ชนเผ่าเร่ร่อนแห่งเอเชียผู้สร้างจักรวรรดิ
ความหวาดกลัวและความสับสนเกาะกุมชาวรัสเซีย. เช่นเดียวกับฝูงตั๊กแตน นักรบบนหลังม้าจำนวนมากมายเคลื่อนกำลังจากทางตะวันออกข้ามที่ราบอันเขียวขจี โดยได้ฆ่าฟัน, ปล้นสะดม, และทำลายกองทัพใด ๆ ก็ตามที่ต่อต้านขัดขวางพวกเขา. ส่วนเดียวของรัสเซียที่เหลือรอดอยู่ก็คือแคว้นนอฟโกรอด. จากที่นั่น ผู้บันทึกเหตุการณ์ที่รู้สึกงุนงงได้เขียนถึงเรื่องนี้ว่า เป็นการรุกรานโดย “ชนเผ่าที่ไม่มีผู้ใดรู้จัก” ซึ่งพูดภาษาแปลก ๆ.
ผู้บุกรุกเหล่านี้เป็นชาวมองโกล ผู้ที่มาจากเขตที่ราบสูงและทุ่งหญ้าเขียวขจีในดินแดนที่อยู่ใจกลางทวีปเอเชียค่อนไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในปัจจุบันว่ามองโกเลีย. การที่พวกเขาพิชิตศัตรูได้รวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาดซึ่งเริ่มตั้งแต่ตอนต้นของศตวรรษที่ 13 สากลศักราชนั้น ทำให้โฉมหน้าทางประวัติศาสตร์ของทวีปเอเชียกับอีกครึ่งหนึ่งของทวีปยุโรปเปลี่ยนไป. เพียงแค่ 25 ปี ชาวมองโกลปราบปรามชาวเมืองที่อยู่ในแว่นแคว้นต่าง ๆ ได้มากกว่าที่ชาวโรมันพิชิตได้ในช่วงเวลาสี่ร้อยปี. ณ จุดที่พวกเขาเรืองอำนาจมากที่สุด พวกเขายึดครองตั้งแต่เกาหลีไปจนถึงฮังการี และจากไซบีเรียไปถึงอินเดีย ทำให้มองโกลกลายเป็นจักรวรรดิที่มีผืนแผ่นดินติดต่อกันเป็นผืนใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีการบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์!
นอกจากจะให้ความกระจ่างเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของทวีปเอเชียและยุโรปแล้ว บันทึกทางประวัติศาสตร์ของจักรวรรดิมองโกลที่มีอายุค่อนข้างสั้น ยังสนับสนุนคำสอนหลายข้อในคัมภีร์ไบเบิลที่กล่าวเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์และการที่มนุษย์ปกครองเหนือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน. ความจริงเหล่านี้รวมถึงคำกล่าวที่ว่า ความรุ่งเรืองของมนุษย์ไร้ค่าและไม่จิรังยั่งยืน. (บทเพลงสรรเสริญ 62:9; 144:4) “มนุษย์ใช้อำนาจเหนือมนุษย์อย่างที่ก่อผลเสียหายแก่เขา.” (ท่านผู้ประกาศ 8:9, ล.ม.) และดังที่มีการให้ภาพเชิงเปรียบเทียบไว้ในคัมภีร์ไบเบิล อาณาจักรทางการเมืองอันเกรียงไกรได้ประพฤติตัวเยี่ยงสัตว์ร้ายด้วยการบากบั่นพยายามที่จะมีอำนาจเหนือชาติอื่น ๆ.a
ชาวมองโกลเป็นใคร?
ชาวมองโกลเป็นชนเผ่าเร่ร่อนและเป็นผู้ที่ชำนาญในการขี่ม้า ซึ่งหาเลี้ยงชีพด้วยการเลี้ยงสัตว์, ค้าขาย, และล่าสัตว์. ไม่เหมือนกับชนชาติอื่น ๆ ส่วนใหญ่ซึ่งมีคนเพียงบางส่วนที่ได้รับการฝึกและเตรียมพร้อมสำหรับการสู้รบ ผู้ชายชาวมองโกลเกือบทุกคนพร้อมกับม้าและคันธนูเป็นนักรบที่แข็งแกร่งและดุดัน. และแต่ละเผ่าก็มีความจงรักภักดีอย่างไม่เสื่อมคลายต่อผู้นำของพวกเขาที่เรียกว่า ข่าน.
หลังจากการรบ 20 ปี เตมูจิน ข่านผู้หนึ่ง (ประมาณปี 1162-1227) ได้รวบรวมชาวมองโกล 27 เผ่าเข้ามาอยู่ภายใต้การปกครองของตน. ต่อมา ชาวมุสลิมที่มีต้นกำเนิดจากชาวเติร์กซึ่งถูกเรียกว่าเผ่าตาตาร์ ก็ได้สู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับชาวมองโกล. ที่จริง เมื่อเหล่านักรบชาวมองโกลที่เก่งกาจบุกตะลุยไปทางตะวันตก ชาวยุโรปที่หวาดผวาได้เรียกผู้รุกรานเหล่านี้ว่า พวกตาร์ตาร์.b ในปี 1206 เมื่อเตมูจินอายุได้ 40 ปีเศษ ชาวมองโกลได้ขนานนามเขาว่าเจงกิสข่าน ซึ่งฉายานี้อาจหมายถึง “ประมุขผู้แข็งแกร่ง” หรือ “ผู้ครองโลก.” นอกจากนี้ เขายังถูกเรียกว่าจอมข่านผู้ยิ่งใหญ่.
กองทัพนักยิงธนูบนหลังม้าของเจงกิสข่านโจมตีอย่างรวดเร็วและเกรี้ยวกราด ซึ่งบ่อยครั้งการต่อสู้ในหลายสมรภูมิของพวกเขาทำให้เกิดแนวรบที่มีระยะทางยาวหลายพันกิโลเมตร. สารานุกรมเอนคาร์ทา (ภาษาอังกฤษ) กล่าวว่า ในความสามารถด้านการรบ “เจงกิสข่านเทียบเท่ากับอะเล็กซานเดอร์มหาราชหรือนะโปเลียนที่ 1.” จูสจานี นักประวัติศาสตร์ชาวเปอร์เซียที่อยู่ในสมัยเดียวกับเจงกิสข่านได้พรรณนาถึงเขาว่า เป็น “ผู้มีพลังมหาศาล, มีความหยั่งเห็นเข้าใจ, มีอัจฉริยภาพ, และมีความเข้าใจ.” นอกจากนี้ เขายังขนานนามเจงกิสข่านว่าเป็น “นักฆ่าจอมอำมหิต.”
ไกลออกไปจากมองโกเลีย
ชาวแมนจูซึ่งเรียกราชวงศ์ของพวกเขาว่า ราชวงศ์จินหรือ “ทองคำ” ครอบครองอาณาเขตทางเหนือของจีน. เพื่อจะไปถึงแคว้นของชาวแมนจู ชาวมองโกลต้องข้ามทะเลทรายโกบีอันแสนหฤโหด ซึ่งก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคใหญ่โตสำหรับชนเผ่าเร่ร่อนที่ประทังชีวิตได้ด้วยนมและเลือดม้า หากจำเป็น. แม้ว่าเจงกิสข่านได้ขยายอำนาจการปกครองของตนเข้าไปในจีนและแคว้นแมนจูเรีย แต่การสู้รบก็ต้องยืดเยื้อเป็นเวลาราว ๆ 20 ปี. เขาได้เกณฑ์ผู้คงแก่เรียน, ช่างฝีมือ, และพ่อค้ารวมทั้งวิศวกรท่ามกลางชาวจีนซึ่งสามารถสร้างเครื่องล้อม, เครื่องยิงหิน, และระเบิดที่ทำจากดินระเบิดได้.
หลังจากยึดครองเส้นทางสายไหม เส้นทางการค้าที่นำไปถึงดินแดนต่าง ๆ ที่อยู่ไกลออกไปทางตะวันตกได้แล้ว เจงกิสข่านก็พยายามที่จะทำการค้าขายร่วมกับสุลต่านมุฮัมมัดชาวเติร์กซึ่งอยู่ในดินแดนใกล้เคียงกันนั้น. สุลต่านผู้นั้นปกครองจักรวรรดิอันกว้างใหญ่ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ของประเทศเติร์กเมนิสถาน, ทาจิกิสถาน, อัฟกานิสถาน, อุซเบกิสถาน, และส่วนใหญ่ของอิหร่านในทุกวันนี้.
ในปี 1218 ผู้แทนชาวมองโกลคณะหนึ่งที่ดูเหมือนว่าจะสนใจแต่เรื่องค้าขาย ก็ได้มาถึงพรมแดนของสุลต่านผู้นั้น. แต่ข้าหลวงในท้องถิ่นนั้นได้ประหารชีวิตพวกเขา ซึ่งเป็นชนวนเหตุที่ทำให้ชาวมองโกลบุกโจมตีดินแดนของชาวมุสลิมเป็นครั้งแรก. อีกสามปีต่อมา ทหารมองโกลซึ่งกล่าวกันว่ามีจำนวนมากยิ่งกว่ามด ได้บุกเข้าไปปล้นสะดมทั้งยังเผาเมืองและไร่นาอย่างเป็นระบบ และได้สังหารประชากรของสุลต่านมุฮัมมัดไปเป็นจำนวนมาก เว้นแต่คนที่มีความชำนาญในด้านต่าง ๆ ที่ชาวมองโกลต้องการ.
กองกำลังของมองโกล ซึ่งประมาณกันว่ามีทหารราว ๆ 20,000 นาย ได้บุกตะลุยผ่านอาเซอร์ไบจานและจอร์เจียไปจนถึงที่ราบกว้างใหญ่ทางเหนือของคอเคเซีย พิชิตทุกกองทัพที่ขวางหน้า รวมทั้งกองกำลังชาวรัสเซีย 80,000 นาย. ในการเดินทางบนหลังม้าซึ่งมีระยะทางประมาณ 13,000 กิโลเมตรนี้ ทหารชาวมองโกลได้เดินทางวนรอบทะเลแคสเปียน ซึ่งบางคนถือกันว่าเป็นการรุกรานบนหลังม้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์. การที่พวกเขาได้ชัยชนะติดต่อกันครั้งแล้วครั้งเล่าเป็นการวางแบบอย่างไว้สำหรับผู้ปกครองชาวมองโกลรุ่นต่อไปที่จะมารุกรานยุโรปตะวันออกในอนาคต.
ผู้สืบทอดตำแหน่งจากเจงกิสข่าน
โอโกได บุตรชายคนที่สามจากบุตรทั้งสี่คน ซึ่งเกิดจากภรรยาเอก ก็ถูกตั้งให้เป็นจอมข่านคนต่อไป. โอโกไดอ้างสิทธิ์ในการยึดครองดินแดนต่าง ๆ ที่เคยถูกพิชิต, รับเครื่องบรรณาการจากผู้ครองแคว้น, และพิชิตราชวงศ์จินที่อยู่ทางเหนือของจีนได้อย่างราบคาบ.
เพื่อจะรักษาทั้งจักรวรรดิและรูปแบบชีวิตที่หรูหราฟุ่มเฟือยที่ชาวมองโกลเคยชินเอาไว้ ในที่สุดโอโกไดก็ตัดสินใจทำสงครามอีก ทว่า กับดินแดนที่เขายังไม่เคยเข้าไปปล้นสะดมมาก่อน. เขาเปิดศึกสองด้าน คือโจมตีดินแดนต่าง ๆ ของชาวยุโรปซึ่งอยู่ทางตะวันตก และโจมตีราชวงศ์ซ่งที่อยู่ทางใต้ของจีน. การบุกโจมตีทางยุโรปประสบความสำเร็จ แต่อีกด้านหนึ่งนั้นกลับล้มเหลว. ทั้ง ๆ ที่ได้ชัยชนะอยู่บ้าง แต่ชาวมองโกลก็ไม่สามารถพิชิตแคว้นที่สำคัญของราชวงศ์ซ่งได้.
การรบทางตะวันตก
ในปี 1236 นักรบประมาณ 150,000 นายขี่ม้าไปทางตะวันตกเข้าสู่ยุโรป. ตอนแรกพวกเขามุ่งเป้าไปยังภูมิภาคต่าง ๆ ที่อยู่ตามแม่น้ำวอลกา จากนั้นก็บุกโจมตีนครรัฐต่าง ๆ ของรัสเซีย ถล่มเมืองเคียฟจนแทบจะกลายเป็นเถ้าถ่าน. ชาวมองโกลสัญญาว่าจะไม่ทำลายเมืองต่าง ๆ หากผู้คนยอมยกหนึ่งในสิบของทุกสิ่งที่พวกเขามีให้แก่ชาวมองโกล. แต่ชาวรัสเซียต้องการจะสู้. โดยใช้เครื่องยิง ชาวมองโกลระดมยิงศัตรูด้วยก้อนหิน, น้ำมันที่ติดไฟ, และดินประสิว. เมื่อกำแพงเมืองแตก ผู้รุกรานก็กรูกันเข้าไป และดังที่นักประวัติศาสตร์คนหนึ่งได้เขียนไว้ การสังหารผู้คนทารุณโหดเหี้ยมเสียจน “ไม่เหลือใครไว้ให้ร้องไห้คร่ำครวญถึงคนตาย.”
กองกำลังของมองโกลบุกไปทำลายโปแลนด์และฮังการีจนเกือบจะถึงพรมแดนที่เป็นประเทศเยอรมนีในปัจจุบันนี้. ส่วนยุโรปตะวันตกก็เตรียมพร้อมสำหรับการโจมตีของพวกมองโกล แต่ก็ไม่เคยได้รบกันเลย. ในเดือนธันวาคม 1241 โอโกไดข่านสิ้นชีวิตเนื่องจากการดื่มสุราอย่างหนัก. ดังนั้น เหล่าแม่ทัพมองโกลจึงรีบยกทัพกลับไปยังคาราโครัม เมืองหลวงซึ่งอยู่ไกลออกไปถึง 6,000 กิโลเมตร เพื่อเลือกผู้ปกครองคนใหม่.
กูยุค บุตรชายของโอโกไดเป็นผู้สืบทอดอำนาจต่อจากเขา. ผู้หนึ่งที่ได้เห็นกูยุคขึ้นครองบัลลังก์ก็คือนักบวชชาวอิตาลีคนหนึ่ง ซึ่งได้เดินทางเป็นเวลา 15 เดือนผ่านแว่นแคว้นต่าง ๆ ที่อยู่ภายใต้การปกครองของชาวมองโกล เพื่อส่งสาสน์จากสันตะปาปาอินโนเซนต์ที่ 4. สันตะปาปาต้องการคำรับรองว่าจะไม่มีการรุกรานยุโรปอีก และท่านได้แนะเตือนชาวมองโกลให้รับเอาศาสนาคริสเตียน. กูยุคไม่ให้สัญญา. แทนที่จะทำเช่นนั้น เขากลับบอกสันตะปาปาพร้อมกับกษัตริย์ทั้งหลายให้มาแสดงความคารวะต่อข่าน!
การโจมตีสองด้านอีกครั้งหนึ่ง
จอมข่านคนถัดไปคือมังกู เขาขึ้นครองบัลลังก์ในปี 1251. เขาและกุบไลน้องชายของเขาบุกโจมตีราชวงศ์ซ่งที่อยู่ทางใต้ของจีน ส่วนกองกำลังอีกหนึ่งกองก็มุ่งหน้าไปทางตะวันตก. กองกำลังนี้ได้ทำลายล้างนครแบกแดดและบีบบังคับนครดามัสกัสให้ยอมจำนน. พวกที่เรียกกันว่าคริสเตียน ซึ่งเคยทำสงครามครูเสดเพื่อต่อสู้กับชาวมุสลิมต่างมองดูด้วยความสะใจ และ “พวกคริสเตียน” ที่อยู่ในนครแบกแดดก็ปล้นสะดมและฆ่าเพื่อนบ้านที่เป็นชาวมุสลิม.
ณ ช่วงที่สำคัญยิ่งนี้ คือตอนที่ฝ่ายมองโกลดูเหมือนกำลังจะบดขยี้โลกมุสลิมจนสูญสิ้นอยู่แล้ว ประวัติศาสตร์ก็ซ้ำรอยเดิมอีก. มีข่าวมาว่ามังกูเสียชีวิต. นี่เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ผู้รุกรานต้องเดินทางกลับบ้าน แต่คราวนี้พวกเขาละทหารไว้เพียง 10,000 นายเพื่อรักษาพรมแดน. หลังจากนั้นไม่นาน กองกำลังที่มีอยู่น้อยนิดก็ถูกกองทัพอียิปต์บดขยี้จนราบคาบ.
การโจมตีราชวงศ์ซ่งที่มั่งคั่งซึ่งอยู่ทางใต้ของจีนประสบชัยชนะ. ที่จริง กุบไลข่านประกาศสถาปนาตัวเองเป็นผู้ก่อตั้งราชวงศ์ใหม่ของจีน โดยเรียกราชวงศ์นี้ว่า หยวน. ที่ตั้งเมืองหลวงแห่งใหม่ของเขาเป็นที่รู้จักกันในเวลานี้ว่า นครปักกิ่ง. หลังจากปราบปรามผู้สนับสนุนราชวงศ์ซ่งที่หลงเหลืออยู่ได้เรียบร้อยแล้ว ปลายทศวรรษ 1270 กุบไลก็ครอบครองเหนือประเทศจีน ซึ่งถูกรวมเข้ามาเป็นปึกแผ่นเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ที่ราชวงศ์ถังล่มสลายไปในปี 907.
การแตกแยกและการล่มสลาย
ในตอนต้นศตวรรษที่ 14 จักรวรรดิมองโกลอันเกรียงไกรเริ่มจะล่มสลาย. เหตุผลมีหลายประการ. เหตุผลหนึ่งก็คือ การต่อสู้แย่งชิงอำนาจท่ามกลางพวกลูกหลานของเจงกิสข่านทำให้จักรวรรดิแตกเป็นเขตปกครองหลายเขต. นอกจากนี้ ชาวมองโกลยังได้รับเอาอารยธรรมบางอย่างของชาติที่พวกเขาพิชิตได้. ในจีน การต่อสู้แย่งชิงอำนาจกันได้บั่นทอนอำนาจของลูกหลานกุบไลให้อ่อนแอลง. ในปี 1368 ชาวจีนที่รู้สึกเหลือทนกับผู้ปกครองที่ไร้ความสามารถ, การฉ้อราษฎร์บังหลวง, และการขูดรีดภาษี ได้โค่นล้มอำนาจของผู้ปกครองราชวงศ์หยวนและบีบบังคับพวกเขาให้กลับไปมองโกเลีย.
เช่นเดียวกับพายุอันแรงกล้า การรุกรานของชาวมองโกลถาโถมเข้ามาอย่างรวดเร็ว, คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง, แล้วก็ผ่านไป. กระนั้น การรุกรานดังกล่าวก็ได้รับการบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ของทวีปยุโรปและเอเชีย ตลอดจนการรวมกันเป็นปึกแผ่นของประเทศมองโกเลียและจีน. ที่จริง ชาวมองโกเลียในปัจจุบันยกย่องเจงกิสข่าน จอมข่านผู้ยิ่งใหญ่คนแรกให้เป็นบิดาของประเทศมองโกเลีย.
[เชิงอรรถ]
a โปรดดูข้อความที่กล่าวถึงเรื่องสัตว์ร้ายและการปกครองทางการเมืองในคัมภีร์ไบเบิลข้อต่อไปนี้: ดานิเอล 7:6, 12, 17, 23; 8:20-22; วิวรณ์ 16:10; 17:3, 9-12.
b ชาวยุโรปเชื่อกันว่า ตาตาร์คือปิศาจที่มาจาก “ทาร์ทารัส.” (2 เปโตร 2:4) ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงเรียกผู้รุกรานเหล่านี้ว่า ตาร์ตาร์.
[กรอบ/ภาพหน้า 13]
จากการพิชิตไปสู่การพาณิชย์
ระหว่างช่วงที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดของราชวงศ์หยวนที่กุบไลข่านได้ก่อตั้งขึ้นมานั้น การค้าและการเดินทางได้รับการส่งเสริมอย่างมาก ซึ่งทำให้มีการเรียกช่วงเวลานี้ว่า เป็นช่วงแห่ง “การขยายตัวทางการค้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของยูเรเชีย.” นี่เป็นยุคของมาร์โค โปโล นักเดินทางชาวเวนิซผู้ยิ่งใหญ่ (ปี 1254-1324).c ในการเดินทางไม่ว่าจะเป็นทางบกหรือทางเรือ พวกพ่อค้าชาวอาหรับ, เปอร์เซีย, อินเดีย, และยุโรป ได้นำม้า, พรม, อัญมณี, และเครื่องเทศมาด้วย เพื่อมาแลกกับพวกเครื่องปั้นดินเผา, เครื่องเขิน, และผ้าไหม.
ในปี 1492 คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ล่องเรือจากยุโรปไปทางตะวันตกพร้อมกับนำสำเนาบันทึกการเดินทางของมาร์โค โปโล ไปด้วย โดยหวังจะฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการค้ากับราชสำนักของมองโกลขึ้นใหม่. แต่เขาหารู้ไม่ว่าจักรวรรดินั้นได้ล่มสลายไปก่อนหน้านั้นกว่าหนึ่งร้อยปีแล้ว! การล่มสลายนั้นได้ทำให้การติดต่อสื่อสารเป็นอันต้องยุติลงด้วย และชาวมุสลิมก็ปิดกั้นเส้นทางบกจากยุโรปไปสู่ตะวันออก.
[เชิงอรรถ]
c สำหรับเรื่องราวเกี่ยวกับการเดินทางไปประเทศจีนของมาร์โค โปโล ดูตื่นเถิด! (ภาษาอังกฤษ) ฉบับ 8 มิถุนายน 2004.
[กรอบ/ภาพหน้า 14]
ขึ้นชื่อในเรื่องการเปิดกว้างทางศาสนา
แม้พวกเขาจะเป็นพวกที่นับถือผี แต่ชาวมองโกลในยุคโบราณก็เป็นคนที่เปิดกว้างทางศาสนา. หนังสือชื่อนักรบบนหลังม้าของเหล่าปิศาจ (ภาษาอังกฤษ) อธิบายว่า เมื่อชาวตะวันตกเข้าไปที่คาราโครัมเมืองหลวงของชาวมองโกล นอกจากพวกเขาจะรู้สึกประหลาดใจกับความมั่งคั่งของเมืองนี้แล้ว ยังประหลาดใจที่พบว่าเมืองนี้มีเสรีภาพทางศาสนาด้วย โดยที่มีทั้งโบสถ์, สุเหร่า, และวิหารต่าง ๆ ตั้งอยู่ด้วยกัน.
พวกคริสเตียนแต่ในนามมาถึงชาวมองโกลโดยทางพวกเนสโตเรียน ซึ่งได้แยกตัวออกมาจากคริสตจักรไบแซนไทน์ หรือคริสตจักรตะวันออก. พวกเนสโตเรียนได้เปลี่ยนศาสนาของคนหลายคนในเผ่าเติร์กซึ่งได้พบปะกับชาวมองโกล. ผู้หญิงบางคนที่เปลี่ยนศาสนาถึงกับได้เป็นภริยาของผู้ที่อยู่ในราชวงศ์มองโกล.
มองโกลในยุคปัจจุบันนับถือศาสนาแตกต่างกันหลายศาสนา. อัตราส่วนโดยประมาณของประชากรที่เชื่อในลัทธิถือผีมี 30 เปอร์เซ็นต์; นับถือลัทธิลามะ (ศาสนาพุทธแบบทิเบต) 23 เปอร์เซ็นต์; และอิสลาม 5 เปอร์เซ็นต์. ที่เหลือส่วนใหญ่จะเป็นคนที่ไม่นับถือศาสนาใด ๆ เลย.
[แผนที่หน้า 15]
(รายละเอียดดูจากวารสาร)
อาณาเขตที่ชาวมองโกลยึดครอง
ฮังการี
รัสเซีย
เคียฟ
แม่น้ำวอลกา
ไซบีเรีย
ทะเลแคสเปียน
ดามัสกัส
อิหร่าน
แบกแดด
อุซเบกิสถาน
มองโกเลีย
คาราโครัม
ทะเลทรายโกบี
เกาหลี
จีน
ปักกิ่ง
อินเดีย
นอฟโกรอด
[ภาพหน้า 15]
ฝูงม้าที่มองโกเลีย
[ภาพหน้า 15]
เจงกิสข่าน
[ภาพหน้า 12]
Bildarchiv Preussischer Kulturbesitz/Art Resource, NY
[ภาพหน้า 15]
Scenic: © Bruno Morandi/age fotostock; Genghis Khan: © The Stapleton Collection/The Bridgeman Art Library