โลกตกอยู่ในอันตรายหรือ?
มีการอธิบายว่าภาวะโลกร้อนเป็นภัยคุกคามที่ใหญ่ยิ่งที่สุดที่มนุษย์กำลังเผชิญอยู่. วารสารไซเยนซ์ กล่าวว่า สิ่งที่พวกนักวิจัยวิตกกัน “คือโอกาสที่เราได้เริ่มทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างช้า ๆ แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงแบบที่ไม่อาจหยุดยั้งได้.” พวกที่ช่างสงสัยรู้สึกแคลงใจในคำกล่าวอ้างเช่นนั้น. จริงอยู่ หลายคนเห็นด้วยว่าโลกร้อนขึ้น แต่พวกเขาก็ไม่แน่ใจทั้งในเรื่องสาเหตุและผลกระทบของภาวะโลกร้อน. พวกเขาบอกว่า กิจกรรมต่าง ๆ ที่มนุษย์ทำอาจเป็นปัจจัยอย่างหนึ่ง แต่ก็ใช่ว่าจะต้องเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดเสมอไป. ทำไมจึงมีความเห็นที่ขัดแย้งกัน?
ประการหนึ่งก็คือ กระบวนการทางกายภาพที่ควบคุมระบบภูมิอากาศของโลกเป็นเรื่องที่สลับซับซ้อน และไม่มีใครเข้าใจได้อย่างเต็มที่. นอกจากนี้ กลุ่มที่สนใจเรื่องดังกล่าวก็มักจะตีความข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ตามวิธีของเขาเอง อย่างเช่น ข้อมูลที่ใช้ในการอธิบายว่าทำไมอุณหภูมิจึงสูงขึ้นเรื่อย ๆ.
อุณหภูมิสูงขึ้น—จริงหรือ?
คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ (ไอพีซีซี) ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสหประชาชาติ รายงานเมื่อไม่นานมานี้ว่า ภาวะโลกร้อน “เป็นเรื่องที่ชัดเจน” หรือเป็นความจริง; และ “เป็นไปได้มาก” ว่าส่วนใหญ่แล้วมนุษย์เป็นต้นเหตุ. บางคนที่ไม่เห็นด้วยกับข้อสรุปดังกล่าว โดยเฉพาะในเรื่องที่ว่ามนุษย์เป็นตัวการสำคัญที่ก่อปัญหานี้ ยอมรับว่าเมืองต่าง ๆ อาจมีอากาศที่ร้อนขึ้นเพราะเมืองเหล่านั้นกำลังขยายตัวใหญ่ขึ้น. นอกจากนี้ คอนกรีตและเหล็กกล้าก็ดูดซับความร้อนจากแสงอาทิตย์เอาไว้ได้มาก และมักจะคลายความร้อนออกมาอย่างช้า ๆ ในตอนกลางคืน. พวกที่ช่างสงสัยบอกว่า แต่อุณหภูมิที่วัดได้ในเขตตัวเมืองไม่ได้สะท้อนให้เห็นแนวโน้มในชนบท และอาจทำให้สถิติทั่วโลกผิดเพี้ยนไปได้.
ในอีกด้านหนึ่ง คลิฟฟอร์ด ผู้ใหญ่บ้านคนหนึ่งซึ่งอาศัยอยู่บนเกาะนอกชายฝั่งของอะแลสกากล่าวว่า เขาได้เห็นการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างด้วยตาของเขาเอง. คนในหมู่บ้านของเขาเดินทางข้ามทะเลที่เป็นน้ำแข็งไปยังแผ่นดินใหญ่เพื่อล่ากวางแคริบูและกวางมูส. แต่อุณหภูมิที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เป็นไปไม่ได้ที่จะรักษาวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมเอาไว้. คลิฟฟอร์ดกล่าวว่า “กระแสน้ำเปลี่ยนไป, สภาพของน้ำแข็งก็เปลี่ยน, และการจับตัวเป็นน้ำแข็งของทะเลชุคชีก็ . . . เปลี่ยนไปด้วย.” เขาอธิบายว่า ทะเลเคยจับตัวเป็นน้ำแข็งช่วงปลายเดือนตุลาคม แต่ตอนนี้กว่าทะเลจะเป็นน้ำแข็งก็ราว ๆ ปลายเดือนธันวาคม.
นอกจากนี้ในปี 2007 อุณหภูมิที่สูงขึ้นยังเห็นได้ชัดในเส้นทางเดินเรือนอร์ทเวสต์แพสเสจ ซึ่งสามารถเดินเรือได้ตลอดเส้นทางเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่มีการบันทึกไว้. นักวิทยาศาสตร์อาวุโสคนหนึ่งประจำศูนย์ข้อมูลหิมะและน้ำแข็งแห่งชาติในสหรัฐกล่าวว่า “สิ่งที่เราเห็นในปีนี้ตรงกับข้อมูลที่ว่าฤดูที่น้ำแข็งละลายกำลังยาวนานขึ้น.”
ปรากฏการณ์เรือนกระจก—สำคัญอย่างยิ่งต่อชีวิต
เหตุผลข้อหนึ่งที่มีการอ้างว่าทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนั้นก็คือ ความรุนแรงที่เพิ่มทวีขึ้นของปรากฏการณ์เรือนกระจก ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่สำคัญอย่างยิ่งต่อชีวิตบนแผ่นดินโลก. เมื่อพลังงานจากดวงอาทิตย์มาถึงโลก ราว ๆ 70 เปอร์เซ็นต์ของพลังงานนั้นจะถูกดูดซับไว้ ซึ่งทำให้อากาศ, พื้นดิน, และน้ำทะเลร้อนขึ้น. ถ้าความร้อนไม่ถูกดูดซับเอาไว้ อุณหภูมิเฉลี่ยบนผิวโลกคงจะอยู่ที่ราว ๆ -18 องศาเซลเซียส. ในที่สุด ความร้อนที่ถูกดูดซับไว้จะถูกปล่อยกลับขึ้นไปในอวกาศเป็นรังสีอินฟราเรด ด้วยเหตุนี้จึงช่วยป้องกันไม่ให้โลกร้อนเกินไป. แต่เมื่อสารมลพิษทำให้ส่วนประกอบในบรรยากาศเปลี่ยนไป ความร้อนจึงระบายออกไปได้น้อยลง. นี่เป็นเหตุที่ทำให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้นได้.
ก๊าซที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์เรือนกระจกได้แก่ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์, ไนตรัสออกไซด์, และมีเทน รวมทั้งไอน้ำด้วย. ปริมาณก๊าซเรือนกระจกในบรรยากาศเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดตลอดช่วงเวลา 250 ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่ที่เริ่มมีการปฏิวัติอุตสาหกรรมและมีการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลเพิ่มขึ้น อย่างเช่น ถ่านหินและน้ำมัน. เหตุผลอีกอย่างหนึ่งที่ดูเหมือนจะทำให้ก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้นก็คือ จำนวนประชากรสัตว์เลี้ยงในฟาร์มที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งกระบวนการย่อยอาหารของพวกมันได้ทำให้เกิดก๊าซมีเทนและไนตรัสออกไซด์. นักวิจัยบางคนชี้ถึงสาเหตุอื่น ๆ ที่ทำให้โลกร้อนขึ้น ซึ่งพวกเขาบอกว่าสาเหตุเหล่านั้นเกิดขึ้นก่อนที่มนุษย์จะสามารถทำอะไรที่ส่งผลกระทบต่อสภาพอากาศ.
ก็แค่ความเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติอีกครั้งหนึ่งหรือ?
พวกที่อ้างว่ามนุษย์ไม่ได้เป็นต้นเหตุที่ทำให้โลกร้อนขึ้นชี้แจงว่า อุณหภูมิของโลกเคยมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากในอดีต. พวกเขาชี้ถึงยุคที่เรียกกันว่ายุคน้ำแข็ง ในสมัยที่แผ่นดินโลกคงจะหนาวเย็นกว่าในเวลานี้มากนัก และเพื่อสนับสนุนแนวคิดเรื่องอากาศร้อนขึ้นตามธรรมชาติ พวกเขาจึงอ้างหลักฐานว่า ภูมิภาคที่หนาวเย็นอย่างเช่น กรีนแลนด์ ครั้งหนึ่งเคยมีพืชผักที่มักจะงอกขึ้นในเขตอบอุ่น. แน่ล่ะ นักวิทยาศาสตร์ยอมรับว่า ยิ่งพวกเขามองย้อนกลับไปไกลขึ้นเท่าไร พวกเขาก็ยิ่งไม่แน่ใจเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศของโลกมากเท่านั้น.
อะไรอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากก่อนที่จะได้รับผลกระทบจากการกระทำของมนุษย์? สาเหตุต่าง ๆ ที่อาจเป็นไปได้นั้นรวมถึงเรื่องจุดบนดวงอาทิตย์และการลุกจ้าของดวงอาทิตย์ ซึ่งสัมพันธ์กับปริมาณพลังงานของดวงอาทิตย์ที่เปลี่ยนแปลงไป. นอกจากนี้ วงโคจรของโลกยังเปลี่ยนแปลงไปเป็นคาบซึ่งใช้เวลานับหมื่นนับแสนปี และยังส่งผลกระทบต่อระยะห่างระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ด้วย. นอกจากนี้ เถ้าภูเขาไฟและการเปลี่ยนแปลงของกระแสน้ำในมหาสมุทรก็ยังทำให้สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงไปด้วย.
แบบจำลองสภาพภูมิอากาศ
ถ้าอุณหภูมิของโลกสูงขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะมาจากสาเหตุใดก็ตาม ภาวะเช่นนี้จะส่งผลกระทบต่อพวกเราและสภาพแวดล้อมอย่างไร? การพยากรณ์อย่างถูกต้องแม่นยำคงจะทำได้ยาก. แต่ในปัจจุบันนี้พวกนักวิทยาศาสตร์มีคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งพวกเขาใช้ในการสร้างแบบจำลองระบบภูมิอากาศ. มีการป้อนข้อมูลหลายอย่างเข้าไว้ในแบบจำลองของพวกเขาอย่างเช่น กฎทางฟิสิกส์, ข้อมูลเกี่ยวกับสภาพอากาศ, และปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่มีอิทธิพลต่อสภาพอากาศ.
แบบจำลองเหล่านั้นช่วยให้นักวิทยาศาสตร์สามารถทดลองสภาพอากาศในวิธีต่าง ๆ ที่ตามปกติแล้วไม่มีทางทำได้. ตัวอย่างเช่น พวกเขาสามารถ “เปลี่ยนแปลง” พลังงานของดวงอาทิตย์เพื่อดูว่าสิ่งนี้จะส่งผลเช่นไรต่อน้ำแข็งขั้วโลก, อุณหภูมิของอากาศและทะเล, อัตราการระเหยของน้ำ, ความกดอากาศ, การก่อตัวของเมฆ, ลม, และฝน. พวกเขาสามารถ “สร้าง” หรือจำลองการปะทุของภูเขาไฟ แล้ววิเคราะห์ดูว่าเถ้าธุลีภูเขาไฟส่งผลต่ออากาศอย่างไรบ้าง. และพวกเขาก็สามารถวิเคราะห์ผลกระทบที่เกิดจากการเพิ่มประชากรมนุษย์, การทำลายป่า, การใช้ที่ดิน, การปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปริมาณที่เปลี่ยนไป, และอื่น ๆ. พวกนักวิทยาศาสตร์หวังว่าแบบจำลองของพวกเขาจะพยากรณ์ได้ถูกต้องและไว้วางใจได้มากขึ้นเรื่อย ๆ.
แบบจำลองที่มีอยู่ในเวลานี้พยากรณ์ได้แม่นยำเพียงไร? แน่ล่ะ นั่นย่อมขึ้นอยู่กับความถูกต้องและปริมาณของข้อมูลที่ป้อนเข้าไปในคอมพิวเตอร์เหล่านั้น. ด้วยเหตุนี้ การพยากรณ์สภาพอากาศจึงแตกต่างกันไปตั้งแต่แบบที่ไม่รุนแรงไปจนถึงแบบที่เป็นความหายนะ. แม้จะเป็นเช่นนั้น วารสารไซเยนซ์ กล่าวว่า “เรื่องที่น่าประหลาดใจอาจเกิดขึ้นในระบบภูมิอากาศ [ตามธรรมชาติ].” และบางเรื่องก็เกิดขึ้นแล้วอย่างเช่น การละลายของน้ำแข็งแถบขั้วโลกเหนือในอัตราที่เร็วมากอย่างผิดปกติ ซึ่งทำให้นักภูมิอากาศวิทยาหลายคนรู้สึกงุนงง. กระนั้น ถึงแม้ว่าบรรดาผู้กำหนดนโยบายจะมีเพียงแค่ภาพคร่าว ๆ เกี่ยวกับผลกระทบอันเกิดจากสิ่งที่มนุษย์ทำหรือไม่ได้ทำในตอนนี้ แต่พวกเขาก็สามารถตัดสินใจบางอย่างในวันนี้ซึ่งอาจช่วยลดปัญหาในวันข้างหน้าได้.
เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้เช่นนั้น ไอพีซีซี ได้วิเคราะห์ดูเหตุการณ์จำลองต่าง ๆ ที่สร้างจากคอมพิวเตอร์หกชุด ตั้งแต่การผลิตก๊าซเรือนกระจกแบบที่ไม่มีการจำกัดขอบเขตไปจนถึงแบบที่มีการจำกัดปานกลางอย่างที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบันเรื่อยไปจนถึงแบบที่มีการควบคุมอย่างเข้มงวด ซึ่งแต่ละเหตุการณ์ส่งผลต่ออากาศและสภาพแวดล้อมต่างกัน. โดยอาศัยการพยากรณ์เหล่านั้น นักวิเคราะห์จึงเร่งเร้าให้ใช้มาตรการหลาย ๆ อย่าง. มาตรการเหล่านี้มีทั้งการบังคับให้จำกัดการปล่อยก๊าซจากเชื้อเพลิงฟอสซิล, บทลงโทษสำหรับผู้ฝ่าฝืน, การผลิตพลังงานนิวเคลียร์เพิ่มขึ้น, และการนำเทคโนโลยีที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมมาใช้ให้มากขึ้น.
แบบจำลองเหล่านั้นเชื่อถือได้ไหม?
พวกนักวิจารณ์กล่าวว่า การพยากรณ์ด้วยวิธีต่าง ๆ ในปัจจุบันนี้ “ไม่ได้ใช้ข้อมูลมากพอและเป็นการคาดคะเนเอาเองโดยไม่มีหลักฐานเกี่ยวกับกระบวนการทางภูมิอากาศซึ่งยังไม่ค่อยเป็นที่เข้าใจกันมากนัก” และ “ยังมองข้ามกระบวนการอื่น ๆ อย่างสิ้นเชิง.” พวกเขายังชี้ว่าผลของการคำนวณด้วยคอมพิวเตอร์นั้นไม่เสมอต้นเสมอปลาย. นักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งที่เข้าร่วมในการอภิปรายกับไอพีซีซี กล่าวว่า “พวกเราบางคนยังคงรู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อยมากเมื่อทำงานที่เกี่ยวกับการวัดและการทำความเข้าใจระบบภูมิอากาศที่ซับซ้อนอย่างยิ่ง จนทำให้รู้สึกสงสัยว่าพวกเราจะสามารถเข้าใจกระบวนการทำงานของระบบนี้ได้ไหม.”a
แน่ล่ะ บางคนคงจะโต้แย้งว่า การเอาข้อสงสัยเล็ก ๆ น้อย ๆ มาเป็นข้อแก้ตัวสำหรับการไม่ทำอะไรเลยนั้นเป็นการเอาอนาคตมาเสี่ยง. พวกเขาบอกว่า “เราจะอธิบายกับลูก ๆ ของเราอย่างไรล่ะ?” ไม่ว่าแบบจำลองสภาพอากาศจะถูกต้องหรือไม่ เราก็แน่ใจได้เลยว่าโลกนี้กำลังประสบปัญหาอย่างหนัก. สภาพแวดล้อมของโลกที่เอื้อต่อการดำรงชีวิตกำลังถูกทำลายโดยมลพิษ, การทำลายป่า, การขยายเขตเมือง, และการสูญพันธุ์ของพืชและสัตว์ชนิดต่าง ๆ ที่กล่าวมานี้เป็นเพียงไม่กี่ปัจจัยเท่านั้นซึ่งไม่มีใครจะโต้แย้งได้เลย.
เมื่อคำนึงถึงสิ่งที่เรารู้ เราจะคาดหมายให้มนุษยชาติทุกคนเปลี่ยนวิถีชีวิตของตนได้ไหม เพื่อรักษาบ้านที่สวยงามของพวกเรา และรักษาชีวิตของพวกเราด้วย? ยิ่งกว่านั้น ถ้ากิจกรรมที่มนุษย์ทำเป็นสาเหตุของภาวะโลกร้อน เราก็อาจมีเวลาแค่ไม่กี่ปีไม่ใช่ไม่กี่ร้อยปี ที่จะทำการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่จำเป็น. อย่างน้อยที่สุด การเปลี่ยนแปลงเช่นว่านั้นคงจะหมายถึงการเอาใจใส่ทันทีกับสิ่งที่เป็นสาเหตุสำคัญซึ่งก่อปัญหาให้กับโลก อย่างเช่น ความโลภของมนุษย์, ความเห็นแก่ตัว, ความไม่รู้, รัฐบาลที่ไร้ความสามารถ, และความไม่ใส่ใจ. การเปลี่ยนแปลงเช่นนั้นเป็นสิ่งที่คาดหวังได้ไหมหรือเป็นเพียงความฝัน? ถ้าเป็นอย่างหลัง เราไม่มีความหวังใด ๆ เลยหรือ? จะมีการพิจารณาคำถามนี้ในบทความถัดไป.
[เชิงอรรถ]
a จอห์น อาร์. คริสตี ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์ด้านระบบโลกประจำมหาวิทยาลัยแอละแบมา เมืองฮันต์สวิลล์ สหรัฐอเมริกา ดังที่รายงานในหนังสือพิมพ์เดอะ วอลล์ สตรีต เจอร์นัล, ฉบับ 1 พฤศจิกายน 2007.
[กรอบ/ภาพหน้า 5]
คุณจะวัดอุณหภูมิของโลกได้อย่างไร?
เพื่อเป็นตัวอย่างเปรียบเทียบงานที่ท้าทายนี้ คุณจะวัดอุณหภูมิในห้องที่มีขนาดใหญ่ห้องหนึ่งได้อย่างไร? ตัวอย่างเช่น คุณจะเอาเทอร์โมมิเตอร์วางไว้ที่ไหน? อากาศร้อนลอยตัวสูงขึ้น ดังนั้น อุณหภูมิบริเวณที่ใกล้กับเพดานจะสูงกว่าบริเวณที่อยู่ใกล้พื้น. หากวางเทอร์โมมิเตอร์ไว้ใกล้หน้าต่าง, วางไว้ตรงบริเวณที่แดดส่องถึง, หรือวางในที่ร่ม ค่าที่วัดได้จะเปลี่ยนไปด้วย. สีก็อาจจะมีผลต่อการวัดอุณหภูมิ เนื่องจากพื้นผิวสีดำดูดซับความร้อนได้มากกว่า.
ฉะนั้น การวัดครั้งเดียวคงจะไม่พอ. เราควรวัดอุณหภูมิหลาย ๆ จุด แล้วเอามาคำนวณหาค่าเฉลี่ย. และค่าที่วัดได้ในแต่ละวันหรือในแต่ละฤดูกาลก็อาจจะเปลี่ยนไป. ดังนั้น เพื่อจะได้ค่าเฉลี่ยจริง ๆ คุณคงต้องวัดอุณหภูมิหลายครั้งตลอดช่วงเวลาที่ยาวนานทีเดียว. ลองนึกภาพดูสิว่าการวัดอุณหภูมิเฉลี่ยโดยทั่วไปของผิวโลก, บรรยากาศ, และมหาสมุทรจะเป็นเรื่องยุ่งยากสักเพียงไร! กระนั้น สถิติเช่นนั้นก็จำเป็นอย่างยิ่งต่อการวัดการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศได้อย่างถูกต้อง.
[ที่มาของภาพ]
NASA photo
[กรอบ/ภาพหน้า 6]
พลังงานนิวเคลียร์เป็นทางแก้ไหม?
การใช้พลังงานทั่วโลกทำให้เกิดสถิติใหม่อยู่เรื่อย ๆ. เนื่องจากการเผาไหม้ของน้ำมันและถ่านหินทำให้เกิดก๊าซเรือนกระจก รัฐบาลบางประเทศจึงคิดอย่างจริงจังที่จะเอาพลังงานนิวเคลียร์มาใช้ เนื่องจากเป็นพลังงานทางเลือกที่สะอาดกว่า. แต่พลังงานนิวเคลียร์ก็มีปัญหาหลายอย่างด้วย.
หนังสือพิมพ์อินเตอร์แนชันแนล เฮรัลด์ ทริบูน รายงานว่า ในฝรั่งเศส ซึ่งเป็นประเทศหนึ่งที่พึ่งนิวเคลียร์มากที่สุดในโลก ต้องใช้น้ำถึงปีละ 19,000 ล้านลูกบาศก์เมตรในการหล่อเย็นเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์. ในช่วงที่อากาศร้อนจัดมากในปี 2003 น้ำร้อนที่มักจะถูกระบายออกจากเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ของฝรั่งเศสตามปกตินั้น เกือบจะทำให้อุณหภูมิของแม่น้ำสายต่าง ๆ สูงขึ้นจนถึงระดับที่ทำให้สภาพแวดล้อมได้รับความเสียหาย. ด้วยเหตุนี้ โรงไฟฟ้าบางแห่งจึงต้องปิดทำการ. เป็นที่คาดกันว่าสภาพการณ์ดังกล่าวคงจะเลวร้ายลงหากอุณหภูมิของโลกสูงขึ้น.
เดวิด ลอคบวม วิศวกรนิวเคลียร์ แห่งสหภาพนักวิทยาศาสตร์ผู้ห่วงใย กล่าวว่า “เราต้องแก้ปัญหาเรื่องการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศถ้าเรายังต้องการจะใช้พลังงานนิวเคลียร์.”
[กรอบ/ภาพหน้า 7]
ภัยพิบัติที่เกี่ยวข้องกับสภาพอากาศในปี 2007
ในปี 2007 เกิดภัยพิบัติที่เกี่ยวข้องกับสภาพอากาศมากจนทำลายสถิติ ซึ่งสำนักงานประสานงานเพื่อการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์แห่งสหประชาชาติ ได้ร้องขอให้มีการช่วยเหลือในยามฉุกเฉิน 14 ครั้ง ซึ่งมากกว่าสถิติเดิมที่มีการบันทึกไว้ในปี 2005 ถึง 4 ครั้ง. ต่อไปนี้เป็นเพียงภัยพิบัติบางอย่างที่เกิดขึ้นในปี 2007. แน่ล่ะ อย่าลืมว่าเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งไม่จำเป็นต้องแสดงถึงแนวโน้มในระยะยาวเสมอไป.
◼ บริเตน: ประชากรมากกว่า 350,000 คนได้รับผลกระทบจากอุทกภัยครั้งที่เลวร้ายที่สุดในช่วงเวลากว่า 60 ปี. ที่อังกฤษและเวลส์ระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงกรกฎาคมปี 2007 ถือว่ามีฝนตกมากที่สุดในช่วงเดือนเดียวกันนับตั้งแต่ที่เริ่มมีการเก็บสถิติในปี 1766.
◼ แอฟริกาตะวันตก: ประชากร 800,000 คนใน 14 ประเทศได้รับความเดือดร้อนจากอุทกภัย.
◼ เลโซโท: อุณหภูมิที่สูงขึ้นและความแห้งแล้งทำให้พืชผลเสียหาย. ประชากรราว ๆ 553,000 คนอาจต้องการอาหารที่ส่งไปช่วยเหลือ.
◼ ซูดาน: พายุฝนทำให้ประชากร 150,000 คนไร้ที่อยู่อาศัย. มีประชากรอย่างน้อย 500,000 คนที่ได้รับความช่วยเหลือ.
◼ มาดากัสการ์: พายุไซโคลนและฝนที่ตกลงมาอย่างหนักได้กวาดทำลายเกาะนี้ ทำให้ประชากร 33,000 คนต้องอพยพและทำลายพืชผลของประชากร 260,000 คน.
◼ เกาหลีเหนือ: ประชากรประมาณ 960,000 คนได้รับผลกระทบอย่างหนักจากอุทกภัย, แผ่นดินถล่ม, และโคลนถล่มที่เกิดขึ้นทั่วไป.
◼ บังกลาเทศ: อุทกภัยทำให้ประชากร 8.5 ล้านคนได้รับความเดือดร้อน และคร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 3,000 คน รวมทั้งปศุสัตว์อีก 1,250,000 ตัว. บ้านที่ได้รับความเสียหายหรือพังพินาศมีเกือบ 1,500,000 หลัง.
◼ อินเดีย: อุทกภัยทำให้ประชากร 30 ล้านคนประสบความยากลำบาก.
◼ ปากีสถาน: ฝนที่เกิดจากพายุไซโคลนทำให้ประชากร 377,000 คนต้องอพยพไปอยู่ที่อื่นและมีคนนับร้อยเสียชีวิต.
◼ โบลิเวีย: กว่า 350,000 คนได้รับผลกระทบจากอุทกภัย และ 25,000 คนจำต้องทิ้งบ้านเรือนไป.
◼ เม็กซิโก: อุทกภัยที่เกิดขึ้นในบางภูมิภาคทำให้ประชากรอย่างน้อย 500,000 คนไร้ที่อยู่อาศัย และทำให้ผู้คนมากกว่าหนึ่งล้านคนเดือดร้อน.
◼ สาธารณรัฐโดมินิกัน: ฝนที่ตกหนักอย่างต่อเนื่องยาวนานซึ่งเป็นเหตุให้น้ำท่วมและแผ่นดินถล่มนั้น ทำให้ประชากร 65,000 คนต้องอพยพ.
◼ สหรัฐ: ไฟที่ลุกไหม้ขึ้นเพราะความแห้งแล้งในแคลิฟอร์เนียตอนใต้ทำให้ประชากร 500,000 คนต้องหนีจากบ้านของตน.
[ที่มาของภาพ]
Based on NASA/Visible Earth imagery