แบบเสื้อผ้าที่เราสวมใส่—เป็นเรื่องสำคัญจริง ๆ หรือ?
“ฉันไม่รู้จะใส่อะไรดี!” การขอให้ช่วยแบบนี้ฟังคุ้นหูไหม? แน่ล่ะ ร้านออกแบบเสื้อผ้าที่ทันสมัยพร้อมจะช่วยคุณเสมอ—หรือไม่ก็ยิ่งทำให้คุณสับสนมากขึ้น—ด้วยข้อเสนอใหม่ล่าสุดของเขา.
ที่ทำให้การตัดสินใจยากขึ้นไปอีกก็คือ สมัยนี้คุณอาจได้รับการส่งเสริมให้แต่งตัว ไม่ใช่ด้วยเสื้อผ้าที่ดีที่สุด แต่เป็นแบบปล่อยปละ. เกี่ยวด้วยแนวโน้มที่กลับตาลปัตรแห่งทศวรรษ 1990 นี้ บทบรรณาธิการหนึ่งเกี่ยวกับแฟชั่นบอกว่า “แนวโน้มนี้อาจให้ความมั่นใจที่ได้รู้ว่า เสื้อผ้าที่จงใจทำให้หมอง, เก่า, ขาดกะรุ่งกะริ่ง, และซีดนั้นไม่เพียงแต่เป็นที่ยอมรับแต่กลับเป็นที่น่าปรารถนาเสียด้วยซ้ำ.”
ตามจริงแล้ว ในปีหลัง ๆ นี้การโฆษณาที่มีพลังดึงดูดสูง, แบบอย่างที่เห็นทางโทรทัศน์, คนรุ่นเดียวกัน, การโฆษณาตัวเอง, อีกทั้งความต้องการจะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ล้วนเป็นอิทธิพลอันทรงพลังในเรื่องเครื่องแต่งกายที่ผู้คนสวมใส่กัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อคนหนุ่มสาว. บางคนถึงกับขโมยเพื่อจะมีเสื้อผ้าตามสมัยนิยม.
เสื้อผ้าแบบที่นิยมกันหลายแบบในทศวรรษ 1990 นี้มีต้นตอมาจากวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ของพวกที่มีทัศนะแบบสุดขั้วอย่างพวกฮิปปี้ในสังคมตะวันตกสมัยทศวรรษ 1960. หนวดเครา, ผมยาวเป็นกระเซิง, และเสื้อผ้าที่ยับยู่ยี่ประกาศการไม่ยอมรับค่านิยมตามแบบแผน. แต่เครื่องแต่งกายที่แสดงถึงการขืนอำนาจนี้ยังปลุกเร้าการคล้อยตามแบบใหม่ด้วย คือความกดดันแบบใหม่จากคนรุ่นเดียวกัน.
เครื่องแต่งกายได้กลายเป็นเครื่องแสดงเอกลักษณ์ที่ใช้กันอย่างกว้างขวางมากขึ้น. เสื้อผ้า โดยเฉพาะเสื้อยืดได้กลายเป็นป้ายประกาศที่โฆษณาอย่างเงียบ ๆ เกี่ยวกับกีฬายอดนิยมและนักกีฬาชื่อดัง, ความตลกขบขัน, ความผิดหวัง, ความก้าวร้าว, ศีลธรรมจรรยา—หรือการไร้ศีลธรรม—และผลิตภัณฑ์เพื่อการค้า. หรือมันอาจทำให้ช็อกได้. ลองพิจารณาพาดหัวข่าวในวารสารนิวส์วีก เมื่อเร็ว ๆ นี้ที่ว่า “ความโหดร้ายเป็นแนวคิดทางแฟชั่นของวัยรุ่น.” บทความนี้ยกเอาคำพูดของหนุ่มวัย 21 ปี ที่พูดเรื่องเสื้อยืดของเขาดังนี้: “ผมใส่เสื้อตัวนี้เพราะมันบอกผู้คนให้รู้ว่าอารมณ์ของผมเป็นอย่างไร. ผมจะไม่ยอมให้ใครมาสั่งผมทำนั่นทำนี่ และไม่ต้องการให้ใครมายุ่งด้วย.”
สิ่งที่อวดหราบนหน้าอกและหลังของคนหนึ่งอาจต่างจากอีกคนหนึ่ง. กระนั้น ลักษณะที่คล้อยตามกัน—เอกลักษณ์ประจำกลุ่มหรือน้ำใจขืนอำนาจที่มีอยู่ดาษดื่น, ทัศนะแบบฉันก่อน, ความต่ำช้า, หรือความรุนแรง—ก็ปรากฏชัด. นักออกแบบคนหนึ่งยิงเสื้อให้เป็นรูพรุนทั้งตัวตามที่ลูกค้าของเขาสั่ง. เขาพูดว่า “ลูกค้าจะเลือกเอารูกระสุนปืนพก, ปืนยาว, หรือปืนกลได้ทั้งนั้น. มันเป็นแค่แนวคิดทางแฟชั่น.”
แฟชั่นบ่งบอกอะไร?
เจน เด เทลิกา หัวหน้าภัณฑารักษ์ด้านแฟชั่นแห่งพิพิธภัณฑสถานเพาเวอร์เฮาส์ ในนครซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย พูดว่า “โดยทั่วไป เสื้อผ้าเป็นวิธีหนึ่งที่ระบุว่าคุณเป็นคนกลุ่มไหนโดยเฉพาะในสังคม.” เธอเสริมอีกว่า “คุณเลือกกลุ่มที่คุณอยากถูกจัดให้เข้ากลุ่มนั้น แล้วคุณก็แต่งตัวตามนั้น.” ดร. ไดแอนนา เคนนีย์ อาจารย์คณะจิตวิทยา ณ มหาวิทยาลัยซิดนีย์กล่าวว่า ฐานะเป็นปัจจัยสำคัญที่ใช้จำแนกผู้คน เสื้อผ้ามีความสำคัญพอ ๆ กับศาสนา, ความมั่งคั่ง, งานอาชีพ, ชาติพันธุ์, การศึกษา, และหลักแหล่ง. ตามที่นิตยสารเจ็ต กล่าว ความตึงเครียดด้านเชื้อชาติในโรงเรียนแห่งหนึ่งที่สหรัฐซึ่งเกือบทุกคนในโรงเรียนนั้นเป็นชนผิวขาว “ได้ปะทุขึ้นเนื่องจากเด็กนักเรียนหญิงผิวขาวถักผมเปีย, สวมเสื้อผ้าหลวมรุ่มร่าม, และแฟชั่นอื่นแบบ ‘ฮิป-ฮอป’ เพราะแฟชั่นแบบนั้นเกี่ยวโยงกับคนผิวดำ.”
ความภักดีต่อกลุ่มชนปรากฏชัดเช่นกันในวัฒนธรรมเขตย่อย อาทิ ในวงการดนตรี ดังที่กล่าวในนิตยสารแมกคลีนส์ “ในหลายกรณี เสื้อผ้าสอดรับกับรสนิยมด้านดนตรี เป็นต้นว่า แฟนดนตรีเรกเกใส่ชุดสีสด ๆ และสวมหมวกแก๊ปแบบพวกจาเมกา ขณะเดียวกันคนเหล่านั้นที่คลั่งไคล้ดนตรีร็อกเสียงดังกระหึ่มก็จะสวมหมวกที่ใส่เล่นสกีกับเสื้อลายสกอต.” การแต่งตัวแบบใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นแบบลวก ๆ แบบปล่อยปละ แต่งให้ดูราวกับเป็นคนจรจัด และแบบที่เรียกว่ากรันจ์ อาจต้องใช้จ่ายเงินก้อนโต.
เกิดอะไรขึ้นกับมาตรฐานการแต่งกาย?
วูดี ฮอกซเวนเดอร์ นักเขียนประจำคอลัมน์บอกว่า “ทุกอย่างอาจตรงกันข้ามกับสิ่งที่คุณคิด แฟชั่นสำหรับผู้ชายซึ่งแต่ก่อนเคยถูกควบคุมโดยมาตรฐานที่เข้มงวดกลับกลายเป็นแบบที่ยากแก่การควบคุมมากขึ้นทุกที . . . ทุกอย่างดูราวกับว่าจับใส่แบบลวก ๆ.” อย่างไรก็ตาม แนวโน้มเช่นนี้ในบางสภาพการณ์ส่อถึงท่าทีที่ไม่สนใจไยดีอะไรทั้งสิ้น หรือไม่ก็อาจแสดงถึงการขาดความนับถือตัวเองหรือขาดความนับถือต่อผู้อื่น.
ในบทความหนึ่งเรื่องแนวคิดของนักเรียนที่มีต่อครู วารสาร เพอร์เซปชัวล์ แอนด์ มอเตอร์ สกิลส์ ชี้แจงว่า “ถึงแม้ครูที่นุ่งกางเกงยีนส์ถูกมองว่าทำให้ห้องเรียนมีบรรยากาศที่สนุกสนาน แต่ข้อคิดเห็นของครูได้รับความนับถือน้อยเต็มทีและเขามักจะได้รับการคัดเลือกให้เป็นครูที่ดูเหมือนไม่รู้อะไรเลย.” วารสารเล่มเดียวกันนี้ยังกล่าวเสริมว่า “ครูผู้หญิงที่สวมใส่ยีนส์ถูกมองว่าเป็นคนสนุก เข้าพบได้ง่าย ไม่มีความรู้อะไรเป็นพิเศษ ได้รับความนับถือในขอบเขตจำกัด ท่าทางไม่เหมือนครู และเป็นที่ชอบพอรักใคร่.”
ขณะเดียวกัน ในโลกธุรกิจ เรายังมีแนวคิดด้านแฟชั่นอีกแบบหนึ่ง นั่นคือการแต่งตัวแบบสะดุดตา. เมื่อไม่กี่ปีมานี้ สตรีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ต้องการไต่เต้าในหน้าที่การงาน. มารี ผู้บริหารสำนักพิมพ์พูดว่า “ดิฉันแต่งกายให้เปรี้ยวสะดุดตา.” เธอเสริมอีกว่า “ฉันต้องทำตัวให้เด่น. ฉันต้องแสดงตัวเองว่า เป็นอะไรที่วิเศษยอดเยี่ยม.” มารีพูดอย่างตรงไปตรงมาเมื่อเปิดเผยว่าจุดที่เธอเพ่งเล็งก็คือตัวเธอเอง.
แฟชั่นที่นิยมแพร่หลายนั้นพบเห็นอย่างไม่อาจเลี่ยงได้ในโบสถ์ต่าง ๆ เช่นกัน. บางคนซึ่งคิดแต่เรื่องแฟชั่นถึงกับใช้โบสถ์เป็นแหล่งอวดเครื่องแต่งกายใหม่ล่าสุดเสียด้วยซ้ำ. กระนั้น ในปัจจุบัน นักเทศน์นักบวชขณะที่สวมใส่เสื้อคลุมยาวพลิ้ว เมื่อมองลงมาจากธรรมาสน์มักจะเห็นกลุ่มคนเหล่านั้นที่ใส่ยีนส์และสวมรองเท้าผ้าใบหรือเสื้อผ้าแบบแปลก ๆ ที่เห่อกันเป็นพัก ๆ.
ทำไมจึงหลงอยู่กับตัวเองและเอกลักษณ์เฉพาะตัว?
เครื่องแต่งกายแบบแปลก ๆ—โดยเฉพาะในหมู่คนหนุ่มสาว—นักจิตวิทยาบอกว่า เป็นแง่มุมหนึ่งของคนที่ถือคตินิยมตน ด้วยเหตุที่มันบ่งบอกความต้องการที่จะให้ผู้อื่นหันมาสนใจตน. พวกเขาพรรณนาการแต่งตัวแบบแปลก ๆ นี้ว่าเป็น “ความโน้มเอียงเรื้อรังในส่วนของคนหนุ่มสาวที่จะทำให้ตัวเองเป็นเป้าที่ดึงดูดความสนใจของผู้อื่น.” โดยแท้แล้ว เขากำลังบอกว่า “ฉันคิดว่าคุณติดใจฉันอย่างที่ฉันกำลังติดใจตัวเอง.”—อเมริกัน เจอร์นัล ออฟ ออร์โทไซไคอาตรีย์.
ปรัชญาต่าง ๆ ซึ่งเน้นความสำคัญของมนุษย์และบอกปัดพระเจ้า ได้ส่งเสริมแนวคิด (ซึ่งมักแพร่ออกไปโดยการพาณิชย์) ที่ว่า ตัวคุณ ฐานะเป็นปัจเจกบุคคล เป็นคนที่สำคัญที่สุดในเอกภพ. ปัญหาคือ เวลานี้มีเกือบหกพันล้านคนล้วนแต่เป็นบุคคล ‘สำคัญที่สุด.’ หลายล้านคนในคริสต์ศาสนจักรก็เช่นกันได้ยอมแพ้ต่อการรุมกระหน่ำของวัตถุนิยม โดยการดิ้นรนเพื่อจะบรรลุซึ่ง “ชีวิตในปัจจุบันที่มีมาตรฐานความเป็นอยู่ที่ดี.” (เทียบกับ 2 ติโมเธียว 3:1-5.) นอกจากนี้ การกัดกร่อนหน่วยครอบครัวและความรักแท้ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง และไม่แปลกที่หลายคน โดยเฉพาะหนุ่มสาวต่างไขว่คว้าอะไรก็ตามเพื่อจะมีเอกลักษณ์และความมั่นคงปลอดภัย.
อย่างไรก็ตาม เป็นธรรมดาอยู่เองที่คนเหล่านั้นซึ่งเป็นห่วงในเรื่องเครื่องแต่งกายและฐานะของตนจำเพาะพระเจ้าจะถามดังนี้: ฉันควรคล้อยตามมาตรฐานการแต่งกายที่กำลังเปลี่ยนไปถึงขีดไหน? ฉันจะรู้ได้อย่างไรว่าฉันสวมใส่เสื้อผ้าที่เหมาะสม? เสื้อผ้านั้นส่งสัญญาณสับสนหรือถึงกับส่งสัญญาณผิด ๆ เกี่ยวกับตัวฉันไหม?
ฉันแต่งตัวเหมาะสมไหม?
โดยพื้นฐานแล้ว สิ่งที่เราสวมใส่นั้นเป็นเรื่องของการตัดสินใจส่วนตัว. รสนิยมส่วนตัวของเราย่อมแตกต่างกันไป เช่นเดียวกับกำลังเงินที่เรามี. และธรรมเนียมก็มีหลากหลาย ที่หนึ่งต่างกับอีกที่หนึ่ง, ประเทศหนึ่งก็ต่างไปจากประเทศหนึ่ง, และเขตที่มีลมฟ้าอากาศอย่างหนึ่งก็ต่างจากอีกเขตหนึ่ง. แต่ไม่ว่าสภาพการณ์ของคุณเป็นอย่างไร จำหลักการนี้ไว้เสมอคือ “มีฤดูกาลสำหรับทุกสิ่งและมีวารสำหรับเรื่องราวทุกอย่างภายใต้ฟ้าสวรรค์.” (ท่านผู้ประกาศ 3:1, ฉบับแปลใหม่) พูดอีกนัยหนึ่ง แต่งตัวให้ถูกกาลเทศะ. และข้อสอง “เจียมตนในการดำเนินกับพระเจ้าของเจ้า.”—มีคา 6:8, ล.ม.
นั่นไม่ได้หมายถึงการแต่งกายอย่างพิถีพิถันมากเกินไป แต่ในแบบที่ “จัดเรียบร้อย” ซึ่งสะท้อนว่ามี “สุขภาพจิตดี.” (1 ติโมเธียว 2:9, 10, ล.ม.) บ่อยครั้ง สิ่งนี้เป็นเพียงการแสดงความยับยั้งชั่งใจ อันเป็นคุณลักษณะที่วารสาร เวิร์กกิง วูแมน เชื่อมโยงเข้ากับรสนิยมที่ดีและความสง่างาม. มีหลักง่าย ๆ คือ อย่าให้เสื้อผ้าของคุณเดินเข้าไปถึงก่อนตัวคุณเพื่อจะทำให้คนในห้องตกตะลึง. เวิร์กกิง วูแมน บอกว่า “ให้แต่งกาย . . . เพื่อว่าคนเขาจะมองเลย เสื้อผ้าของคุณเข้าไปและเห็นคุณงามความดีอันเป็นลักษณะเฉพาะตัวของคุณ.”
วารสารเพอร์เซปชัวล์ แอนด์ มอเตอร์ สกิลส์ บอกว่า “หนังสือต่าง ๆ ที่ตรวจสอบบทบาทของเสื้อผ้าในการก่อความประทับใจเกี่ยวกับตัวผู้สวมใส่และเป็นการสื่อความแบบที่ไม่ต้องใช้วาจานั้นบ่งชี้ว่า เสื้อผ้าเป็นสิ่งสำคัญที่ใช้ในการตัดสินผู้อื่นตั้งแต่แรกพบ.” ด้วยแนวคิดเช่นนี้ ผู้หญิงวัย 40 เศษ ๆ คนหนึ่งซึ่งก่อนหน้านี้รู้สึกกระหยิ่มยิ้มย่องที่เธอสามารถแต่งกายให้ดึงดูดความสนใจได้นั้น พูดว่า “วิธีนี้สร้างปัญหาให้กับตัวฉันอย่างใหญ่หลวง เพราะมันทำให้เส้นแบ่งระหว่างอาชีพและชีวิตส่วนตัวเลอะเลือนไม่ชัดเจน. มีคนที่ติดต่อธุรกิจต้องการชวนฉันออกไปรับประทานอาหารค่ำเสมอ.” นักบัญชีหญิงคนหนึ่งพรรณนาสไตล์การแต่งกายที่ต่างออกไปดังนี้: “ฉันได้สังเกตวิธีที่ผู้ชายประพฤติต่อผู้หญิงที่แต่งตัวแบบปล่อยปละ หรือแต่งแบบผู้ชายที่ดูห้าวหาญ. คนประเภทนี้ถูกมองว่าเป็นผู้หญิงก้าวร้าวซึ่งพร้อมจะเข้าจู่โจมตรงจุดที่อ่อนที่สุดของผู้อื่นอย่างไร้ปรานี และมักจะไม่ค่อยได้รับการคำนึงถึงจากผู้ชาย.”
หญิงสาวชื่อ เจฟฟี รู้สึกว่าเธอทำให้ใครต่อใครเข้าใจผิดเมื่อเธอตัดผมทรงที่กำลังเห่อกันอยู่. เธอพูดว่า “ฉันคิดแต่เพียงว่ามันดู ‘แปลกดี.’ แต่ผู้คนเริ่มถามฉัน ‘คุณเป็นพยานพระยะโฮวาจริงหรือ?’ และนั่นเป็นเรื่องน่าละอาย.” เจฟฟีจำต้องถามตัวเองด้วยคำถามเชิงตรวจสอบบางคำถาม. แท้จริงแล้ว เป็นความจริงมิใช่หรือที่ว่า “ใจเต็มบริบูรณ์ด้วยอะไร” ไม่เพียงแต่ปากของเราเท่านั้นแต่เสื้อผ้าและการแต่งกายของเราก็พูดเช่นกัน? (มัดธาย 12:34) การแต่งกายของคุณเผยให้เห็นอะไร—หัวใจที่มุ่งมั่นในการดึงความสนใจไปสู่พระผู้สร้างหรือสู่ตัวเอง?
แต่งกายด้วย “สุขภาพจิตดี”
อนึ่ง ขอพิจารณาผลกระทบของเสื้อผ้าที่มีต่อคุณ. การแต่งกายแบบสะดุดตาหรือแบบฟุ้งเฟ้ออาจทำให้คุณลำพองใจ การแต่งกายแบบซอมซ่ออาจเสริมความคิดในแง่ลบที่คุณมีต่อตัวเอง และเสื้อยืดที่โฆษณาดาราภาพยนตร์หรือยอดนักกีฬาหรือบุคคลเด่นดังคนอื่นที่คุณชอบอาจกระตุ้นคุณให้ยกย่องบูชาวีรบุรุษ—ซึ่งเป็นการบูชารูปเคารพ. ใช่แล้ว เสื้อผ้าของคุณพูดกับคนอื่น ๆ และบอกพวกเขาเกี่ยวกับตัวคุณ.
เสื้อผ้าของคุณบอกอะไรเกี่ยวกับตัวคุณถ้าคุณแต่งกายแบบบาดตา หรือแบบเร้าอารมณ์? คุณกำลังเสริมบุคลิกลักษณะเฉพาะตัวให้เด่นขึ้นไหมซึ่งจริง ๆ แล้วคุณน่าจะบากบั่นเอาชนะให้ได้? ยิ่งกว่านั้น คุณกำลังพยายามจะดึงดูดใจคนประเภทไหน? คำแนะนำตามที่มีบันทึกในโรม 12:3 (ล.ม.) ย่อมช่วยเราให้เอาชนะการถือตนเองเป็นเกณฑ์, ความทะนงตน, และความคิดในแง่ลบ. อัครสาวกเปาโลแนะนำเราในข้อนั้นว่า “อย่าคิดถึงตัวเองเกินกว่าที่จำเป็นจะคิดนั้น; แต่คิดอย่างที่จะมีสุขภาพจิตดี.” การมี “สุขภาพจิตดี” หมายถึง การเป็นคนมีเหตุผล.
ข้อนี้สำคัญเป็นพิเศษสำหรับคนเหล่านั้นที่อยู่ในฐานะที่มีความรับผิดชอบและเป็นที่ไว้วางใจ. ตัวอย่างของพวกเขาเป็นพลังจูงใจผู้อื่น. เป็นธรรมดาอยู่เองที่บรรดาผู้ซึ่งพยายามเอื้อมแขนเพื่อรับเอาสิทธิพิเศษแห่งงานรับใช้ในประชาคมคริสเตียนและภรรยาคริสเตียนของพวกเขาด้วยจะแสดงให้เห็นในการแต่งกายและการประดับตัวด้วยทัศนะที่เจียมตัวและน่านับถือ. อย่าให้เรานึกอยากเป็นเหมือนชายคนที่พระเยซูได้ยกขึ้นมากล่าวในอุทาหรณ์ของพระองค์เรื่องการเลี้ยงในวันงานสมรส ที่ว่า “เมื่อกษัตริย์องค์นั้นเสด็จทอดพระเนตรผู้ที่รับเชิญ. ก็เห็นผู้หนึ่งมิได้สวมเสื้อสำหรับงาน.” ครั้นทราบว่าชายคนนี้ไม่มีเหตุผลอันควรในการสวมใส่เสื้อผ้าที่แสดงถึงการขาดความนับถือเช่นนั้น “ท่านจึงรับสั่งแก่พวกข้าราชการว่า ‘จงมัดมือมัดเท้าคนนี้เอาไปทิ้งเสีย.’”—มัดธาย 22:11-13.
ด้วยเหตุนี้ นับว่าสำคัญที่บิดามารดาพึงปลูกฝังทัศนะอันดีงามและรสนิยมที่ดีแก่บุตรหลานของตนโดยทางคำพูดและวางตัวอย่างเกี่ยวกับการแต่งกาย. ทั้งนี้อาจหมายความว่า บางครั้งบิดามารดาต้องมั่นคงแน่วแน่เมื่อหาเหตุผลกับลูกชายหรือลูกสาวของตน. แต่ช่างเป็นการให้กำลังใจอะไรเช่นนั้นเมื่อเรารับคำชมโดยไม่คาดหมายเนื่องด้วยการแต่งกายและการประพฤติที่มีมาตรฐานสูงของบุตรหลานวัยหนุ่มสาวและของเราเอง!
ใช่แล้ว ผู้รับใช้ของพระยะโฮวาพ้นจากผลกระทบอันเนื่องจากความทะนงตน, การคลั่งไคล้ที่ต้องจ่ายแพง, และการหมกมุ่นกับตัวเอง. พวกเขามีหลักการของพระจ้าเป็นเครื่องชี้นำ ไม่ใช่วิญญาณของโลก. (1 โกรินโธ 2:12, ล.ม.) หากคุณดำเนินชีวิตโดยอาศัยหลักการเหล่านี้ การเลือกเสื้อผ้าของคุณก็ไม่น่าจะยากเกินไป. ยิ่งกว่านั้น คล้ายกันกับกรอบรูปที่เลือกมาเป็นอย่างดี เสื้อผ้าของคุณจะไม่กลบบุคลิกภาพของคุณหรือทำให้คุณเสียบุคลิกภาพ. และยิ่งคุณพยายามจะเป็นเหมือนพระเจ้า คุณก็ยิ่งจะพัฒนาความงามฝ่ายวิญญาณมากขึ้น ซึ่งไม่ได้ขึ้นอยู่กับเสื้อผ้าของคุณ.