาวจอร์เจีย, อับคาเซีย, อาเซอร์ไบจาน และอาร์เมเนียอยู่ด้วยกันที่ศูนย์ แต่ในสี่ปีที่ผ่านมายังไม่เคยมีการต่อสู้ขัดแย้งสักครั้งเดียว.)
“วัสดุและเครื่องมือก่อสร้างส่วนใหญ่จัดส่งมาจากประเทศแถบสแกนดิเนเวีย และจำนวนมากยังเป็นการให้ฟรีอีกด้วยจากเพื่อนร่วมความเชื่อ. ผมได้เห็นรถปรับดินซึ่งพยานพระยะโฮวาชาวสวีเดนคนหนึ่งนำมายังโซลเนชนอยเยในปี 1993. เขาขับมันตลอดเวลาที่อยู่ในโซลเนชนอยเย และก่อนจะกลับบ้าน เขามอบให้พี่น้องร่วมความเชื่อ. พวกคนงานก่อสร้างได้พักในบ้านและหอพักที่สะดวกสบายพร้อมอาหาร. กิจวัตรประจำวันของพวกเขาเป็นอย่างนี้คือ 7.00 น.—อาหารเช้าและคำอธิษฐาน; พวกเขาทำงานตั้งแต่ 8.00 น. ถึง 17.00 น. โดยพักรับประทานอาหารเที่ยงหนึ่งชั่วโมง. วันเสาร์พวกเขาทำงานครึ่งวันและวันอาทิตย์เป็นวันหยุดพัก.
“พวกเขารับประทานอาหารที่ดี และมีผลไม้ในรายการอาหารเสมอ. ศาสนานี้ไม่มีการถือศีลอดและไม่มีข้อจำกัดเคร่งครัดเรื่องอาหารเลย. หลังเลิกงาน หลายคนเข้าเซาน่า แล้วก็ดื่มเบียร์ และนั่งฟังดนตรี. ไม่มีคนเมาเหล้าในหมู่พยานพระยะโฮวา กระนั้น แอลกอฮอล์ก็ไม่ใช่สิ่งต้องห้ามแต่อย่างใด. ผู้เชื่อถือศาสนานี้สามารถดื่มไวน์, คอนญัก, วอดก้า และอะไร ๆ ทำนองนี้ พอประมาณ. อย่างไรก็ตาม พยานพระยะโฮวาไม่สูบบุหรี่.
***
“มีการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลสามครั้งในหนึ่งสัปดาห์ ซึ่งผู้เข้าร่วมส่วนใหญ่อยู่ในวัยหนุ่มสาว. แต่ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่พบผู้เป็นพยานพระยะโฮวามานาน 30-40 ปี. ผู้สูงอายุแทบทุกคนเคยติดคุก, เคยอยู่ในค่ายบังคับใช้แรงงาน และเคยถูกเนรเทศ. หลังจากยุคแห่งการกดขี่ปราบปรามสิ้นสุดลง นายแพทย์, ทนายความ, วิศวกร, ครู, นักธุรกิจ, และนักศึกษาหลายคนได้มาเข้าร่วมขบวนแถวเป็นพยานพระยะโฮวา.
“ประชาคมต่าง ๆ พยายามรักษาไว้ซึ่งบรรยากาศแห่งความเสมอภาคในหมู่สมาชิกของตน. เพื่อเป็นตัวอย่าง แม้แต่ผู้ประสานงานของศูนย์อำนวยการนี้ก็ต้องล้างจานในตอนเย็นเมื่อถึงเวรของตน. พยานพระยะโฮวาพูดคุยแบบเป็นกันเอง และจะเพิ่มคำว่า ‘บราเดอร์’ หรือ ‘ซิสเตอร์’ ข้างหน้าชื่อของคนที่เขาเรียก.
“เมื่อพยานพระยะโฮวาคนหนึ่งละเมิดคำสอนของคัมภีร์ไบเบิล และปฏิเสธที่จะกลับใจ เขาจะต้องได้รับโทษขั้นรุนแรงที่สุด—เขาจะถูกขับออกไป. บุคคลดังกล่าวยังคงเข้าร่วมประชุมได้ แต่เพื่อนร่วมความเชื่อจะไม่ทักทายเขาอีกต่อไป. มาตรการที่รุนแรงน้อยกว่าได้แก่การว่ากล่าว.
***
“ผมใช้เวลาสังเกตพวกพยานพระยะโฮวาอยู่นาน เพื่อจะดูว่าอะไรชักนำผู้คนมากมายที่มีความแตกต่างกันให้เข้ามายังองค์การศาสนานี้. แม้พวกเขาจะแตกต่างกันในเรื่องบุคลิกภาพ, ระดับของการศึกษาอีกทั้งความชอบและไม่ชอบส่วนตัว [พยานพระยะโฮวาก็ไม่ร่วมในการนมัสการกับ] ศาสนาต่าง ๆ ซึ่งอะลุ่มอล่วยกับโลกที่ผิดบาป. พวกเขารู้สึกไม่สบายใจเมื่ออยู่ในที่ที่ [ผู้คน] จำต้องเชื่อฟังผู้มีอำนาจอย่างไม่ลืมหูลืมตา, ที่ที่มีความเชื่อเรื่องรหัสยลัทธิ (ลัทธิที่ถือว่าผู้มีสัมผัสพิเศษเท่านั้นจะเข้าถึงพระเจ้าได้), ที่ที่ผู้คนถูกแบ่งแยกเป็นชนชั้นนักบวชและฆราวาส.
“พยานพระยะโฮวาโดดเด่นอย่างเห็นได้ชัดเนื่องด้วยความเชื่อศรัทธาอันมั่นคงในการดำเนินชีวิตสอดคล้องกับคัมภีร์ไบเบิล. พวกเขาพยายามยืนยันการดำเนินชีวิตทุกย่างก้าวของตนด้วยหลักการข้อนี้ข้อนั้นในคัมภีร์ไบเบิล, หรือโดยอ้างถึงข้อความจากพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมหรือพันธสัญญาใหม่. พยานพระยะโฮวาเชื่อว่า คัมภีร์ไบเบิลและเฉพาะคัมภีร์ไบเบิลเท่านั้นที่มีคำตอบให้กับทุกคำถาม. สำหรับพยานพระยะโฮวาแล้ว คัมภีร์ไบเบิลเป็นเสมือนรัฐธรรมนูญ, ประมวลกฎหมายแพ่ง, และเป็นสัจธรรมขั้นสูงสุด.
“เนื่องด้วยเหตุผลนี้ พวกพยานพระยะโฮวาจึงเป็นที่รู้จักกันดีทั่วโลก ในฐานะประชาชนที่รักษากฎหมายโดยปราศจากด่างพร้อย และเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องเจตคติต่อการเสียภาษีอย่างเคร่งครัด. สำนักงานตรวจสอบภาษีทำการตรวจพวกเขาเป็นประจำ และต้องประหลาดใจทุกครั้งที่พบว่า ไม่มีการละเมิดใด ๆ เลย. แน่ละ พยานพระยะโฮวาอาจพยายามหาเหตุผลเพื่อหลบเลี่ยงภาษีเช่นเดียวกับคนอื่น ๆ ก็ได้ แต่คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า คนเราต้องซื่อสัตย์ในการเสียภาษี และสำหรับพยานพระยะโฮวาแล้ว สิ่งนี้เป็นอำนาจชี้ขาด.
“อย่างไรก็ตาม การที่พวกเขามีเจตคติยึดมั่นแน่วแน่ต่อคัมภีร์ไบเบิล มักจะเป็นที่มาของการกระทบกระทั่งอย่างรุนแรงในบางครั้งระหว่างพยานพระยะโฮวากับรัฐบาล. จุดยืนที่พวกเขาไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองอย่างสิ้นเชิง เป็นประเด็นใหญ่ที่ก่อให้เกิดการโต้แย้ง และจุดยืนนี้แสดงให้เห็นโดยการที่พวกเขาปฏิเสธไม่รับราชการในกองทัพ.
“พยานพระยะโฮวาตีความตามตัวอักษรในคำตรัสของพระเยซูเรื่องการที่เหล่าสาวกและราชอาณาจักรของพระองค์ไม่เป็นส่วนของโลกนี้ ฉะนั้น พวกเขาจึงปฏิเสธที่จะเข้าส่วนในการเมืองและสงคราม ไม่ว่าที่ไหนและไม่ว่าจะสู้รบกันด้วยสาเหตุอะไร. เนื่องจากพวกพยานพระยะโฮวาปฏิเสธไม่ยอมร้อง ‘ไฮล์ ฮิตเลอร์’ และไม่ยอมรับราชการในกองทัพของฮิตเลอร์ ผู้เชื่อถือนับพัน ๆ คนจึงถูกส่งตัวไปยังค่ายกักกันนาซี และหลายพันคนเสียชีวิต. พยานพระยะโฮวาชาวเยอรมันแต่ละคนซึ่งสูญเสียชีวิตเพราะปฏิเสธไม่เข้าส่วนในการรุกรานสหภาพโซเวียต ชาวรัสเซียมองว่าเป็นบุคคลที่กระทำกิจทางศีลธรรมอันสูงส่ง. แต่ในเวลาเดียวกัน ชาวรัสเซียหลายคนไม่ใคร่จะเห็นใจพวกพยานพระยะโฮวา [ชาวรัสเซีย] เหล่านั้นซึ่งถูกตัดสินลงโทษเพราะปฏิเสธไม่ยอมจับอาวุธและไม่เข้าส่วนในสงครามโลกครั้งที่สอง หรือถูกตำหนิว่ามีความผิดเนื่องจากปฏิเสธไม่รับราชการในกองทัพยามว่างเว้นสงคราม. แต่ทั้งสองกรณี พยานพระยะโฮวาปฏิบัติสอดคล้องกับความเชื่อศรัทธาทางศาสนาของพวกเขา ไม่ใช่ความเชื่อมั่นทางการเมือง.
“ไม่นานมานี้ก็เกิดปัญหาคล้าย ๆ กันในญี่ปุ่น ซึ่งนักศึกษาบางคนที่เป็นพยานพระยะโฮวาปฏิเสธไม่ยอมเรียนศิลปะป้องกันตัว และต้องเสี่ยงกับการถูกไล่ออกจากมหาวิทยาลัย. ในปี 1996 ศาลสูงสุดของญี่ปุ่นมีคำตัดสินชี้ขาดซึ่งสนับสนุนสิทธิเสรีภาพของนักศึกษาเหล่านี้ และยอมให้พวกเขาเลือกเรียนวิชาอื่นแทนได้.
***
พวกพยานพระยะโฮวามีอะไรหรือที่ทำให้คนช่างคิดสมัยปัจจุบันประหลาดใจ? เหนืออื่นใดก็คือ การเผยแพร่ไม่หยุดหย่อนของพวกเขาที่ว่า อวสานของโลกใกล้เข้ามาแล้ว (พวกเขาทำงานมิชชันนารีตามถนนหนทางและตามบ้านเรือน). ระยะหลัง ๆ นี้ พวกผู้ปกครองได้แนะนำผู้เผยแพร่ไม่ให้เน้นมากนักเรื่อง ‘อวสานของโลก’ และชะตากรรมอันน่าสลดหดหู่ซึ่งจะตกแก่คนบาป แต่ให้บรรดาผู้เผยแพร่อธิบายแก่ผู้ฟังว่า พระยะโฮวากำลังให้โอกาสพวกเขาที่จะมี ‘ชีวิตนิรันดร์ในอุทยานบนแผ่นดินโลก.’
“อีกจุดหนึ่งที่ทำให้ผู้คนขุ่นเคืองก็คือ เจตคติในแง่ลบของพยานพระยะโฮวาเกี่ยวด้วยการรวมความเชื่อ และการปฏิเสธการร่วมมือกับคริสต์ศาสนจักร. พวกเขาเชื่อว่า คริสต์ศาสนจักรทรยศต่อพระเจ้าและคัมภีร์ไบเบิล และเชื่อว่าศาสนาอื่น ๆ ทั้งหมดผิดพลาดมหันต์. พยานพระยะโฮวาเปรียบเทียบศาสนาเหล่านี้เป็น ‘หญิงแพศยาแห่งบาบูโลน’ และยืนยันว่าชะตากรรมอย่างเดียวกันจะตกแก่ศาสนาดังกล่าว. วารสารตื่นเถิด! (ภาษาอังกฤษ) ฉบับไม่นานมานี้กล่าวว่า อวสานสำหรับศาสนาต่าง ๆ มาใกล้แล้ว และศาสนาเดียวที่จะคงอยู่ต่อไปคือ ศาสนาที่พวกพยานพระยะโฮวากำลังเผยแพร่.
“อนึ่ง พยานพระยะโฮวายอมรับว่าแต่ละคนมีสิทธิเสรีภาพที่จะทำตามสติรู้สึกผิดชอบของตน.
***
“มีบางประเทศที่ได้แสดงความเป็นห่วงว่าการสอนของพยานพระยะโฮวาเป็นภัยคุกคามต่อสังคมหรือไม่. ศาลสูงสุดแห่งรัฐคอนเนกติกัต สหรัฐ (1979) และรัฐนิวเซาท์เวลส์ ออสเตรเลีย (1972), ศาลประจำมณฑลแห่งบริติช โคลัมเบีย แคนาดา (1986) และศาลอื่น ๆ ได้แถลงว่า ไม่มีหลักฐานใด ๆ แสดงว่าพยานพระยะโฮวาเป็นภัยคุกคามสังคม, หรือที่ว่าพวกเขาคุกคามสุขภาพหรือสภาพทางอารมณ์ของประชาชน. ศาลสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรป (1993) ได้ปกป้องสิทธิของพยานพระยะโฮวาในเรื่องเสรีภาพทางศาสนา ซึ่งถูกจำกัดในกรีซและออสเตรีย. ปัจจุบัน พยานพระยะโฮวาประสบการข่มเหงใน 25 ประเทศ . . .
“อาจมองพยานพระยะโฮวาได้ว่าเป็นตัวอย่างแก่เพื่อนร่วมชาติของเขาเรื่องการเลื่อมใสศรัทธาต่อความจริงในคัมภีร์ไบเบิลและความเต็มใจยืนหยัดปกป้องความเชื่อของตนอย่างไม่เห็นแก่ตัว. แต่มีคำถามเกิดขึ้นคือ สังคมของเราพร้อมจะให้หลักประกันเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ในเรื่องเสรีภาพที่จะทำตามสติรู้สึกผิดชอบแก่องค์การต่าง ๆ ซึ่งใช้หลักการจากคัมภีร์ไบเบิลในทุกแง่ทุกมุมของชีวิต ด้วยท่าทีที่เด็ดขาดไม่ยอมอะลุ่มอล่วยไหม?’”
ในประโยคสุดท้ายนี้ มิสเตอร์อีวานเยนโกได้ยกคำถามสำคัญอย่างหนึ่งขึ้นมา. ในศตวรรษแรก อัครสาวกเปาโลซึ่งพระคริสต์ทรงเลือกโดยตรงให้เป็นตัวแทนของพระองค์นั้น “ถูกจำจอง” อย่างไม่ยุติธรรม. ด้วยเหตุนี้ เปาโลจึงเขียนไปยังเพื่อนร่วมความเชื่อเกี่ยวกับความพยายามของท่านที่จะ “ป้องกันและการทำให้ข่าวดีมีกฎหมายรองรับ.”—ฟิลิปปอย 1:7, ล.ม.; กิจการ 9:3-16.
ปัจจุบัน พยานพระยะโฮวายินดีต้อนรับทุกคนให้มาตรวจสอบกิจกรรมของพวกเขาอย่างใกล้ชิด ดังที่มิสเตอร์อีวานเยนโกได้ทำ. เรามั่นใจว่า ถ้าใครทำเช่นนี้ เขาจะพบว่ารายงานในแง่ลบเกี่ยวกับพยานฯ นั้นไม่เป็นความจริง เช่นเดียวกับรายงานต่าง ๆ ทำนองนี้เกี่ยวกับคริสเตียนยุคแรกก็ไม่เป็นความจริงเช่นกัน. อย่างโดดเด่นเห็นชัด พวกพยานฯ เชื่อฟัง “บัญญัติใหม่” ซึ่งพระเยซูประทานแก่เหล่าสาวกของพระองค์ที่ว่า “เรารักเจ้าทั้งหลายมาแล้วฉันใด, เจ้าจงรักซึ่งกันและกันด้วยฉันนั้น.”—โยฮัน 13:34, 35.
[กรอบหน้า 23]
แฟ้มข้อมูลมอสโก นิวส์
(รายละเอียดต่อไปนี้จากแฟ้มข้อมูลของหนังสือพิมพ์มอสโก นิวส์ ได้ตีพิมพ์พร้อมกับบทความนี้ของเซียร์เก อีวานเยนโก.)
“พยานพระยะโฮวาชาวรัสเซียเป็นส่วนขององค์การคริสเตียนทั่วโลกองค์การหนึ่ง ซึ่งปฏิบัติงานอยู่ใน 233 ดินแดน และมีสมาชิก 5.4 ล้านคน. พยานพระยะโฮวาติดตามการชี้นำฝ่ายวิญญาณของคณะกรรมการปกครองซึ่งอยู่ในบรุกลิน นิวยอร์ก. องค์การของพยานพระยะโฮวายุคปัจจุบันพัฒนาจากกลุ่มนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลซึ่งก่อตั้งเมื่อปี 1870 โดย ชาลส์ เทซ รัสเซลล์ ในพิตส์เบิร์ก เพนซิลเวเนีย. องค์การนี้มายังรัสเซียในปี 1887. หนึ่งในพยานพระยะโฮวาชาวรัสเซียรุ่นแรกคือ เซมิออน คอซลิตสกี ซึ่งถูกเนรเทศจากมอสโกไปไซบีเรียในปี 1891. ทั้ง ๆ ที่มีการข่มเหง องค์การนี้ก็ยังคงยืนหยัดอยู่ได้โดยในปี 1956 มีพยานพระยะโฮวาในสหภาพโซเวียตถึง 17,000 คน. จนกระทั่งเดือนมีนาคม 1991 พยานพระยะโฮวาจึงได้รับการยอมรับในรัสเซียหลังจากกฎหมาย ‘ว่าด้วยเสรีภาพทางศาสนา’ ได้รับมติเห็นชอบ. ปัจจุบัน มีมากกว่า 500 กลุ่ม พร้อมด้วยสมาชิกที่ขันแข็งราว ๆ 70,000 คนในรัสเซีย. องค์การนี้จำหน่ายจ่ายแจกวารสาร ‘หอสังเกตการณ์’ (จัดพิมพ์ใน 125 ภาษา จำนวนพิมพ์ 20 ล้านเล่ม) และ ‘ตื่นเถิด!’ (จัดพิมพ์ใน 81 ภาษา จำนวนพิมพ์ 18 ล้านเล่ม).”
[รูปภาพหน้า 23]
ส่วนหนึ่งของชุดอาคารสำนักงานสาขาในรัสเซีย
[รูปภาพหน้า 24]
หอประชุมของพยาน พระยะโฮวาซึ่งสมาชิกสำนักงานสาขาในรัสเซียใช้เป็นที่ประชุมศึกษาพระคัมภีร์
[รูปภาพหน้า 25]
ครอบครัวของพยานฯ ศึกษาและมีนันทนาการร่วมกัน
[รูปภาพหน้า 26]
พวกเขาแบ่งปันความรู้จากคัมภีร์ไบเบิลให้คนอื่น ๆ