นักวิทยาศาสตร์พบหลุมดำจริง ๆ ไหม?
ฟังดูราวกับนิยายวิทยาศาสตร์—สิ่งที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นดาวเจิดจรัส กลับกลายเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น ถูกบีบอัดด้วยแรงโน้มถ่วงของมันเอง โดยไม่มีสิ่งใดจะหนีออกจากแรงดึงดูดของมันได้ แม้กระทั่งแสง. นักดาราศาสตร์หลายคนเชื่อว่าสิ่งที่เรียกกันว่าหลุมดำนั้นอาจมีอยู่ทั่วไปในเอกภพ. คุณอยากรู้จักหลุมดำมากกว่านี้ไหม? ให้เราเริ่มโดยพิจารณากลุ่มดาวอันสวยงามในซีกโลกเหนือที่มีชื่อว่า ซิกนัส ซึ่งแปลว่า “หงส์.”
ซิกนัส เอกซ์-1 คือหลุมดำไหม?
นับตั้งแต่ทศวรรษ 1960 นักดาราศาสตร์สนใจบริเวณหนึ่งของกลุ่มดาวซิกนัส. สถานีดูดาวหลายสถานีซึ่งถูกส่งขึ้นไปโคจรเหนือชั้นบรรยากาศของโลกได้ตรวจพบว่ามีแหล่งที่แผ่รังสีเอกซ์กำลังสูงออกมาจากบริเวณนี้ ซึ่งตั้งชื่อให้ว่า ซิกนัส เอกซ์-1.
นักวิทยาศาสตร์ทราบกันมานานแล้วว่า วัตถุยิ่งร้อนมากเท่าใดก็จะยิ่งส่งพลังงานออกมามากขึ้นในรูปคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความยาวคลื่นสั้นกว่าและมีพลังงานสูงกว่า. หากคุณเผาเหล็กแท่งหนึ่งในเตาเผาที่ร้อนจัด ทีแรกเหล็กนั้นจะแดงฉานแล้วก็จะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองและสีขาวเมื่อเหล็กนั้นร้อนขึ้นไปอีก. ในลักษณะเดียวกัน ดาวก็คล้ายกับแท่งเหล็ก. ดาวที่ค่อนข้างเย็น อุณหภูมิประมาณ 3,000 K จะมีสีค่อนข้างแดง ในขณะที่ดาวสีเหลืองอย่างดวงอาทิตย์มีอุณหภูมิที่ผิวเกือบ ๆ 6,000 K.a อย่างไรก็ตาม คุณจะต้องเผาก๊าซที่เป็นส่วนประกอบของดาวให้ร้อนถึงหลายล้านเคลวินจึงจะมีการแผ่รังสีเอกซ์ปริมาณเท่ากับที่แผ่ออกมาจากซิกนัส เอกซ์-1. ไม่มีดาวดวงใดจะมีอุณหภูมิที่ผิวร้อนถึงขนาดนั้น.
ณ ที่ตั้งของซิกนัส เอกซ์-1 นักดาราศาสตร์ได้พบดาวดวงหนึ่งซึ่งมีอุณหภูมิที่ผิวประมาณ 30,000 K—ร้อนมากทีเดียว แต่ก็ยังร้อนไม่มากพอที่จะเป็นแหล่งกำเนิดรังสีเอกซ์ดังกล่าว. ดาวดวงนี้ซึ่งมีชื่อเก็บไว้ในแคตตาล็อกดาวว่า เอชดีอี 226868 ประมาณกันว่ามีขนาดใหญ่เป็น 30 เท่าของดวงอาทิตย์ และอยู่ห่างจากโลก 6,000 ปีแสง. ดาวยักษ์ใหญ่พิเศษดวงนี้มีดาวสหายอีกดวงหนึ่งที่โคจรเป็นวงรอบซึ่งกันและกันทุก 5.6 วัน. นักวิทยาศาสตร์คำนวณว่าดาวสหายดวงนี้อยู่ห่างจาก เอชดีอี 226868 เพียงไม่กี่ล้านกิโลเมตร. ตามข้อมูลจากบางแหล่ง ดาวสหายดวงนี้มีขนาดใหญ่ประมาณสิบเท่าของดวงอาทิตย์. แต่มีบางอย่างที่แปลกมากเกี่ยวกับดาวสหายดวงนี้ กล่าวคือเรามองไม่เห็นดาวดวงนี้. ไม่มีดาวปกติดวงใดซึ่งใหญ่เพียงนี้ที่เห็นไม่ได้ในระยะห่างจากโลกขนาดนี้. นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า มีทางเป็นไปได้มากว่า วัตถุที่มีขนาดมหึมาเช่นนั้นที่ปรากฏว่าปล่อยรังสีเอกซ์ออกมาแต่ไม่เปล่งแสงที่เห็นได้นั้นเป็นสิ่งที่เราเรียกว่า หลุมดำ.
การเดินทางไปยังหลุมดำ
ลองนึกภาพว่าคุณสามารถเดินทางไปที่ซิกนัส เอกซ์-1. สมมุติว่ามันเป็นหลุมดำจริง ๆ คุณก็คงจะเห็นคล้าย ๆ กับภาพในหน้า 17. ดาวใหญ่ดวงนี้คือ เอชดีอี 226868. ในขณะที่ดาวดวงนี้มีเส้นผ่าศูนย์กลางหลายล้านกิโลเมตร หลุมดำอาจมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 60 กิโลเมตร. จุดดำเล็กจิ๋วตรงใจกลางวังวนของก๊าซที่มีแสงสุกใสคือขอบหรือผิวนอกของหลุมดำซึ่งเป็นพรมแดนระหว่างส่วนที่เป็นหลุมดำกับเอกภพที่อยู่ภายนอก. ผิวนอกของหลุมดำไม่แข็ง หากแต่คล้ายเงาเสียมากกว่า. ส่วนขอบนี้เองที่เป็นบริเวณซึ่งความถ่วงรอบหลุมดำมีกำลังแรงมากจนแม้แต่แสงก็ไม่สามารถหนีรอดไปได้. นักวิทยาศาสตร์หลายคนเชื่อว่า ถัดจากส่วนขอบเข้าไปอันเป็นศูนย์กลางของหลุมดำ เป็นจุดที่มีปริมาตรเป็นศูนย์และความหนาแน่นมีค่าเป็นอนันต์ซึ่งเรียกว่า เอกภาวะ (singularity) ที่ซึ่งสสารทั้งหมดในหลุมดำหายสาบสูญไปในนั้น.
หลุมดำกำลังทำให้กลุ่มก๊าซรอบนอกของดาวสหายค่อย ๆ หมดไปทีละน้อย. ก๊าซจากดาวสหายนั้นจะก่อตัวเป็นรูปจานที่มีแสงสุกปลั่ง ขณะที่กลุ่มก๊าซหมุนวนรอบหลุมดำเร็วขึ้นและเร็วขึ้นและเกิดความร้อนขึ้นจากการเสียดสี. จานของก๊าซที่ร้อนอย่างยิ่งนี้จะปล่อยรังสีเอกซ์ ณ บริเวณด้านนอกขอบหลุมดำออกมา ขณะที่ความถ่วงซึ่งมีกำลังแรงยิ่งเร่งให้ก๊าซหมุนวนจนกระทั่งมีความเร็วสูงอย่างไม่น่าเชื่อ. แน่นอน เมื่อใดก็ตามที่ก๊าซถูกดูดเข้าสู่หลุมดำ ก็จะไม่มีรังสีเอกซ์—หรือสิ่งอื่นใดก็ตาม—ที่อาจหลุดลอดออกมาได้.
ภาพของซิกนัส เอกซ์-1 เป็นภาพที่น่าดูชม แต่อย่าได้เข้าใกล้เกินไปเป็นอันขาด! ไม่เพียงแต่รังสีเอกซ์เท่านั้น แต่ความถ่วงของมันด้วยที่มีอันตรายถึงชีวิต. เมื่อคุณยืนอยู่บนโลก มีความแตกต่างอยู่เล็กน้อยระหว่างแรงโน้มถ่วงที่กระทำต่อศีรษะกับแรงโน้มถ่วงที่กระทำต่อเท้าของคุณ. ความแตกต่างนี้ก่อให้เกิดแรงดึงเพียงน้อยนิดจนไม่รู้สึก. อย่างไรก็ตาม ที่ซิกนัส เอกซ์-1 ความแตกต่างของแรงดังกล่าวทวีเป็น 1.5 แสนล้านเท่า ก่อให้เกิดแรงที่จะดึงร่างกายคุณให้ยืดออกจริง ๆ ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นดึงเท้าไปทางหนึ่งและดึงศีรษะของคุณไปอีกทางหนึ่ง!
ซิกนัส เอ—เป็นหลุมดำซูเปอร์มหึมาไหม?
ยังมีบริเวณลึกลับอีกแห่งหนึ่งในกลุ่มดาวซิกนัส. บริเวณนี้จะเห็นเป็นเพียงจุดที่จางมากของกาแล็กซีหนึ่งที่อยู่ห่างไกล แต่ว่ามันส่งคลื่นวิทยุประเภทที่มีกำลังสูงที่สุดในท้องฟ้าออกมา. บริเวณดังกล่าวนี้มีชื่อว่า ซิกนัส เอ และนับตั้งแต่มีการค้นพบเมื่อ 50 ปีที่แล้ว นักวิทยาศาสตร์พิศวงเป็นอันมากเกี่ยวกับบริเวณนี้.
เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อวาดมโนภาพถึงขนาดของซิกนัส เอ. ในขณะที่ซิกนัส เอกซ์-1 อยู่ในกาแล็กซีของเราเอง ห่างออกไปไม่กี่พันปีแสง แต่เชื่อกันว่าซิกนัส เอ อยู่ห่างออกไปหลายร้อยล้านปีแสง. แม้ว่าซิกนัส เอกซ์-1 และดาวสหายที่เห็นได้ของมันอยู่ห่างกันเพียงประมาณหนึ่งนาทีแสง แต่ในซิกนัส เอ คลื่นวิทยุสองคลื่นที่ถูกยิงออกมาเป็นลำราวกับไอพ่นนั้นอยู่ห่างกันหลายแสนปีแสง.b เห็นได้ชัดว่า สิ่งที่อยู่ตรงศูนย์กลางของซิกนัส เอ ได้ยิงลำคลื่นพลังงานที่มีกำลังแรงมากดังกล่าวนี้ในทิศทางตรงกันข้ามกันมาเป็นเวลาหลายแสนปีหรือแม้กระทั่งหลายล้านปีแล้ว คล้าย ๆ กับปืนชนิดหนึ่งที่ใช้ยิงรังสีคอสมิก. แผนที่คลื่นวิทยุที่บอกรายละเอียดเกี่ยวกับศูนย์กลางซิกนัส เอ เผยให้เห็นว่า เมื่อเทียบกับลำคลื่นวิทยุที่ถูกยิงออกมา แหล่งที่ยิงรังสีนั้นเล็กมาก คือมีขนาดเล็กกว่าหนึ่งเดือนแสง. หากแหล่งที่ยิงรังสีออกมานั้นเกิดแกว่งสั่นขึ้นมาเมื่อไรในตลอดช่วงเวลานั้น ลำคลื่นก็จะคด. แต่ลำคลื่นวิทยุลึกลับนั้นปรากฏว่าตรงอย่างสมบูรณ์แบบเลยทีเดียว ราวกับว่าแหล่งที่ยิงรังสีออกมาถูกปรับให้เสถียรโดยไจโรสโกปขนาดมหึมา.
อะไรอาจเป็นสาเหตุของปรากฏการณ์นี้? ศาสตราจารย์ คิป เอส. ทอร์น เขียนดังนี้: “ในบรรดาแนวคิดหลายสิบแนวที่ได้มีการเสนอกันขึ้นมาเมื่อต้นทศวรรษ 1980 เพื่ออธิบายแหล่งที่มาอันเป็นศูนย์กลางของลำคลื่นพลังงานนี้ มีเพียงแนวคิดเดียวที่บอกว่ามีความเกี่ยวข้องกันระหว่างไจโรสโกปที่มีประสิทธิภาพสูงยิ่งกับสิ่งที่มีอายุยาวนาน, มีขนาดเล็กกว่าหนึ่งเดือนแสง และมีความสามารถในการผลิตคลื่นวิทยุกำลังสูงออกมา. แนวคิดที่แปลกกว่าเพื่อนนี้คือหลุมดำขนาดยักษ์ที่หมุนรอบตัวด้วยความเร็วสูง.”
จุดอื่น ๆ ที่อาจเป็นหลุมดำ
ในปี 1994 กล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล ซึ่งเพิ่งซ่อมเสร็จได้จับภาพอย่างละเอียดของกาแล็กซี เอ็ม 87 ที่อยู่ “ใกล้ ๆ” คือห่างออกไปประมาณ 50 ล้านปีแสง. ด้วยคุณสมบัติเชิงทัศนศาสตร์ที่พัฒนาดีขึ้น กล้องฮับเบิลตรวจพบวังวนของกลุ่มก๊าซตรงศูนย์กลางของกาแล็กซี เอ็ม 87 ซึ่งหมุนวนรอบวัตถุหนึ่งด้วยความเร็วสูงอย่างน่าพิศวงคือ 2 ล้านกิโลเมตรต่อชั่วโมง. อะไรล่ะที่สามารถทำให้ก๊าซเคลื่อนตัวด้วยความเร็วสูงขนาดนั้น? ผลของการคำนวณชี้ว่า วัตถุที่อยู่ภายในวังวนนั้นต้องมีมวลเท่ากับดวงอาทิตย์อย่างน้อยสองพันล้านดวงรวมกัน. แต่วัตถุดังกล่าวอัดแน่นอยู่ในพื้นที่ “เล็กนิดเดียว” ซึ่งเท่ากับระบบสุริยะของเรา. สิ่งเดียวที่นักวิทยาศาสตร์สามารถคิดออกได้ซึ่งเหมาะเจาะกันพอดีกับคำพรรณนาดังกล่าวก็คือ หลุมดำขนาดซูเปอร์มหึมา.
ในเวลานี้ ได้มีการตรวจพบจุดต่าง ๆ ที่อาจเป็นหลุมดำในศูนย์กลางของกาแล็กซีหลายกาแล็กซีที่อยู่ใกล้เรา รวมทั้งเพื่อนบ้านที่อยู่ “บ้านถัดไป” คือ ในกาแล็กซีอันโดรเมดา ซึ่งอยู่ห่างออกไปเพียงสองล้านปีแสง. แต่อาจมีหลุมดำขนาดยักษ์ที่อยู่ใกล้เรามากกว่ากาแล็กซีอันโดรเมดา! การเฝ้าสังเกตเมื่อไม่นานมานี้ชี้ว่าหลุมดำขนาดใหญ่พิเศษหลุมหนึ่งอาจอยู่ตรงศูนย์กลางกาแล็กซีทางช้างเผือกของเรานี่เอง. สิ่งที่อยู่ในพื้นที่เล็ก ๆ ซึ่งมีมวลขนาดเท่าดวงอาทิตย์ 2.4 ล้านดวงรวมกัน กำลังทำให้ดาวต่าง ๆ ใกล้ศูนย์กลางกาแล็กซีของเราโคจรรอบตัวมันด้วยความเร็วสูงอย่างน่าพิศวง. ทอร์นซึ่งเป็นนักฟิสิกส์ให้ข้อสังเกตดังนี้: “หลักฐานต่าง ๆ ที่สะสมเพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อยในระหว่างทศวรรษ 1980 ชี้ว่า หลุมดำเช่นนั้นมีอยู่ไม่เฉพาะแต่ที่แกนกลางของส่วนใหญ่ของควอซาร์และกาแล็กซีที่ปล่อยคลื่นวิทยุออกมา แต่แกนของกาแล็กซีขนาดใหญ่ด้วยซึ่งเป็นกาแล็กซีธรรมดา (ที่ไม่ปล่อยคลื่นวิทยุ) เช่น ทางช้างเผือกและอันโดรเมดา.”
นักวิทยาศาสตร์ค้นพบหลุมดำจริง ๆ ไหม? อาจเป็นได้. ที่แน่ ๆ คือ พวกเขาได้ค้นพบวัตถุประหลาดบางอย่างในกลุ่มดาวซิกนัสและที่อื่น ๆ ซึ่งในปัจจุบันอาจอธิบายได้ง่ายที่สุดว่าเป็นหลุมดำ. แต่ก็อาจมีข้อมูลใหม่ ๆ ขึ้นมาหักล้างทฤษฎีอันเป็นที่ยึดถือกันโดยทั่วไป.
กว่า 3,500 ปีมาแล้ว พระเจ้าตรัสถามโยบว่า “เจ้ารู้จักกฎธรรมชาติแห่งท้องฟ้าแล้วหรือ?” (โยบ 38:33) แม้ว่าวิทยาศาสตร์ก้าวหน้าอย่างน่าประทับใจ แต่คำถามนี้ก็ยังคงเหมาะกับสมัยนี้. ที่จริง เมื่อคนเราเริ่มคิดว่าเขาเข้าใจเอกภพแล้วเมื่อไร เมื่อนั้นแหละ ข้อสังเกตใหม่ ๆ ที่ไม่เคยคาดคิดกันมาก่อนก็จะปรากฏขึ้นมาล้มล้างทฤษฎีที่เขาได้พากเพียรตั้งเอาไว้อย่างดี. ในระหว่างนี้ เราสามารถเพ่งมองกลุ่มดาวด้วยความพิศวงและชื่นชมความงามของมวลหมู่ดาราเหล่านี้!
[เชิงอรรถ]
a เคลวิน (K) เป็นมาตราวัดอุณหภูมิที่นักวิทยาศาสตร์ใช้ ซึ่งเริ่มวัดจากศูนย์สัมบูรณ์ (เชื่อว่าเป็นอุณหภูมิต่ำสุดเท่าที่เป็นไปได้) และสูงขึ้นตามองศาเซลเซียส. เนื่องจากศูนย์สัมบูรณ์เท่ากับ -273 องศาเซลเซียส ดังนั้น 0 องศาเซลเซียสจึงเท่ากับ 273 K.
b ปีแสงคือหน่วยความยาวซึ่งมีค่าเท่ากับระยะทางที่แสงเดินทางผ่านสุญญากาศได้ในหนึ่งปี หรือประมาณ 9,461,000,000,000 กิโลเมตร. เมื่อทอนลงมาตามส่วน นาทีแสงก็คือระยะทางที่แสงเดินทางได้ในหนึ่งนาที เดือนแสงคือระยะทางที่แสงเดินทางได้ในหนึ่งเดือน เป็นต้น.
[กรอบหน้า 16, 17]
อะไรทำให้เกิดหลุมดำ?
ความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันอธิบายเรื่องการส่องแสงของดาวว่าเป็นเพราะมีการหักล้างกันอยู่ตลอดเวลาระหว่างความถ่วงกับแรงของนิวเคลียส. หากปราศจากความถ่วงที่บีบอัดแก๊สลึกลงไปในดวงดาว การหลอมนิวเคลียสก็ไม่อาจเกิดขึ้น. ในทางตรงกันข้าม หากไม่มีการหลอมนิวเคลียสเพื่อต้านแรงดึงของความถ่วง ก็อาจมีอะไรบางอย่างที่แปลกมากเกิดขึ้นกับดาวได้.
นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าเมื่อดาวขนาดพอ ๆ กับดวงอาทิตย์ของเราหมดเชื้อเพลิงนิวเคลียร์คือไฮโดรเจนและฮีเลียมแล้ว ความถ่วงก็จะบีบดาวดวงนั้นให้ยุบตัวกลายเป็นเหมือนถ่านคุร้อนซึ่งมีขนาดเท่า ๆ กับลูกโลก เรียกว่าดาวแคระขาว. ดาวแคระขาวอาจมีมวลเท่ากับดวงอาทิตย์ แต่มวลของมันอัดแน่นอยู่ในเนื้อที่เล็กกว่าหนึ่งล้านเท่า.
คุณอาจนึกภาพสสารธรรมดาซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นที่ว่าง โดยมวลเกือบทั้งหมดของแต่ละอะตอมรวมกระจุกอยู่ในนิวเคลียสขนาดจิ๋วที่มีกลุ่มหมอกอิเล็กตรอนซึ่งกินพื้นที่ส่วนใหญ่วิ่งวนอยู่โดยรอบ. แต่ภายในดาวแคระขาว ความถ่วงบีบอัดกลุ่มหมอกอิเล็กตรอนจนเหลือปริมาตรเพียงเศษเสี้ยวของปริมาตรเดิม ทำให้ดาวฤกษ์หดตัวลงมามีขนาดเท่ากับดาวเคราะห์. สำหรับดาวฤกษ์ทั้งหลายที่มีขนาดพอ ๆ กับดวงอาทิตย์ของเรา ณ จุดนี้มีการถ่วงสมดุลกันพอดีระหว่างความถ่วงกับแรงของอิเล็กตรอน ทำให้ไม่มีการยุบตัวมากไปกว่านี้.
แต่จะว่าอย่างไรสำหรับดาวที่หนักกว่าดวงอาทิตย์และมีความถ่วงมากกว่า? สำหรับดาวที่ใหญ่กว่าดวงอาทิตย์ 1.4 เท่า แรงโน้มถ่วงมีมากจนกลุ่มหมอกอิเล็กตรอนถูกบีบอัดจนสูญสลายไปหมด. แล้วโปรตอนกับอิเล็กตรอนก็รวมตัวกันเป็นนิวตรอน. นิวตรอนจะต้านไม่ให้มีการบีบอัดมากกว่านั้น หากความถ่วงมีกำลังไม่แรงจนเกินไป. แทนที่จะเป็นดาวแคระขาวขนาดเท่าดาวเคราะห์ ก็เกิดจะเป็นดาวนิวตรอนขนาดเท่ากับดาวเคราะห์น้อยขนาดเล็ก. ดาวนิวตรอนประกอบด้วยสสารที่มีความหนาแน่นมากที่สุดเท่าที่รู้จักกันในเอกภพ.
แต่จะว่าอย่างไรถ้าความถ่วงเพิ่มขึ้นมากกว่านั้นอีก? นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า ในดาวที่มีมวลประมาณสามเท่าของมวลดวงอาทิตย์ ความถ่วงมีกำลังแรงเกินกว่าที่นิวตรอนจะต้านได้. ไม่มีสสารในรูปใดที่นักฟิสิกส์รู้จักสามารถต้านแรงทับทวีของความถ่วงทั้งหมดนี้. ดูเหมือนว่า นิวตรอนซึ่งเป็นลูกกลมขนาดดาวเคราะห์น้อยจะถูกบีบอัดไม่ใช่เพียงแค่ให้เล็กลง แต่จนกระทั่งไม่เหลืออะไรเลย เข้าไปสู่จุดที่เรียกว่าเอกภาวะ หรือเป็นสภาวะทางทฤษฎีอย่างอื่นที่ยังอธิบายไม่ได้. ดาวฤกษ์จะหายไปเสียเฉย ๆ เหลือไว้เพียงความถ่วงและหลุมดำตรงที่มันเคยอยู่. หลุมดำจะทำให้เกิดเงามืดแห่งความถ่วงเข้ามาแทนที่ตรงที่เคยเป็นดาวฤกษ์. บริเวณนี้เป็นเขตที่ความถ่วงมีกำลังแรงมากจนกระทั่งไม่มีสิ่งใด—แม้แต่แสง—จะสามารถหลุดรอดออกมาได้.
[รูปภาพหน้า 16]
กลุ่มดาวซิกนัสส่วนหนึ่งนั้นประกอบด้วยเนบิวลา อเมริกาเหนือ (1) และเนบิวลา เวล (2). ซิกนัส เอกซ์-1 (3) อยู่ค่อน ลงมาทางคอหงส์
ซิกนัส (หงส์)
[ที่มาของภาพ]
Tony and Daphne Hallas/Astro Photo
Tony and Daphne Hallas/Astro Photo
[รูปภาพหน้า 17]
ซิกนัส เอกซ์-1 ตามทฤษฎี
หลุมดำตรวจพบได้จากผลกระทบที่มันมีต่อเทหวัตถุอื่น ๆ. ภาพนี้แสดงให้เห็นกลุ่มก๊าซจากดาวดวงหนึ่งที่กำลังถูกดูดเข้าไปในหลุมดำ
ภาพหลุมดำจากจินตนาการของจิตรกร (ในกรอบสี่เหลี่ยมสีแดง) และภาพขยายใหญ่ (ข้างล่าง)
[รูปภาพหน้า 14]
Einstein: U.S. National Archives photo