การให้เลือดในการรักษามีอนาคตที่ราบรื่นไหม?
“การรักษาโดยการถ่ายเลือดจะยังคงเป็นเหมือนกับการเดินฝ่าป่าดิบเขตร้อน ซึ่งแม้เส้นทางจะเป็นที่รู้จักและไม่มีอุปสรรค แต่ก็ยังต้องเดินด้วยความระมัดระวังและอันตรายใหม่ ๆ และที่มองไม่เห็นอาจจะก่ออันตรายแก่คนที่ไม่ระมัดระวัง.”—ดร. เอียน เอ็ม. แฟรงคลิน, ศาสตราจารย์สาขาเวชศาสตร์บริการโลหิต.
หลังจากการแพร่ระบาดของเอดส์ไปทั่วโลกทำให้เลือดกลายเป็นที่สนใจของสาธารณชนในช่วงทศวรรษ 1980 ก็มีความพยายามกันมากขึ้นเพื่อกำจัด “อันตราย . . . ที่แฝงอยู่” ในเลือด. กระนั้น อุปสรรคใหญ่ ๆ ยังคงมีอยู่. เมื่อเดือนมิถุนายน 2005 องค์การอนามัยโลกยอมรับว่า “โอกาสที่จะได้รับการถ่ายเลือดอย่างปลอดภัย . . . แตกต่างกันมากในแต่ละประเทศ.” ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?
ในหลายประเทศไม่มีโครงการประสานความร่วมมือกันในระดับชาติที่ทำให้มั่นใจในเรื่องมาตรฐานด้านความปลอดภัยในการเจาะเก็บ, การตรวจสอบ, และการขนส่งเลือดกับผลิตภัณฑ์จากเลือด. บางครั้ง เลือดที่หามาได้ก็ถูกเก็บไว้ในสภาพที่เป็นอันตรายมากด้วยซ้ำ คือเก็บไว้ในตู้เย็นแบบที่ใช้ตามบ้านและในกล่องปิกนิกแช่เย็น! เมื่อไม่มีการกำหนดมาตรฐานด้านความปลอดภัยอย่างเหมาะสม ผู้ป่วยก็อาจได้รับผลกระทบที่เป็นอันตรายจากเลือดที่ได้จากคนที่อยู่ห่างไกลออกไปหลายร้อยหลายพันกิโลเมตร.
เลือดปลอดเชื้อ—เป้าหมายที่ยากจะบรรลุ
บางประเทศอ้างว่าเลือดในคลังของตนมีความปลอดภัยยิ่งกว่าแต่ก่อน. ถึงกระนั้น ก็ยังมีเหตุผลที่ต้องระวัง. หน้าแรกของ “เอกสารเผยแพร่ข้อมูล” ซึ่งสามหน่วยงานที่ให้บริการด้านโลหิตของสหรัฐร่วมกันจัดทำขึ้น มีข้อความกล่าวว่า “คำเตือน: เนื่องจากเลือดครบส่วนและส่วนประกอบของเลือดได้มาจากเลือดมนุษย์ เลือดและส่วนประกอบของเลือดจึงอาจเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อต่าง ๆ เช่น ไวรัส . . . การคัดเลือกผู้บริจาคโลหิตอย่างระมัดระวังและการตรวจทางห้องปฏิบัติการที่ทำกันอยู่ไม่ได้ขจัดอันตรายเหล่านี้ให้หมดไป.”
มีเหตุผลหนักแน่นทีเดียวที่ พีเตอร์ คาร์รอลลัน เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหพันธ์สภากาชาดและสภาเสี้ยววงเดือนแดงระหว่างประเทศ กล่าวว่า “เราไม่อาจให้คำรับประกันได้อย่างเต็มที่ว่าเลือดที่เรามีอยู่นั้นปลอดภัย.” เขากล่าวต่อไปว่า “จะมีเชื้อก่อโรคชนิดใหม่ ๆ ปรากฏขึ้นได้เสมอ ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีการตรวจพบ.”
แล้วถ้ามีเชื้อก่อโรคชนิดใหม่ปรากฏขึ้น เป็นเชื้อที่คล้ายกับเอดส์ อยู่ในสภาพพาหะเป็นเวลานานโดยไม่สามารถตรวจพบได้ แต่ก็แพร่ออกไปได้ทันทีโดยทางเลือดล่ะ? ในการบรรยาย ณ การสัมมนาทางการแพทย์ที่กรุงปราก สาธารณรัฐเช็กในเดือนเมษายน ปี 2005 นพ. ฮาร์วีย์ จี. ไคลน์ จากสถาบันสุขภาพแห่งชาติของสหรัฐ ได้พรรณนาถึงโอกาสที่จะเกิดการแพร่เชื้อเช่นนั้นว่าน่าวิตก. เขากล่าวต่อไปว่า “ผู้ทำหน้าที่รับบริจาคเลือดคงจะไม่สามารถป้องกันการระบาดของเชื้อก่อโรคอันเกิดจากการถ่ายเลือดได้ เหมือนกับที่เคยเป็นเมื่อครั้งที่เอดส์เริ่มระบาดใหม่ ๆ.”
ความผิดพลาดและปฏิกิริยาจากการให้เลือด
อันตรายร้ายแรงที่สุดที่เกี่ยวข้องกับการให้เลือดแก่ผู้ป่วยในประเทศที่เจริญแล้วคืออะไร? ก็คือความผิดพลาดในการปฏิบัติงาน และปฏิกิริยาที่เกิดจากระบบภูมิคุ้มกัน. หนังสือพิมพ์เดอะ โกลบ แอนด์ เมล์ รายงานเกี่ยวกับการศึกษาวิจัยในแคนาดาเมื่อปี 2001 ว่า การให้เลือดหลายพันรายมีความผิดพลาดที่เป็นอันตรายถึงตายเนื่องจาก “การเจาะเลือดส่งตรวจจากผู้ป่วยผิดคน ติดป้ายผิดที่หลอดเก็บตัวอย่างเลือด และขอเลือดให้แก่ผู้ป่วยผิดคน.” ความผิดพลาดในลักษณะเดียวกันนี้เป็นเหตุให้ผู้ป่วยในสหรัฐเสียชีวิตอย่างน้อย 441 คน ระหว่างปี 1995 ถึงปี 2001.
คนที่รับเลือดจากผู้อื่นส่วนใหญ่จะเผชิญความเสี่ยงคล้าย ๆ กับคนที่รับการปลูกถ่ายอวัยวะ. ปฏิกิริยาตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันคือ คอยต่อต้านเนื้อเยื่อที่แปลกปลอม. บางกรณี การให้เลือดจะกดระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้ไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ. การกดภูมิคุ้มกันจะทำให้ผู้ป่วยติดเชื้อหลังการผ่าตัดได้ง่ายขึ้น และเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสที่สงบอยู่ก่อนหน้านี้. ไม่น่าประหลาดใจเลยที่ศาสตราจารย์เอียน เอ็ม. แฟรงคลินที่มีการยกคำพูดของเขามากล่าวในตอนต้นของบทความนี้จะแนะแพทย์ทั้งหลายให้ “คิดสักครั้ง แล้วก็คิดอีก และก็คิดอีกที ก่อนจะให้เลือดแก่ผู้ป่วย.”
ผู้เชี่ยวชาญแสดงความเห็นตรงไปตรงมา
เมื่อรู้เช่นนี้ บุคลากรทางการแพทย์จำนวนมากขึ้นจึงหันมาพิจารณาอย่างตรงไปตรงมาและระมัดระวังกันมากขึ้นในเรื่องการให้เลือดเพื่อการรักษา. หนังสือความรู้เรื่องเลือดฉบับย่อของเดลีย์ (ภาษาอังกฤษ) รายงานว่า “แพทย์บางคนถือว่าเลือดที่รับจากผู้อื่นเป็นยาอันตราย และเชื่อว่าจะถูกห้ามใช้ ถ้ามีการประเมินพิษภัยของเลือดบริจาคด้วยมาตรฐานเดียวกันกับที่ใช้ในการประเมินยาตัวอื่น ๆ.”
ปลายปี 2004 ศาสตราจารย์บรูซ สปิซ กล่าวเกี่ยวกับการให้ส่วนประกอบหลักของเลือดแก่ผู้ป่วยที่รับการผ่าตัดหัวใจว่า “หาบทความ [ทางการแพทย์] ได้ยากมากที่ให้หลักฐานแสดงว่า การให้เลือดจะทำให้ผลการผ่าตัดหัวใจออกมาดีกว่า.” ที่จริง เขาเขียนว่า การให้เลือดเช่นนั้นหลายกรณี “อาจก่อผลร้ายมากกว่าผลดีในผู้ป่วยแทบทุกราย ไม่รวมถึงกรณีอุบัติเหตุ” การให้เลือดทำให้มี “ความเสี่ยงต่อภาวะปอดอักเสบ, การติดเชื้อ, กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน, และหลอดเลือดสมองอุดตัน” สูงขึ้น.
หลายคนประหลาดใจเมื่อรู้ว่าเกณฑ์การให้เลือดไม่ได้มีมาตรฐานเดียวอย่างที่ใคร ๆ อาจคิดกัน. เมื่อไม่นานมานี้ นพ. เกเบรียล เพดราซา ได้เตือนเพื่อนหมอในชิลีให้ระลึกว่า “การให้เลือดเป็นเวชปฏิบัติที่ไม่อาจกำหนดอะไรลงไปแน่นอนได้” ทำให้ “ยากที่จะ . . . ใช้เกณฑ์อย่างใดอย่างหนึ่งที่จะยอมรับกันเป็นสากล.” ไม่น่าประหลาดใจเลยที่ ไบรอัน มักแคลลันด์ ผู้อำนวยการศูนย์บริการโลหิตแห่งเอดินบะระและสกอตแลนด์ ขอให้แพทย์ “ระลึกเสมอว่าการให้เลือดคือการปลูกถ่ายเนื้อเยื่อ จึงเป็นการตัดสินใจที่ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ.” เขาเสนอแนะให้แพทย์ลองคิดดูว่า “ถ้าตัวฉันเองหรือลูกเป็นผู้ป่วย ฉันจะยอมรับเอาการถ่ายเลือดไหม?”
จริง ๆ แล้ว บุคลากรทางการแพทย์จำนวนไม่น้อยที่เผยความรู้สึกของตนเหมือนกับที่แพทย์สาขาโลหิตวิทยาคนหนึ่งได้บอกตื่นเถิด! ว่า “พวกเราที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์บริการโลหิตไม่อยากรับเลือด หรือให้เลือดแก่ใคร.” ถ้าผู้ที่ได้รับการฝึกอบรมอย่างดีในวงการแพทย์บางคนยังรู้สึกอย่างนี้ ผู้ป่วยน่าจะมีความรู้สึกอย่างไร?
วิธีการรักษาจะเปลี่ยนไปไหม?
คุณอาจสงสัยว่า ‘ถ้าการรักษาด้วยการถ่ายเลือดเต็มไปด้วยอันตราย แล้วทำไมยังคงมีการใช้เลือดกันอย่างแพร่หลายอยู่ล่ะ โดยเฉพาะเมื่อมีทางเลือกอื่น ๆ อีก?’ เหตุผลหนึ่งคือแพทย์หลายคนเพียงแต่ไม่กล้าเปลี่ยนวิธีรักษา หรือไม่ก็เพราะไม่รู้ว่าปัจจุบันมีวิธีการรักษาแบบอื่นเป็นทางเลือกแทนการให้เลือดกันแล้ว. ตามที่บทความหนึ่งในวารสารทรานส์ฟิวชัน กล่าว “แพทย์ตัดสินใจให้เลือดโดยอาศัยสิ่งที่ได้รับการสอนมาในอดีต, สิ่งที่ถือปฏิบัติตาม ๆ กัน, และ ‘ความเห็นที่สรุปเอาจากการตรวจผู้ป่วย.’”
นอกจากนี้ ความชำนาญของศัลยแพทย์ก็เป็นอีกปัจจัยที่สำคัญ. พญ. เบเวอรี ฮันท์ แห่งลอนดอน ประเทศอังกฤษ เขียนว่า “ปริมาณเลือดที่สูญเสียจากการผ่าตัดโดยศัลยแพทย์แต่ละคนนั้นต่างกันมาก และกำลังมีความสนใจกันมากขึ้นที่จะฝึกอบรมศัลยแพทย์ในเรื่องเทคนิคการห้ามเลือดระหว่างการผ่าตัดให้มากพอ.” บางคนอ้างว่าค่าใช้จ่ายในการรักษาด้วยทางเลือกอื่นแทนการให้เลือดนั้นสูงเกินไป ทั้ง ๆ ที่รายงานต่าง ๆ เผยให้เห็นว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้น. ไม่ว่าอย่างไร แพทย์หลายคนคงเห็นด้วยกับผู้อำนวยการแพทย์ นพ. ไมเคิล โรส ที่กล่าวว่า “แท้จริงแล้ว ผู้ป่วยคนใดที่ผ่าตัดโดยไม่รับเลือด ก็คือผู้ที่ได้รับการรักษาที่มีคุณภาพสูงสุดเท่าที่มีอยู่.”a
การรักษาที่มีคุณภาพสูงสุด—นี่ไม่ใช่สิ่งที่คุณต้องการหรอกหรือ? ถ้าอย่างนั้น คุณก็คิดเหมือนกับผู้ที่นำวารสารฉบับนี้มาให้คุณ. โปรดอ่านต่อไปเพื่อจะทราบจุดยืนที่น่าสนใจของพวกเขาในเรื่องการถ่ายเลือด.
[เชิงอรรถ]
a ดูกรอบ “ทางเลือกอื่นแทนการถ่ายเลือด” หน้า 8.
[คำโปรยหน้า 6]
“คิดสักครั้ง แล้วก็คิดอีก และก็คิดอีกที ก่อนจะให้เลือดแก่ผู้ป่วย.”—ศาสตราจารย์เอียน เอ็ม. แฟรงคลิน
[คำโปรยหน้า 6]
“ถ้าตัวฉันเองหรือลูกเป็นผู้ป่วย ฉันจะยอมรับเอาการถ่ายเลือดไหม?”—ไบรอัน มักแคลลันด์
[กรอบ/ภาพหน้า 7]
เสียชีวิตเพราะ Trali
การบาดเจ็บของเนื้อเยื่อปอดอย่างเฉียบพลันเหตุจากการถ่ายเลือด (Transfusion-Related Acute Lung Injury หรือ TRALI) ซึ่งมีการรายงานเป็นครั้งแรกในช่วงต้นทศวรรษ 1990 นั้น เป็นปฏิกิริยาตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันที่เป็นอันตรายถึงชีวิตซึ่งเกิดขึ้นหลังจากได้รับการถ่ายเลือด. ปัจจุบันเป็นที่รู้กันดีว่า TRALI ทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายร้อยรายในแต่ละปี. อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญสงสัยว่าจำนวนผู้เสียชีวิตที่แท้จริงอาจสูงกว่านี้มากนัก เนื่องจากบุคลากรทางการแพทย์หลายคนยังไม่รู้จักลักษณะอาการของ TRALI. แม้จะยังไม่ทราบแน่ชัดว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาเช่นนี้ แต่ตามที่วารสารนิว ไซเยนติสต์ กล่าวไว้ เลือดที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาดังกล่าว “ดูเหมือนส่วนใหญ่จะมาจากผู้คนที่เคยได้รับเลือดหลากหลายหมู่ เช่น . . . คนที่เคยได้รับการถ่ายเลือดหลาย ๆ ครั้ง.” รายงานหนึ่งกล่าวว่า ทุกวันนี้ TRALI เป็นสาเหตุสำคัญอันดับต้น ๆ ของการเสียชีวิตเนื่องจากการถ่ายเลือดในสหรัฐและอังกฤษ และสร้าง “ปัญหาแก่ธนาคารเลือดหนักกว่าโรคที่โด่งดังอย่างเช่นเอดส์ที่เกิดจากเชื้อเอชไอวีเสียอีก.”
[กรอบ/แผนภูมิหน้า 8, 9]
ส่วนประกอบของ เลือด
ปกติแล้วผู้บริจาคเลือดจะบริจาคเลือดครบส่วน. แต่ในหลายกรณี พวกเขาบริจาคเฉพาะพลาสมา (น้ำเลือด). ขณะที่บางประเทศจะให้เลือดครบส่วนแก่ผู้ป่วย แต่ในประเทศส่วนใหญ่จะมีการแยกส่วนประกอบหลักของเลือดก่อนนำไปตรวจสอบและใช้ในการรักษา. ขอให้สังเกตส่วนประกอบหลักสี่อย่างของเลือด หน้าที่ของส่วนประกอบแต่ละอย่าง และแต่ละอย่างมีอัตราส่วนร้อยละเท่าไรของปริมาตรเลือดทั้งหมด.
พลาสมา มีปริมาณ 52–62 เปอร์เซ็นต์ของเลือดครบส่วน. พลาสมาเป็นของเหลวใสสีเหลืองอ่อนที่มีเม็ดเลือดขาว, โปรตีน, กับสารอื่น ๆ แขวนลอยอยู่ และทำหน้าที่ลำเลียงสารเหล่านี้.
น้ำเป็นส่วนประกอบ 91.5 เปอร์เซ็นต์ของพลาสมา. โปรตีนต่าง ๆ ที่เป็นส่วนประกอบย่อยของพลาสมานั้น เป็นส่วนประกอบ 7 เปอร์เซ็นต์ของพลาสมา (เป็นอัลบูมินประมาณ 4 เปอร์เซ็นต์, โกลบูลินประมาณ 3 เปอร์เซ็นต์, และไฟบริโนเจนไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์). ส่วนที่เหลืออีก 1.5 เปอร์เซ็นต์ของพลาสมาเป็นสารอื่น ๆ เช่น สารอาหาร, ฮอร์โมน, ก๊าซที่ใช้ในกระบวนการหายใจ, เกลือแร่, วิตามิน, และของเสียที่มีไนโตรเจนเป็นองค์ประกอบ.
เม็ดเลือดขาว (ลิวโคไซต์) มีปริมาณไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ของเลือดครบส่วน. เม็ดเลือดขาวโจมตีและทำลายสิ่งแปลกปลอมที่อาจเป็นอันตราย.
เกล็ดเลือด (ธรอมโบไซต์) มีปริมาณไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ในเลือดครบส่วน. เกล็ดเลือดจะจับตัวกันเป็นลิ่มเลือดอุดปิดปากแผลไม่ให้เลือดไหลออก.
เม็ดเลือดแดง (อิริโธรไซต์) มีปริมาณ 38-48 เปอร์เซ็นต์ในเลือดครบส่วน. เม็ดเลือดแดงทำหน้าที่หล่อเลี้ยงเซลล์เนื้อเยื่อ โดยนำออกซิเจนไปเลี้ยงเนื้อเยื่อ และลำเลียงคาร์บอนไดออกไซด์ออกไป.
มากเช่นเดียวกับพลาสมาที่สามารถแยกเป็นส่วนประกอบย่อย ๆ ได้ ส่วนประกอบหลักอื่น ๆ ของเลือดก็สามารถแยกเป็นส่วนประกอบย่อยได้เช่นกัน. ตัวอย่างเช่น ฮีโมโกลบินเป็นส่วนประกอบย่อยของเซลล์เม็ดเลือดแดง.
[แผนภูมิ]
พลาสมา
น้ำ 91.5%
โปรตีน 7%
อัลบูมิน
โกลบูลิน
ไฟบริโนเจน
สารอื่น ๆ 1.5%
สารอาหาร
ฮอร์โมน
ก๊าซที่ใช้ในกระบวนการหายใจ
เกลือแร่
วิตามิน
ของเสียที่มีไนโตรเจนเป็นองค์ประกอบ
[ที่มาของภาพ]
Page 9: Blood components in circles: This project has been funded in whole or in part with federal funds from the National Cancer Institute, National Institutes of Health, under contract N01-CO-12400. The content of this publication does not necessarily reflect the views or policies of the Department of Health and Human Services, nor does mention of trade names, commercial products, or organizations imply endorsement by the U.S. Government
[กรอบ/ภาพหน้า 8, 9]
ทางเลือกอื่นแทนการถ่ายเลือด
มากกว่าหกปีมาแล้วที่คณะกรรมการประสานงานกับโรงพยาบาลเพื่อพยานพระยะโฮวาทั่วโลกได้แจกจ่ายวีดิทัศน์ เรื่องวิธีการรักษาที่ใช้แทนการถ่ายเลือด—ง่าย, ปลอดภัย, ได้ผล จำนวนหลายหมื่นตลับใน 25 ภาษาให้แก่ผู้ทำงานในวงการแพทย์.b วีดิทัศน์ดังกล่าวแสดงให้เห็นการที่แพทย์ผู้มีชื่อเสียงของโลกกล่าวถึงวิธีต่าง ๆ ที่มีประสิทธิภาพซึ่งกำลังใช้กันอยู่เพื่อรักษาผู้ป่วยโดยไม่มีการถ่ายเลือด. ผู้คนกำลังสนใจวีดิทัศน์เรื่องนี้. เพื่อเป็นตัวอย่าง หลังจากชมวีดิทัศน์เรื่องนี้ในปลายปี 2001 ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ (NBS) ของสหราชอาณาจักรได้ส่งจดหมายพร้อมวีดิทัศน์นี้หนึ่งม้วนถึงผู้จัดการธนาคารเลือดทุกแห่งและนักโลหิตวิทยาระดับที่ปรึกษาทุกคนทั่วประเทศ. มีการสนับสนุนให้คนเหล่านี้ชมวีดิทัศน์เรื่องนี้ เนื่องจากเป็นที่ “ยอมรับกันมากขึ้นว่าเป้าหมายอย่างหนึ่งของการรักษาที่ดีคือ หลีกเลี่ยงการถ่ายเลือดเมื่อมีทางรักษาได้โดยวิธีการอื่น.” จดหมายดังกล่าวยอมรับว่า “เนื้อหาโดยรวม [ของวีดิทัศน์นี้] น่ายกย่องและเป็นสิ่งที่ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติสนับสนุนเต็มที่.”
[เชิงอรรถ]
b เชิญติดต่อพยานพระยะโฮวาเพื่อขอชมสารคดีชุดในรูปแบบดีวีดี เรื่องการรักษาที่ใช้แทนการถ่ายเลือด ผลิตโดยพยานพระยะโฮวา.
[กรอบ/ภาพหน้า 9]
การแยกส่วน การใช้ส่วนประกอบย่อยของเลือดในการรักษา
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าทำให้สามารถจำแนกและสกัดส่วนประกอบย่อยของเลือดด้วยกระบวนการที่เรียกว่าการแยกส่วน. ยกตัวอย่าง น้ำทะเล ซึ่ง 96.5 เปอร์เซ็นต์เป็นน้ำนั้น สามารถนำไปผ่านกระบวนการแยกส่วนเพื่อให้ได้สารอื่น ๆ ในน้ำทะเล เช่น แมกนีเซียม, โบรมีน, และเกลือ. เช่นเดียวกัน พลาสมา ซึ่งเป็นส่วนประกอบมากกว่าครึ่งหนึ่งของปริมาตรเลือดครบส่วน เป็นน้ำมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์และสามารถนำไปผ่านกระบวนการเพื่อให้ได้ส่วนประกอบย่อย ซึ่งรวมถึง โปรตีนชนิดต่าง ๆ เช่น อัลบูมิน, ไฟบริโนเจน, และโกลบูลินชนิดย่อย ๆ อีกหลายชนิด.
ในส่วนหนึ่งของการรักษา แพทย์อาจเสนอให้ใช้ส่วนประกอบย่อยของพลาสมาในขนาดเข้มข้น. ตัวอย่างของส่วนประกอบย่อยเช่นนั้นคือไครโอปริซิปิเตท ซึ่งเป็นสารโปรตีนส่วนตะกอนที่ได้จากการละลายพลาสมาสดแช่แข็ง. ส่วนที่ไม่ละลายน้ำของพลาสมานี้มีปัจจัยการแข็งตัวอยู่มาก และปกติแล้วจะให้แก่ผู้ป่วยเพื่อหยุดอาการเลือดออก. นอกจากนี้ การรักษาอาจเกี่ยวข้องกับการใช้ยาที่มีส่วนประกอบย่อยของเลือดผสมอยู่ด้วย ไม่ว่าจะเป็นปริมาณเล็กน้อยหรือเป็นส่วนประกอบสำคัญ.c โปรตีนบางชนิดในพลาสมาถูกนำมาใช้เป็นยาฉีดซึ่งจะช่วยผู้ป่วยมีภูมิคุ้มกันมากขึ้นหลังจากได้รับเชื้อก่อโรค. ส่วนประกอบย่อยของเลือดที่ใช้ในทางเวชกรรมนั้น เกือบทั้งหมดเป็นโปรตีนที่อยู่ในพลาสมาของเลือด.
ตามที่กล่าวในวารสารไซเยนซ์ นิวส์ “จนถึงทุกวันนี้ นักวิทยาศาสตร์ค้นพบโปรตีนที่ไหลเวียนอยู่ตามปกติในกระแสเลือดของมนุษย์ไปได้แล้วเพียงไม่กี่ร้อยชนิดจากทั้งหมดที่คาดว่าจะมีอยู่หลายพันชนิด.” เมื่อความเข้าใจในเรื่องเลือดมีมากขึ้นในอนาคต ก็คงจะมีผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่ได้จากโปรตีนเหล่านี้ปรากฏออกมา.
[เชิงอรรถ]
c มีการใช้ส่วนประกอบย่อยจากเลือดสัตว์ในผลิตภัณฑ์ยาบางตัวด้วย.
[ภาพหน้า 6, 7]
บุคลากรทางการแพทย์ระวังอย่างมากที่จะไม่ให้ร่างกายสัมผัสเลือดโดยตรง