บท 6
วิญญาณที่กลับไปยังพระเจ้า
ไม่น่าจะมีปัญหาเลยในจิตใจของผู้ทำการค้นคว้าที่สุจริตใจในเรื่องที่พระคัมภีร์พูดถึงว่า “จิตวิญญาณ” ไม่ใช่ส่วนประกอบอันไม่รู้จักตายซึ่งยังคงมีชีวิตรู้สึกตัวอยู่ต่อไปภายหลังที่คนเราตายไปแล้ว. กระนั้นเมื่อได้มีการบอกชี้ถึงพยานหลักฐานอย่างมากมายในเรื่องสภาพที่แท้จริงของจิตวิญญาณเช่นนั้นแล้วก็ดี บางคนก็ยังแสดงข้อแย้งอื่น ๆ อยู่อีกด้วยความพยายามที่จะสนับสนุนความเชื่อของตนที่ว่ามีอะไรบางอย่างภายในตัวมนุษย์ ซึ่งยังดำรงชีวิตอยู่ภายหลังที่ตายไปนั้น.
ข้อคัมภีร์ข้อหนึ่งที่มีการนำมาใช้กันบ่อย ๆ คือ ท่านผู้ประกาศ 12:7 ซึ่งอ่านว่า: “ผงคลีจะกลับไปเป็นดินตามเดิม และวิญญาณก็จะกลับไปยังพระเจ้าผู้ทรงประทานให้มานั้น.” ในคอมเม็นเทรี่ของเขานั้น แอดัม คลาร์ค นักศาสนศาสตร์แห่งนิกายเวสเลยั่น เมธอดิสท์ เขียนลงไว้เกี่ยวด้วยข้อนี้ว่า: “ณ ที่นี้ ท่านบุรุษผู้เฉลียวฉลาดได้ทำให้แลเห็นความแตกต่างอย่างชัดแจ้งที่สุดระหว่างร่างกายกับจิตวิญญาณ: สองอย่างนี้หาใช่อันเดียวกันไม่ มิใช่สสารด้วยกันทั้งสองอย่าง. ร่างกายซึ่งเป็นสสารกลับไปเป็นผงคลีดินตามเดิมของมัน แต่วิญญาณซึ่งไม่เป็นสสารนั้นกลับไปยังพระเจ้า. อะ คาธอลิค คอมเม็นเทรี่ ออน โฮลี่ ซคริพเจ้อร์ กล่าวทำนองเดียวกันดังนี้: “จิตวิญญาณกลับไปยังพระเจ้า.” ดังนี้คำอธิบายทั้งสองอย่างนี้อ้างว่าจิตวิญญาณและวิญญาณก็อันเดียวกันนั้นแหละ.
อย่างไรก็ดี เป็นที่น่าสนใจว่าพวกนักศึกษาชาวโรมันคาธอลิค และชาวโปรเต็สแต้นท์อื่น ๆ แสดงความเห็นที่แตกต่างกันไปอย่างแท้จริง. ใน “คำอธิบายศัพท์พระคัมภีร์” ซึ่งปรากฏใน นิว อเมริกัน ไบเบิ้ล ของคาธอลิค (ได้รับการพิมพ์ออกโดย พี.เจ. เคเนดี้ และ ซันส์ นิวยอร์ค 1970) เราจะได้อ่านดังต่อไปนี้: “เมื่อเอาคำ ‘วิญญาณ’ มาใช้ตรงกันข้ามกับคำ ‘เนื้อหนัง’ . . . จุดมุ่งหมายมิใช่เพื่อจะแยกสิ่งที่มีตัวตนออกจากส่วนประกอบอันไม่มีตัวตนของมนุษย์ . . . ‘วิญญาณ’ หาได้หมายถึงจิตวิญญาณไม่.” ในท่านผู้ประกาศ 12:7 ฉบับแปลฉบับนี้หาได้ใช้คำ “วิญญาณ”ไม่ หากแต่ใช้คำ “ลมหายใจแห่งชีวิต.” อินเทอเพรเท่อส์ ไบเบิ้ล ของชาวโปรเต็สแต้นท์กล่าวเกี่ยวกับนักเขียนหนังสือท่านผู้ประกาศดังนี้: “โคเฮเล็ธหาได้หมายความไม่ว่า บุคลิกลักษณะของมนุษย์ยังคงดำรงอยู่ต่อไป.” เมื่อพิจารณาถึงความเห็นที่แตกต่างกันเช่นนั้นแล้ว เราจะแน่ใจได้หรือว่าวิญญาณคืออะไรจริง ๆ และวิญญาณนั้น ๆ กลับยังพระเจ้าโดยทำนองไหน?
ในพระธรรมท่านผู้ประกาศ 12:1-7 ได้มีการพรรณนาถึงผลของความแก่ชราและความตายลงไว้ด้วยการใช้ถ้อยคำแบบอรรถกวี. ภายหลังที่ตายไปนั้น ในที่สุดร่างกายก็เน่าเปื่อยแล้วจึงกลายเป็นส่วนประกอบของผงคลีดินอีก. อีกฝ่ายหนึ่งนั้นคือ “วิญญาณกลับไปยังพระเจ้า.” ดังนั้นการตายของมนุษย์จึงเชื่อมโยงกันกับการที่วิญญาณกลับไปยังพระเจ้า ทั้งนี้ย่อมแสดงว่าชีวิตของมนุษย์ขึ้นอยู่กับวิญญาณนั้น ๆ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง.
ข้อคัมภีร์ท่านผู้ประกาศ 12:7 ในภาษาเดิมนั้น คำภาษาฮีบรูที่เอามาแปลว่า “วิญญาณ” หรือ “ลมหายใจแห่งชีวิต” นั้นได้แก่คำรูอาหห์. คำภาษากรีกที่มีความหมายตรงกันคือนิวมา. ขณะที่ชีวิตของเราต้องพึ่งอาศัยการหายใจ คำ “ลมหายใจ” (ดังที่ผู้แปลเป็นจำนวนมากมักแปลคำ รูอาหห์ และนิวมา นั้น) ไม่เหมาะเสมอไปที่จะนำมาใช้แทน “วิญญาณ.” ยิ่งไปกว่านั้น คำภาษาฮีบรูและกรีกอื่น ๆ กล่าวคือ เนะชาม่าห์ (ฮีบรู) และโนเอ้ (กรีก) ก็แปลว่า “ลมหายใจ” เช่นกัน. (โปรดดูเยเนซิศ 2:7 และกิจการ 17:25.) แต่กระนั้นก็เป็นที่น่าสังเกตว่า ในการที่เอาคำ “ลมหายใจ” มาใช้แทน “วิญญาณ” นั้น บรรดาผู้แปลก็ย่อมเผยให้เห็นว่าคำภาษาเดิมนั้นใช้หมายถึงอะไรบางอย่างที่ไม่มีบุคลิกลักษณะ หากแต่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับความเป็นอยู่ของชีวิต.
การพิสูจน์หลักฐานเกี่ยวกับวิญญาณ
การที่ชีวิตมนุษย์ต้องอาศัยวิญญาณ (รูอาหห์ หรือนิวมา) นั้นก็ได้มีแถลงไว้อย่างแน่นอนในพระคัมภีร์. ดังที่เราจะอ่านต่อไปนี้: “ถ้าพระองค์ [พระยะโฮวา] เอาวิญญาณ [รูอาหห์] ไปเสีย มันก็ตาม และกลับเป็นผงคลีดิน.” (บทเพลงสรรเสริญ 104:29) “ร่างกายที่ปราศจากวิญญาณ [นิวมา] ก็ตามแล้ว.” (ยาโกโบ 2:26) ดังนี้วิญญาณจึงได้แก่สิ่งซึ่งทำให้ ร่างกายมีชีวิต.
แต่ว่าพลังอันทำให้มีชีวิตเช่นนี้หาใช่ลมหายใจเฉย ๆ ไม่. เพราะเหตุใด? เพราะเหตุที่ชีวิตยังคงมีอยู่ในเซลล์ของร่างกายชั่วระยะเวลาอันสั้น ภายหลังที่การหายใจหยุดลงแล้ว. ด้วยเหตุนี้เอง ความพยายามในการแก้ไขให้ฟื้นอีกจึงบรรลุผลสำเร็จ นอกจากนี้ก็ยังสามารถย้ายอวัยวะแห่งร่างกายจากบุคคลผู้หนึ่งใส่ลงไปในร่างกายของอีกผู้หนึ่งได้. แต่ว่าสิ่งเหล่านี้จำต้องได้มีการกระทำโดยเร็ว. ถ้าพลังแห่งชีวิตออกไปจากเซลล์แห่งร่างกายเสียแล้ว ความพยายามในอันที่จะยืดชีวิตให้ยาวต่อไปอีก ย่อมจะไม่ได้ผล. ลมหายใจทั้งหมดในโลกนี้ก็จะไม่สามารถทำให้ฟื้นได้อีกแม้แต่เซลล์เดียว. เมื่อมองดูตามแง่คิดเช่นนี้แล้ว ย่อมแลเห็นได้ชัด ๆ ว่า “วิญญาณ” ก็คือพลังแห่งชีวิตอันไม่เป็นที่ประจักษ์ด้วยตา ดำเนินกิจอยู่ภายในเซลล์ที่มีชีวิตอยู่ทุกเซลล์แห่งร่างกายของมนุษย์.
พลังแห่งชีวิตนี้ดำเนินกิจอยู่ในตัวมนุษย์เท่านั้นหรือ? สิ่งที่มีแถลงไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลย่อมสามารถช่วยให้เราลงความเห็นที่ถูกต้องได้ในเรื่องนี้. เกี่ยวกับการทำลายล้างชีวิตมนุษย์และสัตว์ ด้วยมหาอุทกภัยทั่วโลกนั้น พระคัมภีร์รายงานดังนี้: “ทุกสิ่งซึ่งลมหายใจ [เนะชาม่า] ของพลัง [รูอาหห์ วิญญาณ] แห่งชีวิตโดยการหายใจเข้าออกทางจมูก กล่าวคือ บรรดาสัตว์ที่อยู่บนบกก็ตายทั้งสิ้น.” (เยเนซิศ 7:22) พระธรรมท่านผู้ประกาศ 3:19 ก็ได้ให้หลักสำคัญอย่างเดียวกันในเรื่องซึ่งเกี่ยวกับความตายดังนี้: “มีกรณีอันใดเกิดขึ้นกับบุตรทั้งหลายของมนุษย์และกรณีนั้นก็เกิดขึ้นกับสัตว์เดียรัจฉานด้วย และทั้งสองก็มีกรณีอย่างเดียวกัน. ฝ่ายหนึ่งตายไปฉันใด อีกฝ่ายหนึ่งก็ตายไปฉันนั้น และทั้งหมดมีวิญญาณ [รูอาหห์] อย่างเดียวกันดังนั้นมนุษย์จึงไม่มีอะไรดียิ่งไปกว่าสัตว์เดียรัจฉาน.” ฉะนั้นมนุษย์จึงไม่ดียิ่งไปกว่าสัตว์เมื่อพูดถึงเรื่องที่ว่าวิญญาณทำให้ร่างกายของเขามีชีวิตอยู่. วิญญาณอย่างเดียวกันที่ไม่ประจักษ์แก่ตาหรือพลังแห่งชีวิตนั้นมีอยู่ด้วยกันทั้งสองประเภท.
ตามเหตุผลแล้ว วิญญาณหรือพลังแห่งชีวิตที่ดำเนินอยู่ในสัตว์ และทั้งมนุษย์ด้วยนั้นอาจจะเอามาเปรียบได้กับกระแสอีเลคตรอน หรือไฟฟ้าที่ผ่านเข้าไปในเครื่องจักรหรือเครื่องใช้. อาจมีการเอากระแสไฟฟ้าอันไม่เป็นที่ประจักษ์แก่ตามาใช้ในกิจการต่าง ๆ หลายอย่างสุดแล้วแต่จะให้เกิดพลังตามชนิดของเครื่องจักรหรือเครื่องใช้. เตาอบถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ประโยชน์ในการให้กำเนิดซึ่งความร้อน พัดลมก็เพื่อทำให้มีลม คอมพิวเต้อร์เพื่อใช้ประโยชน์ในการแก้ปัญหาต่าง ๆ เครื่องวิทยุโทรทัศน์เพื่อใช้ในการแสดงภาพ เสียงพูดเสียงร้องและเสียงอื่น ๆ. พลังอย่างเดียวกันอันไม่ประจักษ์แก่ตาที่ก่อให้เกิดเสียงในเครื่องใช้อย่างหนึ่งย่อมสามารถก่อให้เกิดความร้อนในเครื่องใช้อีกอย่างหนึ่งได้ สามารถทำการคำนวณทางคณิตศาสตร์ในเครื่องใช้อีกอย่างหนึ่งได้. แต่ว่ากระแสไฟฟ้ารับเอาลักษณะซับซ้อนของเครื่องจักรหรือเครื่องใช้ซึ่งกระแสไฟฟ้านั้นดำเนินกิจ หรือปฏิบัติงานในเครื่องเหล่านั้นไหม? เปล่าเลย. กระแสไฟฟ้านั้นก็ยังคงเป็นไฟฟ้าอยู่ต่อไป—คือเพียงแต่เป็นพลังชนิดหนึ่งเท่านั้น.
ทำนองเดียวกัน ทั้งมนุษย์หรือสัตว์ด้วย “มีวิญญาณอันเดียวกัน” คือพลังงานอันเดียวกัน. วิญญาณหรือพลังแห่งชีวิตที่ทำให้มนุษย์สามารถปฏิบัติการเกี่ยวกับชีวิตให้ลุล่วงไปได้. ไม่แตกต่างกันในประการใดเลยจากวิญญาณที่ทำให้สัตว์สามารถกระทำเช่นนั้นได้. วิญญาณนั้น ๆ จะไม่เก็บไว้ซึ่งลักษณะพิเศษต่าง ๆ ของเซลล์แห่งร่างกายที่ตายไปแล้ว. ยกตัวอย่างเช่น ในกรณีเกี่ยวกับเซลล์ของสมอง วิญญาณนั้นจะไม่เก็บความรู้ที่มีสะสมอยู่ที่นั่นไว้แล้วเอามาใช้ปฏิบัติในการคิดนึกต่อไปต่างหากจากเซลล์เหล่านี้. พระคัมภีร์บอกเราดังนี้: “เมื่อวิญญาณ [รูอาหห์] ของเขาออกไป เขาก็กลับไปสู่ดินในวันนั้นทีเดียวความคิดของเขาก็สูญสิ้นไป.”—บทเพลงสรรเสริญ 146:4.
รูปการเป็นเช่นนี้ การที่รูอาหห์ หรือวิญญาณกลับไปยังพระเจ้านั้นจะหมายความตรง ๆ ถึงการมีชีวิตรู้สำนึกตัวอยู่ต่อไปเช่นนั้นไม่ได้. วิญญาณจะไม่ดำเนินการคิดนึกของมนุษย์ต่อ ๆ ไป. วิญญาณนั้นเป็นเพียงแต่พลังแห่งชีวิตที่ไม่มีความรู้สำนึกตัวในความเป็นอยู่ต่างหากจากร่างกาย.
วิธีที่วิญญาณกลับไปยังพระเจ้า
ดังนั้นพลังอันไม่มีตัวตนไม่เป็นที่ประจักษ์แก่ตาหรือวิญญาณนี้จะกลับไปยังพระเจ้าโดยวิธีใด? วิญญาณนี้จะกลับไปยังที่ประทับอย่างแท้จริงของพระองค์ในสวรรค์กระนั้นไหม?
วิธีที่พระคัมภีร์ใช้คำ “กลับ” นั้นไม่จำเป็นที่เราจะต้องคิดนึกถึงอาการเคลื่อนไหวอย่างแท้จริงจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งในทุกกรณี. ยกอุทาหรณ์เช่น ชนชาติยิศราเอลที่ไม่ซื่อสัตย์ได้รับคำสั่งดังนี้: “พระยะโฮวาจอมพลโยธาตรัสว่า: ‘จงกลับมาหาเรา และเราจะกลับไปหาเจ้าทั้งหลาย.’” (มาลาคี 3:7) ปรากฏชัดว่าข้อนี้หาได้หมายความว่าชนชาติยิศราเอลจำต้องออกจากแผ่นดินโลกนี้แล้วเข้าไปสู่สถานที่ประทับจริง ๆ ของพระเจ้าไม่หรอก ทั้งหาได้หมายความไม่ว่า พระเจ้าจะเสด็จจากที่มั่นของพระองค์ซึ่งอยู่ในสวรรค์แล้วเริ่มประทับอยู่บนแผ่นดินโลกนี้กับชนชาติยิศราเอล. ถ้าจะพูดให้ถูก การที่ชนชาติยิศราเอล “กลับ” ไปหาพระยะโฮวานั้น ย่อมหมายถึง การหันกลับจากวิถีทางที่ผิด แล้วยอมปฏิบัติตามแนวทางที่ชอบธรรมของพระเจ้าและการที่พระยะโฮวา “กลับ” ไปหาชนยิศราเอลนั้นก็หมายถึงการที่พระองค์กลับใฝ่พระทัยสงเคราะห์พลไพร่ของพระองค์อีกครั้งหนึ่ง. ในกรณีทั้งสองนี้ การกลับย่อมหมายถึงทัศนะ หาได้หมายถึงการเคลื่อนย้ายอย่างแท้จริงจากทำเลหนึ่งในทางภูมิศาสตร์ไปยังอีกทำเลหนึ่งไม่.
ที่ว่าการกลับเกี่ยวกับอะไรบางอย่างซึ่งไม่จำเป็นเลยที่จะต้องมี การเคลื่อนย้ายอย่างแท้จริงนั้นอาจจะเองมาอธิบายประกอบเป็นตัวอย่างได้ด้วยสิ่งซึ่งอุบัติขึ้นในธุรกิจหรือทรัพย์สมบัติที่ต้องมีการโยกย้ายถ่ายโอนจากการควบคุมของคณะหนึ่งไปให้อีกคณะหนึ่ง. อาทิเช่น ในประเทศหนึ่งรถไฟอาจถูกโยกย้ายจากอำนาจแห่งกิจการงานส่วนตัวไปให้กับอำนาจแห่งรัฐบาล. เมื่อการโอนเช่นนั้นเกิดขึ้น เครื่องประกอบเกี่ยวกับทางรถไฟ และแม้แต่เอกสารต่าง ๆ ก็คงอยู่ที่เดิม. อำนาจบังคับบัญชาเท่านั้นที่เปลี่ยนไป.
ในกรณีเกี่ยวกับวิญญาณหรือพลังแห่งชีวิตก็เช่นเดียวกัน. ขณะที่ตายไปนั้น การเคลื่อนย้ายอย่างแท้จริงจากแผ่นดินโลกไปยังอาณาจักรทางภาคสวรรค์นั้นไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นเพื่อที่วิญญาณนั้นจะ ‘กลับไปยังพระเจ้า.’ แต่ว่าของประทานหรือการอนุญาตให้มีชีวิตอยู่ในฐานะที่เป็นมนุษย์ผู้ประกอบด้วยปัญญาไหวพริบ ซึ่งบุคคลผู้ที่ตายไปได้เคยมีมาครั้งหนึ่งนั้น ในตอนนี้กลับไปยังพระเจ้าตามเดิม. สิ่งซึ่งจำเป็นในการทำให้บุคคลนั้นมีชีวิตอยู่ กล่าวคือวิญญาณหรือพลังแห่งชีวิตก็อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า.—บทเพลงสรรเสริญ 31:5; ลูกา 23:46.
อาจเอาสถานการณ์มาเทียบก็ได้กับสถานการณ์ของชายผู้เป็นจำเลยคนนั้น ผู้ซึ่งบอกกับผู้พิพากษาว่า ‘ชีวิตของผมอยู่ในกำมือของท่านแล้ว.’ เขาหมายความว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับชีวิตของเขานั้นอยู่กับผู้พิพากษา. ผู้เป็นจำเลยไม่มีทางเลือกเสียเลยในเรื่องนั้น. ชีวิตอยู่นอกออกไปจากกำมือของของตนแล้ว.
ทำนองเดียวกันคือในกรณีของคนที่ตายแล้ว เขาไม่มีอำนาจควบคุมวิญญาณหรือพลังแห่งชีวิตของเขา. วิญญาณนั้นได้กลับไปยังพระเจ้าแล้วตามความหมายที่ว่าพระองค์ทรงควบคุมความหวังในเรื่องชีวิตอนาคตของบุคคลผู้นั้น. สุดแล้วแต่พระเจ้าที่จะทำการตัดสินในเรื่องที่ว่า พระองค์จะคืนวิญญาณหรือพลังแห่งชีวิตให้แก่ผู้ที่ตายไปแล้วนั้นหรือไม่.
ทั้งนี้จะเป็นการปิดประตูทำให้ไม่มีทางอื่นใดที่พอจะเป็นไปได้ ในเรื่องชีวิตภายหลังที่ตายไปแล้วกระนั้นหรือ? ไม่มีอะไรอื่นอีกหรือที่จะคำนึงถึงได้?
จะว่าอย่างไรในเรื่องการเกิดใหม่หรือการกลับชาติ?
ประชาชนหลาย ๆ ล้านคน ที่มีความเชื่อถือทางศาสนาต่าง ๆ หลายชนิดที่เรียกว่าคริสเตียนหรือที่ไม่ใช่คริสเตียนก็ดีนั้น เชื่อว่ามนุษย์เคยมีชีวิตมาแล้วก่อนชีวิตปัจจุบันของตนและก็จะดำรงชีพอยู่ต่อ ๆ ไปภายหลังที่เขาตายไป. แม้ว่าแนวความคิดของพวกเขาจะแตกต่างกันอย่างมากมายก็ตาม พวกเขามีความเชื่อร่วมกันที่ว่าส่วนประกอบบางส่วนของมนุษย์นั้น มีการเกิดใหม่หรือเข้าสิงอยู่ในร่างใหม่อีกร่างหนึ่ง.
ในการเสนอแนวแห่งเหตุผลอย่างหนึ่งเพื่อสนับสนุนความเชื่อถือ ในเรื่องการเกิดใหม่ อะ แมนยัวล์ ออฟ บูดดิสม์ แถลงดังนี้: “บางครั้งเราได้รับประสบการณ์แปลก ๆ ซึ่งไม่สามารถจะนำมาอธิบายได้เว้นแต่โดยการเกิดใหม่. บ่อยครั้งเรามักจะพบบุคคลผู้ซึ่งเราไม่เคยได้พบเห็นมาก่อนเลย และกระนั้นก็ยังคงรู้สึกอยู่ในใจว่า เขาเป็นคนที่เราเคยรู้จักมาแล้วมิใช่หรือ? บ่อยครั้งเราไปเยี่ยมสถานที่ต่าง ๆ และกระนั้นก็ยังรู้สึกประทับใจว่า เราได้คุ้นเคยกับสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ของสถานที่เหล่านั้นมาแล้วเป็นอย่างดีมิใช่หรือ?”
ท่านเคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับอะไรต่ออะไรเช่นนั้นไหม? หลังจากที่พบกับบุคคลคนหนึ่ง ท่านเคยมีความรู้สึกว่าท่านรู้จักกับเขามาแล้วเป็นเวลานานกระนั้นไหม? จะให้เหตุผลประการใดในเรื่อง ประสบการณ์เช่นนั้น?
มีความคล้ายคลึงกันหลายอย่างในตัวคนเรา บางทีหลังจากที่ใช้ความคิดไตร่ตรองดูบ้างแล้ว ท่านเองจึงสำนึกขึ้นมาว่า บุคคลผู้นั้นมีบุคลิกลักษณะและลักษณะที่เด่นต่าง ๆ ทางร่างกายซึ่งคล้ายคลึงกันกับผู้เป็นญาติ หรือเพื่อนคนใดคนหนึ่ง.
เช่นเดียวกันท่านอาจเคยอาศัยอยู่ในจังหวัดหนึ่งโดยเฉพาะหรือไม่ก็ได้ เคยเห็นภาพของจังหวัดนั้นมาแล้ว. ครั้นแล้วขณะที่ไปเยี่ยมอีกจังหวัดหนึ่ง ท่านก็อาจสังเกตเห็นความคล้ายคลึงกันบางอย่างจนถึงกับทำให้ท่านรู้สึกว่าท่านหาได้อยู่จริง ๆ ท่ามกลางบรรดาสิ่งแวดล้อมที่ต่างออกไปและที่ไม่คุ้นเคยนั้นไม่.
เช่นนั้นแล้วก็ไม่มีเหตุผลหรอกหรือที่จะลงความเห็นว่าความรู้สึกต่าง ๆ ในเรื่องความคุ้นเคยเกี่ยวกับคนและสถานที่ที่ไม่เคยรู้สึกมาแต่ก่อนนั้น หาใช่ผลแห่งชีวิตในครั้งอดีตไม่ แต่เป็นผลแห่งประสบการณ์ต่าง ๆ ในชีวิต ปัจจุบันต่างหาก? ตามความจริงนั้น ถ้าคนเราทั้งหมดเคยมีชีวิตมาแต่ก่อนอย่างแท้จริงแล้ว เขาก็น่าจะทราบกันทุกคนถึงข้อนี้มิใช่หรือ? เช่นนั้นแล้วก็ไฉนเล่าหลาย ๆ ล้านคนจึงไม่มีการรู้สำนึกหรือมีความคิดนึกเลยแม้แต่น้อยถึงการดำเนินชีวิตมาในตอนแรก ๆ. ยิ่งกว่านั้น ใคร ๆ ก็ดีจะสามารถหลีกเลี่ยงความผิดพลาดต่าง ๆ แห่งชีวิตในตอนเยาว์วัยนั้นได้อย่างไร หากเขาไม่สามารถแม้แต่จะรำลึกถึงความผิดพลาดเหล่านั้นได้? ชีวิตแต่ก่อน ๆ เช่นนั้นจะเป็นประโยชน์อะไร?
บางคนอาจจะให้คำอธิบายว่า ถ้าคนเราทราบรายละเอียดเกี่ยวกับความเป็นอยู่แต่ก่อน ๆ ของตนแล้วชีวิตย่อมจะเป็นภาระหนัก. นั่นคือวิธีที่โมฮานดัส เค. คันธีแสดงความคิดเห็นโดยกล่าวดังนี้: “การที่เราจดจำรำลึกถึงการกำเนิดในครั้งที่ล่วงแล้วมาไม่ได้นั้นนับว่าเป็นความกรุณาแห่งธรรมชาติทีเดียว. ประโยชน์จะมีตรงไหนกันในการที่ทราบรายละเอียดแห่งการกำเนิดอันนับครั้งไม่ถ้วนที่เราได้เคยผ่าน ๆ มานั้น? ชีวิตย่อมจะเป็นภาระหนัก หากเราต้องบรรจุเอาไว้ซึ่งความทรงจำอย่างมากมายก่ายกองเช่นนั้น. คนที่ฉลาดรอบคอบย่อมจงใจลืมอะไรต่ออะไรต่าง ๆ เสียหลายอย่าง ทนายความมักจะลืมเสียซึ่งคดีต่าง ๆ และรายละเอียดของคดีเหล่านั้นทันทีที่ปฏิบัติการเสร็จสิ้นลงแล้ว.” นั่นเป็นคำอธิบายที่น่าสนใจก็จริง แต่ว่าคำอธิบายนั้นอาศัยรากฐานที่หนักแน่นมั่นคงเป็นหลักหรือเปล่า?
ส่วนความสามารถในการรำลึกถึงหลายสิ่งหลายอย่างที่เราได้มีประสบการณ์มาแล้วนั้นอาจจะจำกัดก็ได้ แน่นอนสมองของเรามิใช่จะว่างเปล่าไปเสียทั้งหมดในเรื่องประสบการณ์เหล่านั้น. ทนายความอาจจะลืมรายละเอียดเกี่ยวกับบางคดีไปเสียก็ได้ แต่ว่าประสบการณ์ที่เขาได้รับในการจัดการกับคดีเหล่านั้นก็นับว่าเป็นทุนสำรองของเขาในเรื่องความรู้. หากเขาลืมไปเสียทุกสิ่งทุกอย่างจริง ๆ ละก็ เขาคงจะต้องอยู่ในฐานะที่เสียเปรียบทีเดียว. นอกจากนี้แล้ว อย่างไหนที่ทำให้คนเราได้รับความเดือดร้อนมากกว่า—ความทรงจำไม่ดีหรือความทรงจำดี? คนสูงอายุผู้ที่มีความจดจำสามารถรำลึกถึงความรู้และประสบการณ์อันเป็นทุนสำรองของตนได้ดี ย่อมอยู่ในฐานะที่ดีกว่าคนสูงอายุผู้ซึ่งลืมอะไร ๆ ไปเสียเกือบทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมิใช่หรือ?
แท้จริงแล้ว จะเป็น “ความกรุณา” อย่างไรกันในการที่จะต้องมาเรียนให้รู้จักสิ่งต่าง ๆ ที่คนเราได้เรียนรู้จักมาแล้วในระหว่างที่มีชีวิตอยู่แต่ก่อน ๆ นั้นอีก? ท่านจะถือว่านั่นเป็น “ความกรุณาแห่งธรรมชาติ” หรือถ้าแม้นทุก ๆ สิบปีแห่งชีวิตของท่านนั้น ท่านลืมเกือบทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ท่านได้เรียนรู้มานั้นและต้องมาได้เริ่มต้นเรียนภาษาอีก และครั้นแล้วจึงเริ่มก่อร่างสร้างความรู้และประสบการณ์ขึ้นไว้เป็นทุนสำรองอันเพียงแต่จะต้องถูกขจัดล้างไปเสียอีกเช่นนั้น? เช่นนี้แล้วจะมิเป็นการทำให้รู้สึกสิ้นท่าหมดหวังหรอกหรือ? ทั้งนี้จะมิเป็นการลงเอยด้วยความปราชัยอย่างสุดประมาณทีเดียวละหรือ? ดังนั้นแล้ว ทำไมจึงคิดว่าสิ่งนั้นเกิดขึ้นทุก ๆ เจ็ดสิบหรือแปดสิบปี? ท่านจินตนาการได้หรือว่าพระเจ้าองค์ประกอบด้วยความรักใคร่จะเอาการเกิดใหม่เช่นนั้นเข้ามาเป็นส่วนประกอบแห่งวัตถุประสงค์ของพระองค์สำหรับมนุษย์?
หลายคนผู้ซึ่งรับรองเอาหลักคำสอนเรื่องการเกิดใหม่นั้น เชื่อว่าพวกเหล่านั้นที่ดำเนินชีวิตไม่ดีก็จะมาเกิดใหม่ในวรรณะที่ต่ำกว่า หรือมิฉะนั้นก็เป็นแมลงต่าง ๆ นกหรือสัตว์เดรัจฉานต่าง ๆ. กระนั้นแล้วก็เหตุไฉนจึงได้มีจำนวนมนุษย์เพิ่มขึ้นอย่างมากมายในยามเมื่ออาชญากรรมและความรุนแรงเพิ่มพูนขึ้นด้วยอัตราที่ไม่มีแบบอย่างมาก่อนเช่นนั้นเล่า? นอกจากนั้นทำไมคนเหล่านั้นที่อยู่ในวรรณะต่ำที่สุดก็ยังสามารถทำได้ดีมากเสียด้วยซ้ำในเมื่อมีการให้โอกาสในการศึกษา? ยกตัวอย่างเช่น หนังสือพิมพ์ นิวยอร์ค ไทมส์ลงวันที่ 26 ตุลาคม 1973 รายงานว่าเด็กหญิงอายุสิบหกปี จากวรรณะต่ำคนหนึ่งเป็นเด็กที่ฉลาดที่สุดในโรงเรียนที่แคลลิปาฌิม ประเทศอินเดีย. เธอปราดเปรื่องยิ่งเสียกว่าเด็กหญิงคนหนึ่ง จากวรรณะสูงที่สุดคือพราหมณ์นั้นทีเดียว. จะให้คำอธิบายเกี่ยวกับข้อนี้ได้อย่างไร? ไม่เป็นความจริงหรอกหรือว่าหลักคำสอนเรื่องการเกิดใหม่หรือการกลับชาตินั้นไม่สามารถจัดให้มีคำอธิบายอันจะทำให้เป็นที่พอใจในเรื่องสิ่งต่าง ๆ เช่นนั้นได้.
โปรดคิดนึกดูด้วยเช่นกันถึงผลซึ่งคำสั่งสอนเช่นนั้นได้ก่อให้เกิดขึ้น. คำสั่งสอนนั้นได้ตัดสิทธิ์กีดกันมนุษย์เป็นจำนวนมากไว้เสียจากฐานะอันทำให้มีเกียรตินั้นเสียทีเดียว โดยขับเคี่ยวกวดขันเขาให้ต้องเข้ารับทำงานอย่างทาสภายใต้สภาพการงานแบบที่ต่ำต้อยพร้อมด้วยมีทางพอจะเป็นไปได้เพียงเล็กน้อย ในอันที่จะส่งเสริมชะตากรรมในชีวิตของตนให้ดีขึ้นได้ โดยการศึกษาเช่นนั้นมิใช่หรอกหรือ?
พระคัมภีร์สอนเรื่องการเกิดใหม่ไหม?
แน่ทีเดียว บางคนอาจจะชี้ให้ดูว่าการลงความเห็นโดยพิจารณาตามเหตุผลต่าง ๆ นั้น ไม่จำเป็นจะต้องหมายความว่าการเกิดใหม่ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้. คำตอบของเขาสำหรับเหตุผลสนับสนุนที่กล่าวมาแล้วข้างต้น อาจเป็นดังนี้: ‘แม้แต่พระคัมภีร์ก็ยังสอนเรื่องการเกิดใหม่เสียด้วยซ้ำ. นี้เป็นเพียงเรื่องหนึ่งในหลาย ๆ เรื่องที่มนุษย์ไม่สามารถอธิบายได้อย่างเต็มที่’
โดยเหตุที่พวกซึ่งเชื่อถือในเรื่องการเกิดใหม่ได้นำเอาพระคัมภีร์เข้ามาสู่การสนทนา เราจึงปรารถนาที่จะพิจารณาสิ่งที่พระคัมภีร์กล่าวถึงนั้น. มีพยานหลักฐานอะไรในพระคัมภีร์สำหรับความเชื่อถือในเรื่อง การเกิดใหม่? หนังสือ ว็อท อิส บูดดิสม์? ให้คำตอบดังนี้: “สำหรับผู้อ่านที่เป็นคริสเตียน เราใคร่จะชี้ให้ดูว่า [หลักคำสอนเรื่องการเกิดใหม่] มีปรากฏชัดเจนในคำสอนของพระคริสต์เท่าที่ยังมีอยู่นั้นเป็นชิ้นเป็นส่วนไม่ครบถ้วน. อาทิเช่น ขอให้คำนึงถึงข่าวเล่าลือที่แพร่หลายไปอย่างกว้างขวางว่า พระองค์เป็นโยฮันบัพติสโต เป็นยิระมะยา หรือเอลียาที่กลับมาอีก (มัดธาย 16:13-16). แม้แต่เฮโรดก็ดูเหมือนคิดว่าพระองค์คือ ‘โยฮันบัพติสโตกลับเป็นขึ้นจากตาย.’”
จะว่าอย่างไรกับข้ออ้างเหตุผลสนับสนุนเช่นนั้น? พระเยซูคริสต์เองอ้างสิทธิว่าเป็นโยฮันบัพติสโต เป็นยิระมะยา หรือเอลียา กระนั้นไหม? เปล่าเลย คำอ้างเหล่านี้เป็นคำอ้างที่ถูกปรุงแต่งขึ้นโดยบรรดาชน ผู้ซึ่งไม่ยอมรับรองเอาพระเยซูในฐานะที่พระองค์เป็นอยู่อย่างแท้จริง กล่าวคือ พระมาซีฮาหรือพระคริสต์ตามที่ทรงสัญญาเอาไว้นั้น. พระเยซูจะเป็นโยฮันบัพติสโตไม่ได้ เพราะเมื่อมีอายุราว ๆ สามสิบปี พระเยซูผู้มีอายุอ่อนกว่าได้รับบัพติสมาโดยโยฮันผู้ซึ่งแก่กว่า. (มัดธาย 3:13-17; ลูกา 3:21-23) กษัตริย์เฮโรดได้มาลงความเห็นอย่างไม่ใช้วิจารณญาณที่ว่าพระเยซูคือโยฮันซึ่งกลับเป็นขึ้นจากตายนั้น ก็เนื่องจากความรู้สึกของเขาเกี่ยวกับความผิดอันร้ายแรงในการประหารชีวิตโยฮันนั้นต่างหาก.
แต่ว่าไม่มีคำแถลงโดยตรงของพระเยซูคริสต์หรอกหรือซึ่งบางคนถือว่าสนับสนุนความเชื่อในเรื่องการเกิดใหม่หรือการกลับชาตินั้น? ใช่แล้วมีอยู่ตอนหนึ่งจริง. ณ โอกาสหนึ่งพระเยซูคริสต์ได้เอาโยฮันบัพติสโต มาเกี่ยวโยงกับเอลียาผู้พยากรณ์ชาติฮีบรูสมัยก่อนโน้น โดยบอกดังนี้: “เอลียาก็มาแล้วและเขาหารู้จักท่านไม่ แต่ได้กระทำแก่ท่านตามความปรารถนาของตน . . . ดังนั้นพวกสาวกจึงเข้าใจว่าพระองค์ตรัสแก่เขาเล็งถึงโยฮันผู้ให้รับบัพติสมา.” (มัดธาย 17:12, 13) ในการที่แจ้งว่า “เอลียาได้มาแล้ว” เช่นนั้นพระเยซูทรงหมายความหรือว่าโยฮันบัพติสโตเป็นเอลียา ซึ่งมาเกิดใหม่นั้น?
การตอบปัญหาข้อนี้จำต้องได้มีการตัดสินด้วยยึดเอาสิ่งที่พระคัมภีร์บอกไว้รวมด้วยกันทั้งหมดนั้นมาเป็นหลัก. พวกยิวหลายคนในสมัยแห่งการเป็นมนตรีของพระเยซูทางพื้นโลกนี้คิดว่า เอลียาจะกลับมาตามตัวอักษร. และคำพยากรณ์ของมาลาคีชี้ล่วงหน้าไปถึงสมัยเมื่อพระยะโฮวาพระเจ้าจะส่งเอลียาผู้พยากรณ์มา. (มาลาคี 4:5) อย่างไรก็ดีโยฮันบัพติสโตหาได้มองดูตนเองในฐานะเป็นเอลียาหรือเป็นผู้พยากรณ์ชาวฮีบรูคนนั้นซึ่งกลับชาติมาไม่. คราวหนึ่งพวกยิวบางคนถามท่านว่า “ท่านเป็นเอลียาหรือ?” โยฮันตอบว่า “มิใช่.” (โยฮัน 1:21) อย่างไรก็ดี ได้มีบอกไว้ล่วงหน้าว่า โยฮันจะจัดเตรียมหนทางไว้ข้างหน้าพระมาซีฮา “โดยน้ำใจ และฤทธิ์เดชของเอลียา.” (ลูกา 1:17) ฉะนั้นเมื่อพระเยซูทรงเอาโยฮันบัพติสโตมาเกี่ยวโยงกับเอลียานั้น พระองค์เพียงแต่เผยให้เห็นถึงการที่คำพยากรณ์มาสำเร็จเป็นขึ้นสมจริงด้วยโยฮัน ผู้ซึ่งกระทำการงานเช่นเดียวกันกับเอลียาในสมัยก่อนโน้นเท่านั้นเอง.
ข้อคัมภีร์อีกข้อหนึ่งที่พวกซึ่งเชื่อถือในเรื่องการกลับชาตินั้นอ้างถึง ก็คือโรม 9:11-13 ที่ว่า “เมื่อ [เอซาวและยาโคบ] ยังไม่ได้บังเกิด และยังไม่ได้กระทำดีหรือชั่ว เพื่อว่าพระดำริของพระเจ้าในการทรงเลือกนั้นจะตั้งมั่นคงอยู่ ไม่ใช่ตามการประพฤติ แต่ตามซึ่งพระองค์ผู้ทรงเรียกนั้นจึงได้มีคำตรัสแก่ (ริบะคา) ว่า: ‘พี่จะเป็นทาสของน้อง.’ ดังที่มีคำจารึกไว้ [ในมาลาคี 1:2, 3] ว่า: ว่า ‘ยาโคบนั้นเราได้รัก แต่เอซาวเราได้ชัง.’” ข้อความตอนนี้เผยให้เห็นว่าการทรงเลือกของพระเจ้านั้นขึ้นอยู่กับสิ่งที่ยาโคบและเอซาวได้กระทำในระหว่างชีวิตที่เขาเคยมีมาก่อนที่มาเอากำเนิดกับนางริบะคานั้นนั้นมิใช่หรอกหรือ?
ไฉนจึงไม่อ่านดูอีก? โปรดสังเกตดูว่าข้อความนั้นบอกอย่างแน่นอนว่า พระเจ้าทรงทำการคัดเลือกเอาก่อนที่คนใดคนหนึ่งกระทำดีหรือชั่ว. ดังนั้น การเลือกสรรของพระเจ้าจึงหาได้อาศัยบันทึกเกี่ยวกับการงานที่ล่วงแล้วมาในชีวิตตอนก่อน ๆ ไม่.
ดังนั้นแล้ว พระเจ้าทรงทำการเลือกสรรก่อนการกำเนิดของเด็กชายทั้งสองนั้นโดยยึดถือเอาอะไรเป็นเกณฑ์? พระคัมภีร์เผยให้เห็นว่าพระเจ้าสามารถมองเห็นทารกที่กำลังก่อตัวอยู่ในครรภ์ได้ เพราะฉะนั้นพระองค์จึงทรงทราบลักษณะของยีนหรือหน่วยถ่ายพันธุ์ของมนุษย์ก่อนการกำเนิด. (บทเพลงสรรเสริญ 139:16) โดยทรงใช้พระปรีชาญาณของพระองค์ พระเจ้าจึงหยั่งรู้เล็งเห็นได้ว่าเด็กสองคนนี้จะเป็นอย่างไรในเรื่องอารมณ์ และบุคลิกลักษณะ และด้วยเหตุนี้พระองค์จึงสามารถทำการเลือกสรรเอาผู้ซึ่งจะใช้การได้เหมาะสมกว่าในเรื่องที่เกี่ยวกับพระพรที่ดีกว่า. ประวัติซึ่งเด็กสองคนนั้นทำเอาไว้ในชีวิต ย่อมยืนยันพระสติปัญญาในเรื่อง การเลือกสรรของพระเจ้า. ขณะเดียวกันกับที่ยาโคบแสดงความสนใจในสิ่งฝ่ายวิญญาณและความเชื่อศรัทธาในคำทรงสัญญาของพระเจ้านั้น เอซาวแสดงให้เห็นถึงการมีใจโอนเอียงไปในสิ่งซึ่งเป็นตัวตนมองเห็นได้ด้วยตา และการไม่มีความหยั่งรู้ค่าแห่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ.—เฮ็บราย 11:21; 12:16, 17.
ส่วนคำพูดของอัครสาวกเปาโล ซึ่งยกขึ้นมากล่าวจากพระธรรมมาลาคีเกี่ยวด้วยการที่ ‘พระเจ้าทรงรักยาโคบ’ และ ‘ทรงเกลียดชังเอซาว’ นั้น ข้อนี้ก็เหมือนกันคือ เกี่ยวพันไปถึงการที่พระยะโฮวาทรงมองดูบุคคลทั้งสองโดยมีการถือเอาลักษณะของยีนหรือหน่วยถ่ายพันธุ์ของเขานั้นเป็นหลัก. ถึงแม้ว่า มาลาคีได้บันทึกเรื่องราวนี้ไว้หลายร้อยปี ภายหลังชีวิตของเด็กทั้งสองนั้นก็ตาม คำแถลงนั้นก็รับรองเรื่องที่พระเจ้าทรงบ่งชี้เอาไว้เกี่ยวด้วยเขาทั้งสองก่อนการกำเนิดของเขาทีเดียว.
ปัญหาที่พวกสาวกของพระเยซูยกขึ้นถามนั้น ก็ยังเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งซึ่งบางคนนำขึ้นมากล่าวเพื่อสนับสนุนเรื่องการกลับชาติ. ในเรื่องชายคนหนึ่งตาบอดมาตั้งแต่กำเนิด พวกสาวกถามดังนี้: “ใครได้ทำผิด คนนี้หรือว่าบิดามารดาของเขา ดังนั้นเขาจึงเกิดมาตาบอด?” (โยฮัน 9:2) ถ้อยคำเหล่านี้เผยให้เห็นว่าชายคนนั้นคงต้องได้มีชีวิตมาแต่ก่อนมิใช่หรือ?
หาไม่เลย! พระเยซูมิได้ดำเนินความไปกับข้อชวนคิดใด ๆ ที่ว่าเด็กซึ่งเติบโตขึ้นในครรภ์มารดานั้นได้กระทำผิดก่อนที่เกิดมา. พระเยซูตรัสดังนี้: “มิใช่คนนี้ได้ทำผิด มิใช่บิดามารดาของเขา แต่การณ์นี้ได้เกิดขึ้นเพื่อที่การงานของพระเจ้าจะได้ปรากฏในกรณีของเขา.” (โยฮัน 9:3) กล่าวคือความไม่สมบูรณ์ และข้อบกพร่องเสียหายต่าง ๆ ของมนุษย์ ดังเช่นอาการตาบอดของชายผู้นี้ได้เปิดโอกาสให้การงานของพระเจ้าปรากฏด้วยวิธีการบำบัดรักษาอันน่าอัศจรรย์. หากไม่มีผู้ใดเลยเกิดมาตาบอด มนุษย์ก็คงจะมิได้เรียนรู้ว่าพระเจ้าสามารถทำให้คนที่ตาบอดมาแต่กำเนิดมองเห็นได้. ในการทรงยอมให้มนุษย์ชาติที่ผิดบาปมีชีวิตอยู่เช่นนี้ พระยะโฮวาพระเจ้าทรงใช้ความไม่สมบูรณ์ และข้อบกพร่องเสียหายของเขาเพื่อแสดงให้เห็นสิ่งซึ่งพระองค์สามารถกระทำเพื่อเขาได้.
ดังนั้น ขณะที่อาจจะมีข้อคัมภีร์ซึ่งทำให้บางคนคิดว่าสนับสนุนแนวความเห็นเรื่องการเกิดใหม่นั้น การพิจารณาตรวจสอบดูอย่างละเอียดยิ่งขึ้นย่อมจะแสดงให้เห็นตรงกันข้าม. อันที่จริง เราไม่พบตอนไหนเลยในพระคัมภีร์ที่กล่าวถึงการเกิดใหม่หรือการที่จิตวิญญาณ วิญญาณหรืออะไรอื่นอีกที่ยังคงมีอยู่ต่อไปหลังจากที่ร่างกายตายไปนั้น แล้วผ่านจากร่างเดิมไปสู่ที่อื่น. บางคนก็ได้พยายามทำเสมือนหนึ่งว่าพระคัมภีร์บริสุทธิ์สนับสนุนซึ่งความคิดเห็นเรื่องการเกิดใหม่หรือการกลับชาติ. นั่นหาใช่หลักคำสอนของพระคัมภีร์ไบเบิลไม่.
พระคัมภีร์แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าการมีชีวิตอยู่พร้อมด้วยความรู้สึกหาได้ดำเนินอยู่ต่อไปโดยจิตวิญญาณหรือวิญญาณที่ออกจากร่างกายขณะที่ตายไปนั้นไม่. เมื่อทรงพิพากษาวางโทษมนุษย์คนแรกให้ถึงแก่ความตายเพราะการไม่เชื่อฟังนั้น พระเจ้าหาได้กำหนดความหวังขึ้นไว้ต่อหน้าเขาในเรื่องการเกิดใหม่ หรือการกลับชาติไม่. พระองค์ตรัสแก่อาดามดังนี้: “เจ้าจะหากินด้วยเหงื่ออาบหน้าจนกระทั่งเจ้ากลับเป็นดินไป เพราะเราสร้างเจ้ามาจากดิน. ด้วยว่าเจ้าเป็นแต่ผงคลีดินและก็จะต้องกลับเป็นผงคลีดินอีก.” (เยเนซิศ 3:19) จริงทีเดียว มนุษย์ต้องกลับคืนสู่ผงคลีดิน อันปราศจากชีวิตนั้นอีก.
ดังนั้นแล้ว เราจำต้องได้เข้าใจว่าชีวิตมีแค่นี้จริง ๆ หรือ? หรือว่ามีการจัดเตรียมขึ้นไว้สำหรับชีวิตอนาคตอันยังจะหาได้อยู่อีก ด้วยวิธีอื่นบ้างไหม? การจัดเตรียมเช่นนี้ทำให้มีความจำเป็นในการที่คนเป็นจะต้องได้ช่วยเหลือคนตายกระนั้นไหม หรือว่าคนตายอยู่นอกเหนือความช่วยเหลือใด ๆ ทั้งสิ้นจากคนเป็น?
[รูปภาพหน้า 67]
วิญญาณคล้าย ๆ กับไฟฟ้า ซึ่งกระตุ้นหลายสิ่งหลายอย่าง แต่กระนั้นก็ไม่ได้รับเอาคุณลักษณะของสิ่งเหล่านั้น