พระราชกฤษฎีกาแห่งนองต์—พระบรมราชานุญาตที่ยอมให้มีศาสนาอื่นหรือ?
“เรื่องนี้ทำให้ข้าพเจ้าปวดใจยิ่งนัก” ในปี 1598 โปปคลีเมนต์ที่ 8 กล่าวคัดค้านเมื่อได้ยินว่ากษัตริย์เฮนรีที่ 4 แห่งฝรั่งเศสทรงลงนามในพระราชกฤษฎีกาแห่งนองต์. อีกสี่ร้อยปีต่อมา แทนที่จะกระตุ้นให้เกิดความขุ่นเคืองและการต่อต้าน พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้กลับได้รับการรำลึกถึงในฐานะเป็นพระราชบัญญัติว่าด้วยการยอมให้มีศาสนาอื่นและเป็นก้าวสำคัญก้าวหนึ่งที่นำไปสู่การรับรองสิทธิทางด้านศาสนาสำหรับทุกคน. พระราชกฤษฎีกาแห่งนองต์คืออะไร? พระราชกฤษฎีกานี้เป็นพระบรมราชานุญาตที่ยอมให้มีศาสนาอื่นจริง ๆ ไหม? และพวกเราในปัจจุบันอาจเรียนรู้อะไรได้จากเรื่องนี้?
ยุโรปที่ย่อยยับเพราะสงคราม
ยุโรปในศตวรรษที่สิบหกขึ้นชื่อในเรื่องการไม่ยอมให้มีศาสนาอื่นและสงครามนองเลือดทางศาสนา. นักประวัติศาสตร์ผู้หนึ่งให้ข้อสังเกตว่า “ก่อนศตวรรษที่ 16 คำสอนของพระคริสต์ที่ว่า ‘เจ้าทั้งหลายจงรักซึ่งกันและกัน’ ไม่เคยถูกเหล่าสาวกของพระองค์เย้ยหยันอย่างนี้เลย.” ในบางประเทศอย่างเช่นสเปนและอังกฤษ มีการไล่ล่ากลุ่มศาสนาที่เป็นชนกลุ่มน้อยอย่างไร้ความปรานี. ในที่อื่น ๆ อย่างเช่นเยอรมนี ได้มีการรับเอาหลักการที่ว่า “คูยุส เรกิโย, เอยุส เรลิจิโย” ซึ่งมีความหมายว่า ผู้ปกครองอาณาเขตเป็นผู้ตัดสินใจเลือกศาสนาสำหรับถิ่นนั้น. ใครก็ตามที่ไม่เห็นด้วยกับการเลือกในเรื่องศาสนาของผู้ปกครองบ้านเมืองก็จะถูกบังคับให้ออกไปจากถิ่นฐานนั้น. เพื่อเลี่ยงสงคราม ได้มีการแยกศาสนาออกจากกัน โดยการไม่พยายามหรือแทบไม่ได้พยายามทำให้ศาสนาต่าง ๆ อยู่ร่วมกันเลย.
ฝรั่งเศสเลือกแนวทางที่ต่างออกไป. ในทางภูมิศาสตร์ ประเทศนี้ตั้งอยู่ระหว่างยุโรปตอนเหนือ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวโปรเตสแตนต์ กับยุโรปตอนใต้ซึ่งเป็นชาวคาทอลิก. เมื่อถึงกลางศตวรรษที่ 16 พวกโปรเตสแตนต์ได้กลายเป็นชนกลุ่มน้อยที่มีบทบาทสำคัญในประเทศคาทอลิกแห่งนี้. สงครามศาสนาที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้การแบ่งแยกนี้เด่นชัดยิ่งขึ้น.a สนธิสัญญาสันติภาพหลายฉบับหรือที่พวกเขาเรียกกันว่า ‘กฤษฎีกาว่าด้วยการขจัดความยุ่งยากด้วยสันติวิธี’ ล้มเหลวในการทำให้มีการอยู่ร่วมกันอย่างสันติทางด้านศาสนา. เหตุใดฝรั่งเศสเลือกแนวทางแห่งการยอมให้มีศาสนาอื่นแทนที่จะเลียนแบบประเทศเพื่อนบ้านในยุโรป?
การเมืองเพื่อสันติภาพ
ทั้ง ๆ ที่การไม่ยอมให้มีศาสนาอื่นมีอยู่อย่างดาษดื่น แต่ก็เกิดแนวคิดขึ้นที่ว่า การไม่ปรองดองทางศาสนาไม่จำเป็นต้องหมายความว่าจะมีสันติภาพไม่ได้. หากจะกล่าวกว้าง ๆ แล้ว ในเวลานั้นประเด็นเรื่องความเชื่อทางศาสนากับความจงรักภักดีของพลเรือนเป็นเรื่องที่แยกกันไม่ออก. เป็นไปได้ไหมที่จะเป็นชาวฝรั่งเศสแต่ก็ไม่ขึ้นกับคริสตจักรคาทอลิก? ดูเหมือนว่าบางคนคิดว่าเป็นไปได้. ในปี 1562 มีเชล เดอ ลอสปีตาล รัฐบุรุษชาวฝรั่งเศสเขียนไว้ดังนี้: “แม้แต่คนที่ถูกไล่ออกจากศาสนา สถานภาพความเป็นพลเมืองของเขาก็หาได้สิ้นสุดลงไม่.” กลุ่มคาทอลิกกลุ่มหนึ่งซึ่งรู้จักกันในนามเล โปลีตีก (การเมือง) ก็หาเหตุผลคล้าย ๆ กัน.
สนธิสัญญาสันติภาพที่ไร้ผลสำเร็จซึ่งได้มีการลงนามกันในฝรั่งเศสช่วยรักษาแนวคิดใหม่เหล่านี้เอาไว้บางอย่าง. สนธิสัญญาเหล่านี้ยังส่งเสริมแนวคิดที่ให้ลืมอดีตว่าเป็นหนทางในการสร้างอนาคต. ยกตัวอย่างเช่น กฤษฎีกาแห่งบูโลญ ซึ่งออกในปี 1573 กล่าวดังนี้: “ให้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น . . . ถูกลืมและเลือนหายไปราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น.”
ฝรั่งเศสมีหลายสิ่งหลายอย่างที่จะต้องลืม. ก่อนเฮนรีที่ 4 ขึ้นเป็นกษัตริย์ในปี 1589 สนธิสัญญาสันติภาพที่คงทนที่สุดก็อยู่ได้เพียงแปดปีเท่านั้น. ฝรั่งเศสกำลังประสบปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคม. สิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งคือการสร้างความมั่นคงภายในประเทศ. กษัตริย์เฮนรีที่ 4 ทรงรู้เรื่องดีทั้งศาสนาและการเมือง. พระองค์ทรงเปลี่ยนไปเข้าทางโน้นทีทางนี้ทีอยู่หลายครั้งระหว่างโปรเตสแตนต์กับคาทอลิก. หลังจากดำเนินการจนมีสันติภาพกับสเปนในปี 1597 และในที่สุดก็จัดการปัญหาขัดแย้งภายในประเทศได้ในปี 1598 พระองค์จึงทรงอยู่ในฐานะที่จะระงับข้อพิพาทระหว่างชาวโปรเตสแตนต์กับชาวคาทอลิกโดยสันติวิธี. ในปี 1598 หลังจากที่ฝรั่งเศสทำสงครามศาสนามากว่า 30 ปี กษัตริย์เฮนรีที่ 4 ก็ทรงลงนามในพระราชกฤษฎีกาแห่งนองต์.
“บัญญัติว่าด้วยสิทธิพื้นฐานของพลเมืองตามแบบฉบับฝรั่งเศส”
พระราชกฤษฎีกาแห่งนองต์ที่เฮนรีทรงลงนามประกอบด้วยตัวบทพื้นฐานสี่ส่วน ซึ่งรวมตัวบทสำคัญที่ประกอบด้วยมาตราต่าง ๆ ถึง 92 หรือ 95 มาตราและมาตราลับหรือ “มาตราเฉพาะ” อีก 56 มาตรา ซึ่งเกี่ยวข้องกับสิทธิและข้อผูกพันสำหรับชาวโปรเตสแตนต์. สนธิสัญญาสันติภาพฉบับก่อน ๆ เป็นโครงสร้างพื้นฐานของข้อตกลง โดยบัญญัติไว้สองในสามของมาตราทั้งหมด. อย่างไรก็ตาม พระราชกฤษฎีกานี้ต่างจากสนธิสัญญาฉบับก่อน ๆ ตรงที่ใช้เวลานานในการร่าง. พระราชกฤษฎีกานี้ยาวเป็นพิเศษเนื่องจากมีการชำระสะสางปัญหาต่าง ๆ อย่างละเอียดยิบ ทำให้พระราชกฤษฎีกานี้มีลักษณะเหมือนเอกสารอันเป็นผลมาจากการเจรจากันในหมู่ผู้ที่มิใช่นักกฎหมาย. พระราชกฤษฎีกานี้ให้สิทธิอะไรบ้าง?
พระราชกฤษฎีกานี้ให้เสรีภาพด้านสติรู้สึกผิดชอบอย่างเต็มที่แก่ชาวฝรั่งเศสที่เป็นโปรเตสแตนต์. นอกจากนี้พวกเขายังได้รับสถานภาพของชนกลุ่มน้อยที่ได้รับความนับถือให้มีสิทธิและสิทธิพิเศษต่าง ๆ. มาตราลับมาตราหนึ่งถึงกับให้คำรับรองว่าจะปกป้องพวกเขาไว้จากศาลศาสนาเมื่อเดินทางไปต่างประเทศ. นอกจากนั้น ชาวโปรเตสแตนต์ยังได้รับสถานภาพพลเรือนแบบเดียวกับชาวคาทอลิกและสามารถรับราชการได้. ทว่า พระราชกฤษฎีกานี้เป็นพระบรมราชานุญาตที่ยอมให้มีศาสนาอื่นอย่างแท้จริงไหม?
พระราชกฤษฎีกานี้ยอมให้มีศาสนาอื่นขนาดไหน?
เมื่อพิจารณาวิธีที่ชนกลุ่มน้อยทางศาสนาได้รับการปฏิบัติในประเทศอื่น นักประวัติศาสตร์เอลีซาเบ็ท ลาบรูสส์ กล่าวว่า พระราชกฤษฎีกาแห่งนองต์นับเป็น “เอกสารที่เป็นปัญญาทางการเมืองที่หาได้ยากยิ่ง.” พระราชประสงค์สูงสุดของเฮนรีได้แก่การเห็นชาวโปรเตสแตนต์กลับสู่คอกแกะแห่งคาทอลิก. ในระหว่างนั้น การอยู่ร่วมกันอย่างสันติทางศาสนาเป็นแนวทางหนึ่งแห่งการประนีประนอม และตามที่เฮนรีได้ตรัสไว้ เป็นทางเดียวที่ “พสกนิกรทั้งหมดของเราจะสามารถอธิษฐานและนมัสการพระเจ้า.”
แท้จริงแล้ว พระราชกฤษฎีกานี้เข้าข้างฝ่ายคาทอลิก ซึ่งมีการประกาศว่าเป็นศาสนาประจำชาติและจะได้รับการฟื้นฟูทั่วราชอาณาจักร. ชาวโปรเตสแตนต์ต้องเสียภาษีหนึ่งในสิบตามแบบคาทอลิกและถือวันหยุดและข้อจำกัดต่าง ๆ เกี่ยวกับการสมรสตามแบบคาทอลิก. เสรีภาพในการนมัสการของชาวโปรเตสแตนต์ถูกจำกัดไว้เฉพาะเขต. พระราชกฤษฎีกานี้เกี่ยวข้องกับการอยู่ร่วมกันเฉพาะชาวโปรเตสแตนต์กับชาวคาทอลิกเท่านั้น. ศาสนาของชนกลุ่มน้อยกลุ่มอื่น ๆ ไม่ถูกรวมเข้าไว้ด้วย. ตัวอย่างเช่น ชาวมุสลิมถูกขับออกนอกประเทศฝรั่งเศสในปี 1610. แม้ว่ามีทัศนะที่ไม่เปิดกว้างนักในเรื่องการยอมให้มีศาสนาอื่น เหตุใดพระราชกฤษฎีกานี้จึงได้รับการยกย่องในปัจจุบัน?
ผลลัพธ์ที่สำคัญ ๆ
จดหมายเหตุที่บันทึกเหตุการณ์ในช่วงเวลานั้นแทบไม่ได้กล่าวพาดพิงถึงพระราชกฤษฎีกานี้เลย. นักประวัติศาสตร์เรียกพระราชกฤษฎีกานี้ว่าเป็น “เรื่องที่ผิดคาด.” อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันถือว่าพระราชกฤษฎีกานี้เป็นผลงานชิ้นโบแดงของฝีมือในการไกล่เกลี่ยทางการเมือง. พระราชกฤษฎีกานี้เรียกนิกายโปรเตสแตนต์ว่าเป็นศาสนาหนึ่ง แทนที่จะเรียกว่าลัทธินอกรีต. การยอมรับอีกศาสนาหนึ่งนอกเหนือจากนิกายคาทอลิกเปิดทางให้แก่พหุนิยมทางศาสนา. ตามที่นักประวัติศาสตร์ผู้หนึ่งได้กล่าวไว้ เรื่องนี้ “มีผลให้ความรู้สึกรุนแรงของชาวฝรั่งเศสเกี่ยวกับความคลั่งไคล้ทางศาสนาซึ่งมีอยู่ในชาวโปรเตสแตนต์พอ ๆ กับชาวคาทอลิกนั้นถูกขจัดออกไป.” พระราชกฤษฎีกานี้ยอมรับว่า ศาสนาไม่ใช่ปัจจัยที่ใช้ในการตัดสินเรื่องความภักดีต่อรัฐหรือเอกลักษณ์ประจำชาติ. นอกจากนั้น การประกอบอาชญากรรมต่างหากที่กลายเป็นหลักเกณฑ์สำหรับการดำเนินการตามกฎหมาย ไม่ใช่การสังกัดทางศาสนา. แนวคิดเหล่านี้สะท้อนให้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นอีก.
ในการลงนามพระราชกฤษฎีกานี้ จุดใหญ่ที่กษัตริย์เฮนรีทรงเป็นห่วงคือเอกภาพของพลเรือน. เพื่อรับประกันให้เป็นไปตามนี้ พระราชกฤษฎีกานี้ได้แยกเอกภาพของพลเรือนไว้ต่างหากจากเอกภาพทางศาสนา. นักประวัติศาสตร์ผู้หนึ่งให้ข้อสังเกตดังนี้: “พระราชกฤษฎีกานี้เริ่มกระบวนการที่ทำให้เป็นเรื่องทางโลก . . . การยอมรับว่าชาติและศาสนาไม่ได้มีความหมายเหมือนกันอีกต่อไป.” ในขณะที่คริสตจักรคาทอลิกรักษาอำนาจเอาไว้ในขอบเขตหนึ่ง แต่อำนาจของรัฐได้เข้มแข็งขึ้นมาก. กษัตริย์จะเป็นผู้ชี้ขาดในยามที่เกิดข้อขัดแย้ง. การแก้ปัญหาศาสนาโดยวิธีทางการเมืองหรือโดยใช้กฎหมายย่อมหมายความว่าการเมืองมีอำนาจเหนือศาสนา. นั่นเป็นเหตุที่นักประวัติศาสตร์ผู้หนึ่งเรียกพระราชกฤษฎีกานี้ว่าเป็น “ชัยชนะของอำนาจทางการเมืองเหนือบทบาทของคริสตจักร.” นักประวัติศาสตร์อีกคนหนึ่งกล่าวว่า พระราชกฤษฎีกานี้ “บ่งบอกถึงช่วงเวลาที่เด่นชัดในการปรากฏตัวของรัฐสมัยใหม่.”
ความเกี่ยวข้องของประเด็นนี้ในปัจจุบัน
ในเวลาต่อมา รัฐบาลอื่นได้รับเอาแนวทางบางอย่างที่พระราชกฤษฎีกาแห่งนองต์วางไว้. ต่อมา หลายประเทศได้นิยามความสัมพันธ์ระหว่างศาสนากับการเมืองเสียใหม่ โดยให้อำนาจรัฐตั้งอยู่บนฐานใหม่. ในฝรั่งเศส แนวทางซึ่งถูกเลือกใช้ในที่สุด (ในปี 1905) เป็นการแยกกันเด็ดขาดระหว่างคริสตจักรกับรัฐ. ตามที่ชอง โบเบโร ศาสตราจารย์ทางประวัติศาสตร์และสังคมวิทยาผู้มีชื่อเสียงได้กล่าวไว้ การจัดเตรียมนี้เป็น “การปกป้องที่ดีที่สุดสำหรับชนกลุ่มน้อย” ในบรรยากาศที่การไม่ยอมให้ทางศาสนาเพิ่มทวีขึ้น. สำหรับประเทศอื่น ๆ ในขณะที่ยังยึดอยู่กับการมีศาสนาประจำชาติ แต่ก็ได้เลือกที่จะรับรองเสรีภาพทางศาสนาและรับรองในรัฐธรรมนูญของตนว่าจะปฏิบัติอย่างเท่าเทียมต่อทุกคน.
อย่างไรก็ตาม หลายคนในปัจจุบันคิดว่า การปกป้องเสรีภาพทางศาสนายังสามารถก้าวหน้าไปได้มากกว่านี้. นักหนังสือพิมพ์ อะแลง ดังเมล โอดครวญว่า “พระราชกฤษฎีกาแห่งนองต์ถูกระลึกถึงครั้งหนึ่งในรอบศตวรรษ แล้วก็ถูกฝ่าฝืนตลอดเวลาที่เหลือนอกนั้น.” ตัวอย่างเช่น นักวิจารณ์บางคนที่รู้เรื่องนี้ดีเน้นถึงการไม่ยอมให้มีศาสนาอื่นด้วยการเรียกศาสนาเล็ก ๆ ทั้งหลายเอาเองว่าเป็น “นิกาย.” การเรียนที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสันติและปราศจากอคตินับเป็นบทเรียนสำคัญอย่างแท้จริงที่ต้องเรียนรู้กันเมื่อ 400 กว่าปีที่แล้ว. แต่บทเรียนนี้ก็ยังเกี่ยวเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้.
ประเด็นที่เสี่ยงอันตราย
เสรีภาพในการนมัสการไม่มีอยู่จริงเมื่อเจ้าหน้าที่บ้านเมืองปฏิบัติตามอำเภอใจโดยไม่สนับสนุนศาสนาหนึ่งแต่กลับสนับสนุนศาสนาอื่น ๆ. ในฝรั่งเศส ในขณะที่หน่วยงานของรัฐบาลบางหน่วยงานรับรองสถานภาพทางศาสนาของพยานพระยะโฮวา แต่ก็มีบางหน่วยงานที่ไม่รับรอง. ที่น่าแปลกแต่ว่าจริงก็คือ รัฐบาลที่เป็นฆราวาสกำลังให้คำจำกัดความว่าอะไรคือศาสนาและอะไรไม่ใช่. กระบวนการดังกล่าวนี้เริ่มต้นด้วยการเลือกปฏิบัติและนำไปสู่การกดขี่. ยิ่งกว่านั้น สมาชิกรัฐสภาแห่งยุโรปไรโม อิลาสกีวี กล่าวว่า “เรื่องนี้อาจกลายเป็นกรณีตัวอย่างที่สามารถแพร่ไปสู่หลาย ๆ ประเทศและสมาคมศาสนาต่าง ๆ.” นั่นคือเหตุผลที่ผู้บรรยายด้านกฎหมาย ชอง-มาร์ก โฟลรอง กล่าวในที่สุดดังนี้: “นับว่าเป็นการกระทำอันเป็นปฏิปักษ์ที่ก่อความเสียหายต่อฝรั่งเศสและต่อการใช้เสรีภาพในด้านต่าง ๆ. ในฐานะคาทอลิกคนหนึ่ง ผมรู้สึกเป็นห่วงมาก.” ถึงกระนั้น ประวัติศาสตร์สามารถสอนบทเรียนแก่คนที่เต็มใจเรียน.
ในการประชุมเมื่อเร็ว ๆ นี้ขององค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ผู้บรรยายคนหนึ่งชี้ว่า “วิธีหนึ่งในการฉลองพระราชกฤษฎีกาแห่งนองต์คือการคิดถึงสถานภาพของศาสนาต่าง ๆ ในสมัยของเรา.” ที่จริง จะรำลึกถึงพระราชกฤษฎีกาแห่งนองต์ได้ดีที่สุดด้วยการทำให้แน่ใจว่าเสรีภาพในการนมัสการได้รับการปกป้องสำหรับทุกคน!
[เชิงอรรถ]
a ดูตื่นเถิด! (ภาษาอังกฤษ) 22 เมษายน 1997 หน้า 3-9.
[กรอบ/ภาพหน้า 20, 21]
เสรีภาพทางศาสนาในฝรั่งเศสสมัยปัจจุบัน
บางครั้ง บทเรียนจากอดีตถูกหลงลืม. เมื่อทรงออกแถลงการณ์สนับสนุนพระราชกฤษฎีกาแห่งนองต์ เฮนรีที่ 4 ทรงประกาศว่า “ไม่ควรจะมีการแบ่งแยกกันระหว่างคาทอลิกกับฮิวเกนอตอีกต่อไป.” ชอง-มาร์ก โฟลรอง อาจารย์อาวุโสผู้สอนวิชากฎหมายที่มหาวิทยาลัยปารีสที่ 12 อธิบายไว้ในหนังสือพิมพ์เลอ ฟีการอ ของฝรั่งเศสว่า ในประเทศฝรั่งเศสนับตั้งแต่ปี 1905 เป็นต้นมา “กฎหมายกำหนดให้ทุกศาสนา, ลัทธิความเชื่อ, และนิกาย มีฐานะเท่าเทียมกัน.” การเลือกปฏิบัติและอคติควรเป็นเรื่องของอดีต.
ที่น่าแปลกก็คือ ในปี 1998 ซึ่งครบรอบสี่ร้อยปีพอดีนับตั้งแต่มีพระราชกฤษฎีกาแห่งนองต์ บทเรียนจากพระราชกฤษฎีกานี้ที่ว่า พลเมืองทุกคนควรได้รับการรับรองให้มีเสรีภาพทางศาสนาและการปฏิบัติอย่างเสมอภาคนั้น ดูเหมือนว่าถูกหลงลืมไปเสียแล้ว. พยานพระยะโฮวา ซึ่งเป็นกลุ่มศาสนาคริสเตียนที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสามในประเทศฝรั่งเศส ได้ปฏิบัติศาสนาของตนที่นั่นมาเป็นเวลาเกือบหนึ่งร้อยปี. อย่างไรก็ตาม รายงานรัฐสภาฝรั่งเศสปฏิเสธฐานะของพยานพระยะโฮวาว่าเป็นศาสนาที่ถูกต้องตามกฎหมาย. ผลคือ เจ้าหน้าที่ของฝรั่งเศสบางคนปฏิบัติอย่างมีอคติต่อพยานพระยะโฮวาอยู่เป็นประจำในเรื่องที่เกี่ยวกับเสรีภาพของพวกเขา. ตัวอย่างเช่น เมื่อเกิดกรณีพิพาทเรื่องการปกครองดูแลบุตร ผู้พิพากษาของฝรั่งเศสมักตั้งข้อสงสัยว่าบิดาหรือมารดาที่เป็นพยานพระยะโฮวาสมควรได้รับอนุญาตให้ปกครองดูแลบุตรของเขาหรือไม่. ข้อสงสัยเหล่านี้ถูกยกขึ้นมาเพียงเพราะศาสนาที่บิดาหรือมารดาเหล่านั้นสังกัดอยู่. นอกจากนี้ เนื่องจากพวกเขาเป็นพยานพระยะโฮวา บิดามารดาบุญธรรมบางคนตกอยู่ในภาวะเสี่ยงยิ่งขึ้นที่จะสูญเสียบุตรที่อยู่ในความดูแลของเขา.
เมื่อไม่นานมานี้ เจ้าหน้าที่ของฝรั่งเศสได้ข่มขู่ว่าจะจัดเก็บภาษีตามอำเภอใจจากทรัพย์ที่พยานพระยะโฮวาบริจาคแก่ประชาคมของตน ตามที่องค์กรพัฒนาเอกชนเพื่อสิทธิมนุษยชนไร้พรมแดนได้กล่าวไว้ เรื่องนี้เป็น “กรณีตัวอย่างที่อันตรายทีเดียว” ซึ่งฝ่าฝืนมติที่ออกโดยศาลสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรป. ที่จริง สหภาพยุโรป ให้การรับรองในเรื่องเสรีภาพทางศาสนา. พยานพระยะโฮวาได้รับการยอมรับหลายต่อหลายครั้งจากศาลแห่งยุโรปว่าเป็น “ศาสนาซึ่งเป็นที่รู้จัก” ซึ่งก็ทำให้การกระทำของเจ้าหน้าที่บางคนของฝรั่งเศสเป็นเรื่องยากจะเข้าใจได้ยิ่งขึ้น.
พยานพระยะโฮวาได้ทำกิจกรรมทางศาสนาอย่างขันแข็งในฝรั่งเศสมาเกือบหนึ่งร้อยปีแล้ว
บนขวา: หลายครอบครัวในฝรั่งเศสเป็นพยาน พระยะโฮวากันมาหลายชั่วคนแล้ว
บนซ้าย: ประชาคมรูเบซ์ ปี 1913
ล่างซ้าย: พยานฯ ทางภาคเหนือของฝรั่งเศส ปี 1922
[รูปภาพหน้า 19]
กษัตริย์เฮนรีที่ 4 แห่งฝรั่งเศส
[ที่มาของภาพ]
© Cliché Bibliothèque Nationale de France, Paris