บุรุษผู้เปิดโลก
โดยผู้สื่อข่าว ตื่นเถิด! ในออสเตรเลีย
เมื่อมนุษย์ไปดวงจันทร์ครั้งแรก พวกเขาวางแผนด้วยการคำนวณอย่างแม่นยำว่าเขาจะไปที่ไหนและจะไปถึงที่นั่นโดยวิธีใด. และเขาสามารถติดต่อสื่อสารกับแผ่นดินโลกได้. แต่เมื่อเรือที่ทำด้วยไม้ลำเล็ก ๆ ห้าลำของเฟอร์ดินันด์ แมกเจลแลนa—ส่วนใหญ่มีความยาวประมาณ 22 เมตร—ออกจากประเทศสเปนในปี 1519 พวกเขาได้แล่นไปยังที่ซึ่งไม่เป็นที่รู้จัก. และพวกเขาโดดเดี่ยวอย่างสิ้นเชิง.
ในบรรดาการเดินเรือที่กล้าหาญ และทรหดอย่างยิ่งตลอดทุกยุคทุกสมัย การเดินเรือของแมกเจลแลนถือเป็นแบบอย่างแห่งยุคการสำรวจครั้งยิ่งใหญ่ก็ว่าได้—เป็นยุคแห่งความกล้าหาญและความกลัว, ความลิงโลดและความเศร้าสลด, พระเจ้าและความร่ำรวย. ดังนั้น ให้เราย้อนกลับไปประมาณปี 1480 เมื่อเฟอร์ดินันด์ แมกเจลแลนถือกำเนิดทางภาคเหนือของประเทศโปรตุเกส และพิจารณาบุรุษผู้กล้าหาญอย่างน่าทึ่งซึ่งได้เปิดโลกและการเดินทางครั้งประวัติศาสตร์ของเขา.
จากเด็กในราชสำนักเป็นนักเดินเรือใจกล้า
ครอบครัวแมกเจลแลนเป็นตระกูลขุนนาง ดังนั้น เป็นธรรมเนียมอยู่เองที่เฟอร์ดินันด์ขณะยังเป็นเด็กหนุ่มนั้นจะถูกเรียกเข้าไปถวายการรับใช้ในราชสำนัก. ที่นี่ นอกจากได้รับการศึกษาแล้ว เขายังได้ยินกับหูเกี่ยวกับการกระทำที่กล้าหาญของผู้คน อย่างเช่น คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ซึ่งเพิ่งกลับจากทวีปอเมริกาหลังจากได้เสาะหาเส้นทางเดินเรือทางทิศตะวันตกไปสู่หมู่เกาะเครื่องเทศที่เลื่องชื่อ (อินโดนีเซีย). ต่อมาไม่นาน หนุ่มเฟอร์ดินันด์ใฝ่ฝันถึงวันที่ตนสามารถได้ยินเสียงใบเรือสะบัดอยู่เหนือศีรษะ และใบหน้าสัมผัสการซัดสาดของน้ำทะเลซึ่งยังไม่มีการสำรวจ.
น่าเสียดาย ในปี 1495 กษัตริย์จอห์น ผู้ทรงอุปถัมภ์เขา ถูกลอบปลงพระชนม์ และดุ๊กมานูเอลได้ขึ้นครองราชย์แทน ผู้ซึ่งอยากร่ำรวย แต่ไม่สนใจการเดินทางสำรวจ. ด้วยเหตุผลบางประการ มานูเอลไม่ชอบเฟอร์ดินันด์ ซึ่งเวลานั้นอายุ 15 ปี และเป็นเวลาหลายปีที่พระองค์ทรงเมินเฉยต่อคำขอของเฟอร์ดินันด์ที่จะออกทะเล. แต่ครั้นวาชคู ดา กามา กลับจากอินเดียพร้อมกับบรรทุกเครื่องเทศมาเพียบ มานูเอลรู้ได้ทันทีว่าตนมีโอกาสจะรวยมหาศาล. ในที่สุด ปี 1505 พระองค์ทรงอนุญาตให้แมกเจลแลนออกทะเล. แมกเจลแลนออกเรือไปทางทิศตะวันออกของแอฟริกาและอินเดียร่วมกับกองเรือรบของโปรตุเกสเพื่อช่วยในการช่วงชิงการค้าเครื่องเทศจากกลุ่มพ่อค้าอาหรับ. หลังจากนั้น เขาแล่นเรือต่อไปทางตะวันออกถึงมะละกาพร้อมด้วยกองเรือสำรวจของทหารอีกกองหนึ่ง.
ระหว่างการปะทะกันประปรายในโมร็อกโกปี 1513 แมกเจลแลนได้รับบาดเจ็บสาหัสที่หัวเข่า ทำให้เขาเดินกะเผลกจนสิ้นชีพ. เขาขอร้องมานูเอลเพิ่มเงินบำนาญให้เขา. แต่ความจงเกลียดจงชังของมานูเอลหาได้ลดหย่อนแม้แต่น้อยไม่ ทั้ง ๆ ที่แมกเจลแลนเพิ่งประกอบวีรกรรมด้วยความเสียสละและความกล้าหาญ. มานูเอลบอกปัดการจุนเจือทุกอย่าง จนแมกเจลแลนต้องดำรงชีวิตอย่างขุนนางตกยาก.
ตอนที่ชีวิตของแมกเจลแลนตกอับอย่างยิ่งนั้น จัวอาวแห่งเมืองลิสบอน นักเดินเรือที่มีชื่อโด่งดังซึ่งเป็นเพื่อนเก่าได้มาเยี่ยมเขา. ทั้งสองได้หารือกันถึงวิธีที่จะไปให้ถึงหมู่เกาะเครื่องเทศโดยแล่นเรือไปทางตะวันตกเฉียงใต้ ผ่านเอล ปาโซ—ช่องแคบที่เล่าลือกันว่าตัดผ่านทวีปอเมริกาใต้ แล้วข้ามมหาสมุทรซึ่งบัลโบอาเพิ่งค้นพบไม่นานก่อนหน้านั้นตอนที่เขาข้ามคอคอดปานามา. คนทั้งสองเชื่อว่าฟากข้างโน้นของมหาสมุทรนี้คือหมู่เกาะเครื่องเทศ.
ตอนนี้แมกเจลแลนปรารถนาเหลือเกินที่จะทำสิ่งที่โคลัมบัสทำไม่ได้ คือค้นหาเส้นทางทิศตะวันตกไปสู่ประเทศแถบตะวันออก ซึ่งเขาเชื่อว่าระยะทางสั้นกว่าเส้นที่ไปทางตะวันออก. ทว่า เขาจำต้องได้รับการสนับสนุนทางการเงิน. ดังนั้น เนื่องจากยังเจ็บใจจากความกริ้วโกรธของมานูเอล เขาก็ทำอย่างที่โคลัมบัสเคยทำมาแล้วเมื่อหลายปีก่อน—แสวงการอุปถัมภ์จากกษัตริย์แห่งสเปน.
กษัตริย์แห่งสเปนจะทรงรับฟังไหม?
พร้อมกับการกางแผนที่ แมกเจลแลนได้นำเสนอสารัตถะของตนต่อชาลส์ที่หนึ่ง ราชาหนุ่มแห่งสเปนผู้สนพระทัยอย่างยิ่งในเรื่องเส้นทางด้านตะวันตกของแมกเจลแลนที่ไปสู่หมู่เกาะเครื่องเทศ เพราะจะไม่ล่วงล้ำเส้นทางเดินเรือของโปรตุเกส. นอกจากนั้น แมกเจลแลนได้ทูลต่อราชาว่า โดยแท้แล้วหมู่เกาะเครื่องเทศอาจจะอยู่ในอาณาเขตของสเปน ไม่ใช่ของโปรตุเกส!—ดูกรอบ “สนธิสัญญาทอร์เดซียัส.”
ชาลส์แห่งสเปนทรงยอมเชื่อ. พระองค์ทรงมอบเรือเก่าห้าลำให้แมกเจลแลนนำไปซ่อมแซมใหม่ให้เหมาะสำหรับการสำรวจดินแดน ตั้งเขาเป็นผู้บังคับกองเรือ และสัญญากับเขาว่าจะแบ่งผลกำไรจากเครื่องเทศที่นำกลับมา. แมกเจลแลนเริ่มงานทันทีทันใด. แต่เนื่องจากกษัตริย์มานูเอลพยายามบ่อนทำลายโครงการนี้อย่างมีเล่ห์เหลี่ยม จึงต้องเสียเวลาไปมากกว่าหนึ่งปีก่อนที่กองเรือจะพร้อมออกทะเลครั้งประวัติศาสตร์ได้ในที่สุด.
“การเดินเรือครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์”
วันที่ 20 กันยายน 1519 เรือซาน อันโตเนียว, เรือกอนเซปซีออง, เรือวิกตอเรีย, และเรือซานติอาโก—ใหญ่ที่สุดถึงเล็กที่สุดตามลำดับ—ได้แล่นติดตามตรินิดาด เรือธงลำใหญ่อันดับสองของแมกเจลแลน ขณะที่แล่นไปอเมริกาใต้. วันที่ 13 ธันวาคม พวกเขาไปถึงประเทศบราซิล และมองเห็นเทือกเขาเปา เด อะซูการ์ หรือภูเขาชูการ์โลฟสูงตระหง่านอยู่เบื้องหน้า พวกเขาก็ได้เข้าไปในอ่าวอันสวยงามแห่งเมืองริโอเดอจาเนโรเพื่อจัดการซ่อมแซมและเตรียมเสบียงอาหาร. จากนั้นก็แล่นต่อไปทางใต้จนถึงดินแดนซึ่งตอนนี้คืออาร์เจนตินา จดจ่อตลอดเวลากับการค้นหาเอล ปาโซเส้นทางซึ่งหายากที่จะไปสู่อีกมหาสมุทรหนึ่ง. ขณะเดียวกัน อากาศหนาวมากขึ้นทุกทีและมีภูเขาน้ำแข็งปรากฏให้เห็น. ในที่สุด เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 1520 แมกเจลแลนก็ตัดสินใจหลบฤดูหนาวที่ท่าเรือซาน ฮูลิออนอันเย็นยะเยือก.
ถึงตอนนี้การเดินเรือใช้เวลานานถึงหกเท่าของเวลาที่โคลัมบัสข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกครั้งแรก—และยังไม่เจอช่องแคบในทะเล! ขวัญกำลังใจเย็นยะเยือกเหมือนสภาพอากาศที่ซาน ฮูลิออน และลูกเรือรวมทั้งกัปตันและเจ้าหน้าที่ประจำเรือบางคนปรารถนาจะกลับบ้านเป็นอย่างยิ่ง. ไม่ประหลาดใจเมื่อลูกเรือลุกฮือขึ้น. แต่โดยปฏิบัติการอย่างรวดเร็วและเฉียบขาดของแมกเจลแลน พวกที่ลุกฮือขึ้นไม่ประสบสำเร็จ และหัวโจกสองคนถูกฆ่า.
การเห็นเรือแปลก ๆ เช่นนั้นในท่าเรือ นับเป็นเรื่องปกติที่เจ้าถิ่นร่างกำยำล่ำสันคงอยากรู้อยากเห็น. ด้วยความรู้สึกเหมือนเป็นคนแคระยืนข้าง ๆ ยักษ์ใหญ่เหล่านี้ ผู้มาเยือนจึงเรียกดินแดนแห่งนั้นว่าปาตาโกเนีย—มาจากคำภาษาสเปนหมายถึง “เท้าใหญ่”—ซึ่งเป็นชื่อดินแดนนั้นจวบจนทุกวันนี้. นอกจากนี้ พวกเขาสังเกตเห็น ‘หมาป่าน้ำขนาดเท่าลูกวัว อีกทั้งห่านสีดำตัดขาวที่ดำน้ำ, กินปลา, และมีจะงอยปากเหมือนอีกา.’ คุณเดาถูก—ก็แมวน้ำและนกเพนกวินไงล่ะ!
บริเวณขั้วโลกมักจะเกิดพายุรุนแรง อย่างฉับพลัน และก่อนสิ้นฤดูหนาว กองเรือประสบความหายนะครั้งแรก คือเรือซานติอาโกลำเล็กอับปาง. แต่น่ายินดีลูกเรือรอดชีวิตจากที่เรือแตกครั้งนั้น. หลังจากนั้น เรือสี่ลำที่เหลืออยู่มีสภาพเหมือนแมลงเม่าเล็ก ๆ ที่บอบช้ำจากแรงพายุอันหนาวเหน็บโหมกระหน่ำอย่างไม่หยุดยั้งฝ่าคลื่นลมไปทางใต้ออกสู่น่านน้ำอันเย็นเฉียบมากขึ้นทุกที—กระทั่งวันที่ 21 ตุลาคม. ระหว่างที่แล่นเรือฝ่าน้ำทะเลที่สาดขึ้นมาและหิมะฝน ตาทุกดวงจ้องเขม็งไปยังช่องที่จะออกสู่ตะวันตก. เอล ปาโซใช่หรือเปล่า? ใช่สิ! ในที่สุด กองเรือพากันเลี้ยวเข้าช่องแคบซึ่งภายหลังเป็นที่รู้จักกันว่าช่องแคบแมกเจลแลน! กระนั้น แม้แต่ยามประสบชัยชนะก็ยังเกิดความขายหน้า. เรือซาน อันโตเนียว มุ่งดั้นด้นหลบหายลับเข้าไปตามทางอันซับซ้อนของช่องแคบ แล้วกลับประเทศสเปน.
เรือสามลำที่เหลืออยู่ถูกขนาบด้วยอ่าวฟยอร์ดและยอดเขาที่มีหิมะปกคลุมซึ่งดูอ้างว้าง ดั้นด้นผ่านช่องแคบอันคดเคี้ยวอย่างไม่ย่อท้อ. มองไปทางทิศใต้ พวกเขาเห็นกองไฟมากมายนับไม่ถ้วน เป็นไปได้ว่ามาจากค่ายของพวกอินเดียนแดง ดังนั้น เขาเรียกดินแดนแห่งนั้นว่า ติแอร์รา เดล ฟูเอโก “ดินแดนแห่งไฟ.”
ประสบการณ์ที่เลวร้ายในแปซิฟิก
หลังจากห้าสัปดาห์อันแสนทรมาน พวกเขาก็แล่นเรือออกสู่มหาสมุทรที่สงบราบเรียบจนแมกเจลแลนตั้งชื่อมหาสมุทรนี้ว่า แปซิฟิก (สงบเงียบ). ลูกเรือต่างก็อธิษฐาน, ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า, และฉลองชัยชนะของตนด้วยการยิงปืนใหญ่. แต่พวกเขาลิงโลดอยู่ไม่นาน. ความวิบัติใหญ่หลวงเกินกว่าครั้งใดที่เขาเคยประสบรอเขาอยู่ เพราะนี่ไม่ใช่ทะเลเล็ก ๆ อย่างที่คิด—มันแผ่กว้างออกไปเรื่อย ๆ และบรรดาลูกเรือต่างก็หิวโหยอิดโรยและล้มป่วยกันมากขึ้น.
อันโตเนียว ปิกาเฟตตา ชาวอิตาลีผู้ทรหดได้จดบันทึกประจำวัน. เขาเขียนว่า “วันพุธที่ยี่สิบแปด พฤศจิกายน ปี 1520 พวกเรา . . . ได้แล่นเรือเข้าไปในทะเลแปซิฟิก เราอยู่ที่นั่นสามเดือนกับยี่สิบวันโดยไม่เติมเสบียงกรัง . . . เราได้กินแค่เศษขนมปังเก่า ๆ มีตัวมอดเต็มไปหมด แถมยังเหม็นขี้หนูอีก . . . เราดื่มน้ำขุ่น ๆ ส่งกลิ่นเหม็น. นอกจากนั้น เรากินหนังวัว . . . ขี้เลื่อย และหนูราคาตัวละครึ่งคราวน์ แถมไม่มีหนูพอขายเสียอีก.” ด้วยเหตุนั้น ขณะที่เรือกางใบรับลมสินค้าเต็มที่และแล่นไปบนผิวน้ำใสอย่างรวดเร็วนั้น ลูกเรือต่างก็นอนซมด้วยโรคลักปิดลักเปิด. สิบเก้าคนเสียชีวิตก่อนที่พวกเขาไปถึงหมู่เกาะมาเรียนาในวันที่ 6 มีนาคม 1521.
แต่ที่นี่ เนื่องจากชาวเกาะตั้งตนเป็นปฏิปักษ์ เขาจึงได้อาหารสดเพียงเล็กน้อยก่อนแล่นเรือต่อไป. ในที่สุด เมื่อวันที่ 16 มีนาคม เขามองเห็นเกาะฟิลิปปินส์. ในที่สุด ลูกเรือทั้งหมดได้กินอาหารอิ่มหนำ, ได้พักผ่อน, และสุขภาพกลับแข็งแรงดีดังเดิม.
โศกนาฏกรรม—ความฝันสลาย
ณ ดินแดนแห่งนี้ แมกเจลแลนผู้เคร่งศาสนาอย่างจริงจังได้ทำให้ผู้คนในท้องถิ่นจำนวนมากและหัวหน้าเผ่าหลายคนเปลี่ยนศาสนาเป็นคาทอลิก. แต่ความมีใจแรงกล้าของเขาก่อความหายนะแก่ตัวเองเช่นกัน. เขาเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการพิพาทระหว่างเผ่า และโจมตีชาวพื้นเมืองประมาณ 1,500 คน ด้วยกำลังพลเพียง 60 นาย โดยเชื่อว่าหน้าไม้, ปืนคาบศิลา, และพระเจ้าเป็นเครื่องรับรองว่าเขาจะประสบชัยชนะอย่างแน่นอน. แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เขาเองพร้อมกับพลพรรคของเขาจำนวนหนึ่งถูกฆ่า. แมกเจลแลนมีอายุประมาณ 41 ปี. ปิกาเฟตตาผู้ภักดีคร่ำครวญดังนี้: ‘คนพวกนั้นได้ฆ่าบุรุษผู้เป็นแบบอย่าง, แสงสว่าง, ผู้ปลุกปลอบใจ และผู้นำทางที่มั่นคงแน่วแน่ของเรา.’ ไม่กี่วันหลังจากนั้น เจ้าหน้าที่ประมาณ 27 คนซึ่งได้เพียงแต่เฝ้าดูจากที่ปลอดภัยในเรือของพวกเขาก็ถูกสังหารโดยพวกหัวหน้าเผ่าซึ่งเมื่อก่อนเคยเป็นมิตร.
ตอนที่แมกเจลแลนเสียชีวิต เขาตายในน่านน้ำที่เขาคุ้นเคยมาก่อน. เลยลงไปทางใต้เล็กน้อยก็เป็นหมู่เกาะเครื่องเทศและทางทิศตะวันตกคือมะละกา ซึ่งเขาเคยรบต่อสู้ในปี 1511. หากเขาได้แล่นเรือไปฟิลิปปินส์ภายหลังการสู้รบที่มะละกาอย่างที่นักประวัติศาสตร์บางคนคิด เขาก็ได้เดินเรือรอบโลกจริง ๆ—ถึงแม้ไม่ใช่การเดินเรือรอบเดียวกัน. เขาไปถึงฟิลิปปินส์จากสองทางคือทิศตะวันออกและตะวันตก.
ภัยพิบัติกระหน่ำเที่ยวเดินทางกลับ
เนื่องจากตอนนี้มีลูกเรือเหลืออยู่เพียงไม่กี่คน การจะใช้เรือทั้งสามลำคงเป็นไปไม่ได้ ดังนั้น พวกเขาจึงจัดการจมเรือกอนเซปซีออง และใช้เรือสองลำที่มีอยู่เดินทางไปยังหมู่เกาะเครื่องเทศ จุดหมายสุดท้ายของเขา. ครั้นขนเครื่องเทศใส่เรือจนเต็มแปล้แล้ว เรือสองลำนั้นต่างก็แยกทางกัน. อย่างไรก็ตาม ลูกเรือบนเรือตรินิดาดที่พยายามต่อสู้แต่ก็ถูกพวกโปรตุเกสยึดและจับขังคุก.
แต่เรือวิกตอเรีย ภายใต้บังคับการของอดีตผู้ก่อการกบฏ ฮวน เซบาสเตียน เด เอลคาโน หนีรอดไปได้. โดยหลีกเว้นท่าเรือทุกแห่ง ยกเว้นแห่งหนึ่ง พวกเขากล้าเสี่ยงใช้เส้นทางของโปรตุเกสแล่นอ้อมแหลมกู๊ดโฮป. กระนั้นการไม่แวะรับเสบียงอาหาร เป็นกลยุทธ์ที่ก่อการสูญเสีย. ในที่สุดเมื่อพวกเขากลับถึงสเปนวันที่ 6 กันยายน 1522—สามปีนับตั้งแต่เขาออกเดินทาง—ลูกเรือซึ่งป่วยและซูบผอมเพียง 18 คนเท่านั้นมีชีวิตรอด. ถึงกระนั้น พวกเขาก็เป็นนักเดินเรือรอบโลกกลุ่มแรกของโลกอย่างปราศจากข้อสงสัยใด ๆ ทั้งสิ้น. และ เด เอลคาโนเป็นวีรบุรุษ. ไม่น่าเชื่อ เครื่องเทศหนัก 26 ตันบนเรือวิกตอเรีย คุ้มกับค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการสำรวจทางทะเลครั้งนั้น!
ชื่อของแมกเจลแลนยืนยงคงอยู่
นานหลายปีที่สถานภาพแท้จริงของแมกเจลแลนไม่เป็นที่ยอมรับในประวัติศาสตร์. เนื่องจากรายงานที่เบี่ยงเบนของพวกกัปตันผู้ก่อการกบฏ ชาวสเปนได้ใส่ร้ายป้ายสีแก่ชื่อเสียงของเขา กล่าวว่าเขาเป็นคนแข็งกร้าวและไม่มีความสามารถ. ชาวโปรตุเกสตราหน้าเขาเป็นคนขายชาติ. น่าเศร้า บันทึกการเดินเรือของเขาสูญหายไปพร้อมกับการเสียชีวิตของเขา อาจถูกทำลายโดยคนเหล่านั้นที่บันทึกดังกล่าวจะเปิดโปงพวกเขา. แต่เนื่องจากปิกาเฟตตาผู้ไม่ย่อท้อซึ่งเป็นหนึ่งในหมู่นักเดินเรือรอบโลก 18 คน และสมาชิกอื่น ๆ อีกประมาณ 5 คนที่ร่วมในการสำรวจดินแดนครั้งนี้ อย่างน้อยเราก็ยังได้บันทึกบางส่วนของการเดินเรือที่ประสบโศกนาฏกรรม แต่เป็นครั้งที่ไม่มีใดเหมือน.
ต่อมา ประวัติศาสตร์ได้ทบทวนการลงความเห็นเสียใหม่ และเวลานี้ชื่อแมกเจลแลนได้รับเกียรติอย่างเหมาะสม. ช่องแคบก็ตั้งตามชื่อของเขา เช่นเดียวกับกลุ่มเมฆแมกเจลแลน ซึ่งหมายถึงสองกาแล็กซีที่ปรากฏให้เห็นราง ๆ ทางขั้วโลกใต้ซึ่งลูกเรือของเขาได้พรรณนาไว้เป็นครั้งแรก และยานสำรวจอวกาศแมกเจลแลน. และแน่นอน เราเป็นหนี้แมกเจลแลนสำหรับชื่อมหาสมุทรที่ใหญ่ที่สุดในโลกคือ แปซิฟิก.
อันที่จริง “ไม่มีการเดินทางของมนุษย์ที่มีความสำคัญขนาดนั้นจนกระทั่ง 447 ปีต่อมาเมื่อยานอวกาศอะพอลโล 11 ไปลงดวงจันทร์” ริชาร์ด ฮัมเบิลเขียนในหนังสือการเดินเรือของแมกเจลแลน (ภาษาอังกฤษ). ทำไมการเดินเรือครั้งนั้นจึงสำคัญถึงเพียงนั้น? ประการแรก เป็นการพิสูจน์ว่าทวีปอเมริกาเหนือและใต้ไม่ใช่ส่วนใดส่วนหนึ่งของทวีปเอเชียหรือใกล้กับทวีปเอเชีย อย่างที่โคลัมบัสเคยคิด. ประการที่สอง เมื่อการเดินเรือเสร็จสิ้น วันที่ซึ่งไม่ตรงกันหนึ่งวันบ่งชี้ถึงความจำเป็นต้องมีเส้นแบ่งเขตวันที่ระหว่างประเทศ. และประการสุดท้าย แสดงให้เห็นว่าโลกมีสัณฐานทรงกลม ตามที่ไอซิก อาซิมอฟ นักเขียนเรื่องทางวิทยาศาสตร์กล่าว. จริง ๆ แล้ว ในประการหลังนี้ แมกเจลแลนแสดงให้เห็นในเชิงปฏิบัติถึงสิ่งที่คัมภีร์ไบเบิลเองได้กล่าวไว้นานถึง 2,250 ปี. (ยะซายา 40:22, ล.ม.; เทียบกับโยบ 26:7.) ไม่ต้องสงสัย บุรุษผู้เคร่งศาสนาอย่างจริงจังซึ่งได้เปิดโลกคงรู้สึกปลื้มปีติกับสิ่งนั้น.
[เชิงอรรถ]
a ชื่อของเขาในภาษาโปรตุเกสคือ ฟือร์เนา ดือ มากาลยัยช์.
[กรอบหน้า 14]
สนธิสัญญาทอร์เดซียัส
โดยมีโลกกว้างไพศาลเปิดอยู่ตรงหน้าพวกเขา โปรตุเกสและสเปนได้ตกลงกันโดยสนธิสัญญาแบ่งเขตการค้าและสิทธิในอำนาจอธิปไตยเหนือแผ่นดินใหม่. ดังนั้น ภายใต้การชี้นำของโปปอะเล็กซานเดอร์ที่หก และโปปจูเลียสที่สอง ประเทศทั้งสองลากเส้นลองจิจูดผ่านดินแดนซึ่งเวลานี้ได้แก่บราซิล. ดินแดนที่ค้นพบทางตะวันออกของเส้นแบ่งนี้จะเป็นของโปรตุเกส ส่วนที่เหลือนอกนั้นเป็นของสเปน. แมกเจลแลนได้เสนอแนะกษัตริย์มานูเอลแห่งโปรตุเกสโดยขาดดุลพินิจว่า เมื่อเส้นแบ่งนี้ลากผ่านขั้วโลกไปอีกซีกหนึ่งของลูกโลก หมู่เกาะเครื่องเทศที่แท้จริงอาจตกเป็นอาณาเขตของสเปน. ข้อสังเกตที่จริงใจนี้ซึ่งอาศัยความเข้าใจที่มีอย่างแพร่หลายว่า มหาสมุทรแปซิฟิกมีขนาดเล็กกว่ามากจึงทำให้เขาถูกตำหนิอย่างแรง. แปลกแต่ก็จริง ผลปรากฏว่าแมกเจลแลนพิสูจน์ว่าตนเองเป็นฝ่ายผิด. ถึงกระนั้น สิ่งที่เขาเชื่อทำให้เขามีเหตุผลมากขึ้นที่จะแสวงหาการอุปถัมภ์จากกษัตริย์สเปน.
[กรอบ/รูปภาพหน้า 15]
ประสบการณ์ที่ลำบากแสนเข็ญของลูกเรือสมัยโน้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเดินทะเลอันยาวนานเพื่อการสำรวจ—ซึ่งมักจะใช้เวลาหลายปี—ชีวิตในการท่องทะเลสำหรับลูกเรือที่ต่ำต้อยนั้นไม่น่ารื่นรมย์เอาเสียเลย. ต่อไปนี้เป็นเพียงการยกตัวอย่างเกี่ยวกับสภาพชีวิตของนักเดินเรือ:
• ห้องพักคับแคบจนน่าสมเพชและไม่มีความเป็นส่วนตัว
• บ่อยครั้ง ถูกลงโทษอย่างทารุณขึ้นอยู่กับอารมณ์ชั่วแล่นของกัปตัน
• เป็นโรคลักปิดลักเปิดและตายเนื่องจากขาดวิตามินซี
• ตายเนื่องจากเรือแตก, อดอยาก, ขาดน้ำ, ภยันตรายจากฟ้าฝนและลมกระหน่ำ, ชนพื้นเมือง
• เป็นโรคบิดหรือไข้รากสาดน้อยเนื่องจากน้ำดื่มสกปรกและมีกลิ่นเหม็น
• อาหารเป็นพิษเนื่องจากอาหารหมักหมมจนบูดเน่า
• เป็นโรคติดเชื้อ ติดต่อถึงคนโดยถูกหนูที่อดอยากกัดแทะ
• เป็นไข้รากสาดใหญ่ เกิดจากตัวโลนมากมายที่อาศัยอยู่ตามร่างกายและเสื้อผ้าที่สกปรก
• ส่วนใหญ่แล้ว โอกาสมีเพียงครึ่งต่อครึ่งเท่านั้นที่จะมีชีวิตรอดกลับถึงบ้าน
[ที่มาของภาพ
Century Magazine
[แผนที่/รูปภาพหน้า 16, 17]
(รายละเอียดดูจากวารสาร)
การเดินเรือของแมกเจลแลนปี 1519-1522
⇦••• เส้นทางเดินเรือ ◻ จุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของการเดินเรือ
เฟอร์ดินันด์ แมกเจลแลน
แมกเจลแลนถูกฆ่าในเกาะฟิลิปปินส์
การเดินเรือช่วงสุดท้ายโดย ฮวน เซบาสเตียน เด เอลคาโน
[ที่มาของภาพ]
Magellan: Giraudon/Art Resource, NY; world map: Mountain High Maps® Copyright © 1995 Digital Wisdom, Inc.; astrolabe: Courtesy of Adler Planetarium
[รูปภาพหน้า 16]
ช่องแคบแมกเจลแลน
[รูปภาพหน้า 16]
“วิกตอเรีย” เรือลำแรกที่เดินทางรอบโลก. ในจำนวนเรือห้าลำ ลำนี้มีขนาดใหญ่อันดับสี่และมีลูกเรือ 45 นาย. ความยาวของเรือประมาณ 22 เมตร
[รูปภาพหน้า 17]
อุปกรณ์เกี่ยวกับการเดินทะเล: นาฬิกาทรายวัดเวลา ในขณะที่แอสโตรเลบวัดระยะเส้นรุ้ง เพื่อรู้ตำแหน่งของเรือ